ในขณะที่ชินอ๋องรุดหน้าปกป้องลูกเมียของเขาอยู่เบื้องหน้า รัศมีปราณยุทธแผ่ซ่านปรากฏให้เห็นเงาของกิเลนสวรรค์ห้าธาตุ พุ่งตรงเข้าไปสังหารผู้บุกรุก
“ถงถงเจ้าบาดเจ็บหรือไม่” ชินอ๋องถามคู่ชีวิตของตนอย่างเป็นห่วง เขายืนหยัดอย่างมั่นคงบนดาดฟ้าเรือโคลงเคลง สายตารอบระวังมือสังหารที่องครักษ์กำลังรับมืออยู่รอบ ๆ “ไม่เป็นไรหลงหมิง แล้วท่านล่ะ” พักตร์งามของชายาเอกเปื้อนเขม่าดำไปหมด ในอ้อมกอดพยายามบดบังภยันตรายให้ลูกชายตัวน้อย ปัดป้องคมดาบที่มุ่งเข้ามาด้วยกระบี่อ่อน ดวงตาของอ๋องน้อยเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกตกใจ แต่ก็ว่าง่ายอย่างรู้ความไม่ตกใจจนร้องงอแง ธงโจรสลัดกุ่ยไห่ที่ครองน่านน้ำในแถบนี้คู่กับธงสัญลักษณ์จิ้นอ๋องโบกสะบัดในกองเรือที่โอบล้อมเข้ามา เสียงโห่ร้องตะโกนกู่ก้องดังจนคนของชินอ๋องต่างสิ้นหวัง ด้วยจำนวนคนที่ต่างกันหลายสิบเท่า อีกทั้งผู้บุกรุกต่างเป็นนักฆ่าสังหารมืออาชีพ ต่างกับพวกเขาที่เป็นบ่าวไพร่ที่มีวรยุทธติดตัวเล็กน้อย กองเรือผู้บุกรุกทอดสมอจอดเรือเทียบกับขบวนเรือของชินอ๋อง พลาดไม้กระดานกว้างราวหนึ่งฉื่อ [1] ข้ามมาอย่างง่ายดาย เข็นฆ่าผู้คนอย่างเหี้ยมโหด สาวใช้ถูกฉุดลากไปขืนใจย่ำยี ท่ามกลางกองซากไร้ลมหายใจ ประกายกระบี่ปะทะกันวูบวาบทั่วบริเวณ ชินอ๋องมู่หรงหลงหมิงตอบโต้รับมือกับนักฆ่าหลายคน ตัวเขาถือเป็นขุนนางบุ๋นคนหนึ่งแต่ใช่ว่าจะมือไม้อ่อนจับดาบจับกระบี่ไม่เป็น “จิ้นอ๋องก่อกบฏ เขาทำไปเพื่ออะไรกัน!!! ในเมื่อข้าก็เคารพรักเขาดั่งพี่ชาย...” ชินอ๋องคำรามอย่างครุ่นโกรธทั้งเสียใจ ไม่คิดเลยว่าวันที่มีความสุขสมบูรณ์พร้อมจะถูกลบออก ด้วยความกระหายอำนาจที่ไม่ใช่ของตนเหมือนพี่ชายต่างแม่ผู้นี้ ความจริงและความเสียใจผิดหวังประดังเข้าใส่ชินอ๋อง ไม่เพียงแค่ระเบิดที่จะคร่าชีวิตพวกเขา ยังมีมือสังหารที่แอบแฝงตัวอยู่ด้วย จิ้นอ๋องไม่กลัวเลยที่จะเปิดเผยว่าตนก่อกบฏ ชูธงประจำตัวเด่นหราประกาศว่าเป็นตัวเอง เขาวางแผนมานานและทำได้ดีอีกด้วย ปกปิดหลอกลวง คิดฆ่าคนปิดปากกลางผืนน้ำ ดูยังไงก็ไม่คิดเหลือทางรอดให้เขา เพียงแต่ลูกเมียเขาอีกฝ่ายก็ไม่คิดเก็บไว้ นัยน์ตาแดงก่ำของชินอ๋องผูกใจเจ็บที่เชื่อถือไว้ใจคนผิด ทำให้คนรักและรอบข้างเขาต้องพบจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้ ชายหนุ่มประมือไปหลายกระบวนท่าผลลัพธ์ช่วงชิงความได้เปรียบไม่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะมีฝีไม้ลายมือเก่งกาจแค่ไหน ก็เพลี่ยงพล้ำลงให้กับความโสมมของนักฆ่าจ้างวานที่ไม่เลือกวิธีสังหาร คมกระบี่อาบยาพิษต่างทิ่มแทงเข้าจุดตายของเขาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าภรรยาและลูก หมายปกป้องทั้งสองให้ได้มากที่สุด พิษร้ายแรงแล่นเข้าสู่ร่างกายอย่างฉับไวยิ่งชินอ๋องขยับร่างกายมากเท่าไหร่ พิษก็กระจายไปทั่วร่างเร็วเท่านั้น ภาพสุดท้ายของชีวิตเขา คือ ชินหวางเฟย ภรรยาของเขาผู้ที่เก็บงำวิชากระบี่ยิ่งกว่าเขาร่ายรำวาดกระบี่แทงทะลุร่างของนักฆ่าที่ลงมือกับเขา ท่ามกลางม่านน้ำตาที่ไหลอาบหน้านางกับแววตาตกตะลึงของลูกน้อยวัยสามหนาว วังชินอ๋องที่แยกตัวประกาศจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนนานแล้ว ขอไม่เข้าไปยุ่งพัวพันแย่งชิงบัลลังก์มังกรที่อาบไปด้วยเลือด ความวุ่นวายต่าง ๆ นานาที่ต้องเเลกด้วยชีวิต กลับต้องเผชิญเคราะห์ร้ายกรรมซัดไม่ต่างกับเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้… ในขณะที่ทะเลสีเลือดไหลหนองย้อมมหาสมุทรซีไห่ ทางเมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ยกลับมีเมฆหมอกสีดำลอยปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้าดูมืดมน บรรยากาศมืดครึ้มอึมครึมอันน่าอึดอัดครอบคลุมทั้งเมือง ฟ้าฝนโหมกระหน่ำตกหนักมาร่วมสัปดาห์ไม่มีทีท่าจะหยุดลง ถังอี้หงฮองเฮาแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย เหม่อมองน้ำฝนที่สาดกระหน่ำผ่านหน้าตาบานใหญ่ สีหน้ากังวลของแม่ของแผ่นดินเผยออกมาอย่างชัดเจน “หวงโฮ่ว ทรงพักผ่อนเถอะเพคะ” “หลิวหยุนฟ้ากำลังเปลี่ยนสี ข้าเป็นห่วงพวกเขา” “องค์รัชทายาททรงอ่านฎีกาพำนักอ่านฎีกาพำนักปลอดภัยอยู่ที่ตำหนักบูรพา มีองครักษ์หลวงมากมายคอยคุ้มกัน ชินอ๋องก็ทรงพาท่านอ๋องน้อยกับพระชายาไปประพาสที่ทะเลซีไห่ที่ทะเลซีไห่ ส่วนองค์ชายเจ็ดพระองค์ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงเลย พระองค์ก็ทรงทราบองค์ชายเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าจิ้งจอก ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนบนแผ่นดินใหญ่ยังไม่มีผู้ใดทราบเลย ทุกพระองค์กำลังมีความสุขในชีวิตของตัวเอง ฮองเฮาทรงอย่าวิตกกังวลพระทัยเลยเพคะ” หลิวหยุนนางกำนัลคนสนิทผู้ติดตามถังอี้หงมาตั้งแต่เป็นคุณหนูสกุลถังมา จนกระทั่งนางเป็นมารดาของแผ่นดินในปัจจุบัน เวลาที่ใช้ร่วมกันดุจดั่งพี่น้อง “ข้ารู้ แต่สุขภาพของฝ่าบาท…” ฮองเฮาสกุลถังมองหน้าสหายสนิทเผยความกังวลใจที่ปิดไม่มิด “เปิ่นกง [2] กลัวมีคนก่อกบฏ” ถังอี้หงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในเมืองหลวง ภายนอกดูเหมือนสงบ แต่กลับมีคลื่นพายุกำลังก่อตัวเตรียมโหมกระหน่ำ สีหน้ามารดาของแผ่นดินซีเว่ยเคร่งขรึมด้วยความกังวล สัญชาตญาณความเป็นแม่สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังคุกคามลูก ๆ ของนาง จนหัวใจไม่อาจสงบ “เต๋อเฟย นางกำลังทำอะไรกันแน่?”เม็ดฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ผู้คนที่เดินขวักไขว่สวนกันอยู่บนท้องถนนล้วนรีบร้อนก้าวเท้าอย่างว่องไว บรรยากาศเย็นยะเยือกท้องฟ้าดำมืดไม่นานฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่
ณ.โรงเตี๊ยมโหย่วซิ่ว ชายหนุ่มรูปลักษณ์สง่างามนั่งปล่อยแรงกดดันที่มองไม่เห็นอยู่ในห้องลับของโรงเตี๊ยม ดวงตาของฉายแสงเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก มุมปากยกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินข่าวที่สายลับส่งเข้ามาพร้อมกับท้องฟ้าที่ส่งเสียงยินดีดังคำรามลั่นครืนใหญ่ ครืน ครืน!!! “หึ ๆ ลงนรกไปแล้วสินะน้องชายของข้า” น้ำเสียงอำมหิตไปปกปิดกลิ่นอายชั่วร้ายเอ่ยขึ้นราวกับเป็นเรื่องธรรมดาปกติ จากนั้นก็หันไปที่ประตูที่เคาะเรียกขออนุญาตคนด้านในห้อง “เข้ามา” บานประตูลับเปิดออกพร้อมร่างชายคนหนึ่ง “ข้าน้อยคารวะจิ้นอ๋อง” ร่างในเสื้อคลุมสีดำก้มหัวเล็กน้อยเผชิญหน้ากับความเงียบ จึงรีบเอ่ยธุระของตน “จิ้นอ๋อง ทุกอย่างพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงแหบแห้งไม่บ่งบอกตัวตนรายงานสิ่งที่ลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือ ชายรูปงามที่นั่งฟังชายชุดคลุมสีดำ คือ จิ้นอ๋อง โอรสคนแรกของจักรพรรดิเฉียนเฮ่า มู่หรงเฉียนเฮ่า ฮ่องเต้แห่งราชอาณาจักรซีเว่ย เขาเป็นองค์ชายพระองค์โตที่ถูกพระราชบิดากีดกันจากบัลลังก์ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลูกคนแรก และฐานันดรศักดิ์ภูมิหลังฝั่งมารดาก็ไม่ใช่ต่ำ ทำให้เขาเหมือนคนนอกจนสะสมความคับแค้นรอวันที่ทวงคืนความเป็นธรรมให้ตัวเอง “ฟ้ามืดเมื่อไหร่ก็เริ่มได้” น้ำเสียงไม่แยแสจ้องมองใบชาในถ้วยแก้วหลิวหลี เงยหน้าขึ้นจ้องตาชายชุดคลุม “ต้องสำเร็จเท่านั้นห้ามพลาดเด็ดขาด” “พ่ะย่ะค่ะ” ชายชุดคลุมน้อมรับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม หันหลังออกไปดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ คล้อยหลังไปเขาก็พึมพำด้วยความตื่นเต้น “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เปิ่นหวางจะขึ้นเป็นโอรสสวรรค์แทนท่าน…เสด็จพ่อ *แก้ไขครั้งที่1 [1] ฉื่อ หรือ เชียะ (尺 : chǐ) : 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 ชุ่น ยาวประมาณ 1 ฟุต [2] เชื้อพระวงศ์หญิง เช่น ไทเฮา ฮองเฮา พระสนมชั้นสูง องค์หญิง มักมีคำเรียกแทนตัวเองว่า “เปิ่นกง”“บังอาจ!!!” เสียงพูดคุยจอแจหยุดลงทันควัน ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจดังเฮือกตกใจหัวใจแทบร่วงอยู่ที่พื้น แต่เมื่อหันมากับพบชินอ๋องเชื้อพระวงศ์ระดับสูงผู้ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับฮ่องเต้ตวาดเสียงดังขึ้นกลางวงเหล่าเจ้าของเสียงนินทาทั้งหลายลูบอกอย่างโล่งใจ ทันทีที่พบว่าเป็นผู้ใด ต่างปรับสีหน้าท่าทางไม่ใส่ใจผู้มาใหม่เช่นเดิมก่อนหน้านี้พวกเขากลัวว่าจะเป็นผู้อื่นล่วงเกินเบื้องสูงท่านอื่นแต่เป็นคนผู้นี้…เหอะ ๆผู้ไม่อาจหยุดปากเหล่าสหายเสเพลที่ร่วมดื่มกินเที่ยวเล่นของคนผู้นี้ได้ และเปิดหัวข้อสนทนาที่หมิ่นประมาทเชื้อพระวงศ์ของราชอาณาจักรซีเว่ยที่มีเพียงผู้เดียวที่สามารถเอ่ยปากนินทาได้ต่อคือ…ชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยางแห่งราชอาณาจักรซีเว่ยชินอ๋องผู้นี้เป็นทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของชินอ๋องมู่หรงหลงหมิงกับพระชายาเอกป๋ายหยู่ถงที่ประสบเคราะห์กรรม ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์กบฏแถบคาบสมุทรชิงไห่เมื่อสิบปีก่อนเขารับสืบทอดตำแหน่งของบิดาตั้งแต่เยาว์วัยไม่รู้ความ และเป็นเพียงผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมออกประพาสครั้งโน้นเนื่องจากบิดาเป็นน้องชายแท้ ๆ โดยสายเลือดที่มีพระมารดาคนเดียวกันกับอดีตไท่
“ชินอ๋องมาแล้ว นั่ง ๆ” เหล่าคุณชายสหายเสเพลตบเก้าอี้ชวนนั่งอย่างเป็นกันเอง คุณชายทั้งหลายนี้เป็นกลุ่มคนประเภทกินอิ่มทั้งวัน ไร้ประโยชน์เสียจริง“เปิ่นหวาง [2] มาแล้ว” มู่หรงเยี่ยหยางที่ส่งเสียงดังมาตั้งแต่หน้าประตูก้าวฉับ ๆ นั่งลงตรงเก้าอี้ว่างอย่างไม่ถือยศศักดิ์ไม่ห่วงภาพพจน์ มือคว้าป้านสุรายกขึ้นดื่มแต่หัววัน แล้วค่อยต่อบทสนทนาสบถว่าสหายปากไร้หูรูดชุดใหญ่“นี่! พักนี้พวกเจ้าเหิมเกริม ปากกล้าขึ้นไม่น้อย นินทาเปิ่นหวางโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว ๆ”“ไม่ว่าอย่างไร เปิ่นหวางก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง หากปากพวกเจ้าไม่มีรูด จับจูงขาตัวเองขึ้นศาล ดาบพาดลำคอ ก็ไม่ต้องมาร้องห่มร้องไห้พามารดาพี่สาวน้องสาวมาอ้อนวอนข้าเลยนะ!”ชินอ๋องหุบพัดยกมันตบกะโหลกสหายเสเพลที่พูดจาไม่เข้าหูเขาอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ แต่ความจริงก็ไม่ได้ใส่ใจคำพูดนินทาของเหล่าสหายคุณชายทั้งหลาย ทั้งไม่ถือตัวพูดเล่นสนทนากันอย่างสนิทสนม“โถ่!!! ท่านอ๋อง”“หยุด! ข้าขี้เกียจฟังพวกเจ้าพล่ามจนน้ำลายแตกฟอง” ท่านอ๋องยื่นมือเอื้อมหยิบจับตะเกียบคีบจ้วงอาหารเข้าปาก“อื้อ... ฝีมือเหล่าเหยียนไม่ผิดหวังจริง ๆ รสชาติเลิศรสกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอยังคง
สองวันถัดมา ณ.ตำหนักเหลียงซิน ที่พำนักของไทเฮาหลิวอี้หง “ไทเฮา ได้โปรดช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไร้ความสามารถ ศึกษาสิ่งใดก็ไม่เคยสำเร็จ อายุอานามก็ล่วงเลยมามากแล้ว เกรงว่าการไปเทียนถูหวู่จะทำให้ราชสำนักต้องขายหน้า เสด็จอาต้องเสื่อมเสียเกียรติ” เสียงร้องโอดครวญชักแม่น้ำทั้งห้าของชินอ๋องดังทั่วตำหนักเหลียงซิน ด้วยเสียงดังที่กลัวว่าจะดังพอกลัวว่าผู้คนจะไม่ได้ยินทั่วถึง จะไม่รับรู้การปฏิเสธของตน ราวกับอยากให้มันได้ยินถึงพระกรรณผู้ออกราชโองการด้วยซ้ำไป แต่ท่าทีนิ่งเฉยที่ได้รับกลับมาจากผู้เป็นย่า ไม่ว่าเยี่ยหยางจะร้องอาละวาด หรือ โวยวายเพียงใดก็ตาม “เยี่ยหยางเจ้ามีกี่หัวกัน? อายเจีย [3] ไม่ยุ่งเรื่องราวในราชสำนักมานานแล้ว” น้ำเสียงเรียบเย็นสบายเอ่ยถาม “ราชโองการไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถขัดได้ แล้วก็เทียนถูหวู่ก็เป็นสำนักฝึกเซียนยุทธอันดับหนึ่งในใต้หล้า” “เสด็จย่า หยางเอ๋อไม่อยากห่างจากท่านไปไหนไกล หลานอยากอู่มองหน้าเสด็จย่าทุกวัน ท่านไม่รักหยางเอ๋อแล้วหรอถึงไล่หลานไปอยู่ห่างไกล ไม่เห็นแม้แต่เงาหลาน” ทั้ง ๆ ที่อาศัยเส้นสายลับ ๆ กระจายข่าวกระจายลมปากให้ถึงพระเนตรพระกรรณ์ของโอรสสวร
กลีบดอกหลุดร่วงกระจัดกระจายช้ำมือไม่น้อย ล้อมไปด้วยใบไม้ที่ถูกเด็ด ถอน ดึง ทึ้ง เขย่า จนร่วงกราวเหมือนฤดูใบไม้ผลิที่ผลัดใบจนโกร๋นเหลือแค่กิ่งก้านหัก ๆเด็กหนุ่มยืนกะพริบตาปริบ ๆ มองมือตัวเองที่ตอนนี้อยู่บนกิ่งไม้ที่พร้อมเด็ดดอกไม้แรกแย้มดอกเดียวและดอกสุดท้ายที่เหลืออยู่บนต้นครั้นได้สติ หลุดจากพะวง เยี่ยหยางยังไม่วายเด็ดบุปผาที่หลงเหลือ เดินเข้าไปหาพระสนมนางนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่รู้สิ่งที่ตนกระทำ“ถวายพระพรพระสนม พระองค์ทรงรีบร้อนไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพบบุปผาแรกแย้มสวยงดงาม ช่างเหมาะกับโฉมงามสวยสะคราญเช่นท่านเหลือเกิน จึงตั้งใจนำมาถวายด้วยใจ ทรงโปรดรับน้ำใจของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยหยางยิ้มกว้างยัดเยียดกิ่งประดับบุปผาใส่มือสาวงามที่ยืนนิ่งช็อก สายตามองตาดอกไม้แสนรักที่ถูกคนบัดซบย่ำยีเด็ดชีวิตเข็นฆ่า นอนไร้ชีวิตอย่างสงบในมือ แล้วหันหลังกลับ รุดชิ่งหนีจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอฟังเสียงชื่นชมที่กรีดร้องทะลวงแก้วหูปี้ดจนเต้นระริกดังไปทั้งวังหลวงฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือที่ทรงงานในห้องอักษรถึงกับสะดุ้งตกใจ พู่กันในมือตวัดปืดจากบนลงล่างขีดฆ่าสิ่งที่เขียนมาหลายเค่อทิ้งหัวคิ้วกระตุ
ในขณะที่ตัวก่อเหตุชิ่งหนีความโกลาหลที่ตัวก่อไว้ เยี่ยหยางตบอกปลอบใจตัวเองยกแขนเสื้อซับเหงื่อไคล พยายามปรับลมหายใจให้คงที่ เขาวิ่งสาวเท้าออกมากลับตำหนักอ๋องอย่างรวดเร็ว ไม่หวังดูผลงานที่ตัวเองก่อวีรกรรมชอกช้ำให้ผู้อื่นไว้ เฮ้อ...คิดว่าต้องฟังเสียงแหลมเล็กนั่นกรีดร้องให้ทรมานหูน้อย ๆ ของเปิ่นหวางแล้วสักอีก ดีที่เผ่นออกมาได้ทัน เจ้าตัวรีบร้อนไม่ทันระวังชนเข้ากับหัวขบวนมนุษย์ไม่เบา เซจนหน้าแทบซบพื้น แต่มนุษย์ผู้นั้นกับยืนนิ่งตั้งตระหง่านดั่งกำแพงเมืองไม่ไหวติง เยี่ยหยางอาศัยเกาะกำแพงมนุษย์พยุงตัวขึ้นเองพร้อมส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับไท่จื่อมู่หรงลู่เฉินญาติผู้น้องไร้อารมณ์ของเขา“ไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน”“ชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยาง” น้ำเสียงเรียบนิ่งลึก ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ สีหน้าเรียบยิ่งกว่าน้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยใบหน้าอ่อนเยาว์นุ่มนวลดูแข็งกระด้างไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความหล่อเหลาสง่างามที่ฉายแววออกมาทั้งที่เยาว์วัย ดูทรงคุณวุฒิมากกว่าเยี่ยหยางอีก ทั้ง ๆ ที่อายุอ่อนกว่าเกือบสองปีเต็ม เขาเหลือบมองเยี่ยหยางอย่างเอือมระอาลูกพี่ลูกน้องผู้พี่คนนี้ที่ทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย“จริงสิ เรื่องที่
ระนาบหวู่เซียนเป็นระนาบที่มีพลังปราณยุทธเป็นใหญ่ แตกต่างจากระนาบมนตราที่พลังเวทมนตร์เป็นใหญ่และเขาก็หาทางกลับไม่ได้แต่ก็เป็นเรื่องดีที่เขาไม่ต้องตาย เด็กหนุ่มปลงกับตัวเอง เป้าหมายในชีวิตตอนนี้สำหรับเยี่ยหยางคือการกลับไปในที่ของตัวเอง และฟื้นชีวิตสหายที่เป็นเหมือนพี่น้องเป็นคู่อริของเขา เยี่ยหยางเดินเข้าไปในห้องหนังสือของเรือน หน้าต่างทุกบานปิดสนิทเหมือนเจ้าของไม่ค่อยจะเข้ามาใช้งาน ซึ่งเป็นความจริงห้องนี้เป็นแค่ทางผ่านสำหรับเดินเข้าห้องใต้ดินที่เขาสั่งคนทำขึ้น โดยไม่มีใครรู้ว่าใต้ตำหนักแห่งนี้มีดินแดนใต้ดินอยู่ ผู้ที่รู้เรื่องราวถูกลบความจำทั้งหมดด้วยเวทมนตร์อย่างถาวร ดินแดนใต้ดินตำหนักชินอ๋องมีทางเข้าหลายทาง ซึ่งเยี่ยหยางสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของเขา แต่ละทางเข้าก็มีวิธีเข้าไปที่แตกต่างกัน ไม่มีทางที่ผู้คนทั่วไป แม้กระทั่งเจ้ายุทธภพของที่นี่จะผ่านเข้าไปได้ ถ้าไม่มีพลังเวทและรู้วิธีเข้ามาที่ถูกต้อง ดีไม่ดีกลายเป็นผีเฝ้ายามให้เขาใช้สอยบรรยากาศดินแดนด้านล่างต่างจากด้านบนลิบลับ กลิ่นอายต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เครื่องเรือนหลายชิ้นดูแปลกตา กลับตกแต่งหรูหราอย่างเข้ากันด้วยสีขาวเป็นส่วนให
เยี่ยหยางเดินออกจากห้องใหญ่ที่เคยเป็นห้องปรุงยา มุ่งเข้าสู่ห้องนอนโปร่งกว้างสบายไม่เหมือนห้องที่อยู่ใต้ดิน เขาเอนตัวลงบนเตียงนุ่มสบายผิดกับตั่งเตียงของคนที่นี่นิยมกัน มันแข็งจนเขาปวดหลังไปหมด หลังจากทรมานตัวเองอยู่พักใหญ่ เขาเลยสร้างอาณาจักรใต้ดินของตัวเองขึ้น ผ้าปูเตียงสีน้ำเงินเข้มเด้งขึ้นยุบลงตามน้ำหนักเจ้าของที่โถมลงมา เชิงเทียนที่ถูกจุดเป็นแสงสว่างแทนไข่มุกฉายตะวันดับลงทั้งหมดด้วยมือที่โบกร่ายของเจ้าของห้องเฮ้อ...ในวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยไม่น้อยกับการสวมหน้ากาก เป็นมนุษย์ผู้รักการเสเพล ทำตัวเหลาะแหละ ทำตัวแย่ ๆ ไปวัน ๆ หน้ากากชั้นแล้วชั้นเล่าที่เขาต้องสวมไว้หนาจนด้านไปแล้ว ตั้งแต่รู้เรื่องฐานะ ตัวตนนี้สร้างความหนักใจไม่น้อย ...แต่ช่างมันเถอะ...เปิ่นหวางชินแล้วล่ะเวลาเลยผ่านไปอย่างรวดเร็วเดือนกว่าที่เยี่ยหยางเก็บเนื้อเก็บตัวตั้งแต่มีราชโองการฟาดลงมาที่เขา เจ้าตัวก็ไม่สร้างเรื่องให้ทหาร ชาวบ้านได้หวาดหวั่น นับเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ย ที่สงบสุขไม่มีเสียงร้องเรียนจนฎีกาสูงล้นศีรษะฮ่องเต้ ณ. ศาลาพักบริเวณ ประตูเสินอู่เหมินด้านทิศเหนือของวังหลวง“เฮอะ!
เยี่ยหยางขี่ม้าเหยาะ ๆ ออกนอกเมืองอย่างอาลัยอาวรณ์ อย่างน้อยเขาก็ใช้ชีวิตได้ดีอย่างสงบสุขหลายปีอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีชาวบ้านคนไหนที่เด็กหนุ่มไม่เคยคลุกคลีด้วย เขาย่างเท้าม้าช้าลงซึมซับบรรยากาศรอบ ๆเฮ้อ...อยู่ที่นี่มาเป็นสิบปี กลายเป็นบ้านอีกหลังของเขาไปแล้ว น่าเสียดายที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ด้วย ถ้าหากเพื่อนรักสองคนของเขาอยู่ที่นี่ เขาคงไม่เหงาขนาดนี้เยี่ยหยางมองตึกรามบ้านเรือนที่ต่างจากระนาบมนตรา วัฒนธรรมที่แตกต่าง ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่ระนาบมิติแห่งนี้มาสิบกว่าปีแล้วถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวดูไร้สาระในสายตาผู้อื่น ไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องใด ๆ แต่ความในใจกับมีมากมายเขาปิดดวงตาลงเก็บซ่อนความคิด ลืมตาขึ้นมาก็เห็นผู้คนยืนอออัดแน่นถนนตลอดเส้นดูท่าจะมีละครให้เขาเล่นอีกเรื่อง...“ท่านอ๋อง ท่านไปศึกษาที่เทียนถูหวู่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักไฉนถึงมีสีหน้าเช่นนั้น” เหล่าฮุ่ยผู้จัดการเหลาสุรา...รีบเปิดปากพูดคุยอย่างสนินสนม ขณะที่เดินเคียงข้างก้าวไปข้างหน้า ด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังสนทนากับสหาย แต่ฟันที่ขบบดในปากแทบแตกต่างส่งเสียงน่าหวาดหวั่นว่ามันจะสึกหรอไม่น้อย ไม่ใช่ว่ามันอยากเสนอหน้ามาสนทนา