“นี่ค่ะ”
“ใส่ให้ด้วยสิ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามือไม่ว่าง” ไม่แค่พูดแต่ยังกระชับสองมือที่กอดเอวเล็กเข้าหากันแน่นกว่าเดิมเป็นการย้ำว่าตอนนี้มือเขากำลังทำอะไรอยู่
คนถูกแกล้งเกือบจะหลุดจากการควบคุมตัวเอง หากก็ยังยอมทำตามความต้องการของเขาอีกรอบ แล้วนั่งนิ่งๆ เพื่อให้เขาอ่านเอกสารเสียที คราวนี้ปราณต์ยอมกวาดสายตาไปตามตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษอย่างละเอียดทุกตัวอักษร ก่อนจะบอกให้อดีตภรรยาหยิบปากกาให้และจรดลายเซ็นของตัวเองลงไปในหน้าสุดท้ายของกระดาษที่เว้นช่องไว้ให้เซ็นชื่อ
“เสร็จแล้วก็ปล่อยนัสสิคะ นัสจะได้กลับ”
“พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งเลยนะ”
“นัสไม่ใช่คนแบบนั้น มีแต่คุณปราณต์นั่นละค่ะที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ใครเขาคุยงานกันแบบนี้บ้าง” เธอกล่าวตำหนิเขาตรงๆ พร้อมกับดิ้นเบาๆ เพื่อให้เขาปล่อย แต่ปราณต์ยังไม่ยอมปล่อยเหมือนกับว่ายังแกล้งเธอไม่สะใจ
“ต้องถามคุณมากกว่า เพราะผมไม่ค่อยได้คุยงานกับใครแบบสองต่อสองอย่างนี้บ่อยนัก”
“คนอื่นไม่มีใครเขาทำแบบคุณปราณต์หรอกค่ะ”
“ไม่เคยทำแค่นี้แต่ทำมากกว่านี้ใช่มั้ย”
“คุณปราณต์!” เป็นอีกครั้งที่นัสรินหลุดความเป็นตัวตนและเผลอแว้ดเสียงใส่คนช่างยั่ว
“เรียกซะเสียงดังเชียวอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง คุณเป็นคนชอบใช้เสียงแบบนี้บ่อยๆ เหรอ ผมนึกว่าจะเสียงดังเฉพาะเวลาอยู่บนเตียงอย่างคืนนั้นเสียอีก”
คำพูดสองแง่สองง่ามอันแสนโจ่งครึ่มนั้นทำให้แก้มนวลร้อนผ่าวและแดงซ่าน เป็นอีกครั้งที่เขาพูดถึงเรื่องในอดีตที่เธอพยายามจะลืม แต่เขากลับเลือกที่จะหยิบมันมาพูดเพื่อทำร้ายเธอบ่อยๆ ทว่าครั้งนี้เธอจะไม่ยอมให้เขากระทำอยู่ฝ่ายเดียว เพราะยิ่งเธอแสดงความอ่อนไหวกับคำพูดของเขามากเท่าไหร่ ปราณต์ก็เหมือนยิ่งได้ใจมากเท่านั้น
“นัสไม่เคยอยู่บนเตียงกับคุณ”
“อ้อ...ผมพูดผิดสินะ ผมต้องบอกว่าเวลาที่อยู่บนโซฟาถึงจะถูก แต่จะว่าไปคุณก็จำแม่นดีนะ ไหนบอกว่าลืมมันแล้ว”
“ปล่อยนัสค่ะ นัสจะกลับ” เมื่อถูกต้อนให้เป็นฝ่ายที่ต้องปราชัย นัสรินก็ดิ้นอีกรอบเพื่อจะได้หนีหน้าคนปากร้ายไวๆ แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอง่ายๆ เช่นเดิม
“คุณนี่เป็นประเภทชอบวิ่งหนีความจริงนะ พอถูกจับได้ก็เอาแต่หนีปัญหา ไม่ยอมยืนชน”
“เรื่องมันจบไปแล้วนัสไม่อยากพูดถึง ปล่อยค่ะ...”
“นั่งนิ่งๆ ให้ผมกอดอีกหน่อยเถอะน่า นานๆ จะมีผู้หญิงตัวนุ่มๆ หอมๆ มานั่งตักแบบนี้ ผมอยากกอดให้คุ้ม”
“แต่ก่อนทำไมไม่กอด” นัสรินอดตัดพ้ออย่างอดขุ่นเคืองไม่ได้ ตอนเขามีเวลาเขาก็มีแต่ตั้งแง่รังเกียจ ตอนนี้เขากลับทำเหมือนจะเกี้ยวพา ทั้งๆ ที่เพิ่งยั่วโมโหเธออยู่หยกๆ แท้ๆ เธอไม่เข้าใจเขาสักนิด
“ผมอาจจะโง่มั้งที่ไม่ใช้เวลาให้คุ้ม แล้วนี่ใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรเมื่อก่อนไม่ใช้น้ำหอมไม่ใช่เหรอ”
“นัสไม่เคยใช้น้ำหอมค่ะ ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ กลิ่นนี่เป็นกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มต่างหากล่ะคะ”
“ก็ดีเพราะผมไม่ชอบการปรุงแต่งสักเท่าไหร่”
“สุดแล้วแต่คุณปราณต์จะชอบหรือไม่ชอบเถอะค่ะ เพราะหลังจากนี้นัสกับคุณปราณต์ก็ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ปล่อยนัสได้แล้วค่ะ นัสยอมให้คุณเอาเปรียบมามากแล้ว”
คำพูดของนัสรินเหมือนจะไปกระทบความรู้สึกบางอย่างในใจของปราณต์ เพราะหลังจากเธอพูดจบเขาก็ละมือออกไปและมีท่าทีเฉยเมยดังเดิม นัสรินจึงลุกจากตักเขา หยิบเอาเอกสารแล้วเดินอ้อมไปหยิบเอากระเป๋าสะพายที่อยู่อีกฟาก ตั้งใจจะไม่สนใจเขาอีกแล้ว แต่พอปราณต์ขยับตัวลุกจากเก้าอี้บ้างก็อดที่จะมองไปยังร่างสูงนั้นไม่ได้ ความรู้สึกและระยะห่างระหว่างเขากับเธอช่างเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เมื่อครู่นี้เธอยังนั่งอยู่บนตักเขา ถูกเขากอด ถูกเขาแทะโลมด้วยคำพูดและสัมผัสทางกาย แต่ตอนนี้เขากับเธอกำลังจะเดินไปคนละทาง และเว้นระยะห่างระหว่างกันดังเดิม
นัสรินรู้ดีว่าอดีตสามีคงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเธอ และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เขาก็ทำไปเพื่อจะกลั่นแกล้งและแก้แค้นเธอเท่านั้น แม้ตระหนักดีว่านี่ต่างหากที่เป็นเรื่องจริง แต่หญิงสาวก็ยังเกิดอาการวูบโหวงในหัวใจอย่างหนัก มันเป็นอาการเดียวกับความเครียดเมื่อตอนที่รู้ว่าปราณต์คือพี่ชายของว่าที่คู่หมั้น ความเครียดอันสุดบีบคั้นนั้นก่อให้เกิดอาการหน้ามืดอย่างกะทันหัน จนเดินสะดุดรองเท้าตัวเอง ก่อนจะเสียหลักล้มลงกระแทกพื้นหินอ่อนของห้องประชุมในที่สุด
“โอ๊ย!”
เสียงร้องที่เกิดจากความเจ็บและเสียงอะไรบางอย่างกระแทกกับพื้น ทำให้คนที่กำลังจะเปิดประตูห้องออกไปหันกลับมา และเมื่อเห็นว่าอดีตภรรยาเกิดอุบัติเหตุหกล้ม คุณหมอหนุ่มก็รีบสาวเท้ายาวๆ กลับมา แล้วย่อตัวลงมาดูอาการทันที
“เจ็บมากหรือเปล่า ผมขอดูหน่อย”
น้ำเสียงยามนั้นเหมือนจะเจือไว้ด้วยความห่วงใยที่มากล้น แต่นัสรินก็ไม่กล้าเข้าข้างตัวเอง มันคงเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณความเป็นหมอของเขามากกว่า
“เจ็บค่ะแต่ไม่เป็นไรมาก นัสแค่ซุ่มซ่ามก็เลยหกล้ม” นัสรินปัดความห่วงใยนั้นทิ้งและบอกตัวเองไม่ให้ทำตัวอ่อนแอ เจ็บเองก็ต้องลุกได้เอง แต่แค่ขยับก็ต้องนิ่วหน้าเพราะปวดแปล๊บๆ ที่ข้อเท้า แถมเธอเพิ่งเห็นว่าหัวเข่าตัวเองมีรอยถลอกด้วย
“อยู่นิ่งๆ ก่อน” ปราณต์ออกคำสั่งเสียงดุ ทำให้หญิงสาวไม่กล้าจะดื้อ จากนั้นเขาก็ใช้มือบีบคลึงที่ข้อเท้าด้านที่แพลงอย่างชำนาญ นัสรินอุทานออกมาด้วยความเจ็บ แต่หลังจากความเจ็บระยะสั้นๆ นั้นผ่านไป เธอก็รู้สึกว่าตัวเองมีอาการปวดแปลบน้อยลง
“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณโดยไม่ต้องให้เขาทวงเหมือนคราวที่แล้ว และพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่พอยืนร่างบางก็ลอยหวือขึ้นไปในอ้อมแขนของปราณต์อย่างรวดเร็ว นัสรินทั้งเขินทั้งอาย แต่ลึกๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอบอุ่น ทว่าก็ไม่อยากเป็นภาระ ไม่อยากให้เขาเสียเวลาด้วย และไม่อยากใกล้ชิดกับเขามากไปกว่านั้น เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการเอาเข็มทิ่มแทงหัวใจตัวเองเล่น
บทที่ 20“ปล่อยนัสลงค่ะคุณปราณต์ คุณมีสิทธิ์อะไรมาอุ้มนัสแบบนี้” คนเจ็บโวยวายพลางดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ไม่กล้าดิ้นมากเพราะกลัวตก “จอดรถที่ไหน” ปราณต์ไม่สนใจอาการขัดขืนของเธอ แต่ถามเสียงดุๆ ขรึมๆ แม้นัสรินจะแอบหวั่นทว่าการถูกอุ้มแบบนี้มันน่าหวาดหวั่นกว่าหลายเท่า “ก็นัสบอกแล้วไงคะว่า...” “ผมถามว่าจอดรถที่ไหนนัสริน” เสียงดุๆ ขรึมๆ เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่ถามแต่ยังพ่วงชื่อเธอต่อท้าย แถมตาก็ยังหลุบลงมองหน้าเธออย่างดุดันพอกัน “ที่ลานจอดรถด้านหน้าค่ะ” หลังจากได้คำตอบ ปราณต์ก็ไม่พูดไม่ถามอะไรอีก ร่างสูงอุ้มอดีตภรรยาสาวออกจากห้องประชุม ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อไปยังลานจอดรถ ท่ามกลางสายตาของคนไข้ พยาบาล และพนักงานของโรงพยาบาลหลายสิบคน “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณหมอ”พยาบาลหน้าห้องหมอชัชวาลรีบเอ่ยถามปราณต์อย่างค่อนข้างตกใจ เมื่อเห็นเขาอุ้มหญิงสาวซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายยาผ่านมา “เธอหกล้มขาแพลง ผมเลยจะอุ้มไปส่ง” “อ๋อ...ค่ะๆ มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ยคะ”
บทที่ 21นัสรินลอบมองปลายคางของอดีตสามี พลางคิดไปว่าเมื่อวันศุกร์เขาเข้ามาถึงในลิฟต์ แต่วันนี้เขาเข้าถึงในห้องและกำลังอุ้มเธอไปที่เตียง แถมเธอเองก็ไม่ยอมท้วง จากที่ประกาศปาวๆ ว่าหลังจากนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ดูเหมือนมันจะต้องข้ามไปเสียหมดปราณต์วางเธอลงบนเตียง จัดท่าให้นั่งพิงพนักเตียง ส่วนเขานั่งลงที่ขอบเตียง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนเตียง แล้วถอดรองเท้าของเธอออก ก่อนจะจับข้อเท้าด้านที่แพลงขึ้นพาดบนขาของเขา ท่ายกแบบนั้นทำให้ชายกระโปรงสั้นร่นขึ้น จนนัสรินต้องรีบหยิบหมอนอีกใบที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาปิดชายกระโปรงไว้เป็นพัลวัน เพื่อไม่ให้ปราณต์มองไปถึงไหนต่อไหน“จะปิดทำไมล่ะ ใส่สั้นก็ต้องกล้าโชว์สิ” ปราณต์เอ่ยออกมาอย่างรำคาญ เมื่อเห็นท่าทีปิดป้องอย่างหวงเนื้อหวงตัวของอดีตภรรยา“นัสไม่ใช่พวกชอบโชว์ แล้วคุณปราณต์มาจับขานัสยกแบบนี้ทำไม”“ผมจะนวดข้อเท้าให้”นัสรินเพิ่งเข้าใจตอนนี้ว่าเขาเข้าไปเอายาในคลินิกมาทำไม ความรู้สึกอุ่นซ่านจึงแล่นลึกเข้ามาในหัวใจ แต่ก็รีบปัดมันทิ้งอย่างรวดเร็วและบอกตัวเองว่าอย่าเคลิบเคลิ้ม การปล่อยให้ปราณต์เข้ามาเดินเล่นในหัวใจได้ง่ายๆ อีกครั้ง นั่นไม่ต่างอะไรกับการ
บทที่ 22แม้ว่ารถแท็กซี่สีเหลืองน้ำเงินคันที่กำลังแล่นมาจะไม่หรูและสภาพค่อนไปทางทรุดโทรม แต่ปราณต์ก็ไม่เกี่ยงที่จะใช้บริการ เขาบอกจุดหมายกับคนขับแล้วขึ้นไปนั่งที่ตอนหลังของรถ พลางซึมซับเอาบรรยากาศการนั่งแท็กซี่ในตัวจังหวัดในทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำงานมาหลายปีที่มีโอกาสได้ใช้บริการรถดังกล่าว แน่นอนว่าลูกชายเศรษฐีนีเชียงใหม่ระดับแม่เลี้ยงลักษิกาอย่างเขาย่อมมีรถให้ใช้หลายคัน ดังนั้นจึงไม่มีครั้งใดที่เขาจะได้เฉียดใกล้กับการนั่งรถแท็กซี่เช่นนี้ ความจริงเขาจะโทร.เรียกอินแปงหรือคนที่บ้านให้ขับรถมารับก็ได้ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นที่ต้องรบกวนใคร อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ติดหรูจนถึงขนาดนั่งรถแท็กซี่ไม่ได้ปราณต์ทอดสายตาตรงไปข้างหน้าราวกับกำลังมองถนนเงียบๆ ทำให้คนขับแท็กซี่ไม่กล้าชวนคุย บรรยากาศในรถจึงมีเพียงความเงียบ แต่ความเงียบนั้นก็ถูกรบกวนด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของปราณต์ และเขาก็กดรับเช่นเดียวกับทุกครั้งเมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่โทร.มา“สวัสดีครับแม่”“ตาปราณต์อยู่ไหนลูก”“อยู่บนรถครับ”“กลับบ้านหน่อยได้ไหม แม่มีเรื่องอยากคุยด้วย”น้ำเสียงยามที่เอ่ยผ่านโทรศัพท์มานั้นฟังดูซีเร
บทที่ 23แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ กับอดีตสามีอีก แต่คำพูดของเขาก่อนจากกันวันนั้น ก็ทำให้นัสรินแอบรอคอยการมาของเขาอย่างห้ามใจไม่อยู่ บ่อยครั้งที่เธอมองนาฬิกาสลับกับเงี่ยหูฟังเสียงเคาะประตูห้อง ยิ่งช่วงสองทุ่มกว่าๆ ซึ่งเป็นเวลาปิดคลินิกของปราณต์ใกล้เข้ามาทีไร เธอก็ยิ่งมองบ่อยครั้งขึ้นเท่านั้น ทว่าการรอคอยของเธอวันแล้ววันเล่าก็ว่างเปล่า นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วแต่กลับไม่มีวี่แววว่าปราณต์จะมาอย่างที่เขาว่าแต่อย่างใด ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ...นัสรินบอกตัวเองแบบนั้น แต่ใจกลับห่อเหี่ยวลงราวกับต้นไม้ที่ไร้ฝนหลั่งลงมาอาบชโลมเป็นเวลานานก็ไม่ปาน หากกระนั้นเธอก็ยังบังคับตัวเองให้ทำกิจวัตรประจำวันของตนอย่างเป็นปกติ หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ร่างบางก็ขึ้นไปนั่งพิงพนักเตียง หยิบรีโมตโทรทัศน์แล้วกดเปิดเพื่อให้เสียงโทรทัศน์ดังเป็นเพื่อนยามอยู่คนเดียว เปิดได้ไม่นานก็ต้องหยิบรีโมตอีกรอบเพื่อหรี่เสียง เพราะมีเสียงจากโทรศัพท์มือถือแผดร้องแข่งเสียงโทรทัศน์ขึ้น นัสรินกดรับสายทันทีเพราะคนที่โทร.มาคือกิตติหัวหน้าของเธอนั่นเอง “สวัส
บทที่ 24นัสรินสบตากับตาคมของอดีตสามีครู่หนึ่ง เธอเห็นแววแปลกใจปรากฏอยู่บนดวงตาคมของเขา แต่ก็แค่แวบเดียวมันก็เปลี่ยนเป็นเฉยเมยดังเดิม หญิงสาวจึงเสไปมองผู้หญิงที่ยืนเคียงข้างปราณต์พร้อมกับที่หัวใจเกิดอาการแกว่งไหว เมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่ปราณต์ควงมานั้นสวยสง่าเพียงใด เพราะอย่างนี้เองกระมังเขาถึงไม่ได้ไปหาเธออย่างที่บอกเอาไว้ ขณะที่เธอก็บ้าพอที่จะรอคอยอย่างลมๆ แล้งๆ“สวัสดีครับหมออรรณพ” ปราณต์ทักทายหมอที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน แต่ทำท่าเหมือนไม่เคยรู้จักกับนัสรินมาก่อน ทำให้หญิงสาวถึงกับคอแข็ง“สวัสดีครับหมอปราณต์/หมอเมย์”“หมอไม่ได้มากับภรรยาเหรอครับ”แม้คำถามนั้นจะดูเหมือนธรรมดา หากแต่นัสรินฟังว่าปราณต์จงใจถามเพื่อประกาศให้เธอรู้ว่าหมออรรณพมีภรรยาแล้ว และเธอกำลังนั่งทานข้าวกับสามีคนอื่นอยู่“เปล่า...นี่คุณนัสรินเป็นตัวแทนจากบริษัทยาที่จะจำหน่ายให้คลินิกของผม”“อ้อ...คนขาย...ยา”ดูเหมือนว่าคนฟังอย่างหมออรรณพและหมอเมธาวีจะไม่สะดุดหูกับคำพูดของปราณต์ที่จงใจพูดเว้นคำ แต่นัสรินเผลอมองคนพูดตาขุ่น“อย่ามัวแต่แซวผมเลย แล้วนี่หมอกับหมอเมย์มาเดตกันเหรอ” หมออรรณพสัพยอกกลับอย่างไม่ได้เดือดเนื้อร
บทที่ 25นัสรินขับรถไปยังร้านอาหารร้านเดิม เพราะตอนที่หมออรรณพขับรถกลับมาส่งเมื่อวาน เขานัดเธอว่าให้ไปเจอที่นั่น เพื่อแก้มือที่เมื่อวานทั้งเธอทั้งเขาแทบจะยังไม่ได้ทานอาหารที่สั่งมาเลย เธอไปถึงก่อนเวลานัดเช่นเดียวกับทุกครั้งที่นัดลูกค้าคนอื่นๆ วันนี้คนในร้านค่อนข้างหนาตา นัสรินจึงไม่มีโอกาสเลือกมุมที่จะนั่ง เธอได้นั่งโต๊ะว่างตรงบริเวณกลางร้าน แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะสิ่งที่คิดตอนนี้คือมาทำงาน จะนั่งตรงไหนมุมไหนจึงไม่ได้สำคัญอะไร หญิงสาวจัดการสั่งอาหารและบอกให้พนักงานนำมาเสิร์ฟตอนที่หมออรรณพมาแล้ว รอไม่นานนักหมออรรณพก็มา เขาเอ่ยทักทายและนั่งลงฝั่งตรงข้าม จากนั้นนัสรินก็ส่งเอกสารให้เขาเซ็น หมออรรณพเซ็นอย่างไม่ได้ลีลาท่ามากเหมือนใครบางคน เธอเก็บเอกสารไว้ชุดหนึ่งและให้หมออรรณพเก็บไว้ชุดหนึ่งเป็นคู่สัญญาพนักงานร้านเริ่มทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟและทั้งคู่ก็ลงมือรับประทานอาหารโดยไม่มีอะไรขัดเหมือนเมื่อวาน “คุณหมอคะ เดี๋ยวนัสขอตัวเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากทานอาหารอิ่มแล้ว เธออยากออกไปสูดอากาศข้างนอกสักพักด้วย เพราะวันนี้หมออรรณพเหมือนจะ
บทที่ 26 หมออรรณพทำท่าผิดหวังไม่น้อย เมื่อนัสรินเอ่ยปากขอตัวกลับก่อนเหมือนเช่นเมื่อวาน เขารู้แน่แล้วว่าหญิงสาวที่สวยซ่อนเปรี้ยวผู้นี้คงไม่เล่นด้วยง่ายๆ แม้จะเสียดายอยู่ลึกๆ แต่ก็คิดว่าตัวเองยังพอมีโอกาส ดังนั้นช่วงนี้เขาเองก็จะไปหาคนที่เต็มใจฆ่าเวลาไปก่อน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังเป็นประเด็นกับผู้ชายสองคน แม้ว่าจะเอ่ยขอตัวกลับกับหมออรรณพแล้ว นัสรินก็ไม่ได้ออกไปหาปราณต์แต่อย่างใด เธอออกทางประตูหน้าและเดินอ้อมไปยังลานจอดรถ เพื่อจะหนีหน้าคนที่เพิ่งมาข่มขู่ตัวเอง เธอไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขา ในเมื่อเขามีเจ้าของแล้วก็ควรจะต่างคนต่างอยู่ แต่พอไปถึงรถก็พบว่าปราณต์กำลังยืนพิงรถของเธออยู่คล้ายกับมาดักทาง นัสรินจึงต้องเผชิญหน้ากับเขาอีกคราอย่างเลี่ยงไม่ได้ “กำลังจะหนีกลับล่ะสิ” เขาดักคออย่างรู้ทัน “ค่ะ และคุณเองก็ควรจะกลับไปได้แล้ว” “ผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรีบกลับ” “แล้วคุณไม่กลัวคนไข้จะรอเหรอคะ นี่ไม่ใช่วันหยุดของคลินิกนี่” “จำได้ด้วยเหรอว่าคลินิกของผมหยุดวันไหนบ้าง ไหนบอกว่าลืมทุก
บทที่ 27“งั้นพาไปที่รถพี่ก็ได้ค่ะ มาช่วยพี่ประคองหน่อย”“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเมียพี่จัดการเอง” ปราณต์หยิบกระเป๋าเงินมาให้ทิปแล้วโบกมือเป็นเชิงบอกให้ไปได้ ดังนั้นหน้าที่ประคองผู้ชายที่ตัวโตกว่าจึงเป็นของนัสรินคนเดียวหญิงสาวยกแขนของเขาพาดบ่าตัวเอง แล้วพาคนเมาออกจากร้านไปยังรถของตัวเองอย่างทุลักทุเล เพราะคนเมาไม่ให้ความร่วมมือเลย เขาทิ้งน้ำหนักแทบจะทั้งหมดลงบนไหล่ของเธอ ใบหน้าซบลงบนคอ และบ่อยครั้งที่นัสรินรู้สึกว่าปราณต์ใช้จมูกไซ้ซอกคอของเธอเบาๆ“คุณปราณต์เดินดีๆ สิคะ” เธอปรามเขาเสียงขุ่น แม้ว่าลานจอดรถตอนนี้แทบจะไม่มีคน แต่เธอก็ไม่อยากถูกคนเมาหาเศษหาเลยแบบนี้“นี่ก็เดินดีแล้ว เดินด้วยหอมด้วย” เขากระซิบเสียงอ้อแอ้พลางซุกจมูกเข้าที่ซอกคอขาวละมุนอีกครั้ง“ถ้าคุณลวนลามนัสอีก นัสจะปล่อยคุณทิ้งไว้นี่”“ใจร้ายจริง จะหวงตัวกับผัวไปถึงไหน” เสียงทุ้มนั้นพึมพำก่อนจะหัวเราะน้อยๆ“เลิกขี้ตู่เสียทีค่ะ นัสกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว สมองเสื่อมหรือไงคะคุณหมอปราณต์” นัสรินคิดว่าตัวเองต้องบ้าแน่ๆ ที่ต่อปากต่อคำกับคนเมา แต่เขาก็ช่างยั่วเหลือเกิน ทำให้บ่อยครั้งที่เธอหลุดการควบคุมตัวเองเพราะคำพูดของเขาเมื่