ทันทีที่กลับมาทำงานเชียงใหม่ในเช้าวันจันทร์ นัสรินก็ได้รับโทรศัพท์จากกิตติ บอกว่าทางโรงพยาบาลจะจัดงานเลี้ยงราตรีสโมสรเพื่อระดมทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ บริษัทของเธอในฐานะซัพพลายเออร์จึงต้องไปร่วมงานดังกล่าวและนำทุนส่วนหนึ่งไปมอบให้เพื่อแสดงไมตรีจิต และนัสรินก็ถูกมอบหมายจากกิตติให้ไปร่วมงานดังกล่าว
นัสรินรับปากแต่ก็คิดหนัก เพราะคาดว่าต้องเจอปราณต์ในงานนั้นแน่ๆ แต่อีกใจก็ปลอบตัวเองว่า คนในงานน่าจะเยอะอยู่พอสมควร หากเธอหลบเลี่ยงดีๆ ก็คงหนีสายตาของปราณต์พ้น ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเรื่องเดียวที่ยังเป็นปัญหาก็คือเรื่องชุดที่จะใส่ไปร่วมงาน เธอไม่ได้เตรียมชุดเพื่อจะออกงานกลางคืนมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจะต้องได้ไป ดังนั้นหลังจากเคลียร์งานที่โต๊ะเสร็จ นัสรินจึงขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเชียงใหม่ เพื่อหาชุดราคาจับต้องได้สักชุดสำหรับใส่ไปร่วมงาน
ร่างบางเดินแค่มองสำรวจ ยังไม่ได้แวะร้านไหน เพราะอยากดูโดยรวมก่อน เดินดูชุดร้านนั้นร้านนี้ผ่านกระจกหน้าร้านไปเรื่อยๆ ก็คิดถึงเสื้อผ้าที่ปราณต์พาไปซื้อ ชุดที่เขาซื้อให้มีแต่ชุดแพงๆ วันนั้นเขาหมดไปหลายหมื่นเหมือนกัน ทว่าเธอก็ทิ้งชุดพวกนั้นไว้ในรถของเขา ไม่รู้ว่าปราณต์หิ้วมันมาจากกรุงเทพฯ ด้วยหรือเปล่า แต่จนวันนี้เธอก็ยังไม่เห็นเขาเอาชุดมาให้ นั่นแสดงว่าเขาอาจจะไม่ได้ใส่ใจ หรือไม่ก็ทิ้งชุดพวกนั้นไว้ในรถของเขาเหมือนที่กำลังทิ้งเธอกระมัง
“หนูนัส...”
นัสรินที่กำลังคิดเรื่องเกี่ยวกับปราณต์ตื่นจากภวังค์ เมื่อมีเสียงคุ้นหูเรียกขึ้นจากทางด้านหลัง มันทำให้เธอคิดถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนที่มาเดินซื้อของแล้วได้เจอกับปรัชญ์และธรินดา ซึ่งครั้งนี้คนที่เรียกก็ยังเป็นคนในครอบครัวของปราณต์เช่นเดิม และถือเป็นประมุขสูงสุดของคุ้มลักษิกาก็ว่าได้
“สวัสดีค่ะคุณแม่” นัสรินยกมือขึ้นไหว้และยิ้มให้กับแม่ของอดีตสามี ซึ่งยังคงมองเธอด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความเอ็นดูดังเดิม แต่เธอกลับไม่กล้าสู้สายตาของแม่เลี้ยงลักษิกานัก เพราะเหตุการณ์อันน่าอายที่บ้านของปราณต์ในเช้าวันนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนเด็กทำความผิด แล้วโดนผู้ใหญ่จับได้
“หนูนัสมาทำอะไร” แม่เลี้ยงลักษิกาถามอย่างเป็นกันเอง ไม่ได้มีทีท่าว่าจะตะขิดตะขวงใจหรือติเตียนการกระทำของเธอแต่อย่างใด
“นัสหามาซื้อชุดน่ะค่ะ แล้วคุณแม่ล่ะคะ”
“แม่มาดูของขวัญวันเกิดให้แม่เลี้ยงแสงหล้าน่ะ ดูๆ เผื่อไว้เพราะเดือนหน้าจะมีงานเลี้ยงฉลองครบรอบหกสิบปีของแม่เลี้ยงแสงหล้า แล้วนี่หนูนัสจะซื้อชุดไปงานอะไรลูก”
“งานเลี้ยงราตรีสโมสรของโรงพยาบาลน่ะค่ะ นัสต้องเป็นตัวแทนบริษัทไปร่วมงาน” หญิงสาวตอบไปตามความจริง แต่พอได้ยินเช่นนั้นแม่เลี้ยงลักษิกาเหมือนกับจะยิ้มพรายออกมา แต่ก็ไม่ได้ยิ้มแค่ทวงถามบางอย่างที่ทำให้นัสรินหนักใจไม่น้อย
“แล้วนี่เมื่อไหร่จะไปเยี่ยมแม่ที่คุ้มบ้างล่ะ หนูนัสเคยสัญญากับแม่ว่าจะไปเยี่ยมแม่ที่คุ้มลักษิกา แต่หนูนัสก็ยังไม่เคยไป”
“นัสต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ นัสยังไม่มีเวลาไปเลย” นัสรินตอบอ้อมแอ้ม ความจริงก็อยากไป แต่ก็กลัวจะเจอปราณต์เหมือนวันนั้น
“ที่ไม่กล้าไปหาแม่ก็เพราะกลัวจะเจอพ่อตัวดีที่นั่นด้วยใช่มั้ย” แม่เลี้ยงลักษิกาถามดักคอราวกับอ่านใจและความคิดของนัสรินออก
“ค่ะ...” นัสรินจำต้องยอมรับความจริงเพราะไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรดี
“ถ้าแม่รับรองว่าวันนี้หนูนัสจะไม่ได้เจอตาปราณต์ที่คุ้มลักษิกา หนูนัสจะไปที่คุ้มพร้อมแม่เลยได้ไหม”
“ค่ะคุณแม่ เดี๋ยวนัสจะขับรถตามไปนะคะ” นัสรินตอบตกลงรับปาก เพราะไม่อยากให้ผู้ใหญ่เสียน้ำใจ อย่างน้อยการไปที่คุ้มลักษิกาเธอก็จะได้คุยกับธรินดาและปรัชญ์ รวมถึงได้เห็นเด็กน้อยที่หน้าตาน่าเอ็นดูอย่างหนูนิลด้วย เห็นหน้าใสๆ แก้มแดงๆ นั้นก็เผลอคิดไปอีกว่า หากตอนนี้เธอกับปราณต์ยังไม่หย่ากัน เธอจะมีลูกกับเขาหรือยัง แล้วลูกที่เกิดมาจะมีหน้าตาเป็นยังไง
ขณะที่นัสรินกำลังยืนหมกมุ่นกับความคิดของตัวเอง แม่เลี้ยงลักษิกาก็โทร.หาช่างเสื้อประจำตัว พร้อมกับสั่งเสร็จสรรพ
“คุณวรรณวันนี้ว่างหรือเปล่า พอจะมีเวลาไปหาฉันที่คุ้มหน่อยมั้ย”
“สำหรับแม่เลี้ยง วรรณมีเวลาเสมอค่ะ” ฝ่ายนั้นรีบตอบกลับมาอย่างกระตือรือร้น เพราะการได้ให้บริการคนระดับแม่เลี้ยงลักษิกาย่อมเป็นการการันตีชื่อเสียงของร้าน แถมแม่เลี้ยงยังจ่ายทิปให้งามด้วย
“เดี๋ยวฉันกำลังจะกลับคุ้ม คุณวรรณช่วยไปพบฉันแล้วก็เอาแบบเสื้อไปด้วยนะ”
“ด้วยความยินดีค่ะแม่เลี้ยง”
หลังจากวางสายแม่เลี้ยงลักษิกาก็พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเสร็จธุระแล้ว นัสรินจึงเดินตามไปที่ลานจอดรถ ขับรถของตัวเองตามไปยังคุ้มลักษิกา โดยยังไม่ได้ซื้อชุดอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่อย่างใด
เมื่อไปถึงนัสรินก็ทราบว่าปรัชญ์และธรินดาไม่อยู่บ้านเพราะทั้งคู่ต้องพาหนูนิลไปฉีดวัคซีนตามกำหนด ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าตอนนี้เธอกับแม่เลี้ยงลักษิกาอยู่ที่บ้านตามลำพัง แต่ไม่นานก็มีผู้หญิงคนหนึ่งตามมาสมทบ
“แม่เลี้ยงเรียกวรรณมามีอะไรให้วรรณรับใช้เหรอคะ”
“ฉันอยากให้คุณวรรณตัดชุดให้ลูกสะใภ้ฉันหน่อย”
คำสั่งของแม่เลี้ยงทำให้เจ้าของห้องเสื้อชื่อดังของเชียงใหม่ หันไปมองทางนัสรินอย่างเป็นอัตโนมัติ ซึ่งนัสรินก็ได้แต่หลุบตาเพราะความจริงเธอไม่ใช่ลูกสะใภ้ของแม่เลี้ยงลักษิกาแล้ว เป็นเพียงแค่อดีตสะใภ้เท่านั้น
บทที่ 41“จะไปงานอะไรคะแม่เลี้ยง”“หนูนัสจะไปงานเลี้ยงราตรีสโมสรของโรงพยาบาล น่าจะจัดที่หอประชุมจังหวัดนั่นแหละ แต่ฉันอยากให้ลูกสะใภ้ของฉันสวยและเด่นที่สุดในงาน คุณวรรณจัดให้ได้ไหม”“ไม่มีปัญหาค่ะแม่เลี้ยง เชิญวัดตัวค่ะคุณนัส”“คุณแม่คะ...” นัสรินกำลังจะเอ่ยแย้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่แม่เลี้ยงลักษิกาไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธใดๆ“แม่เองก็ถูกเชิญให้ไปงานนี้เหมือนกัน กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ใครไปแทน เห็นหนูนัสว่าจะไปแม่ก็เลยคิดออก ถือว่าแม่ขอร้องก็แล้วกันนะ แม่จะให้หนูนัสเอาซองของแม่ไปด้วย ถือว่าเป็นตัวแทนของบริษัทด้วย ของแม่ด้วย พอดีช่วงนี้แม่ขี้เกียจออกงาน แก่แล้วก็อยากอยู่กับลูกกับหลานสบายๆ บ้าง”เมื่อถูกขอร้องแกมบังคับเช่นนั้น นัสรินจึงจำต้องยอมให้เจ้าของห้องเสื้อวัดตัวและเลือกแบบชุดให้ตามที่เห็นสมควร พอวัดตัวและเลือกแบบชุดเสร็จแม่เลี้ยงก็สั่งกำชับวรรณาว่า ขอให้เร่งตัดชุดและนำชุดไปส่งให้กับนัสรินที่อพาร์ตเมนต์ของเธอหลังจากวรรณากลับไปแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาก็ไปเปิดเซฟ เขียนเช็คใส่ซองสำหรับบริจาคสมทบทุนให้กับโรงพยาบาล พร้อมกับถือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ติดมือมาด้วยกล่องหนึ่ง“นี่เป็นซองที่แม่จะฝากไป
บทที่ 1เรากำลังจะหมั้น!คนที่รอคอยและลุ้นอะไรมากๆ มักจะตื่นเต้นเสมอ และยิ่งเป็นเรื่องที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปตลอดกาล มันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกเป็นหลายเท่า ความรู้สึกของผู้หญิงทุกคนเมื่อวันสำคัญของตัวเองมาถึงคงไม่ต่างกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่รอคอยให้พิธีการมาถึงร่างบางสวยสง่างามระหงในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ผมดำขลับถูกม้วนเป็นก้นหอยคล้ายกลีบดอกกุหลาบและรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย เปิดใบหน้างดงามที่ไร้ไฝฝ้าตำหนิใดๆ มีเพียงแค่เครื่องสำอางชั้นดีซึ่งแต่งเติมโดยโทนสีชมพูอมส้ม เพื่อให้ใบหน้านั้นดูมีสีสันและโดดเด่นยิ่งขึ้น บนลำคอมีสร้อยเพชรเส้นเล็กๆ เข้าชุดกับต่างหูที่ใส่ประดับแค่พองามหากเป็นยามปกติ เธอคงไม่คิดจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราและราคาแพงขนาดนี้ แม้กระทั่งในยามที่ต้องออกงานสังคมกับบิดามารดาเป็นบางครั้งบางคราว เธอก็เลือกเสื้อผ้าที่ราคาไม่ได้แพงอะไร ด้วยรู้ว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นใส่ออกงานซ้ำได้เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่สำหรับงานวันนี้และชุดนี้มันคือข้อยกเว้น เพราะมันเป็นชุดที่นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาแพงเฉียดหมื่นทั้งห
บทที่ 2 หัวใจดวงน้อยของคนที่นั่งอยู่วูบหวิว ทันทีที่นกยักษ์ลำนั้นเร่งสปีดเต็มอัตราเร็วบนรันเวย์ ก่อนจะเหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่อาการวูบโหวง ใจสั่นหวิว เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรง คล้ายดั่งว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอาการกลัวความสูง แต่นัสรินรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเหล่านี้ ห่างไกลจากคำว่า ‘กลัวความสูง’ ลิบลับ แม้จะเดินทางไม่ค่อยบ่อย แต่เธอก็ขึ้นเครื่องบินมากว่ายี่สิบครั้งแล้ว ซึ่งแรกๆ จะกลัวและตื่นเต้น แต่พอมาครั้งหลังๆ ก็ชินชาจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการขึ้นลงของเครื่องบินเสียแล้ว ทว่าสาเหตุของอาการวูบโหวงสลับกับหนักอึ้งในใจอยู่ตอนนี้ เป็นเพราะจุดหมายปลายทางที่เธอกำลังจะไปนั้นต่างหาก เครื่องบินลำนี้กำลังมุ่งหน้าไปเชียงใหม่ จังหวัดที่เธอไม่เคยเหยียบย่างไปเลยนับตั้งแต่หย่าขาดจากสามี จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว ทว่าเธอก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์ชีวิตในช่วงสั้นๆ ของการแต่งงานได้เลย ทั้งๆ ที่พยายามมาตลอดที่จะไม่นึกถึงมัน เธอถูกตีตราด้วยคำว่า ‘แม่หม้าย’ ทันที หลังจากแต่งงานเพียงแค่สามเดือนและต้องหย่าก
บทที่ 3“นัสทราบดีค่ะว่าคุณปราณต์เกลียดนัสแค่ไหน”“เข้าใจซะใหม่นะนัสรินว่าผมไม่ได้เกลียดคุณ แต่ผมรังเกียจพฤติกรรมของคุณต่างหาก” ปราณต์ย้ำคำพูดตัวเองด้วยสีหน้าเฉยชา หากแต่ความหมายของมันจะต่างอะไรกันล่ะในความรู้สึกของนัสริน ในเมื่อไม่ว่าเขาจะรังเกียจหรือเกลียดมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกในด้านดีเลยสักนิด“เพราะอย่างนี้ไงคะ นัสเลยจะคืนอิสระให้คุณปราณต์ คุณปราณต์จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่”“เหมือนที่คุณเองก็จะได้หาผัวใหม่เหมือนกันใช่ไหม”เป็นอีกครั้งที่นัสรินอึ้งกับวาจาของปราณต์ เธอแค่คิดจะหย่ากับเขาเพื่อให้เขาเป็นอิสระ แต่ไม่เคยคิดจะหาใครมาแทนที่เขาอย่างที่เขากล่าวหาสักนิด ทว่าพูดไปมันก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ในเมื่อปราณต์ปักใจรังเกียจเธอตั้งแต่แต่งงานกันแล้ว“ตกลงคุณปราณต์จะหย่าหรือเปล่าคะ” นัสรินถามตรงๆ และไม่คิดจะต่อปากต่อคำใดๆ เพื่อให้ตัวเองต้องเจ็บปวดไปมากกว่านั้นอีก“ก็ตามใจ อยากหย่าก็จะหย่าให้”พูดแค่นั้น ปราณต์ก็ลุกพรวดพราดจากโต๊ะอาหารแล้วก้าวดุ่มๆ ออกไปยังโรงรถ นัสรินได้แต่เพียงยืนมองตามหลังร่างสูงนั้นไปด้วยสายตาเศร้าสร้อยและเจ็บปวด เธอไม่เคยทำอะไรถูกใจเขาเลย แม้แต่ตอนพูดเรื่องหย่า ที่เธอ
บทที่ 4“นัสคงไม่เคยดีเลยสินะคะในสายตาคุณปราณต์”“ก็เคย แต่นั่นมันก่อนที่ผมจะรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของคุณเป็นยังไง!”นัสรินทั้งอึ้งทั้งเจ็บที่เขาตอบออกมาไวราวกับไม่ต้องคิด ถ้าย้อนเวลาได้เธอคงปฏิเสธข้อเสนอของปรัชญ์ที่ให้เธอแต่งงานกับปราณต์แทน เพราะอย่างน้อยการได้แอบรัก มันยังดีกว่าการได้แต่งงานกับคนที่รัก แต่ต้องอยู่กันด้วยความเกลียดชัง“ถ้าอย่างงั้นคุณปราณต์ก็ดีใจได้เต็มที่เลยค่ะ หรือจะเตรียมทำบุญใหญ่ล้างซวยด้วยก็ได้ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงสิ่งไม่ดีอย่างนัสจะออกจากชีวิตคุณปราณต์แล้ว”นั่นคือวาจาประชดประชันอันรุนแรงที่สุดเท่าที่นัสรินจำได้ว่าตัวเองเคยใช้กับเขา เธอไม่เคยคิดจะใช้คำพูดแบบนี้กับใครด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับ มันผลักดันให้เธอหลุดมันออกมา ตอนนั้นเธออยู่ในอาการของคนหัวใจสลาย ขอบตาร้อนผ่าว รู้ดีว่านั่นคืออาการของคนที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เธอจึงรีบเชิดหน้าพร้อมกับก้าวเท้าเพื่อหนีหน้าคนใจร้ายให้เร็วที่สุด ไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากให้น้ำตาหล่นต่อหน้าเขา เดี๋ยวเขาจะหาว่าสำออยและแกล้งฟูมฟายเอาอีกร่างเล็กก้าวได้ไม่ถึงก้าว มือแข็งแรงของปราณต์ก็ยื่นไปตะปบที่ต้นแขน กระชากร่างให้เธอห
บทที่ 5“คุณปราณต์ปล่อยนะคะ” นัสรินร้องบอกออกไป พร้อมกับหอบหายใจอย่างเหนื่อยๆ เพราะต้องออกแรงสู้กับเขาสองยกติดๆ กัน แทนที่จะปล่อย แต่ปราณต์กลับกวาดสายตามองเธอช้าๆ ตั้งแต่ริมฝีปากที่กำลังสั่นน้อยๆ กระทั่งไปหยุดมองอยู่ตรงหน้าอกอวบอิ่มที่สะท้อนขึ้นลงๆ จากแรงหายใจของเธอ เขาจ้องอยู่ตรงนั้นนานจนเธออับอายไปหมด“ไม่ปล่อย นี่มันแค่เริ่มต้น”“นัสขอร้องค่ะ นัสไม่ต้องการ” “ไม่ต้องการเหรอ” ปราณต์เงยหน้าขึ้นจากการมองหน้าอกอวบคู่นั้น แล้วแนบใบหน้าลงมาจนปากเกือบชิดกัน จึงกลายเป็นว่าเขากระซิบอยู่ใกล้เรียวปากนุ่มแค่เส้นด้ายกั้น กลิ่นแอลกอฮอล์โชยคลุ้งมากับลมหายใจของเขา ทว่านัสรินกลับไม่นึกรังเกียจเลยแม้แต่นิด ตรงกันข้ามกลิ่นนั้นกลับแล่นเข้าไปกระตุ้นเร้าให้หัวใจของเธอเต้นแรง ราวกับกำลังจะทะลุออกมานอกอก“ไม่ต้องการค่ะ” เธอปฏิเสธและเบือนหน้าหนีสายตาของเขา แค่ถูกกอดถูกจูบเธอยังสั่นไปหมด แต่ตอนนี้เธอกำลังถูกปราณต์นอนทับ สัดส่วนแทบจะทุกสัดส่วนแนบชิดกัน มีเพียงอาภรณ์ขวางกั้น แถมตอนนี้สายตาของเขาที่มองเธออย่างโกรธกรุ่นในตอนแรก ก็เปลี่ยนเป็นมองอย่างลุ่มลึกทว่าเจือไว้ด้วยไฟปรารถนาบางอย่าง คงเป็นเพราะฤทธิ
บทที่ 6ร่างสูงเกือบหกฟุตแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแบรนด์หรู ยัดชายเข้าไปข้างในกางเกงสแล็กเนื้อดี สวมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาว ก้าวออกมาจากห้องผ่าตัดพร้อมกับหมอและพยาบาลอีกหลายคนหลังจากการผ่าตัดคนไข้เสร็จสิ้นลงในเวลาใกล้เที่ยง เพราะการผ่าตัดเคสนี้เป็นการผ่าตัดใหญ่ จึงต้องใช้ทีมแพทย์และพยาบาลจำนวนหลายคน ซึ่งแม้การผ่าตัดจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็เกินเวลาที่วางแผนกันเอาไว้กว่าหนึ่งชั่วโมงแพทย์พยาบาลแต่ละคนต่างเดินมุ่งหน้ากลับไปยังที่ทำงานประจำของตัวเอง เช่นเดียวกับปราณต์ที่กำลังมุ่งหน้าเดินกลับห้องพักของตนพร้อมด้วยหมอชัชวาลซึ่งเป็นหมออาวุโสวัยห้าสิบเศษ มีประสบการณ์สูงและเป็นหมอที่เก่งมากคนหนึ่ง ปราณต์ให้ความเคารพและสนิทกับหมอชัชวาลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องผ่าตัดและมีเคสร่วมกันบ่อยครั้ง ซึ่งหมอชัชวาลเองก็เอ่ยปากชมอยู่บ่อยๆ ว่าหมอวัยสามสิบเศษอย่างปราณต์นั้นทั้งเก่งและเป็นหมอหนุ่มที่ฝีมือดีมากคนหนึ่งของโรงพยาบาลหมอต่างวัยสองคนเดินคุยกันมากระทั่งเกือบจะถึงหน้าห้องพักของหมอชัชวาล พยาบาลหน้าห้องก็เดินตรงเข้ามาหาคล้ายกับมีธุระที่ต้องแจ้งให้ทราบ“อาจารย์คะ ตัวแทนจากบริษัทยาที่อาจารย์นัดไว้มารอในห้องอาจ
บทที่ 7ปราณต์หงุดหงิดตัวเองที่ความคิดนั้นทำให้เขาเกิดอาการร้อนรุ่มในใจแปลกๆ‘เป็นบ้าอะไรวะปราณต์หยุดคิดเดี๋ยวนี้ นัสรินก็แค่ผู้หญิงมากเล่ห์ที่เคยร่วมมือกับปรัชญ์ล่อลวงเขาให้แต่งงานด้วยเท่านั้น ความรู้สึกเดียวที่เขามีให้เธอ นั่นก็คือรังเกียจการกระทำ ความรู้สึกอย่างอื่นมันไม่เคยเกิดขึ้น และจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ๆ’“สวัสดีค่ะหมอปราณต์” นัสรินเอ่ยทักทายเสียงติดจะสั่นๆ แม้จะเริ่มตั้งสติได้บ้างแล้วก็ตาม ทำไมเธอจะต้องตื่นเต้นในเมื่อเขาออกจะมองมาอย่างเย็นชาและดูเหมือนจะหงุดหงิดมากด้วยซ้ำที่เห็นเธอปรากฏตัวที่นี่ แต่เธอไม่ได้ตั้งใจมาพบเขา คนที่อยากพบมากที่สุดตอนนี้ก็คือหมอชัชวาลต่างหาก“ผมอนุญาตให้เรียกผมว่าหมอปราณต์ได้ เฉพาะคนไข้ของผมเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่ใช่คนไข้ ผมไม่อนุญาตให้เรียก” ปราณต์พูดเสียงแข็งกระด้าง“ขอโทษค่ะ...คุณปราณต์” นัสรินจำต้องกล่าวขอโทษ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ก้อนแข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกในคอจนแทบจะกลืนน้ำลายไม่ลง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ปราณต์ก็ยังใจร้ายกับเธอไม่เคยเปลี่ยน คำว่า ‘หมอปราณต์’ ที่เธอเรียกเขานั้นออกจะเป็นคำพูดที่ให้เกียรติด้วยซ้ำ คนที่บ้านของเขาบางคนก็เรียกเขาแบบนี้ แต่