แท็กซี่จากสนามบินแล่นมาจอดยังลานหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวางกว่าสามร้อยตารางวา มีรั้วรอบขอบชิดแน่นหนา พื้นที่รอบบ้านเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของสนามหญ้าซึ่งปลูกแซมด้วยต้นปาล์ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่ากว้างขวาง ชวนสบาย บ่งบอกถึงฐานะผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี
สำอางกับลุงเล็กสองสามีภรรยาที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านรวมทั้งสายหยุดลูกสาวของทั้งคู่ต่างเดินมาดู เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาจากรถคือปราณต์ซึ่งมาพร้อมกับนัสรินที่เป็นอดีตภรรยาเก่าก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก
“สวัสดีค่ะคุณปราณต์ คุณนัส” สำอางยกมือขึ้นไหว้ทั้งสองคน ซึ่งปราณต์และนัสรินก็ยกมือขึ้นรับไหว้ เพราะถึงแม้ว่าสำอางจะเป็นลูกจ้างแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่า
“สบายดีนะป้าสำอาง ลุงเล็ก สายหยุด”
“สบายดีทุกคนค่ะ อิฉันไม่ทราบว่าคุณปราณต์จะมา ไม่อย่างนั้นคงให้ตาเล็กไปรับที่สนามบินแล้วละค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมนั่งแท็กซี่มาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ทุกคนมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมดูแลตัวเองได้ อ้อ...แล้วไม่ต้องโทร.บอกแม่ล่ะว่าผมมาที่นี่” ปราณต์สั่งกำชับในประโยคท้าย ทำให้ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้ แม้จะสงสัยและอยากบอกแม่เลี้ยงลักษิกาผู้เป็นเจ้านายสูงสุด แต่เมื่อปราณต์สั่งเช่นนั้นก็ไม่มีใครคิดจะกล้าขัดคำสั่ง
“แล้วคุณปราณต์กับคุณนัสทานอะไรกันมาหรือยังคะ ถ้ายังไม่ทานอะไรเดี๋ยวอิฉันกับสายหยุดจะไปเตรียมอาหารให้ค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกป้าสำอาง เดี๋ยวผมจะให้นัสรินจัดการเอง” เขาตอบคนของเขาโดยไม่ได้ถามหญิงสาวที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ สักนิด
“ถ้าอย่างนั้นอิฉันกับสายหยุดและตาเล็กอยู่หลังบ้านนะคะ คุณปราณต์มีอะไรก็ไปเรียกได้เลยค่ะ”
หลังจากพูดจบป้าสำอาง ลุงเล็ก และสายหยุดต่างก็เดินตามกันไปยังที่พักซึ่งอยู่ด้านหลังของคฤหาสน์ เพราะรู้เป็นนัยๆ ว่าเจ้านายต้องการความเป็นส่วนตัว
“ไปทำอะไรให้กินหน่อยสิ” เขาหันมาพูดกับนัสรินเป็นครั้งแรกพร้อมทั้งขยับมาโอบเอวและพาเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน
“นัสทำอาหารไม่ได้เรื่อง น่าจะไม่ถูกปากคุณ”
นัสรินปฏิเสธอย่างตั้งป้อม เมื่อคิดถึงเรื่องราวในครั้งอดีตที่เขาแทบจะไม่ไยดีกับอาหารที่เธอทำเลย
“ก็กินมาได้ตั้งสามเดือนนี่นะ กินอีกสักมื้อจะเป็นไรไป”
“งั้นก็ปล่อยนัสค่ะ นัสจะได้เข้าครัว”
เธอบอกพลางพยายามแกะมือที่โอบอยู่บนเอวของตัวเองออก
“ปล่อยก็ได้ แต่อย่าโอ้เอ้อยู่ในครัวนานนักล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นผมจะตามเข้าไปกินคุณในครัวแทนอาหาร”
ปราณต์สั่งแกมขู่สำทับก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากเอวเล็ก เพื่อให้นัสรินเข้าไปทำอาหารในห้องครัว ส่วนตัวเองเดินไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น
ร่างบางในชุดลำลองพาตัวเองเข้าไปในห้องครัวอย่างพอจะจำได้แม้จะเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียว เธอถูกมีดบาดในตอนที่เข้ามาช่วยธรินดาเตรียมอาหาร ตอนนั้นตัวเองยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเกี่ยวกับเรื่องในครัว แต่ช่วงที่อยู่กับปราณต์เธอก็ได้เรียนรู้และค่อยๆ ทำทุกอย่างเป็นแม้จะไม่ดีเท่าใดนัก
มือเล็กเปิดตู้เย็น มองหาวัตถุดิบที่จะพอประกอบอาหารง่ายๆ ได้ แล้วหยิบออกมาวางเรียงรายกันที่โต๊ะ เธอเริ่มจากหุงข้าว ล้างผัก หั่นไส้กรอกเป็นแฉกๆ เตรียมไข่ออกมาสองฟอง เพื่อทำข้าวผัดอเมริกัน นัสรินออกจะงงตัวเองเหมือนกันที่จู่ๆ ก็ต้องมาอยู่ในห้องครัวของบ้านหลังนี้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เธอควรจะได้อยู่กับพ่อแม่ตามที่ตั้งใจ แต่เพราะคำขู่ของคนเลือดเย็นอย่างปราณต์ ทำให้เธอต้องยอมทำตามความต้องการของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง แต่อาหารก็ยังไม่เรียบร้อย เพราะคนทำหยิบจับอะไรไม่คล่องนัก ตั้งแต่หย่ากับปราณต์เธอก็แทบจะไม่ได้เข้าครัวเลย เนื่องจากที่บ้านมีแม่บ้านคอยดูแลเรื่องอาหารให้อยู่แล้ว อีกทั้งเธอพยายามจะหลีกเลี่ยง ด้วยกลัวว่าตัวเองจะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ในตอนที่อยู่กับปราณต์
หอมหัวใหญ่คือสิ่งที่นัสรินหยิบมาหั่นเป็นลำดับสุดท้าย หลังจากเตรียมเบคอน ไส้กรอก และผักอย่างอื่นไว้หมดแล้ว มือข้างขวาจับมีดที่คมกริบผ่าหอมหัวใหญ่ออกเป็นสองซีก จากนั้นก็ลงมือหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าเล็กๆ ขณะที่กำลังหั่นอยู่นั่นเอง เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งก็ดังใกล้เข้ามา นัสรินรู้แน่ว่าเป็นปราณต์ เขาขู่เอาไว้ว่าหากเธอทำนาน เขาจะมากินเธอแทนอาหาร ทำให้หญิงสาวต้องเร่งมืออย่างลนลาน อารามเร่งรีบบวกกับละอองจากหัวหอมที่พวยพุ่งขึ้นใส่ตา ทำให้มีดคมกริบในมือแฉลบไปโดนนิ้วชี้ข้างซ้ายที่ช่วยจับหอมหัวใหญ่ชิ้นนั้นอยู่
“อุ๊ย!”
เสียงร้องอุทานดังขึ้นพร้อมกับที่มีดในมือถูกวางอย่างเป็นอัตโนมัติ และเสียงนั้นก็ทำให้คนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในครัวรีบปรี่เข้าไปดูทันที
“เป็นอะไร???”
“นัสโดนมีดบาดค่ะ” เสียงหวานทั้งตอบทั้งซี้ดปากสลับกัน
“ใจลอยไปถึงใครล่ะถึงได้ซุ่มซ่ามจนตัวเองเจ็บแบบนี้ ไหนผมขอดูหน่อย” ปราณต์บ่นพลางจับมือด้านซ้ายมาดูแผลให้ และก็ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นรอยจางๆ รอบนิ้วนางของเธอ ซึ่งมันคือรอยของการสวมแหวนหมั้นและแหวนแต่งงานนั่นเอง แหวนหมั้นปรัชญ์เป็นคนสวมมัน ส่วนแหวนแต่งงานเขาเป็นคนสวม แต่ไม่รู้ว่าตอนถอดผู้ชายคนไหนเป็นคนถอดให้
“นัสไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ” เธอฝืนใจบอกเขาไปแบบนั้นซึ่งส่วนทางกับสีหน้ายิ่งนัก
“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมทำแผลให้”
“แผลแค่นี้เองค่ะ นัสซุ่มซ่ามไปหน่อยเลยพลอยทำให้คุณเสียเวลารอนาน คุณปราณต์ออกไปก่อนเถอะค่ะ นัสจวนจะเสร็จแล้ว” นัสรินพูดตามประสาซื่อโดยไม่รู้ตัว ว่าคำพูดที่ว่า ‘จวนจะเสร็จ’ จะสะดุดหัวคนฟังยิ่งกว่าอะไร
“ผมจับมือยังไม่ได้เอาอะไรใส่ คุณก็จะเสร็จแล้วเหรอ”
“หมอบ้านี่ พูดจากแต่เรื่องหื่นๆ ห่ามๆ หยาบคาย”
นัสรินกระชากมือตัวเองออกราวกับโดนของร้อน พร้อมกับตวัดตามองหมอโรคจิตอย่างเคืองขุ่น
บทที่ 36“ผมพูดความจริงต่างหาก หรือคุณจะปฏิเสธว่าเวลาคุณจะถึงคุณไม่ครางแบบนี้”“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดนัสจะ...จะ...” จู่ๆ นัสรินก็คิดไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ ว่าจะขู่อะไรดี ปราณต์ถึงจะกลัว“จะอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและยิ้มยวนอย่างท้าทาย นั่นยิ่งทำให้คนที่เป็นฝ่ายถูกต้อนเจ็บใจมากกว่าเดิม จึงคว้ามีดที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยกขึ้น“นัสจะแทงคุณด้วยมีดนี่” นัสรินหวังว่าความแหลมคมของมีดจะทำให้ปราณต์กลัวและเลิกตอแยกับเธอ แต่เปล่าเลยเขายังคงยืนนิ่งและท้าทายให้เธอลงมือจริงๆ“ก็เอาสินัสริน อยากแทงตรงไหนบนตัวผมก็แทงเลย จะแทงที่คอ ที่หัวใจ หรือจะที่ท้องก็ได้นะ ผมขออย่างเดียวอย่าแทงข้างหลังผมอีก”“คุณอย่านึกว่านัสไม่กล้านะ” ปากขู่ฟ่อ แต่มือสั่นเทา ขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวเมื่อปราณต์ยืนรอราวกับไม่อนาทรต่อความเจ็บปวดที่เธอจะมอบให้แม้แต่นิด“ก็ไม่คิดว่าจะไม่กล้า ผมแค่บอกให้คุณแทงตามสบาย แทงได้ทุกที่ ยกเว้นข้างหลังผม”คำพูดอันตอกย้ำว่าเขาไม่อยากถูกแทงข้างหลังอีก บวกกับท่าทีที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของร่างสูงซึ่งอยู่ตรงหน้า ทำให้นัสรินเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง เธอวางมีดในมือลงที่เดิม พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจนตัวโยน“
บทที่ 37นัสรินคร้านจะมีเรื่องด้วยจึงไปนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อน มองดูปราณต์หยิบนั่นหยิบนี่ใส่กระทะอยู่เงียบๆ ตอนนี้ในห้องครัวไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงการเคลื่อนไหวของเขา และเสียงตะหลิวที่เคาะกับกระทะเป็นระยะไม่นานข้าวผัดอเมริกันหน้าตาน่ากินสองจานก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะ จากนั้นทั้งเขาและเธอต่างก็นั่งกินเงียบๆ หากแต่หญิงสาวแทบจะกลืนข้าวไม่ลง เพราะมีสายตาคมๆ นั้นจดจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เมื่ออิ่มนัสรินก็ทำหน้าที่เก็บจานไปล้างอย่างอ้อยอิ่ง พลางคิดว่าหลังจากนี้จะหลบเลี่ยงปราณต์ยังไง เธออยากมีเวลาอยู่กับตัวเองก่อน ไม่ใช่อยู่ในสายตาของเขาทุกย่างก้าวแบบนี้ แต่ปราณต์ก็ไม่ให้เวลาเธอคิด เมื่อเธอล้างจานไม่เสร็จเสียที เขาก็เป็นฝ่ายดึงจานจากมือเล็ก จัดการล้างเสียเองและเสร็จภายในไม่กี่พริบตา จากนั้นเขาก็หันหน้ามาเผชิญกับคนที่ยืนมองอยู่ข้างๆ พร้อมกับจับข้อมือของเธอเอาไว้มั่น“คราวนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เราขึ้นห้องกันเถอะ”ขึ้นห้อง...เขาคงไม่พาขึ้นไปเฉยๆ หรอกกระมัง ในเมื่อเขาประกาศความต้องการของตัวเองออกจะชัด ว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม“คุณขึ้นไปก่อนเถอะค่ะ นัสขอเดินย่อยอาหารสักพัก” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่เธอคิดออกในเ
บทที่ 38ขณะที่นัสรินกำลังขุ่นเคืองคนพูด ร่างสูงก็ขยับมายืนซ้อนหลัง ทำเอานัสรินตัวแข็งทื่อกลัวว่าปราณต์จะมาทำอะไรอย่างที่ตัวเองนึกหวาดหวั่น ไม่ใช่ว่าเธอจะรังเกียจหรือไม่ไยดีต่อไฟปรารถนาของเขา ตรงกันข้ามเธอกลับโหยหามันอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เธอรู้สึกแย่กับตัวเองที่ร่างกายนี้เป็นที่ปรารถนาของเขา หากแต่หัวใจของเธอเขากลับไม่คิดแม้แต่จะเหลียวแล“เมื่อไหร่จะเลิกประวิงเวลา ไหนว่าอาบน้ำเสร็จจะไปนอนรอบนเตียง” เขาทวงถามถึงคำพูดที่เธอพูดใส่หน้าเขาก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ“ผมนัสยังไม่แห้งนี่คะ จะให้ไปนอน หมอนคุณก็เปียกแย่” เสียงหวานตอบพลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดมือราวกับไม่สนใจคำพูดของเขา ทั้งๆ ที่ตอนนี้หัวใจเต้นแรงโลดไปหมด“หมอนเปียก ผมไม่ซีเรียสหรอก แต่ผมจะซีเรียสถ้าหากว่าส่วนอื่นของคุณ ‘เปียก’ โดยที่ผมไม่ได้เป็นคนทำ”คำพูดของเขาทำให้ร่างบางที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตอนแรกลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ และหันหน้าไปเผชิญกับคนชอบหาเรื่องและพูดจาสองแง่สองง่ามด้วยสายตาเคืองขุ่น“หมอลามก! นัสไม่เคยเป็นแบบนั้น”“งั้นก็แสดงว่า ‘เปียก’ เฉพาะกับผมน่ะสิ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างยียวนแววตาก็ไหวระริกอย่างคนที่กำลังขำแต่หน้ากลั
บทที่ 39“หิวหรือเปล่า อยากกินอะไรมั้ย” ปราณต์หันมาถามหลังออกจากร้านเสื้อผ้าแล้ว“ไม่ค่ะ” นัสรินตอบสั้นๆ ไม่อยากพูดอะไรกับเขาในตอนนี้“ถ้าอย่างนั้นก็กลับ”มือข้างหนึ่งตวัดมากระชับมือของเธอแล้วจูงให้เดินตาม อีกมือถือถุงเสื้อผ้าที่เขาบอกพนักงานขายให้รวมใส่ถุงแค่สามถุงเพื่อจะได้ไม่พะรุงพะรัง แล้วเดินเคียงคู่กันออกไปยังรถ ทำให้นัสรินอดคิดไม่ได้ ตอนนี้ท่าทางที่เขากำลังปฏิบัติกับเธอคงทำให้คนมองเข้าใจว่า เธอกับเขาเป็นคู่รักหรือสามีภรรยาที่มาเดินเที่ยวห้างซื้อของด้วยกันในวันหยุด มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ตอนนี้เธอเป็นเมียเก็บและนางบำเรอของเขาเต็มตัวแล้วนัสรินแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าปราณต์ไม่ได้ขับรถกลับบ้านของเขาอย่างที่เธอคิด แต่เบนจุดหมายไปทางอื่นเหมือนกับว่าเขามีธุระจะทำต่อ ทั้งๆ ที่ก่อนออกจากห้างเขาบอกเธอว่าจะพากลับตาคู่สวยมองถนนเส้นนั้นอย่างคุ้นเคย เพราะมันเป็นถนนที่ไปยังบ้านของเธอ และเมื่อปราณต์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของเธอจริงๆ เธอก็หันไปมองเขาอย่างหวาดหวั่น“คุณพานัสมาที่นี่ทำไมคะ” นัสรินรีบถามอย่างร้อนใจ กลัวว่าเขาจะทำอะไรห่ามๆ ให้เธอได้อับอายขายหน้าพ่อแม่อีก
บทที่ 40ทันทีที่กลับมาทำงานเชียงใหม่ในเช้าวันจันทร์ นัสรินก็ได้รับโทรศัพท์จากกิตติ บอกว่าทางโรงพยาบาลจะจัดงานเลี้ยงราตรีสโมสรเพื่อระดมทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ บริษัทของเธอในฐานะซัพพลายเออร์จึงต้องไปร่วมงานดังกล่าวและนำทุนส่วนหนึ่งไปมอบให้เพื่อแสดงไมตรีจิต และนัสรินก็ถูกมอบหมายจากกิตติให้ไปร่วมงานดังกล่าวนัสรินรับปากแต่ก็คิดหนัก เพราะคาดว่าต้องเจอปราณต์ในงานนั้นแน่ๆ แต่อีกใจก็ปลอบตัวเองว่า คนในงานน่าจะเยอะอยู่พอสมควร หากเธอหลบเลี่ยงดีๆ ก็คงหนีสายตาของปราณต์พ้น ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเรื่องเดียวที่ยังเป็นปัญหาก็คือเรื่องชุดที่จะใส่ไปร่วมงาน เธอไม่ได้เตรียมชุดเพื่อจะออกงานกลางคืนมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจะต้องได้ไป ดังนั้นหลังจากเคลียร์งานที่โต๊ะเสร็จ นัสรินจึงขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเชียงใหม่ เพื่อหาชุดราคาจับต้องได้สักชุดสำหรับใส่ไปร่วมงานร่างบางเดินแค่มองสำรวจ ยังไม่ได้แวะร้านไหน เพราะอยากดูโดยรวมก่อน เดินดูชุดร้านนั้นร้านนี้ผ่านกระจกหน้าร้านไปเรื่อยๆ ก็คิดถึงเสื้อผ้าที่ปราณต์พาไปซื้อ ชุดที่เขาซื้อให้มีแต่ชุดแพงๆ วันนั้นเขาหมดไปหลายหมื่นเหมือนกัน ทว่าเธอก็ทิ้งชุดพวกนั้นไว้ในร
บทที่ 41“จะไปงานอะไรคะแม่เลี้ยง”“หนูนัสจะไปงานเลี้ยงราตรีสโมสรของโรงพยาบาล น่าจะจัดที่หอประชุมจังหวัดนั่นแหละ แต่ฉันอยากให้ลูกสะใภ้ของฉันสวยและเด่นที่สุดในงาน คุณวรรณจัดให้ได้ไหม”“ไม่มีปัญหาค่ะแม่เลี้ยง เชิญวัดตัวค่ะคุณนัส”“คุณแม่คะ...” นัสรินกำลังจะเอ่ยแย้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่แม่เลี้ยงลักษิกาไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธใดๆ“แม่เองก็ถูกเชิญให้ไปงานนี้เหมือนกัน กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ใครไปแทน เห็นหนูนัสว่าจะไปแม่ก็เลยคิดออก ถือว่าแม่ขอร้องก็แล้วกันนะ แม่จะให้หนูนัสเอาซองของแม่ไปด้วย ถือว่าเป็นตัวแทนของบริษัทด้วย ของแม่ด้วย พอดีช่วงนี้แม่ขี้เกียจออกงาน แก่แล้วก็อยากอยู่กับลูกกับหลานสบายๆ บ้าง”เมื่อถูกขอร้องแกมบังคับเช่นนั้น นัสรินจึงจำต้องยอมให้เจ้าของห้องเสื้อวัดตัวและเลือกแบบชุดให้ตามที่เห็นสมควร พอวัดตัวและเลือกแบบชุดเสร็จแม่เลี้ยงก็สั่งกำชับวรรณาว่า ขอให้เร่งตัดชุดและนำชุดไปส่งให้กับนัสรินที่อพาร์ตเมนต์ของเธอหลังจากวรรณากลับไปแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาก็ไปเปิดเซฟ เขียนเช็คใส่ซองสำหรับบริจาคสมทบทุนให้กับโรงพยาบาล พร้อมกับถือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ติดมือมาด้วยกล่องหนึ่ง“นี่เป็นซองที่แม่จะฝากไป
บทที่ 1เรากำลังจะหมั้น!คนที่รอคอยและลุ้นอะไรมากๆ มักจะตื่นเต้นเสมอ และยิ่งเป็นเรื่องที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปตลอดกาล มันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกเป็นหลายเท่า ความรู้สึกของผู้หญิงทุกคนเมื่อวันสำคัญของตัวเองมาถึงคงไม่ต่างกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่รอคอยให้พิธีการมาถึงร่างบางสวยสง่างามระหงในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ผมดำขลับถูกม้วนเป็นก้นหอยคล้ายกลีบดอกกุหลาบและรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย เปิดใบหน้างดงามที่ไร้ไฝฝ้าตำหนิใดๆ มีเพียงแค่เครื่องสำอางชั้นดีซึ่งแต่งเติมโดยโทนสีชมพูอมส้ม เพื่อให้ใบหน้านั้นดูมีสีสันและโดดเด่นยิ่งขึ้น บนลำคอมีสร้อยเพชรเส้นเล็กๆ เข้าชุดกับต่างหูที่ใส่ประดับแค่พองามหากเป็นยามปกติ เธอคงไม่คิดจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราและราคาแพงขนาดนี้ แม้กระทั่งในยามที่ต้องออกงานสังคมกับบิดามารดาเป็นบางครั้งบางคราว เธอก็เลือกเสื้อผ้าที่ราคาไม่ได้แพงอะไร ด้วยรู้ว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นใส่ออกงานซ้ำได้เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่สำหรับงานวันนี้และชุดนี้มันคือข้อยกเว้น เพราะมันเป็นชุดที่นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาแพงเฉียดหมื่นทั้งห
บทที่ 2 หัวใจดวงน้อยของคนที่นั่งอยู่วูบหวิว ทันทีที่นกยักษ์ลำนั้นเร่งสปีดเต็มอัตราเร็วบนรันเวย์ ก่อนจะเหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่อาการวูบโหวง ใจสั่นหวิว เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรง คล้ายดั่งว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอาการกลัวความสูง แต่นัสรินรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเหล่านี้ ห่างไกลจากคำว่า ‘กลัวความสูง’ ลิบลับ แม้จะเดินทางไม่ค่อยบ่อย แต่เธอก็ขึ้นเครื่องบินมากว่ายี่สิบครั้งแล้ว ซึ่งแรกๆ จะกลัวและตื่นเต้น แต่พอมาครั้งหลังๆ ก็ชินชาจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการขึ้นลงของเครื่องบินเสียแล้ว ทว่าสาเหตุของอาการวูบโหวงสลับกับหนักอึ้งในใจอยู่ตอนนี้ เป็นเพราะจุดหมายปลายทางที่เธอกำลังจะไปนั้นต่างหาก เครื่องบินลำนี้กำลังมุ่งหน้าไปเชียงใหม่ จังหวัดที่เธอไม่เคยเหยียบย่างไปเลยนับตั้งแต่หย่าขาดจากสามี จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว ทว่าเธอก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์ชีวิตในช่วงสั้นๆ ของการแต่งงานได้เลย ทั้งๆ ที่พยายามมาตลอดที่จะไม่นึกถึงมัน เธอถูกตีตราด้วยคำว่า ‘แม่หม้าย’ ทันที หลังจากแต่งงานเพียงแค่สามเดือนและต้องหย่าก