แชร์

บทที่ 19

บทที่ 19

“นี่ค่ะ”

                “ใส่ให้ด้วยสิ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามือไม่ว่าง” ไม่แค่พูดแต่ยังกระชับสองมือที่กอดเอวเล็กเข้าหากันแน่นกว่าเดิมเป็นการย้ำว่าตอนนี้มือเขากำลังทำอะไรอยู่

                คนถูกแกล้งเกือบจะหลุดจากการควบคุมตัวเอง หากก็ยังยอมทำตามความต้องการของเขาอีกรอบ แล้วนั่งนิ่งๆ เพื่อให้เขาอ่านเอกสารเสียที คราวนี้ปราณต์ยอมกวาดสายตาไปตามตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษอย่างละเอียดทุกตัวอักษร ก่อนจะบอกให้อดีตภรรยาหยิบปากกาให้และจรดลายเซ็นของตัวเองลงไปในหน้าสุดท้ายของกระดาษที่เว้นช่องไว้ให้เซ็นชื่อ

                “เสร็จแล้วก็ปล่อยนัสสิคะ นัสจะได้กลับ”

                “พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งเลยนะ”

                “นัสไม่ใช่คนแบบนั้น มีแต่คุณปราณต์นั่นละค่ะที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ใครเขาคุยงานกันแบบนี้บ้าง” เธอกล่าวตำหนิเขาตรงๆ พร้อมกับดิ้นเบาๆ เพื่อให้เขาปล่อย แต่ปราณต์ยังไม่ยอมปล่อยเหมือนกับว่ายังแกล้งเธอไม่สะใจ

                “ต้องถามคุณมากกว่า เพราะผมไม่ค่อยได้คุยงานกับใครแบบสองต่อสองอย่างนี้บ่อยนัก”

                “คนอื่นไม่มีใครเขาทำแบบคุณปราณต์หรอกค่ะ”

                “ไม่เคยทำแค่นี้แต่ทำมากกว่านี้ใช่มั้ย”

                “คุณปราณต์!” เป็นอีกครั้งที่นัสรินหลุดความเป็นตัวตนและเผลอแว้ดเสียงใส่คนช่างยั่ว

                “เรียกซะเสียงดังเชียวอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง คุณเป็นคนชอบใช้เสียงแบบนี้บ่อยๆ เหรอ ผมนึกว่าจะเสียงดังเฉพาะเวลาอยู่บนเตียงอย่างคืนนั้นเสียอีก”

                คำพูดสองแง่สองง่ามอันแสนโจ่งครึ่มนั้นทำให้แก้มนวลร้อนผ่าวและแดงซ่าน เป็นอีกครั้งที่เขาพูดถึงเรื่องในอดีตที่เธอพยายามจะลืม แต่เขากลับเลือกที่จะหยิบมันมาพูดเพื่อทำร้ายเธอบ่อยๆ ทว่าครั้งนี้เธอจะไม่ยอมให้เขากระทำอยู่ฝ่ายเดียว เพราะยิ่งเธอแสดงความอ่อนไหวกับคำพูดของเขามากเท่าไหร่ ปราณต์ก็เหมือนยิ่งได้ใจมากเท่านั้น

                “นัสไม่เคยอยู่บนเตียงกับคุณ”

                “อ้อ...ผมพูดผิดสินะ ผมต้องบอกว่าเวลาที่อยู่บนโซฟาถึงจะถูก แต่จะว่าไปคุณก็จำแม่นดีนะ ไหนบอกว่าลืมมันแล้ว”

                “ปล่อยนัสค่ะ นัสจะกลับ” เมื่อถูกต้อนให้เป็นฝ่ายที่ต้องปราชัย นัสรินก็ดิ้นอีกรอบเพื่อจะได้หนีหน้าคนปากร้ายไวๆ แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอง่ายๆ เช่นเดิม

                “คุณนี่เป็นประเภทชอบวิ่งหนีความจริงนะ พอถูกจับได้ก็เอาแต่หนีปัญหา ไม่ยอมยืนชน”

                “เรื่องมันจบไปแล้วนัสไม่อยากพูดถึง ปล่อยค่ะ...”

                “นั่งนิ่งๆ ให้ผมกอดอีกหน่อยเถอะน่า นานๆ จะมีผู้หญิงตัวนุ่มๆ หอมๆ มานั่งตักแบบนี้ ผมอยากกอดให้คุ้ม”

                “แต่ก่อนทำไมไม่กอด” นัสรินอดตัดพ้ออย่างอดขุ่นเคืองไม่ได้ ตอนเขามีเวลาเขาก็มีแต่ตั้งแง่รังเกียจ ตอนนี้เขากลับทำเหมือนจะเกี้ยวพา ทั้งๆ ที่เพิ่งยั่วโมโหเธออยู่หยกๆ แท้ๆ เธอไม่เข้าใจเขาสักนิด

                “ผมอาจจะโง่มั้งที่ไม่ใช้เวลาให้คุ้ม แล้วนี่ใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรเมื่อก่อนไม่ใช้น้ำหอมไม่ใช่เหรอ”

                “นัสไม่เคยใช้น้ำหอมค่ะ ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ กลิ่นนี่เป็นกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มต่างหากล่ะคะ”

                “ก็ดีเพราะผมไม่ชอบการปรุงแต่งสักเท่าไหร่”

                “สุดแล้วแต่คุณปราณต์จะชอบหรือไม่ชอบเถอะค่ะ เพราะหลังจากนี้นัสกับคุณปราณต์ก็ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ปล่อยนัสได้แล้วค่ะ นัสยอมให้คุณเอาเปรียบมามากแล้ว”

                คำพูดของนัสรินเหมือนจะไปกระทบความรู้สึกบางอย่างในใจของปราณต์ เพราะหลังจากเธอพูดจบเขาก็ละมือออกไปและมีท่าทีเฉยเมยดังเดิม นัสรินจึงลุกจากตักเขา หยิบเอาเอกสารแล้วเดินอ้อมไปหยิบเอากระเป๋าสะพายที่อยู่อีกฟาก ตั้งใจจะไม่สนใจเขาอีกแล้ว แต่พอปราณต์ขยับตัวลุกจากเก้าอี้บ้างก็อดที่จะมองไปยังร่างสูงนั้นไม่ได้ ความรู้สึกและระยะห่างระหว่างเขากับเธอช่างเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เมื่อครู่นี้เธอยังนั่งอยู่บนตักเขา ถูกเขากอด ถูกเขาแทะโลมด้วยคำพูดและสัมผัสทางกาย แต่ตอนนี้เขากับเธอกำลังจะเดินไปคนละทาง และเว้นระยะห่างระหว่างกันดังเดิม

                นัสรินรู้ดีว่าอดีตสามีคงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเธอ และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เขาก็ทำไปเพื่อจะกลั่นแกล้งและแก้แค้นเธอเท่านั้น แม้ตระหนักดีว่านี่ต่างหากที่เป็นเรื่องจริง แต่หญิงสาวก็ยังเกิดอาการวูบโหวงในหัวใจอย่างหนัก มันเป็นอาการเดียวกับความเครียดเมื่อตอนที่รู้ว่าปราณต์คือพี่ชายของว่าที่คู่หมั้น ความเครียดอันสุดบีบคั้นนั้นก่อให้เกิดอาการหน้ามืดอย่างกะทันหัน จนเดินสะดุดรองเท้าตัวเอง ก่อนจะเสียหลักล้มลงกระแทกพื้นหินอ่อนของห้องประชุมในที่สุด

                “โอ๊ย!”

                เสียงร้องที่เกิดจากความเจ็บและเสียงอะไรบางอย่างกระแทกกับพื้น ทำให้คนที่กำลังจะเปิดประตูห้องออกไปหันกลับมา และเมื่อเห็นว่าอดีตภรรยาเกิดอุบัติเหตุหกล้ม คุณหมอหนุ่มก็รีบสาวเท้ายาวๆ กลับมา แล้วย่อตัวลงมาดูอาการทันที

                “เจ็บมากหรือเปล่า ผมขอดูหน่อย”

                น้ำเสียงยามนั้นเหมือนจะเจือไว้ด้วยความห่วงใยที่มากล้น แต่นัสรินก็ไม่กล้าเข้าข้างตัวเอง มันคงเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณความเป็นหมอของเขามากกว่า

                “เจ็บค่ะแต่ไม่เป็นไรมาก นัสแค่ซุ่มซ่ามก็เลยหกล้ม” นัสรินปัดความห่วงใยนั้นทิ้งและบอกตัวเองไม่ให้ทำตัวอ่อนแอ เจ็บเองก็ต้องลุกได้เอง แต่แค่ขยับก็ต้องนิ่วหน้าเพราะปวดแปล๊บๆ ที่ข้อเท้า แถมเธอเพิ่งเห็นว่าหัวเข่าตัวเองมีรอยถลอกด้วย

                “อยู่นิ่งๆ ก่อน” ปราณต์ออกคำสั่งเสียงดุ ทำให้หญิงสาวไม่กล้าจะดื้อ จากนั้นเขาก็ใช้มือบีบคลึงที่ข้อเท้าด้านที่แพลงอย่างชำนาญ นัสรินอุทานออกมาด้วยความเจ็บ แต่หลังจากความเจ็บระยะสั้นๆ นั้นผ่านไป เธอก็รู้สึกว่าตัวเองมีอาการปวดแปลบน้อยลง

                “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณโดยไม่ต้องให้เขาทวงเหมือนคราวที่แล้ว และพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่พอยืนร่างบางก็ลอยหวือขึ้นไปในอ้อมแขนของปราณต์อย่างรวดเร็ว นัสรินทั้งเขินทั้งอาย แต่ลึกๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอบอุ่น ทว่าก็ไม่อยากเป็นภาระ ไม่อยากให้เขาเสียเวลาด้วย และไม่อยากใกล้ชิดกับเขามากไปกว่านั้น เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการเอาเข็มทิ่มแทงหัวใจตัวเองเล่น

               

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status