หลิวกงกงนั้นพอเห็นสภาพบาดเจ็บของหลี่ชิง และความโกรธของไท่ชินอ๋อง ก็จะเข้าไปอุ้มร่างบอบบางขึ้นจากพื้น เพื่อพาไปรักษาตัวที่เรือนเล็ก
แต่ไท่ชินอ๋องรีบห้ามว่า "อย่าแตะต้องเขา"
หลิวกงกงชะงักมือ ถามว่า "จะให้สาวใช้มาประคองคุณชายหรือขอรับ?"
"ยามนี้ห้ามผู้ใดแตะต้องเขาทั้งสิ้น นอกจากท่านหมอ"
หลิวกงกงจึงรีบสั่งคนไปตามท่านหมอประจำจวนมาโดยด่วน
เพียงไม่นาน…ท่านหมอก็มาถึง และตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลี่ชิงโดยละเอียด แล้วสีหน้าของท่านหมอก็เคร่งเครียด
“ท่านอ๋อง…คุณชายหลี่กระดูกสันหลังร้าวขอรับ ถ้าดูแลรักษาไม่ถูกวิธี คุณชายจะพิการไปตลอดชีวิต…ครั้งนี้นับว่าโชคยังดีที่ไม่มีผู้ใดแตะต้องหรือขยับเขยื้อนตัวของคุณชาย มิเช่นนั้นแล้วข้าน้อยก็จนปัญญาจะรักษาขอรับ”
“อืม” ไท่ชินอ๋องรับคำในลำคอ...ในตอนแรกที่เขาเห็นสภาพเด็กหนุ่ม ก็คาดคะเนได้ลางๆ ว่าอาจจะถูกโบยจนบาดเจ็บถึงกระดูก จึงสั่งห้ามขยับเขยื้อนร่างบอบบาง แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้
ไท่ชินอ๋องปรายตามองพระชายาที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม แล้วออกคำสั่ง “ฟางหมิงซิน”
“เจ้าคะ” พระชายาขานรับ คิดว่าคงจะได้รับการอภัย
แต่ผิดคาด…
“เจ้าจงออกไปคุกเข่ากลางแจ้งหน้าตำหนักนี้ ห้ามผู้ใดช่วยเหลือ”
“ท่านอ๋อง…ข้างนอกนั้นแดดร้อน” นางหน้าซีดตกใจ
“จะแดดร้อนหรือฝนตก ล้วนเป็นสวรรค์ลงโทษเจ้า ใครกล้าช่วยเหลือเจ้า โดยที่ข้ายังไม่ได้อนุญาต ข้าจะตัดหัวมันให้หมด”
“ท่านอ๋อง…เมตตาด้วยเจ้าค่ะ” พระชายาฟางหมิงซินร้องขอความเมตตา
“นี่ข้าเมตตาเจ้ามากแล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ” น้ำเสียงไท่ชินอ๋องแข็งกระด้าง
พระชายาฟางหมิงซินน้ำตาร่วง…ลุกขึ้นเดินออกไปคุกเข่าหน้าตำหนักที่ตนเองพักอาศัย โดยไม่กล้ากล่าวอะไรอีก
บรรดาสาวใช้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปกางร่มบังแดดให้
ส่วนไท่ชินอ๋องออกคำสั่งต่อ “หวังเสียง…จัดการจับผู้ที่ทำร้ายชิงชิง โบยจนตายให้หมด”
“ขอรับ” หวังกงกงรับคำสั่ง แล้วให้ทหารจับตัวบ่าวรับใช้ชายทั้งสี่ที่ช่วยกันจับและโบยหลี่ชิงออกไป โดยไม่สนใจเสียงร้องไห้ขอความเมตตา
หลิวกงกงนั้นจัดหาแผ่นไม้กระดานมาแผ่นหนึ่งที่มีขนาดพอเหมาะกับร่างบอบบางของหลี่ชิง ตามที่ท่านหมอสั่ง แล้วช่วยท่านหมอค่อยๆ ดึงเสื้อของเด็กหนุ่มให้ร่างบอบบางขยับเคลื่อนขึ้นไปอยู่บนแผ่นไม้กระดานในท่านอนคว่ำเหมือนเดิมอย่างนิ่มนวลแผ่วเบาที่สุด
ตลอดเวลา…ไท่ชินอ๋องกุมมือหลี่ชิงเอาไว้ พลางให้กำลังใจ “ชิงชิงคนเก่ง อดทนเอาไว้ เดี๋ยวก็รักษาหายแล้ว”
หลี่ชิงนั้นพยายามไม่ส่งเสียงร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวด
แต่ไท่ชินอ๋องที่เคยเห็นทหารบาดเจ็บมานักต่อนักนั้นทราบดีว่า การส่งเสียงร้องครวญครางสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้บ้าง จึงยกมือลูบศีรษะร่างเล็ก “ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาเถอะเด็กดี”
หลี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วล้าว่า “แต่ก่อนยามข้าน้อยถูกตี มีแต่คนสั่งข้าน้อยว่าห้ามร้อง มิฉะนั้นแล้วจะตีให้หนักกว่าเดิม”
ไท่ชินอ๋องได้ฟังแล้วอยากดึงร่างเล็กมากอดปลอบขวัญ แต่ติดที่ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บหนักไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
พอเอาตัวหลี่ชิงขึ้นไปอยู่บนแผ่นไม้กระดานได้อย่างปลอดภัยแล้ว ท่านหมอก็สั่งให้บ่าวรับใช้ชายที่แข็งแรงสี่คนช่วยกันยกแผ่นไม้กระดานขึ้นไปอยู่บนแคร่ แล้วสั่งให้ยกแคร่
“ไปที่เรือนเล็กของคุณชายหลี่” หลิวกงกงออกคำสั่ง
ทว่าไท่ชินอ๋องแย้งขึ้นทันที
“ไปห้องนอนของข้าที่ตำหนักใหญ่”
“ท่านอ๋อง…” ท่านหมอกล่าวขึ้น “คนบาดเจ็บกับการรักษา บางครั้งต้องทำเลอะเทอะเปรอะเปื้อน เกรงว่าจะทำให้ท่านอ๋องอยู่ไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร”
“ไม่เป็นไร…ข้าอยากดูแลชิงชิง ข้าไม่ต้องการให้เขาคลาดสายตาข้าอีก” ไท่ชินอ๋องเอ่ยเสียงจริงจัง
“ท่านอ๋อง…ให้ข้าน้อยกลับเรือนเล็กเถิดขอรับ” หลี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าน้อยไม่อยากทำให้ห้องนอนสวยงามหอมกรุ่นของท่านอ๋องเลอะเทอะและเหม็นกลิ่นขับถ่ายของเสีย”
“ชิงชิง…เจ้ากลัวข้ารังเกียจใช่หรือไม่?”
หลี่ชิงนิ่งเงียบเป็นการยอมรับ
ไท่ชินอ๋องกุมมือร่างเล็กเดินผ่านพระชายาฟางหมิงซินที่คุกเข่าอยู่ พลางเอ่ยปลอบว่า “ชิงชิง เจ้าจงเชื่อใจข้า ข้าไม่มีวันรังเกียจเจ้าแน่นอน”
พระชายาได้ยินชัดสองรูหู…ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคือง
ที่ตำหนักใหญ่ ในห้องนอนของไท่ชินอ๋อง…ร่างบอบบางถูกย้ายจากแคร่ไปอยู่บนเตียงกว้างใหญ่อย่างนิ่มนวล แต่ชิดด้านนอก เพื่อสะดวกต่อการทำการรักษา
ท่านหมอจัดยาให้ห้องครัวต้ม แล้วใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าของหลี่ชิงออกจนหมด เพื่อรักษาบาดแผลใส่ยา พอใส่ยาเสร็จก็ห่มผ้าแพรขาวสะอาดชั้นหนึ่งก่อนจึงค่อยห่มผ้านวม แล้วกำชับว่า “คุณชาย ท่านต้องอดทนนอนนิ่งๆ ในท่านี้สักเจ็ดวันก่อน อย่าได้ขยับเขยื้อนเด็ดขาด”
“ขยับไม่ได้เลยหรือท่านหมอ?” หลี่ชิงถาม
“ไม่ได้ขอรับ…ให้ใครช่วยพยุงก็ไม่ได้” ท่านหมอตอบน้ำเสียงจริงจัง
“แล้ว…ถ้าข้าปวดหนักปวดเบาจะทำเช่นไร?”
“อย่าได้กังวลขอรับคุณชาย” หลิวกงกงเอ่ยแทรกขึ้น “คุณชายแค่บอกข้าน้อย ข้าน้อยจะดูแลให้คุณชายถ่ายหนักถ่ายเบาบนเตียงได้โดยไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนแม้แต่น้อย”
“หรือถ้าเจ้าอายหลิวยี่ จะเรียกข้าก็ได้เช่นกัน” ไท่ชินอ๋องเอ่ยขึ้น ก็เลยได้เห็นแก้มใสใสแดงซ่าน…ทำให้ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่อดยกมือลูบอย่างเอ็นดูไม่ได้
พอดียาต้มเสร็จถูกสาวใช้ยกมาให้…ไท่ชินอ๋องจึงรับมาป้อนคนเจ็บเอง
พอกินยาหมด…หลี่ชิงก็ถอนหายใจยาว
“เจ้าคงกลัวยาขม…แต่ยาดีย่อมต้องขม อดทนหน่อยนะชิงชิง” ไท่ชินอ๋องเอ่ยพลางยื่นชามเปล่าให้สาวใช้รับไป
“ข้าน้อยมิได้กลัวยาขม ข้าน้อยเพียงคิดว่าข้าน้อยโชคดี บาดเจ็บยังได้ท่านอ๋องรักษา แต่มารดาของข้าน้อยสิมิมีผู้ใดเหลียวแล นางถูกตีขาหักเพราะต้องการช่วยชีวิตของข้าน้อย ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อำมาตย์หลี่คงรีบตามหมอมารักษานางแล้ว” ไท่ชินอ๋องตอบ
“คงเป็นท่านอ๋องสั่งการ” หลี่ชิงคาดเดา
“ข้าไม่ได้สั่งตรงๆ หรอก แต่ประกาศแต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายารองในที่ประชุมขุนนางกลางท้องพระโรงเมื่อเช้านี้”
หลี่ชิงคิดตามที่ไท่ชินอ๋องบอก…พออำมาตย์หลี่รู้ว่าบุตรชายของซูอี๋เหนียงได้เป็นพระชายารองของไท่ชินอ๋อง ย่อมต้องกลับจวนไปรีบทำดีต่อซูอี๋เหนียงทันที
“ขอบคุณท่านอ๋อง…ขอบคุณยิ่งนัก” ดวงตาคู่สวยแดงเรื่อมีหยาดน้ำคลอเพราะความซาบซึ้งใจ
“ยังมิต้องรีบขอบคุณข้า” ไท่ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าเห็นเจ้าถูกข่มเหงรังแกแสนสาหัส ดังนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเลื่อนตำแหน่งเจ้าขึ้นเป็น กุ้ยหวางเฟย”
ตำแหน่ง…กุ้ยหวางเฟย(พระชายาผู้สูงศักดิ์งดงาม)เป็นตำแหน่งที่สูงกว่าหวางเฟย(พระชายาเอก)อีกชั้นหนึ่ง!
หลังอาหารเย็น…หลิวกงกงก็พาอาเฟยมาพบหลี่ชิงตามที่หลี่ชิงต้องการอาเฟยได้รับการทำแผลที่หน้าผากมีผ้าพันปิดแผลเอาไว้เรียบร้อยแล้วและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน…พอเห็นคุณชายของตนนอนคว่ำอยู่บนเตียงก็จะถลาเข้าไปหาทันที “คุณชาย…” ทว่าถูกหลิวกงกงดึงตัวเอาไว้เสียก่อน “อาเฟย…แตะต้องตัวคุณชายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะว่าคุณชายบาดเจ็บอยู่ เจ้าอาจจะทำให้คุณชายบาดเจ็บมากขึ้นกว่าเก่าได้” อาเฟยชะงัก แล้วจึงเห็นไท่ชินอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ข้างเตียงนอน…ก็เลยรีบหมอบลงคำนับ “น้อมคารวะท่านอ๋องขอรับ” “อืม” ไท่ชินอ๋องรับคำ “ขอบใจเจ้ามาก…อาเฟย…ที่รีบมาส่งข่าวชิงชิงให้ข้ารู้ทันเวลา” แล้วหันไปสั่งหลิวกงกง “หลิวยี่…เบิกเงินจากพ่อบ้านเจาหนึ่งพันตำลึงทองมอบให้อาเฟยเป็นรางวัล” “พะ พันตำลึงทอง” อาเฟยตื่นเต้นจนตะกุกตะกัก “ช่างมากมาย…มากมายเหลือเกิน” แล้วบอกกับหลี่ชิงอย่างดีใจจนลืมตัวว่า “คุณชาย …บ่าวมีเงินให้คุณชายขอยืมแล้ว” “หือ?” ไท่ชินอ๋องเลิกหัวคิ้วเข้มขึ้น “ชิงชิงขอยืมเงินเจ้าไปเมื่อไหร่ เอาไปทำอะไร จงบอกข้ามาให้หมด” “เอ้อ…อ้า…” อาเฟยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เรื่องที่ตน
“ท่านย่า…” ฟูเหรินใหญ่เรียกแม่สามี (ธรรมเนียมจีน…ลูกสะใภ้จะเรียกแม่สามีว่าท่านย่า ตามอย่างที่ลูกๆ ของตนเองเรียก) แล้วชิงฟ้องว่า “ข้าถูกท่านพี่ตบตี ชีวิตข้าช่างระทมขมขื่นนัก” “อาไฉ…เจ้าตีอาเหลียนด้วยเรื่องอันใด? ทำไมมีอะไรไม่ค่อยพูดค่อยจากัน?” ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยเหมือนตำหนิบุตรชายของตนเองกลายๆ แต่น้ำเสียงไม่ได้จริงจังนัก “ท่านแม่…นั่งลงก่อน” อำมาตย์หลี่เข้าไปช่วยประคองมารดามานั่งที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา แล้วไล่สองสาวใช้ออกไปจากห้องโถงใหญ่แห่งนั้น “มีอะไรหรืออาไฉ? ทำไมเจ้าท่าทางเคร่งเครียดอย่างนี้?” คนเป็นมารดาถามอำมาตย์หลี่ หลี่ไฉถอนหายใจเฮือก “ท่านแม่…คราวนี้ครอบครัวของพวกเราจะอยู่หรือจะตายล้วนขึ้นอยู่กับซูไห่ถังเพียงผู้เดียว” “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?” ฟูเหรินผู้เฒ่าถาม“เช้านี้ในที่ประชุมขุนนาง…ไท่ชินอ๋องประกาศแต่งตั้งอาชิงขึ้นเป็นกุ้ยหวางเฟย” “หา…” ฟูเหรินผู้เฒ่าอุทาน “เมื่อวานมิใช่แต่งตั้งเป็นพระชายารองแล้วหรอกหรือ?” “ใช่ขอรับท่านแม่” อำมาตย์หลี่รับคำ “วันนี้กลับเลื่อนยศขึ้นเป็นกุ้ยหวางเฟย” สีหน้าฟูเหรินผู้เฒ่าก็เปลี่ยนเป็นไม่ดีนัก ก่อนจะถามว่า “ม
ในเวลาเช้า…หลังมื้ออาหารที่หลิวกงกงบรรจงป้อนให้แก่หลี่ชิง โดยมีอาเฟยเป็นลูกมือ…ท่านหมอก็มาเปลี่ยนยาให้ แต่คราวนี้ท่านหมอพาช่างตัดเสื้อผู้ชายมาด้วยคนหนึ่ง ช่างตัดเสื้อคนนี้แซ่ฉินนามซ่ง มีวัยกลางคน พอท่านหมอเปลี่ยนยาเรียบร้อย ช่างตัดเสื้อก็ทำการวัดตัวของหลี่ชิงอย่างละเอียด แล้วออกไปยืนด้านข้างอย่างสงบ ท่านหมอห่มผ้าแพรและผ้านวมให้หลี่ชิงแล้ว ก็ยืนรายงานว่า “บาดแผลที่หลังของกุ้ยหวางเฟยดีขึ้นมากแล้วขอรับ” “อีกกี่วันข้าถึงจะขยับเนื้อขยับตัวได้ท่านหมอ ข้าปวดเมื่อยไปหมดแล้ว” หลี่ชิงบอกท่านหมอเสียงละห้อย “ขอให้กุ้ยหวางเฟยได้โปรดอดทนอีกสักหน่อยขอรับ ข้าน้อยได้ให้ช่างตัดเสื้อวัดตัวกุ้ยหวางเฟยเพื่อตัดเย็บเสื้อเกราะอ่อนให้ท่าน อีกสามสี่วันท่านก็จะสามารถลุกขึ้นนั่งยืนเดินได้ แต่ต้องไม่ขยับเคลื่อนไหวรุนแรง และต้องสวมเสื้อเกราะอ่อนเอาไว้ตลอดเวลา” ท่านหมอกล่าว “เสื้อเกราะอ่อนคืออะไรหรือท่านหมอ?” หลี่ชิงถามอย่างสงสัย “เป็นเสื้อที่ข้าน้อยคิดค้นมาให้แก่กุ้ยหวางเฟยโดยเฉพาะขอรับ เลียนแบบเกราะหวายของทหาร แต่เสื้อเกราะของท่านจะใช้ผ้าแพรเนื้อดีนุ่มละมุน ตัดเย็บสองช
พระชายาฟางหมิงซินเข้าพระราชวังไปขอเข้าเฝ้าไทเฮา ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนาง เพราะมารดาของพระชายาเป็นอาหญิงของไทเฮาเจียงซู่จิ่นไทเฮาเจียงซู่จิ่นอนุญาตให้พระชายาฟางหมิงซินเข้าเฝ้าในห้องโถงรับรองในพระตำหนัก เมื่อไทเฮารับการถวายบังคมจากพระชายาแล้ว ก็ออกปากเชิญพระชายานั่งลงสนทนากัน “ไทเฮา…ท่านต้องช่วยข้านะเพคะ” พระชายาฟางหมิงซินเอ่ย พลางบีบน้ำตา “ข้าถูกรังแก” “ใครกันขวัญกล้า กล้ารังแกเจ้า?” ไทเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง “เขาชื่อหลี่ชิง เป็นบุตรชายของอำมาตย์หลี่ไฉ…อยู่ๆ ท่านอ๋องก็รับเขามาเป็นชายบำเรอ…ข้านึกประหลาดใจ จึงเรียกเขามาพบ เขากลับทำยโสใส่ข้า อวดว่าตนเองเป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องยิ่งกว่าใครๆ ข้าจึงสั่งสอนเขา ทว่าท่านอ๋องกลับให้ท้ายเขา ทำโทษข้า ตบหน้าข้า ให้ข้าคุกเข่าตากแดดตากลม จนข้าเป็นลมล้มป่วย ท่านอ๋องยังไม่ยอมมาเยี่ยมเยียนข้าสักนิด ขลุกอยู่แต่ในห้องกับเขาตลอดเวลา” พระชายาเล่าบางส่วน ปิดบังบางส่วน พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “หลี่ชิง…” ดวงตาสวย คม และดุ ของไทเฮาวัยยี่สิบสาม เป็นประกายวาววูบหนึ่ง “ผู้ที่ไท่ชินอ๋องประกาศแต่งตั้งเป็นกุ้ยหวางเฟย?” “ใช่แล้ว
“เพราะท่านพี่หน้ามืดตามัวหลงใหลความสวยงามของนาง พอนางบอกว่าท้องกับท่านพี่ ท่านพี่ก็รีบไถ่ตัวนางจากหอคณิกาเอาเข้าบ้านทันที ท่านพี่ทำให้ข้าช้ำใจยิ่งนัก” ฟูเหรินใหญ่ยังคงฟูมฟายพร่ำบ่นเรื่องราวความหลังครั้งเก่า อำมาตย์หลี่ไฉพ่นลมหายใจแรงๆ อย่างแสนรำคาญ “แล้วมิใช่เจ้าหรอกหรือ ที่เอาน้ำเดือดสาดใส่ใบหน้าของนาง จนนางเสียโฉม หน้าตาราวกับผี” “ถ้าข้าไม่ทำเช่นนั้น…ท่านพี่ก็คงยังหลงนางจนโงหัวไม่ขึ้น ดีไม่ดีอาจจะมีลูกชู้อีกหลายคน” ฟูเหรินใหญ่เอ่ยเสียงแดกดัน “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” อำมาตย์หลี่ไฉถาม “ท่านพี่รู้เอาไว้เสียด้วย…ยามที่ท่านพี่ไม่อยู่บ้าน มีผู้ชายมาหานางไม่เว้นแต่ละวัน แต่พอเห็นหน้าตาที่เหมือนผีของนาง ก็ไม่มาอีกเลย…นี่ถ้านางยังสวยยังงามเหมือนเดิม ท่านพี่ไม่พ้นถูกสวมหมวกเขียว(ถูกสวมหมวกเขียว=ภรรยามีชู้)ไปได้หรอก” ฟูเหรินใหญ่ใส่ร้ายอย่างเต็มปากเต็มคำ “เอาละๆ…” ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยแทรกขึ้น “เลิกทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเก่ากันเสียที” ฟูเหรินใหญ่ส่งเสียงเบาๆ…เฮอะ อำมาตย์หลี่ไฉสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ทั้งสองต่างสงบปากสงบคำ เพราะเกรงใจฟูเหริน
บ่ายวันนั้น… ไท่ชินอ๋องพาหลี่ชิงไปยังจวนของอำมาตย์หลี่ไฉ โดยนั่งเสลี่ยงสิบหกคนหาม ที่หรูหราโอ่อ่างดงามไป เพราะถ้าใช้รถม้า ท่านอ๋องเกรงจะกระเทือนถูกกระดูกสันหลังของหลี่ชิงขบวนเดินทางมาเยี่ยมบ้านของกุ้ยหวางเฟยมีทหารเกียรติยศบ่าวชายสาวใช้เดินนำหน้าและตามหลังเต็มยศ ขันทีประจำตัวของหลี่ชิงทั้งสองขี่ม้าศึกตัวใหญ่ประกบข้างเสลี่ยง โดยมีอาเฟยขี่ลามีบ่าวช่วยจูงตามหลังมาด้วยทีท่ายืดอกผึ่งผาย เพราะเขาเป็นบ่าวคนสนิทของกุ้ยหวางเฟย ที่จริงเขาเกือบจะได้ขี่ม้าศึกตัวโตแล้ว แต่ติดที่ว่าเขาบังคับม้าไม่เป็น เสี่ยวฉีจื่อจึงนำลาที่เชื่องที่สุดมาให้เขาขี่ เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีว่า เขามิใช่บ่าวธรรมดาสามัญที่ต้องเดินเท้า เมื่อขบวนเดินทางมาเยี่ยมบ้านของกุ้ยหวางเฟยมาถึงจวนของอำมาตย์หลี่ไฉ ซึ่งหลิวกงกงได้ล่วงหน้ามาสั่งการให้ทุกคนในบ้านออกมาคุกเข่าต้อนรับ ไม่เว้นแม้แต่ฟูเหรินผู้เฒ่า…พอเสลี่ยงถูกวางลงอย่างนุ่มนวล ไท่ชินอ๋องก็ประคองหลี่ชิงลงจากเสลี่ยง แล้วจึงมอบเขาให้ขันทีประจำตัวทั้งสองประคองเอาไว้ ส่วนไท่ชินอ๋องเดินผ่านอำมาตย์หลี่ไฉ ฟูเหรินผู้เฒ่า ฟูเหรินใหญ่ที่คุกเข่าเรียงกันอยู่ ไปประคองซูไห่ถังให้ลุ
วันรุ่งขึ้น… เกี้ยวเล็กสองคันจากจวนไท่ชินอ๋องก็ถูกส่งมายังจวนของอำมาตย์หลี่ไฉ หลิวกงกงผู้ขี่ม้ากำกับเกี้ยวมาด้วย ได้รับเชิญให้เข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่ ซึ่งฟูเหรินผู้เฒ่าและฟูเหรินใหญ่ออกมาให้การต้อนรับ เพราะอำมาตย์หลี่ไฉไปประชุมขุนนางที่ท้องพระโรงยังไม่ได้กลับจวนมา “ไท่ชินอ๋องสั่งให้ข้ามารับคุณหนูจินฮวาและคุณหนูอวี้ฮวาขอรับ” หลิวกงกงกล่าวน้ำเสียงสุภาพ ฟูเหรินผู้เฒ่ากับฟูเหรินใหญ่สบตากันด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “กงกงโปรดดื่มชารอสักครู่นะเจ้าคะ ข้าจะรีบไปพาพวกนางออกมา” ฟูเหรินใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “เชิญฟูเหรินใหญ่ตามสบาย” หลิวกงกงกล่าวเสียงนุ่มนวล ฟูเหรินใหญ่จึงรีบออกไปจากห้องโถงนั้น ตรงไปยังเรือนพักของบุตรสาวทั้งสองด้วยใจที่เต้นระทึกเพราะความสุขล้น “คราวนี้แหละ…จะเขี่ยเจ้าเด็กบัดซบนั่นให้ตกจากตำแหน่งกุ้ยหวางเฟย คอยดู!” ขณะเดียวกัน…ในห้องโถงใหญ่ ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยสนทนากับหลิวกงกงว่า “อาชิง…เอ้อ…ไม่ใช่สิ เดี๋ยวนี้ต้องเรียกว่า กุ้ยหวางเฟย…สบายดีหรือ?” หลิวกงกงยิ้มเล็กน้อย “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ” “กงกงกล่าวเช่นนี้ ข้ามิเข้าใจ” ฟูเหรินผู้เ
ณ ท้องพระโรง…เวลาประชุมขุนนางเช้า ขันทีชั้นผู้ใหญ่อ่านราชโองการ “เนื่องจากมหาอำมาตย์เฉาฉุน ได้ทำความผิดอย่างมหันต์ กระทำปิตุฆาต(ฆ่าพ่อ) และสังหารน้องชาย ฮ่องเต้จึงมีราชโองการให้ถอดออกจากตำแหน่งมหาอำมาตย์ และขังไว้รอการประหารในอีกสามวัน”พอขันทีชั้นผู้ใหญ่อ่านราชโองการจบ…ขุนนางทุกคนก็ประสานมือน้อมคำนับเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงว่า “ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี” ฮ่องเต้วัยสามพรรษา(ขวบ)ยังคงปีนขึ้นปีนลงราชบัลลังก์อย่างไร้เดียงสา “หลานกงกง…เชิญเสด็จ(อุ้ม)ฮ่องเต้เข้าไปพักผ่อนเถอะ” “ขอรับ ไท่ชินอ๋อง” แล้วหลานกงกงขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ ก็เข้าไปอุ้มองค์ฮ่องเต้ที่กำลังเล่นซนออกไปจากท้องพระโรง ในขณะที่ราชองครักษ์เข้าจับกุมอดีตมหาอำมาตย์เฉาฉุน เฉาฉุนพยายามขัดขืนและร้องตะโกนว่า “ข้าไม่ผิด…ข้าไม่ผิด…” แต่ก็ถูกลากตัวออกไปจากท้องพระโรงพอในท้องพระโรงเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง…ไท่ชินอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทองคำหรูหราเบื้องขวาของราชบัลลังก์ก็กล่าวขึ้นว่า “ตำแหน่งมหาอำมาตย์เป็นตำแหน่งสำคัญ จะปล่อยให้ว่างไม่ได้…ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจแต่งตั้งอำมาตย์ไห่สุยจากก
"จะอย่างไร...เด็กคนนี้ต่อไปเติบโตขึ้นจะได้มีความเกรงใจกตัญญูต่อไทเฮา" มหาเสนาบดีเจียงผิงกล่าวต่อ "ท่านพ่อคิดว่าสมควรปล่อยให้เติบโตหรือ?" ไทเฮาย้อนถามกลับ "หากเขาเติบโตขึ้นและกุมอำนาจไว้ในมือได้ คิดว่าเขาจะปล่อยข้าหรือ?"มหาเสนาบดีเจียงผิงรู้ดีแก่ใจว่า...คำพูดของบุตรสาวนั้นมีทีท่าว่าจะกลายเป็นความจริงได้มากทีเดียว...หากฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้นแล้ว ได้รู้ความจริงว่า จางอวี้เหลียนมารดาแท้ๆ ของเขา ที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย(พระสนมเอก) ถูกฮองเฮาใส่ร้ายจนต้องขังในวังเย็น ซ้ำร้ายฮองเฮายังส่งคนไปเผาวังเย็นคลอกมารดาของเขาตายอย่างน่าอนาถ เท่านั้นยังไม่พอ...ฮองเฮายังวางยาฮ่องเต้ให้เหมือนป่วยตายเพราะความเศร้าเสียใจต่อการตายของสนมจางอวี้เหลียน...ครั้นพอฮ่องเต้น้อยได้ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียงหกเดือน ฮองเฮาได้เลื่อนขึ้นเป็นไทเฮา และด้วยการสนับสนุนของมหาเสนาบดีเจียงผิงผู้บิดา ได้นั่งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการร่วมกับไท่ชินอ๋อง นางยังถวายผ้าแพรขาว (สั่งให้ผูกคอตาย)ให้แก่ฮองไทเฮาอีกด้วย "ดังนั้น...ข้าต้องจัดการอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะเติบโต" ไทเฮาเอ่ยเรียบๆ "ไทเฮาหมายถึงเปลี่ยนผู้นั่งบ
ไท่ชินอ๋องนำรายชื่อของบุรุษที่เคยร่วมหลับนอนกับซูไห่ถังทั้งหมดห้าคนส่งให้เซียวซานองครักษ์ขวา พร้อมกับคำสั่งว่า "เก็บอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และเผาหอคณิกาให้ไม่เหลือซากด้วย" "ขอรับ" เซียวซานน้อมรับคำ แล้วผละจากไป "หลิวยี่ ดูแลซูฟูเหริน อย่าให้นางคิดสั้น" "ขอรับ" หลิวกงกงน้อมรับคำสั่ง แล้วเข้าไปในห้องที่ซูไห่ถังพักอยู่ สั่งงานเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็ขึ้นม้าขี่กลับจวน ซูไห่ถังเห็นหลิวกงกงยังรั้งอยู่ ก็ถามว่า "กงกง ท่านมิได้กลับพร้อมไท่ชินอ๋องหรือ?" "ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยอยู่รับใช้ฟูเหรินซักพัก รอเรื่องคดีความผ่านพ้น ค่อยกลับไปจวนขอรับ" หลิวกงกงตอบ ซูไห่ถังรู้ว่า...ไท่ชินอ๋องเกรงว่าตนจะคิดสั้น จึงให้ขันทีผู้ใหญ่อย่างหลิวกงกงคอยประกบไว้ ไท่ชินอ๋องกลับถึงจวน...ก็เรียกเสี่ยวฉีจื่อมาสอบถาม "ชิงชิงเป็นอย่างไรบ้าง?" "กุ้ยหวางเฟยกินอาหารไม่ลงขอรับ กินได้เพียงสองคำก็ไม่ยอมกิน ไม่ว่าพวกบ่าวจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ก็เอาแต่ส่ายหน้า" "อืม..." ไท่ชินอ๋องทำเสียงรับรู้ แล้วสั่ง "ให้ห้องครัวตั้งโต๊ะ เดี๋ยวข้าป้อนกุ้ยหวางเฟยเอง" "ขอรับ" เสี่ยวฉีจื่อรับ
ด้วยความกลัวตาย...เซี่ยฉงโขกศีรษะร่ำร้องแต่ว่า "ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วยๆๆ..." "ให้ข้าไว้ชีวิตเจ้านั้นไม่ยาก แต่เจ้าจะต้องสารภาพเบื้องหลังเรื่องครั้งนี้ออกมาให้หมด" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "ขอรับ" เซี่ยฉงรับคำอย่างหวาดกลัว "ข้าน้อยเป็นคนเสเพลขอรับ ชอบกินชอบเที่ยวชอบดื่ม มิได้ทำมาหากินอะไร ทรัพย์สินเงินทองที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้ก็ใช้จวนหมด เมื่อเจ็ดวันก่อนท่านอำมาตย์ฟางเหยียนเจ้ากรมพิธีการ ให้คนนำข้าน้อยไปพบ และสั่งให้ข้าน้อยมาฟ้องร้องกุ้ยหวางเฟยว่าเป็นบุตรของข้าน้อย ไม่ว่าข้าน้อยจะทำสำเร็จหรือไม่ เขาก็จะให้เงินข้าน้อยสิบหมื่นตำลึงขอรับ" "แล้วเงินค่าธรรมเนียมวางศาลล่ะ เจ้าเอามาจากไหน?" ใต้เท้าจิน ผู้พิพากษาถามขึ้นเพราะค่าธรรมเนียมวางศาลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผู้ถูกฟ้องร้อง...ครั้งนี้ฟ้องถึงกุ้ยหวางเฟย ค่าธรรมเนียมวางศาลจึงสูงมาก! "เป็นเงินของท่านอำมาตย์ฟางเหยียนขอรับ ...เงินร้อยหมื่นตำลึงทอง แม้แต่เศรษฐียังน้อยคนนักจะหามาได้ ถ้าข้าน้อยมีเงินมากขนาดนั้น ข้าน้อยคงไม่หาเรื่องใส่ตัวมาฟ้องร้องกุ้ยหวางเฟยหรอกขอรับ""เพราะเหตุใดใต้เท้าฟาง(อำมาตย์ฟางเหยียน)จึ
หลิวกงกงได้รับคำสั่งจากไท่ชินอ๋อง ให้ประมูลซื้อจวนตระกูลหลี่ที่ถูกขายทอดตลาดขึ้นมา และปรับปรุงตกแต่งใหม่หมด จัดซื้อสาวใช้และบ่าวรับใช้ และส่งบ่าวจากจวนไท่ชินอ๋องไปเป็นพ่อบ้าน เปลี่ยนชื่อจวนจากจวนตระกูลหลี่ เป็นจวนซูฟูเหริน แล้วจึงให้พาซูไห่ถังกลับไป คืนนั้น...หลี่ชิงนั่งซึม น้ำตาไหล ไท่ชินอ๋องโอบกอดร่างบอบบางเอาไว้ ถามเสียงอ่อนโยนว่า "คิดถึงท่านแม่หรือ?" "ขอรับ" หลี่ชิงรับตรงๆ "ข้าน้อยอยากให้แม่อยู่กับข้าน้อยที่นี่" ไท่ชินอ๋องหอมแก้มนุ่ม แล้วกล่าวว่า "ข้าเข้าใจ ...แต่มันไม่เหมาะสม" "เพราะเหตุใดขอรับ?" "ท่านแม่ของเจ้ามีอายุมากกว่าข้าเพียงห้าหกปี นางยังสาวอยู่มาก จะถูกติฉินนินทาได้" ไท่ชินอ๋องพูดเพียงเท่านี้ หลี่ชิงก็เข้าใจ...เด็กหนุ่มพยักหน้า ยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตา "ท่านอ๋องมองการณ์ไกล ข้าน้อยคิดตื้นๆ" "เอาละ...ข้าอนุญาตให้เจ้าไปเยี่ยมท่านแม่ได้บ่อยๆ" "ให้ข้าน้อยออกจากจวนได้หรือขอรับ?" หลี่ชิงถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหู "ถูกต้อง...แต่ต้องพาขันทีคนสนิทไปด้วยทั้งหมด" "ขอบคุณมากขอรับ" หลี่ชิงดีใจจนแทบจะโห่ร้องออกมา "ขอบคุณเฉยๆ ด้วยป
"ท่านแม่ยาย...นี่คือหนังสือหย่าที่หลี่ไฉเขียนให้กับท่าน" ไท่ชินอ๋องยื่นส่งซองหนังสือสำคัญให้กับซูไห่ถัง ที่นั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับบุตรชายในห้องโถงพักผ่อน...ช่วงก่อนเวลาอาหารเย็น "ขอบคุณ ท่านอ๋อง" ซูไห่ถังรับซองหนังสือสำคัญมาเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ(เสื้อจีนโบราณจะเย็บกระเป๋าไว้ด้านในแขนเสื้อหรืออกเสื้อ) "ลำบากท่านอ๋องแล้ว" ไท่ชินอ๋องนั่งลงข้างหลี่ชิง ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า "ไม่ลำบาก ข้าแค่เกลี้ยกล่อมเขาเล็กน้อยเท่านั้น..." โดยมิได้อธิบายรายละเอียดของการเกลี้ยกล่อม ที่เริ่มจาก ลากตัวคนในครอบครัวของหลี่ไฉออกมารัดนิ้วทีละคน คนแรกคือ...หลี่จุ้นบุตรชายคนโต เสียงร้องโหยหวนของหลี่จุ้นดังก้องคุกคุมขังเพราะแม้ทัณฑ์รัดนิ้วจะไม่ได้ทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่ความเจ็บปวดทรมานนั้นเหนือคณานับ ต่อจากหลี่จุ้นก็เป็นอวี้ฮวา จินฮวา ฟูเหรินใหญ่ พอมาถึงฟูเหรินผู้เฒ่า...หลี่ไฉจึงยอมจำนน เขียนคำสารภาพเรื่องราวที่ตระกูลเฉาสมคบคิดแผนการร้ายกับอ๋องสามอย่างไร และตนมีส่วนร่วมอย่างไรบ้างออกมา และเขียนหนังสือหย่าให้แก่ซูไห่ถัง แต่ไท่ชินอ๋องยังคงสั่งหวังกงกงให้ตีขาหลี่จุ้นให้หัก เป็นการเอาคืนให
"แล้วจะทำอย่างไรดี?" หลี่ชิงกับมารดากล่าวแทบจะพร้อมกัน "ไม่ต้องกังวล...พวกเรามาพิจารณาเรื่องนี้ทีละคน" ไท่ชินอ๋องกล่าว "เริ่มที่ชิงชิง...หลี่ไฉยกชิงชิงให้ตระกูลเฉา แล้วข้าได้ซื้อตัวชิงชิงมาอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นชิงชิงจึงมิได้เป็นคนในครอบครัวของหลี่ไฉอีกต่อไป ย่อมไม่ต้องรับโทษที่หลี่ไฉกระทำไว้" ซูไห่ถังแย้มยิ้มยินดี...อาชิงลูกของนางรอดแล้ว "แล้วแม่ของข้าน้อยล่ะ?" หลี่ชิงสีหน้ากังวล "ท่านแม่ยายมีฐานะเป็นภรรยาของเขา เขาต้องโทษ ท่านแม่ยายก็ติดหลังแหไปด้วย" ไท่ชินอ๋องกล่าว "นอกเสียจากว่า...หลี่ไฉจะเขียนหนังสือหย่าให้" หลี่ชิงกับมารดามองสบตากันอีกครั้ง "เขาจะยอมหรือ?" ซูไห่ถังเอ่ยถาม "ไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง" ไท่ชินอ๋องกล่าว แล้วเรียกหลิวกงกงมาสั่งว่า "พาท่านแม่ยายไปพักที่เรือนดอกเหมยสักพักก่อน หาสาวใช้กับบ่าวชายไปคอยดูแลด้วย" "ขอรับ" หลิวกงกงน้อมรับคำสั่ง"อยู่ที่จวนนี้...เชิญท่านแม่ยายมากินอาหารด้วยกันทุกมื้อ...ชิงชิงจะได้พูดคุยกับท่านให้หายคิดถึง" ไท่ชินอ๋องออกปากเชื้อเชิญซูไห่ถัง ที่คุกกรมอาญา... หลี่ไฉกับหลี่จุ้น สองพ่อลูกถูกขังอยู่ด้
พอหลี่ชิงเซผงะ ไท่ชินอ๋องก็โอบสองแขนกอดร่างบอบบางเอาไว้ ถามเบาๆ ว่า "เจ็บหรือไม่?" "ไม่ขอรับ" หลี่ชิงตอบพลางแกะอ้อมแขนของอีกฝ่ายออกด้วยกิริยาสุภาพ แล้วถามกลับว่า "ทำไมวันนี้ท่านอ๋องถึงกลับเร็วขอรับ?" แล้วทั้งสองก็พากันเดินไปนั่งที่ห้องโถงพักผ่อน สาวใช้นำน้ำชาและขนมมาต้อนรับ พอสาวใช้คล้อยหลัง ไท่ชินอ๋องก็ตอบว่า "ชดเชยที่เมื่อคืนนี้ข้ามิได้กลับ" หลี่ชิงนิ่งเงียบมิได้ซักถามอะไร ไท่ชินอ๋องจึงเป็นฝ่ายถาม "เจ้าไม่ถามข้าหรือว่าทำไมเมื่อคืนถึงไม่ได้กลับบ้าน?" "ข้าน้อยแล้วแต่ท่านอ๋องจะกรุณาบอกขอรับ" เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเรียบๆ "เมื่อคืน...ข้าดื่มกับพวกราชทูตตงจิ่งหนักไปหน่อย ก็เลยเมาหลับไป พวกขันทีในวังจึงจัดห้องพักให้ค้างคืน"ไท่ชินอ๋องบอกเล่าความจริงแค่ครึ่งเดียว...เขาไม่ได้บอกว่าเขาถูกวางยานอนหลับ และตื่นมาในสภาพเปลือยเปล่ามีร่างเปลือยของไทเฮานอนเคียงข้างแนบชิด ซ้ำนางยังไม่ได้เอะอะโวยวายจะให้เขารับผิดชอบ แต่กลับกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า "ข้าเพิ่งพบความสุขที่แท้จริงเมื่อคืนนี้เอง" นางฉลาด นางไม่ใช้วิธีขู่เข็ญบังคับ แต่ใช้วิธียกย่องเยินยอให้ผู้
เสี่ยวไห่จื่อผู้นี้มีขวัญกล้าเทียมฟ้า...เขาหันไปน้อมกายตอบไท่ชินอ๋องว่า "น้อมเรียนท่านอ๋อง...บ่าวคิดว่า ควรจะมีการจัดประลองยุทธเพื่อเลือกผู้มีฝีมือที่สุดเป็นหัวหน้าจึงถูกต้องขอรับ" ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบข้อเสนอของเสี่ยวไห่จื่อ แต่เรียกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "หลิวยี่..." หลิวกงกงก็โฉบเข้าหาเสี่ยวไห่จื่อราวเหยี่ยวตัวใหญ่โฉบลูกเจี๊ยบ กร๊อบ...ลำคอของเสี่ยวไห่จื่อถูกบิดหักทันที "เจ้าผิดตั้งแต่ขัดคำสั่งของกุ้ยหวางเฟยแล้ว" เสียงไท่ชินอ๋องเรียบๆ เรื่อยๆ ร่างของเสี่ยวไห่จื่อจึงค่อยๆ ล้มลง หลี่ชิงเนื้อตัวสั่นเทา... ไท่ชินอ๋องเดินข้ามห้องมาโอบกอดร่างบอบบางอย่างปลอบโยน "ชิงชิง ไม่ต้องกลัวนะ" เสี่ยวลู่จื่อกับเสี่ยวหงจื่อรีบจัดการเก็บศพอย่างรู้หน้าที่อาเฟยนำองครักษ์ทั้งสี่ที่ถูกจับอาบน้ำจนสะอาดสะอ้านมาแนะนำตัวให้หลี่ชิงรู้จัก โดยองครักษ์ทั้งสี่ยืนเข้าแถวตามขนาดความสูงใหญ่ของร่างกายอาเฟยเข้ามานั่งบนเบาะที่เสี่ยวหงจื่อปูบนพื้นข้างเก้าอี้ที่หลี่ชิงนั่งให้อย่างสนิทสนม แล้วแนะนำว่า "คนตัวใหญ่ที่สุดที่ยืนอยู่ขวามือ...ชื่อต้าหนิว(วัวตัวใหญ่) คนที่
เวลาสายของวันรุ่งขึ้น... หลี่ชิงเห็นเสี่ยวฉีจื่อเข้ามาปรนนิบัติรับใช้เพียงคนเดียว ก็อดถามถึงอีกคนไม่ได้ "เสี่ยวจางจื่อล่ะ ทำไมวันนี้จึงไม่เห็น...เกิดเรื่องเมื่อวานนี้ ทำให้เขาบาดเจ็บหรือ?" "หามิได้ขอรับ กุ้ยหวางเฟย" เสี่ยวฉีจื่อตอบนอบน้อม หลี่ชิงโล่งใจยิ้มออก แต่...ประโยคต่อมา "เสี่ยวจางจื่อเสียชีวิตแล้วขอรับ" รอยยิ้มบนดวงหน้างดงามค่อยๆ จางหาย "เขาเสียชีวิตอย่างไร? เล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดที" หลี่ชิงกล่าว เสี่ยวฉีจื่อจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้หลี่ชิงฟังอีกรอบ "เสี่ยวจางจื่อตายเพราะข้าแท้ๆ" หลี่ชิงเอ่ยอย่างเสียใจ "กุ้ยหวางเฟยอย่าโทษตัวเองเลยขอรับ" เสี่ยวฉีจื่อกล่าว "การที่ผู้ร้ายสามารถลักพาตัวกุ้ยหวางเฟยไปได้ ล้วนเป็นความผิดพลาดของข้าน้อยทั้งสองคน เสี่ยวจางจื่อนั้นได้ชดใช้ด้วยชีวิตไปแล้ว แต่ข้าน้อยยังละอายใจที่ปล่อยให้กุ้ยหวางเฟยเจ็บตัวและตกใจ แล้วท่านอ๋องยังไม่ได้ลงทัณฑ์ แต่ให้ข้าน้อยทำความดีไถ่โทษขอรับ" "เจ้าเองก็อย่าคิดมาก เจ้าทำดีที่สุดแล้ว" หลี่ชิงกล่าวปลอบอีกฝ่าย "ขอบคุณขอรับ" เสี่ยวฉีจื่อกล่าว แล้วเห็นหลี่ช