หลังจากถูกไท่ชินอ๋องปลุกและประคองให้นั่งขึ้นดื่มยากลางดึก ต่อจากนั้นหลี่ชิงก็นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวจนกระทั่งถึงเวลาสายของอีกวันหนึ่ง พอเขาตื่นขึ้นมาก็รู้ว่ายังคงนอนอยู่ในห้องนอนของไท่ชินอ๋อง มีสาวใช้ยืนคอยเพื่อปรนนิบัติ และหลิวกงกงยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
พอเห็นเด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น…หลิวกงกงที่หน้าติดจะเรียบตึงอยู่ตลอดเวลาก็แย้มยิ้มประจบจนตาแทบปิด
“คุณชาย ท่านตื่นแล้วหรือ? อยากจะนอนต่ออีกสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”
น้ำเสียงที่กล่าวก็นุ่มนวลอ่อนโยนผิดจากเมื่อวานที่ราบเรียบเย็นชาราวฟ้ากับก้นเหว
“ข้านอนพอแล้ว” หลี่ชิงรู้สึกว่าอาการของตนเองดีขึ้นกว่าเมื่อเย็นวานหลายส่วน แม้จะยังไม่หายสนิทก็ตาม
สาวใช้ก็เข้ามาปรนนิบัติให้เด็กหนุ่มแปรงฟัน บ้วนปากล้างหน้า แล้วหลิวกงกงก็สั่งให้พวกนางนำกาละมังทองคำใส่น้ำอุ่นมาให้ เขาจะช่วยเช็คตัวให้เด็กหนุ่มเอง
“คุณชายยังป่วยอยู่ คงจะอาบน้ำมิได้ ให้บ่าวเช็ดตัวให้จะดีกว่า แล้วค่อยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่นะขอรับ”
ที่หลิวกงกงเปลี่ยนมาใช้ถ้อยคำอ่อนน้อมถ่อมตนกับหลี่ชิงก็เพราะว่า…ไท่ชินอ๋องไม่เคยอนุญาตให้ใครมานอนค้างคืนที่ตำหนักใหญ่เลย อี๋เหนียงนางใดโชคดีถูกเรียกตัวให้มาปรนนิบัติรับใช้ ก็จะอยู่เพียงหนึ่งชั่วยามถึงหนึ่งชั่วยามกว่า(สองถึงสามชั่วโมง)เท่านั้นแล้วก็ถูกส่งตัวกลับ แต่หลี่ชิงคนนี้ ไท่ชินอ๋องนอนกอดทั้งคืน ซ้ำเมื่อเช้ายังสั่งว่า ไม่ให้ใครรบกวนการนอนหลับพักผ่อนของเขา หากเขาตื่นก็ให้ปรนนิบัติดูแล จัดยาจัดอาหารอย่างดีให้
หลิวกงกงไล่เหล่าสาวใช้ให้ออกไปจากห้องนอนใหญ่ เพื่อเขาจะได้ถอดเสื้อผ้าชั้นในของหลี่ชิงออกเช็ดตัว
หลี่ชิงอดรู้สึกไม่คุ้นชินไม่ได้…คนที่เคยเช็ดตัวให้เขาคือมารดา แต่พอเขาอายุสิบปีก็ไม่เคยให้มารดาช่วยเช็ดตัวอีกเลย จึงออกปากกับหลิวกงกงว่า “ขอบคุณกงกง แต่ขอข้าทำเองดีกว่า”
หลิวกงกงยิ้มอย่างมีเลสนัย “คุณชายเกรงบ่าวจะเห็นร่องรอยอะไรใช่หรือไม่? ท่านมิต้องเขินอายไปหรอก เป็นธรรมดาของบุรุษเข้มแข็งที่มักจะฝากรอยรักไว้บนตัวภรรยา”
ทำเอาหลี่ชิงสะดุ้งวาบ…เมื่อเป็นเช่นนี้เขายิ่งให้หลิวกงกงเช็ดตัวให้ไม่ได้ เพราะบนตัวของเขาไม่มีร่องรอยฝากรักใดใดทั้งสิ้น
ทว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เห็นต้นคอใกล้ติ่งหูของตนเอง ที่นั้นมีรอยถูกดูดเม้มเป็นรอยแดงปื้นใหญ่
“เอ้อ…ข้ารู้สึกไม่อยากเช็ดตัวแล้ว”
หลิวกงกงก็ไม่ขัดใจ จัดการช่วยเด็กหนุ่มสวมใส่เสื้อผ้าอย่างดีชุดใหม่ โดยสวมทับชุดตัวในแต่โดยดี
แล้วสั่งให้ยกสำรับอาหารเช้ามาให้ถึงในห้องนอนใหญ่…
กินอาหารเช้าเสร็จ…หลี่ชิงก็ขอกลับเรือนเล็ก
หลิวกงกงได้รับคำสั่งจากไท่ชินอ๋องเพียงแค่ว่า…ดูแลเด็กหนุ่มให้ดี แต่ไท่ชินอ๋องมิได้สั่งว่าให้เด็กหนุ่มรออยู่ที่ตำหนักใหญ่หรือให้กลับไปเรือนเล็ก
แต่ในเมื่อเด็กหนุ่มเป็นผู้ออกปากขอกลับเรือนเล็กเอง หลิวกงกงก็จัดเกี้ยวนำเขากลับเรือนเล็กตามที่เขาต้องการ
*
*
ที่เรือนเล็ก…
อาเฟยนั่งชะเง้อชะแง้คอรอคอย จนหมั่นโถวในมือยังลืมกิน…พอเห็นหลี่ชิงกลับมาอย่างปลอดภัย อาเฟยก็ยิ้มแก้มปริ รอยลักยิ้มบุ๋มลึก
“คุณชาย ท่านกลับมาแล้ว”
หลี่ชิงที่ลงจากเกี้ยว มองหมั่นโถวในมือของอีกฝ่าย ก็คาดเดาได้ว่า “อาเฟย เจ้ายังไม่ได้กินอาหารเช้าละสิ?”
อาเฟยเม้มปากนิดหนึ่ง...เขากินอาหารเช้าไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่อิ่ม ก็รีบคว้าหมั่นโถวมานั่งรอคอยเจ้านายน้อยของตนด้วยความเป็นห่วงกระวนกระวาย...กล่าวว่า “ข้าเป็นห่วงคุณชาย…”
“ขอบใจเจ้ามาก” หลี่ชิงกล่าว
แล้วเด็กหนุ่มทั้งสองก็พากันเข้าไปคุยกันต่อในห้อง…หลิวกงกงจึงขอตัวลากลับ
อาเฟยมองหน้าคุณชายแล้วร้องเอ๊ะ
“มีอะไรหรือ?” หลี่ชิงถามเพราะเห็นสีหน้าอีกฝ่ายเหมือนตกใจอย่างมาก
“ที่ต้นคอของท่าน…”
“ต้นคอของข้ามีอะไรหรือ?”
“มีรอยแดงเป็นปื้น”
“ตรงไหน?”
อาเฟยจูงมือหลี่ชิงไปที่หน้ากระจกทองเหลืองที่ถูกขัดจนเงาวับ พลางชี้ให้ดู
หลี่ชิงเห็นแล้วได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“ท่านไปโดนอะไรกัดมา?” อาเฟยถามอย่างเป็นห่วง
หลี่ชิงนึกถึงสีหน้ายิ้มแย้มของหลิวกงกงแล้ว ก็พอจะคาดเดาได้ว่า น่าจะเป็นร่องรอยที่ไท่ชินอ๋องทำไว้ เลยเผลอตอบอาเฟยตรงๆ ว่า “น่าจะเป็นรอยที่ท่านอ๋องทำ”
เท่านั้นแหละ…อาเฟยก็น้ำหูน้ำตาร่วงคิดไปเองว่า อีกฝ่ายคงถูกไท่ชินอ๋องทำทารุณกรรม “คุณชาย ท่านคงลำบากมาก ท่านอ๋องลงโทษท่านหนักขนาดนี้เชียวหรือ?”
“เอ้อ…” หลี่ชิงพูดไม่ออก ก่อนจะหาทางอธิบายว่า “ท่านอ๋องไม่ได้ลงโทษข้า”
“แล้วรอยนั่น”
“ข้าคงถูกแมลงกัดน่ะ”
“แมลงต้องตัวใหญ่มากแน่ๆ”
“อืม” หลี่ชิงเออออห่อหมกเพื่อให้จบเรื่อง แล้วบอกเรื่องน่ายินดีของตน “ท่านอ๋องเป็นคนดีมาก ท่านรับปากจะช่วยข้าแล้วละ อาเฟย”
ทันใด…ประตูห้องก็ถูกกระแทกเปิด
ปัง…!
มีบ่าวรับใช้ชายรูปร่างสูงใหญ่สี่คนเดินเข้ามาในห้องด้วยทีท่ามุ่งร้ายสีหน้าดุดัน
“พระชายาสั่งให้ผู้แซ่หลี่ไปพบ” บ่าวรับใช้คนหนึ่งเอ่ยเสียงแหบห้าว
“คุณชายไม่สบาย ไปไม่ได้” อาเฟยรีบก้าวมายืนบังเบื้องหน้าหลี่ชิงด้วยทีท่าปกป้อง
ก็เลยถูกบ่าวรับใช้วัยฉกรรจ์คนหนึ่งผลักกระเด็น
อาเฟยร้องหวี๊ด เพราะหน้าผากกระแทกกับโต๊ะ จนแตกเลือดออกพลั่กๆ
“อาเฟย…” หลี่ชิงร้องอย่างตกใจ ถลาเข้าไปจะดูแผลของอาเฟย
แต่ถูกมือแข็งแรงหลายมือคว้าตัวไว้เสียก่อน
“ในเมื่อไม่ยอมไปดีๆ ก็ลากตัวไป” เสียงแหบห้าวออกคำสั่ง
ร่างบอบบางจึงถูกฉุดกระชากลากพาไป ต่อหน้าต่อตาอาเฟยที่เจ็บแผลจนน้ำตาร่วง
อาเฟยวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ตำหนักใหญ่ในสภาพร้องไห้กระซิกๆ เลือดอาบ หน้าตาเลอะเทอะ จนบ่าวรับใช้ของตำหนักใหญ่เห็นแล้วตกใจ ไม่ยอมให้เข้า “ข้าจะขอพบท่านอ๋อง…คุณชายแย่แล้ว…คุณชายแย่แล้วขอรับท่านอ๋อง” อาเฟยส่งเสียงตะโกนดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ บ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้าฉุดลากอาเฟยจะให้ออกไปให้พ้นหน้าประตูตำหนักใหญ่ แต่อาเฟยแข็งขืนและร่ำร้องถ้อยคำเก่าซ้ำๆ บ่าวรับใช้ผู้นั้นเลยตวาดว่า ”ถ้าไม่หยุดส่งเสียงก่อกวน ข้าจะตีเจ้าให้ตาย” “มีอะไรกัน?” เสียงหลิวกงกงดังแทรกขึ้น แล้วเจ้าของเสียงก็เดินอย่างรวดเร็วเข้ามาใกล้ “เอะอะโวยวายอยู่หน้าตำหนักใหญ่ ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร?” “กงกง…กงกง…คุณชายๆ” อาเฟยพูดไปหอบไป “คุณชายตีเจ้าจนกลายเป็นสภาพนี้หรือ?” “ไม่ใช่…” อาเฟยส่ายหน้า แต่ไม่ทันกล่าวต่อ หลิวกงกงก็เอ่ยขัดขึ้น “หรือคุณชายไม่สบายอีก?” “ไม่ใช่…” อาเฟยส่ายหน้าอีก “ไอ้นั่นก็ไม่ใช่ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่…เจ้าจะเล่นตลกอะไร?” อาเฟยตั้งสติตะเบ็งเสียงว่า “คุณชายถูกคนของพระชายาจับตัวไป!” “หา!” หลิวกงกงอุทานหน้าตื่น “ขะ ข้าจะรีบไปรายงานท่านอ๋อง” แล้วเร่งรีบเดินเข
หลิวกงกงนั้นพอเห็นสภาพบาดเจ็บของหลี่ชิง และความโกรธของไท่ชินอ๋อง ก็จะเข้าไปอุ้มร่างบอบบางขึ้นจากพื้น เพื่อพาไปรักษาตัวที่เรือนเล็ก แต่ไท่ชินอ๋องรีบห้ามว่า "อย่าแตะต้องเขา" หลิวกงกงชะงักมือ ถามว่า "จะให้สาวใช้มาประคองคุณชายหรือขอรับ?" "ยามนี้ห้ามผู้ใดแตะต้องเขาทั้งสิ้น นอกจากท่านหมอ" หลิวกงกงจึงรีบสั่งคนไปตามท่านหมอประจำจวนมาโดยด่วน เพียงไม่นาน…ท่านหมอก็มาถึง และตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลี่ชิงโดยละเอียด แล้วสีหน้าของท่านหมอก็เคร่งเครียด “ท่านอ๋อง…คุณชายหลี่กระดูกสันหลังร้าวขอรับ ถ้าดูแลรักษาไม่ถูกวิธี คุณชายจะพิการไปตลอดชีวิต…ครั้งนี้นับว่าโชคยังดีที่ไม่มีผู้ใดแตะต้องหรือขยับเขยื้อนตัวของคุณชาย มิเช่นนั้นแล้วข้าน้อยก็จนปัญญาจะรักษาขอรับ” “อืม” ไท่ชินอ๋องรับคำในลำคอ...ในตอนแรกที่เขาเห็นสภาพเด็กหนุ่ม ก็คาดคะเนได้ลางๆ ว่าอาจจะถูกโบยจนบาดเจ็บถึงกระดูก จึงสั่งห้ามขยับเขยื้อนร่างบอบบาง แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้ ไท่ชินอ๋องปรายตามองพระชายาที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม แล้วออกคำสั่ง “ฟางหมิงซิน” “เจ้าคะ” พระชายาขานรับ คิดว่าคงจะได้รับการอภัย แต
หลังอาหารเย็น…หลิวกงกงก็พาอาเฟยมาพบหลี่ชิงตามที่หลี่ชิงต้องการอาเฟยได้รับการทำแผลที่หน้าผากมีผ้าพันปิดแผลเอาไว้เรียบร้อยแล้วและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน…พอเห็นคุณชายของตนนอนคว่ำอยู่บนเตียงก็จะถลาเข้าไปหาทันที “คุณชาย…” ทว่าถูกหลิวกงกงดึงตัวเอาไว้เสียก่อน “อาเฟย…แตะต้องตัวคุณชายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะว่าคุณชายบาดเจ็บอยู่ เจ้าอาจจะทำให้คุณชายบาดเจ็บมากขึ้นกว่าเก่าได้” อาเฟยชะงัก แล้วจึงเห็นไท่ชินอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ข้างเตียงนอน…ก็เลยรีบหมอบลงคำนับ “น้อมคารวะท่านอ๋องขอรับ” “อืม” ไท่ชินอ๋องรับคำ “ขอบใจเจ้ามาก…อาเฟย…ที่รีบมาส่งข่าวชิงชิงให้ข้ารู้ทันเวลา” แล้วหันไปสั่งหลิวกงกง “หลิวยี่…เบิกเงินจากพ่อบ้านเจาหนึ่งพันตำลึงทองมอบให้อาเฟยเป็นรางวัล” “พะ พันตำลึงทอง” อาเฟยตื่นเต้นจนตะกุกตะกัก “ช่างมากมาย…มากมายเหลือเกิน” แล้วบอกกับหลี่ชิงอย่างดีใจจนลืมตัวว่า “คุณชาย …บ่าวมีเงินให้คุณชายขอยืมแล้ว” “หือ?” ไท่ชินอ๋องเลิกหัวคิ้วเข้มขึ้น “ชิงชิงขอยืมเงินเจ้าไปเมื่อไหร่ เอาไปทำอะไร จงบอกข้ามาให้หมด” “เอ้อ…อ้า…” อาเฟยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เรื่องที่ตน
“ท่านย่า…” ฟูเหรินใหญ่เรียกแม่สามี (ธรรมเนียมจีน…ลูกสะใภ้จะเรียกแม่สามีว่าท่านย่า ตามอย่างที่ลูกๆ ของตนเองเรียก) แล้วชิงฟ้องว่า “ข้าถูกท่านพี่ตบตี ชีวิตข้าช่างระทมขมขื่นนัก” “อาไฉ…เจ้าตีอาเหลียนด้วยเรื่องอันใด? ทำไมมีอะไรไม่ค่อยพูดค่อยจากัน?” ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยเหมือนตำหนิบุตรชายของตนเองกลายๆ แต่น้ำเสียงไม่ได้จริงจังนัก “ท่านแม่…นั่งลงก่อน” อำมาตย์หลี่เข้าไปช่วยประคองมารดามานั่งที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา แล้วไล่สองสาวใช้ออกไปจากห้องโถงใหญ่แห่งนั้น “มีอะไรหรืออาไฉ? ทำไมเจ้าท่าทางเคร่งเครียดอย่างนี้?” คนเป็นมารดาถามอำมาตย์หลี่ หลี่ไฉถอนหายใจเฮือก “ท่านแม่…คราวนี้ครอบครัวของพวกเราจะอยู่หรือจะตายล้วนขึ้นอยู่กับซูไห่ถังเพียงผู้เดียว” “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?” ฟูเหรินผู้เฒ่าถาม“เช้านี้ในที่ประชุมขุนนาง…ไท่ชินอ๋องประกาศแต่งตั้งอาชิงขึ้นเป็นกุ้ยหวางเฟย” “หา…” ฟูเหรินผู้เฒ่าอุทาน “เมื่อวานมิใช่แต่งตั้งเป็นพระชายารองแล้วหรอกหรือ?” “ใช่ขอรับท่านแม่” อำมาตย์หลี่รับคำ “วันนี้กลับเลื่อนยศขึ้นเป็นกุ้ยหวางเฟย” สีหน้าฟูเหรินผู้เฒ่าก็เปลี่ยนเป็นไม่ดีนัก ก่อนจะถามว่า “ม
ในเวลาเช้า…หลังมื้ออาหารที่หลิวกงกงบรรจงป้อนให้แก่หลี่ชิง โดยมีอาเฟยเป็นลูกมือ…ท่านหมอก็มาเปลี่ยนยาให้ แต่คราวนี้ท่านหมอพาช่างตัดเสื้อผู้ชายมาด้วยคนหนึ่ง ช่างตัดเสื้อคนนี้แซ่ฉินนามซ่ง มีวัยกลางคน พอท่านหมอเปลี่ยนยาเรียบร้อย ช่างตัดเสื้อก็ทำการวัดตัวของหลี่ชิงอย่างละเอียด แล้วออกไปยืนด้านข้างอย่างสงบ ท่านหมอห่มผ้าแพรและผ้านวมให้หลี่ชิงแล้ว ก็ยืนรายงานว่า “บาดแผลที่หลังของกุ้ยหวางเฟยดีขึ้นมากแล้วขอรับ” “อีกกี่วันข้าถึงจะขยับเนื้อขยับตัวได้ท่านหมอ ข้าปวดเมื่อยไปหมดแล้ว” หลี่ชิงบอกท่านหมอเสียงละห้อย “ขอให้กุ้ยหวางเฟยได้โปรดอดทนอีกสักหน่อยขอรับ ข้าน้อยได้ให้ช่างตัดเสื้อวัดตัวกุ้ยหวางเฟยเพื่อตัดเย็บเสื้อเกราะอ่อนให้ท่าน อีกสามสี่วันท่านก็จะสามารถลุกขึ้นนั่งยืนเดินได้ แต่ต้องไม่ขยับเคลื่อนไหวรุนแรง และต้องสวมเสื้อเกราะอ่อนเอาไว้ตลอดเวลา” ท่านหมอกล่าว “เสื้อเกราะอ่อนคืออะไรหรือท่านหมอ?” หลี่ชิงถามอย่างสงสัย “เป็นเสื้อที่ข้าน้อยคิดค้นมาให้แก่กุ้ยหวางเฟยโดยเฉพาะขอรับ เลียนแบบเกราะหวายของทหาร แต่เสื้อเกราะของท่านจะใช้ผ้าแพรเนื้อดีนุ่มละมุน ตัดเย็บสองช
พระชายาฟางหมิงซินเข้าพระราชวังไปขอเข้าเฝ้าไทเฮา ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนาง เพราะมารดาของพระชายาเป็นอาหญิงของไทเฮาเจียงซู่จิ่นไทเฮาเจียงซู่จิ่นอนุญาตให้พระชายาฟางหมิงซินเข้าเฝ้าในห้องโถงรับรองในพระตำหนัก เมื่อไทเฮารับการถวายบังคมจากพระชายาแล้ว ก็ออกปากเชิญพระชายานั่งลงสนทนากัน “ไทเฮา…ท่านต้องช่วยข้านะเพคะ” พระชายาฟางหมิงซินเอ่ย พลางบีบน้ำตา “ข้าถูกรังแก” “ใครกันขวัญกล้า กล้ารังแกเจ้า?” ไทเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง “เขาชื่อหลี่ชิง เป็นบุตรชายของอำมาตย์หลี่ไฉ…อยู่ๆ ท่านอ๋องก็รับเขามาเป็นชายบำเรอ…ข้านึกประหลาดใจ จึงเรียกเขามาพบ เขากลับทำยโสใส่ข้า อวดว่าตนเองเป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องยิ่งกว่าใครๆ ข้าจึงสั่งสอนเขา ทว่าท่านอ๋องกลับให้ท้ายเขา ทำโทษข้า ตบหน้าข้า ให้ข้าคุกเข่าตากแดดตากลม จนข้าเป็นลมล้มป่วย ท่านอ๋องยังไม่ยอมมาเยี่ยมเยียนข้าสักนิด ขลุกอยู่แต่ในห้องกับเขาตลอดเวลา” พระชายาเล่าบางส่วน ปิดบังบางส่วน พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “หลี่ชิง…” ดวงตาสวย คม และดุ ของไทเฮาวัยยี่สิบสาม เป็นประกายวาววูบหนึ่ง “ผู้ที่ไท่ชินอ๋องประกาศแต่งตั้งเป็นกุ้ยหวางเฟย?” “ใช่แล้ว
“เพราะท่านพี่หน้ามืดตามัวหลงใหลความสวยงามของนาง พอนางบอกว่าท้องกับท่านพี่ ท่านพี่ก็รีบไถ่ตัวนางจากหอคณิกาเอาเข้าบ้านทันที ท่านพี่ทำให้ข้าช้ำใจยิ่งนัก” ฟูเหรินใหญ่ยังคงฟูมฟายพร่ำบ่นเรื่องราวความหลังครั้งเก่า อำมาตย์หลี่ไฉพ่นลมหายใจแรงๆ อย่างแสนรำคาญ “แล้วมิใช่เจ้าหรอกหรือ ที่เอาน้ำเดือดสาดใส่ใบหน้าของนาง จนนางเสียโฉม หน้าตาราวกับผี” “ถ้าข้าไม่ทำเช่นนั้น…ท่านพี่ก็คงยังหลงนางจนโงหัวไม่ขึ้น ดีไม่ดีอาจจะมีลูกชู้อีกหลายคน” ฟูเหรินใหญ่เอ่ยเสียงแดกดัน “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” อำมาตย์หลี่ไฉถาม “ท่านพี่รู้เอาไว้เสียด้วย…ยามที่ท่านพี่ไม่อยู่บ้าน มีผู้ชายมาหานางไม่เว้นแต่ละวัน แต่พอเห็นหน้าตาที่เหมือนผีของนาง ก็ไม่มาอีกเลย…นี่ถ้านางยังสวยยังงามเหมือนเดิม ท่านพี่ไม่พ้นถูกสวมหมวกเขียว(ถูกสวมหมวกเขียว=ภรรยามีชู้)ไปได้หรอก” ฟูเหรินใหญ่ใส่ร้ายอย่างเต็มปากเต็มคำ “เอาละๆ…” ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยแทรกขึ้น “เลิกทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเก่ากันเสียที” ฟูเหรินใหญ่ส่งเสียงเบาๆ…เฮอะ อำมาตย์หลี่ไฉสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ทั้งสองต่างสงบปากสงบคำ เพราะเกรงใจฟูเหริน
บ่ายวันนั้น… ไท่ชินอ๋องพาหลี่ชิงไปยังจวนของอำมาตย์หลี่ไฉ โดยนั่งเสลี่ยงสิบหกคนหาม ที่หรูหราโอ่อ่างดงามไป เพราะถ้าใช้รถม้า ท่านอ๋องเกรงจะกระเทือนถูกกระดูกสันหลังของหลี่ชิงขบวนเดินทางมาเยี่ยมบ้านของกุ้ยหวางเฟยมีทหารเกียรติยศบ่าวชายสาวใช้เดินนำหน้าและตามหลังเต็มยศ ขันทีประจำตัวของหลี่ชิงทั้งสองขี่ม้าศึกตัวใหญ่ประกบข้างเสลี่ยง โดยมีอาเฟยขี่ลามีบ่าวช่วยจูงตามหลังมาด้วยทีท่ายืดอกผึ่งผาย เพราะเขาเป็นบ่าวคนสนิทของกุ้ยหวางเฟย ที่จริงเขาเกือบจะได้ขี่ม้าศึกตัวโตแล้ว แต่ติดที่ว่าเขาบังคับม้าไม่เป็น เสี่ยวฉีจื่อจึงนำลาที่เชื่องที่สุดมาให้เขาขี่ เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีว่า เขามิใช่บ่าวธรรมดาสามัญที่ต้องเดินเท้า เมื่อขบวนเดินทางมาเยี่ยมบ้านของกุ้ยหวางเฟยมาถึงจวนของอำมาตย์หลี่ไฉ ซึ่งหลิวกงกงได้ล่วงหน้ามาสั่งการให้ทุกคนในบ้านออกมาคุกเข่าต้อนรับ ไม่เว้นแม้แต่ฟูเหรินผู้เฒ่า…พอเสลี่ยงถูกวางลงอย่างนุ่มนวล ไท่ชินอ๋องก็ประคองหลี่ชิงลงจากเสลี่ยง แล้วจึงมอบเขาให้ขันทีประจำตัวทั้งสองประคองเอาไว้ ส่วนไท่ชินอ๋องเดินผ่านอำมาตย์หลี่ไฉ ฟูเหรินผู้เฒ่า ฟูเหรินใหญ่ที่คุกเข่าเรียงกันอยู่ ไปประคองซูไห่ถังให้ลุ
"จะอย่างไร...เด็กคนนี้ต่อไปเติบโตขึ้นจะได้มีความเกรงใจกตัญญูต่อไทเฮา" มหาเสนาบดีเจียงผิงกล่าวต่อ "ท่านพ่อคิดว่าสมควรปล่อยให้เติบโตหรือ?" ไทเฮาย้อนถามกลับ "หากเขาเติบโตขึ้นและกุมอำนาจไว้ในมือได้ คิดว่าเขาจะปล่อยข้าหรือ?"มหาเสนาบดีเจียงผิงรู้ดีแก่ใจว่า...คำพูดของบุตรสาวนั้นมีทีท่าว่าจะกลายเป็นความจริงได้มากทีเดียว...หากฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้นแล้ว ได้รู้ความจริงว่า จางอวี้เหลียนมารดาแท้ๆ ของเขา ที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย(พระสนมเอก) ถูกฮองเฮาใส่ร้ายจนต้องขังในวังเย็น ซ้ำร้ายฮองเฮายังส่งคนไปเผาวังเย็นคลอกมารดาของเขาตายอย่างน่าอนาถ เท่านั้นยังไม่พอ...ฮองเฮายังวางยาฮ่องเต้ให้เหมือนป่วยตายเพราะความเศร้าเสียใจต่อการตายของสนมจางอวี้เหลียน...ครั้นพอฮ่องเต้น้อยได้ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียงหกเดือน ฮองเฮาได้เลื่อนขึ้นเป็นไทเฮา และด้วยการสนับสนุนของมหาเสนาบดีเจียงผิงผู้บิดา ได้นั่งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการร่วมกับไท่ชินอ๋อง นางยังถวายผ้าแพรขาว (สั่งให้ผูกคอตาย)ให้แก่ฮองไทเฮาอีกด้วย "ดังนั้น...ข้าต้องจัดการอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะเติบโต" ไทเฮาเอ่ยเรียบๆ "ไทเฮาหมายถึงเปลี่ยนผู้นั่งบ
ไท่ชินอ๋องนำรายชื่อของบุรุษที่เคยร่วมหลับนอนกับซูไห่ถังทั้งหมดห้าคนส่งให้เซียวซานองครักษ์ขวา พร้อมกับคำสั่งว่า "เก็บอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และเผาหอคณิกาให้ไม่เหลือซากด้วย" "ขอรับ" เซียวซานน้อมรับคำ แล้วผละจากไป "หลิวยี่ ดูแลซูฟูเหริน อย่าให้นางคิดสั้น" "ขอรับ" หลิวกงกงน้อมรับคำสั่ง แล้วเข้าไปในห้องที่ซูไห่ถังพักอยู่ สั่งงานเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็ขึ้นม้าขี่กลับจวน ซูไห่ถังเห็นหลิวกงกงยังรั้งอยู่ ก็ถามว่า "กงกง ท่านมิได้กลับพร้อมไท่ชินอ๋องหรือ?" "ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยอยู่รับใช้ฟูเหรินซักพัก รอเรื่องคดีความผ่านพ้น ค่อยกลับไปจวนขอรับ" หลิวกงกงตอบ ซูไห่ถังรู้ว่า...ไท่ชินอ๋องเกรงว่าตนจะคิดสั้น จึงให้ขันทีผู้ใหญ่อย่างหลิวกงกงคอยประกบไว้ ไท่ชินอ๋องกลับถึงจวน...ก็เรียกเสี่ยวฉีจื่อมาสอบถาม "ชิงชิงเป็นอย่างไรบ้าง?" "กุ้ยหวางเฟยกินอาหารไม่ลงขอรับ กินได้เพียงสองคำก็ไม่ยอมกิน ไม่ว่าพวกบ่าวจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ก็เอาแต่ส่ายหน้า" "อืม..." ไท่ชินอ๋องทำเสียงรับรู้ แล้วสั่ง "ให้ห้องครัวตั้งโต๊ะ เดี๋ยวข้าป้อนกุ้ยหวางเฟยเอง" "ขอรับ" เสี่ยวฉีจื่อรับ
ด้วยความกลัวตาย...เซี่ยฉงโขกศีรษะร่ำร้องแต่ว่า "ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วยๆๆ..." "ให้ข้าไว้ชีวิตเจ้านั้นไม่ยาก แต่เจ้าจะต้องสารภาพเบื้องหลังเรื่องครั้งนี้ออกมาให้หมด" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "ขอรับ" เซี่ยฉงรับคำอย่างหวาดกลัว "ข้าน้อยเป็นคนเสเพลขอรับ ชอบกินชอบเที่ยวชอบดื่ม มิได้ทำมาหากินอะไร ทรัพย์สินเงินทองที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้ก็ใช้จวนหมด เมื่อเจ็ดวันก่อนท่านอำมาตย์ฟางเหยียนเจ้ากรมพิธีการ ให้คนนำข้าน้อยไปพบ และสั่งให้ข้าน้อยมาฟ้องร้องกุ้ยหวางเฟยว่าเป็นบุตรของข้าน้อย ไม่ว่าข้าน้อยจะทำสำเร็จหรือไม่ เขาก็จะให้เงินข้าน้อยสิบหมื่นตำลึงขอรับ" "แล้วเงินค่าธรรมเนียมวางศาลล่ะ เจ้าเอามาจากไหน?" ใต้เท้าจิน ผู้พิพากษาถามขึ้นเพราะค่าธรรมเนียมวางศาลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผู้ถูกฟ้องร้อง...ครั้งนี้ฟ้องถึงกุ้ยหวางเฟย ค่าธรรมเนียมวางศาลจึงสูงมาก! "เป็นเงินของท่านอำมาตย์ฟางเหยียนขอรับ ...เงินร้อยหมื่นตำลึงทอง แม้แต่เศรษฐียังน้อยคนนักจะหามาได้ ถ้าข้าน้อยมีเงินมากขนาดนั้น ข้าน้อยคงไม่หาเรื่องใส่ตัวมาฟ้องร้องกุ้ยหวางเฟยหรอกขอรับ""เพราะเหตุใดใต้เท้าฟาง(อำมาตย์ฟางเหยียน)จึ
หลิวกงกงได้รับคำสั่งจากไท่ชินอ๋อง ให้ประมูลซื้อจวนตระกูลหลี่ที่ถูกขายทอดตลาดขึ้นมา และปรับปรุงตกแต่งใหม่หมด จัดซื้อสาวใช้และบ่าวรับใช้ และส่งบ่าวจากจวนไท่ชินอ๋องไปเป็นพ่อบ้าน เปลี่ยนชื่อจวนจากจวนตระกูลหลี่ เป็นจวนซูฟูเหริน แล้วจึงให้พาซูไห่ถังกลับไป คืนนั้น...หลี่ชิงนั่งซึม น้ำตาไหล ไท่ชินอ๋องโอบกอดร่างบอบบางเอาไว้ ถามเสียงอ่อนโยนว่า "คิดถึงท่านแม่หรือ?" "ขอรับ" หลี่ชิงรับตรงๆ "ข้าน้อยอยากให้แม่อยู่กับข้าน้อยที่นี่" ไท่ชินอ๋องหอมแก้มนุ่ม แล้วกล่าวว่า "ข้าเข้าใจ ...แต่มันไม่เหมาะสม" "เพราะเหตุใดขอรับ?" "ท่านแม่ของเจ้ามีอายุมากกว่าข้าเพียงห้าหกปี นางยังสาวอยู่มาก จะถูกติฉินนินทาได้" ไท่ชินอ๋องพูดเพียงเท่านี้ หลี่ชิงก็เข้าใจ...เด็กหนุ่มพยักหน้า ยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตา "ท่านอ๋องมองการณ์ไกล ข้าน้อยคิดตื้นๆ" "เอาละ...ข้าอนุญาตให้เจ้าไปเยี่ยมท่านแม่ได้บ่อยๆ" "ให้ข้าน้อยออกจากจวนได้หรือขอรับ?" หลี่ชิงถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหู "ถูกต้อง...แต่ต้องพาขันทีคนสนิทไปด้วยทั้งหมด" "ขอบคุณมากขอรับ" หลี่ชิงดีใจจนแทบจะโห่ร้องออกมา "ขอบคุณเฉยๆ ด้วยป
"ท่านแม่ยาย...นี่คือหนังสือหย่าที่หลี่ไฉเขียนให้กับท่าน" ไท่ชินอ๋องยื่นส่งซองหนังสือสำคัญให้กับซูไห่ถัง ที่นั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับบุตรชายในห้องโถงพักผ่อน...ช่วงก่อนเวลาอาหารเย็น "ขอบคุณ ท่านอ๋อง" ซูไห่ถังรับซองหนังสือสำคัญมาเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ(เสื้อจีนโบราณจะเย็บกระเป๋าไว้ด้านในแขนเสื้อหรืออกเสื้อ) "ลำบากท่านอ๋องแล้ว" ไท่ชินอ๋องนั่งลงข้างหลี่ชิง ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า "ไม่ลำบาก ข้าแค่เกลี้ยกล่อมเขาเล็กน้อยเท่านั้น..." โดยมิได้อธิบายรายละเอียดของการเกลี้ยกล่อม ที่เริ่มจาก ลากตัวคนในครอบครัวของหลี่ไฉออกมารัดนิ้วทีละคน คนแรกคือ...หลี่จุ้นบุตรชายคนโต เสียงร้องโหยหวนของหลี่จุ้นดังก้องคุกคุมขังเพราะแม้ทัณฑ์รัดนิ้วจะไม่ได้ทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่ความเจ็บปวดทรมานนั้นเหนือคณานับ ต่อจากหลี่จุ้นก็เป็นอวี้ฮวา จินฮวา ฟูเหรินใหญ่ พอมาถึงฟูเหรินผู้เฒ่า...หลี่ไฉจึงยอมจำนน เขียนคำสารภาพเรื่องราวที่ตระกูลเฉาสมคบคิดแผนการร้ายกับอ๋องสามอย่างไร และตนมีส่วนร่วมอย่างไรบ้างออกมา และเขียนหนังสือหย่าให้แก่ซูไห่ถัง แต่ไท่ชินอ๋องยังคงสั่งหวังกงกงให้ตีขาหลี่จุ้นให้หัก เป็นการเอาคืนให
"แล้วจะทำอย่างไรดี?" หลี่ชิงกับมารดากล่าวแทบจะพร้อมกัน "ไม่ต้องกังวล...พวกเรามาพิจารณาเรื่องนี้ทีละคน" ไท่ชินอ๋องกล่าว "เริ่มที่ชิงชิง...หลี่ไฉยกชิงชิงให้ตระกูลเฉา แล้วข้าได้ซื้อตัวชิงชิงมาอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นชิงชิงจึงมิได้เป็นคนในครอบครัวของหลี่ไฉอีกต่อไป ย่อมไม่ต้องรับโทษที่หลี่ไฉกระทำไว้" ซูไห่ถังแย้มยิ้มยินดี...อาชิงลูกของนางรอดแล้ว "แล้วแม่ของข้าน้อยล่ะ?" หลี่ชิงสีหน้ากังวล "ท่านแม่ยายมีฐานะเป็นภรรยาของเขา เขาต้องโทษ ท่านแม่ยายก็ติดหลังแหไปด้วย" ไท่ชินอ๋องกล่าว "นอกเสียจากว่า...หลี่ไฉจะเขียนหนังสือหย่าให้" หลี่ชิงกับมารดามองสบตากันอีกครั้ง "เขาจะยอมหรือ?" ซูไห่ถังเอ่ยถาม "ไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง" ไท่ชินอ๋องกล่าว แล้วเรียกหลิวกงกงมาสั่งว่า "พาท่านแม่ยายไปพักที่เรือนดอกเหมยสักพักก่อน หาสาวใช้กับบ่าวชายไปคอยดูแลด้วย" "ขอรับ" หลิวกงกงน้อมรับคำสั่ง"อยู่ที่จวนนี้...เชิญท่านแม่ยายมากินอาหารด้วยกันทุกมื้อ...ชิงชิงจะได้พูดคุยกับท่านให้หายคิดถึง" ไท่ชินอ๋องออกปากเชื้อเชิญซูไห่ถัง ที่คุกกรมอาญา... หลี่ไฉกับหลี่จุ้น สองพ่อลูกถูกขังอยู่ด้
พอหลี่ชิงเซผงะ ไท่ชินอ๋องก็โอบสองแขนกอดร่างบอบบางเอาไว้ ถามเบาๆ ว่า "เจ็บหรือไม่?" "ไม่ขอรับ" หลี่ชิงตอบพลางแกะอ้อมแขนของอีกฝ่ายออกด้วยกิริยาสุภาพ แล้วถามกลับว่า "ทำไมวันนี้ท่านอ๋องถึงกลับเร็วขอรับ?" แล้วทั้งสองก็พากันเดินไปนั่งที่ห้องโถงพักผ่อน สาวใช้นำน้ำชาและขนมมาต้อนรับ พอสาวใช้คล้อยหลัง ไท่ชินอ๋องก็ตอบว่า "ชดเชยที่เมื่อคืนนี้ข้ามิได้กลับ" หลี่ชิงนิ่งเงียบมิได้ซักถามอะไร ไท่ชินอ๋องจึงเป็นฝ่ายถาม "เจ้าไม่ถามข้าหรือว่าทำไมเมื่อคืนถึงไม่ได้กลับบ้าน?" "ข้าน้อยแล้วแต่ท่านอ๋องจะกรุณาบอกขอรับ" เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเรียบๆ "เมื่อคืน...ข้าดื่มกับพวกราชทูตตงจิ่งหนักไปหน่อย ก็เลยเมาหลับไป พวกขันทีในวังจึงจัดห้องพักให้ค้างคืน"ไท่ชินอ๋องบอกเล่าความจริงแค่ครึ่งเดียว...เขาไม่ได้บอกว่าเขาถูกวางยานอนหลับ และตื่นมาในสภาพเปลือยเปล่ามีร่างเปลือยของไทเฮานอนเคียงข้างแนบชิด ซ้ำนางยังไม่ได้เอะอะโวยวายจะให้เขารับผิดชอบ แต่กลับกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า "ข้าเพิ่งพบความสุขที่แท้จริงเมื่อคืนนี้เอง" นางฉลาด นางไม่ใช้วิธีขู่เข็ญบังคับ แต่ใช้วิธียกย่องเยินยอให้ผู้
เสี่ยวไห่จื่อผู้นี้มีขวัญกล้าเทียมฟ้า...เขาหันไปน้อมกายตอบไท่ชินอ๋องว่า "น้อมเรียนท่านอ๋อง...บ่าวคิดว่า ควรจะมีการจัดประลองยุทธเพื่อเลือกผู้มีฝีมือที่สุดเป็นหัวหน้าจึงถูกต้องขอรับ" ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบข้อเสนอของเสี่ยวไห่จื่อ แต่เรียกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "หลิวยี่..." หลิวกงกงก็โฉบเข้าหาเสี่ยวไห่จื่อราวเหยี่ยวตัวใหญ่โฉบลูกเจี๊ยบ กร๊อบ...ลำคอของเสี่ยวไห่จื่อถูกบิดหักทันที "เจ้าผิดตั้งแต่ขัดคำสั่งของกุ้ยหวางเฟยแล้ว" เสียงไท่ชินอ๋องเรียบๆ เรื่อยๆ ร่างของเสี่ยวไห่จื่อจึงค่อยๆ ล้มลง หลี่ชิงเนื้อตัวสั่นเทา... ไท่ชินอ๋องเดินข้ามห้องมาโอบกอดร่างบอบบางอย่างปลอบโยน "ชิงชิง ไม่ต้องกลัวนะ" เสี่ยวลู่จื่อกับเสี่ยวหงจื่อรีบจัดการเก็บศพอย่างรู้หน้าที่อาเฟยนำองครักษ์ทั้งสี่ที่ถูกจับอาบน้ำจนสะอาดสะอ้านมาแนะนำตัวให้หลี่ชิงรู้จัก โดยองครักษ์ทั้งสี่ยืนเข้าแถวตามขนาดความสูงใหญ่ของร่างกายอาเฟยเข้ามานั่งบนเบาะที่เสี่ยวหงจื่อปูบนพื้นข้างเก้าอี้ที่หลี่ชิงนั่งให้อย่างสนิทสนม แล้วแนะนำว่า "คนตัวใหญ่ที่สุดที่ยืนอยู่ขวามือ...ชื่อต้าหนิว(วัวตัวใหญ่) คนที่
เวลาสายของวันรุ่งขึ้น... หลี่ชิงเห็นเสี่ยวฉีจื่อเข้ามาปรนนิบัติรับใช้เพียงคนเดียว ก็อดถามถึงอีกคนไม่ได้ "เสี่ยวจางจื่อล่ะ ทำไมวันนี้จึงไม่เห็น...เกิดเรื่องเมื่อวานนี้ ทำให้เขาบาดเจ็บหรือ?" "หามิได้ขอรับ กุ้ยหวางเฟย" เสี่ยวฉีจื่อตอบนอบน้อม หลี่ชิงโล่งใจยิ้มออก แต่...ประโยคต่อมา "เสี่ยวจางจื่อเสียชีวิตแล้วขอรับ" รอยยิ้มบนดวงหน้างดงามค่อยๆ จางหาย "เขาเสียชีวิตอย่างไร? เล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดที" หลี่ชิงกล่าว เสี่ยวฉีจื่อจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้หลี่ชิงฟังอีกรอบ "เสี่ยวจางจื่อตายเพราะข้าแท้ๆ" หลี่ชิงเอ่ยอย่างเสียใจ "กุ้ยหวางเฟยอย่าโทษตัวเองเลยขอรับ" เสี่ยวฉีจื่อกล่าว "การที่ผู้ร้ายสามารถลักพาตัวกุ้ยหวางเฟยไปได้ ล้วนเป็นความผิดพลาดของข้าน้อยทั้งสองคน เสี่ยวจางจื่อนั้นได้ชดใช้ด้วยชีวิตไปแล้ว แต่ข้าน้อยยังละอายใจที่ปล่อยให้กุ้ยหวางเฟยเจ็บตัวและตกใจ แล้วท่านอ๋องยังไม่ได้ลงทัณฑ์ แต่ให้ข้าน้อยทำความดีไถ่โทษขอรับ" "เจ้าเองก็อย่าคิดมาก เจ้าทำดีที่สุดแล้ว" หลี่ชิงกล่าวปลอบอีกฝ่าย "ขอบคุณขอรับ" เสี่ยวฉีจื่อกล่าว แล้วเห็นหลี่ช