“คุณปราณต์ปล่อยนะคะ” นัสรินร้องบอกออกไป พร้อมกับหอบหายใจอย่างเหนื่อยๆ เพราะต้องออกแรงสู้กับเขาสองยกติดๆ กัน
แทนที่จะปล่อย แต่ปราณต์กลับกวาดสายตามองเธอช้าๆ ตั้งแต่ริมฝีปากที่กำลังสั่นน้อยๆ กระทั่งไปหยุดมองอยู่ตรงหน้าอกอวบอิ่มที่สะท้อนขึ้นลงๆ จากแรงหายใจของเธอ เขาจ้องอยู่ตรงนั้นนานจนเธออับอายไปหมด
“ไม่ปล่อย นี่มันแค่เริ่มต้น”
“นัสขอร้องค่ะ นัสไม่ต้องการ”
“ไม่ต้องการเหรอ” ปราณต์เงยหน้าขึ้นจากการมองหน้าอกอวบคู่นั้น แล้วแนบใบหน้าลงมาจนปากเกือบชิดกัน จึงกลายเป็นว่าเขากระซิบอยู่ใกล้เรียวปากนุ่มแค่เส้นด้ายกั้น กลิ่นแอลกอฮอล์โชยคลุ้งมากับลมหายใจของเขา ทว่านัสรินกลับไม่นึกรังเกียจเลยแม้แต่นิด ตรงกันข้ามกลิ่นนั้นกลับแล่นเข้าไปกระตุ้นเร้าให้หัวใจของเธอเต้นแรง ราวกับกำลังจะทะลุออกมานอกอก
“ไม่ต้องการค่ะ” เธอปฏิเสธและเบือนหน้าหนีสายตาของเขา แค่ถูกกอดถูกจูบเธอยังสั่นไปหมด แต่ตอนนี้เธอกำลังถูกปราณต์นอนทับ สัดส่วนแทบจะทุกสัดส่วนแนบชิดกัน มีเพียงอาภรณ์ขวางกั้น แถมตอนนี้สายตาของเขาที่มองเธออย่างโกรธกรุ่นในตอนแรก ก็เปลี่ยนเป็นมองอย่างลุ่มลึกทว่าเจือไว้ด้วยไฟปรารถนาบางอย่าง คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ในเลือดเขานั่นเอง อารมณ์เขาถึงได้เปลี่ยนอย่างรวดเร็วขนาดนี้
“แต่ผมว่าคุณต้องการ”
ปราณต์ใช้มือข้างที่ว่างจับปลายคางมนบังคับให้หันหน้ามาตรงๆ เขาค่อยๆ โน้มหน้าลงมา ทำเอาเธอแทบจะลืมหายใจไปชั่วขณะ จนในที่สุดปากหยักได้รูปก็แนบประกบจูบไปบนเรียวปากของเธอ และฉกลิ้นเข้าไปกระหวัดพันลิ้นนุ่มของเธออย่างดูดดื่ม ทำเอานัสรินตัวสั่นสะท้านไปหมด
“อย่าค่ะ...คุณปราณต์...อย่า...นัสขอร้อง...”
เสียงหวานเอ่ยอย่างสั่นระริก เมื่อปราณต์ละปากไปที่พวงแก้ม รสชาติพิษจุมพิตเมื่อครู่นี้ยังกรุ่นอยู่แท้ๆ เธอจำได้ดีว่ามันทำให้เธอหมดเรี่ยวแรงไปมากแค่ไหน หากเขาทำเช่นนั้นอีกเธอต้องขาดใจตายแน่ๆ
“อย่าห้ามผม ผมมีสิทธิ์”
ปราณต์เงยหน้าขึ้นสบตาพร้อมกับประกาศสิทธิ์ของตัวเอง ก่อนจะก้มลงใหม่ ซุกใบหน้าจูบไซ้ไปตามซอกคอขาวละมุน มือข้างหนึ่งยังตรึงข้อมือเธอไว้ ทว่ามืออีกข้างกลับขยี้ขยำไปบนทรวงอกอย่างเมามัน เธอพยายามขอร้องวิงวอนให้เขาหยุด ทว่าเสียงนั้นกระท่อนกระแท่นและเบาลงๆ พร้อมกับที่สติซึ่งจะครองตัวไม่ให้หลุดเข้าไปในห้วงของความวาบหวามนั้นแทบจะไม่เหลือหรอ
นัสรินจำไม่ได้ว่าชุดนอนหลุดจากร่างไปตอนไหน แต่ที่จำได้ชัดก็คือความรู้สึกอันอุ่นซ่านวาบหวามตอนที่ปากและลิ้นสากหนาแตะต้องขบเม้มลงบนทรวงสาวอวบหยุ่น เธอรู้สึกเหมือนเลือดในกายไหลเวียนและเร่าร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างระทดระทวย ไร้ซึ่งความคิดที่จะขัดขืนใดๆ อีกต่อไป
เขาละมือข้างที่ตรึงข้อมือเธอออก แล้วขยับลงไปช่วยกันอีกข้าง เล่นงานอย่างหนักหน่วง เธอยกมือที่เป็นอิสระขึ้นมาวางบนไหล่หนา ตั้งใจว่าจะผลักให้ออกห่าง แต่กลับกลายเป็นกอดและกดเขาลงหานวลเนื้อนุ่มนิ่มของตนโดยไม่รู้ตัว
เสียงที่หลุดจากปากเธอหลังจากนั้น มันไม่ใช่เสียงห้าม หากกลับกลายเป็นเสียงหอบหายใจกระเส่าที่ราวกับเหน็ดเหนื่อย ทว่านัสรินรู้ดีว่านั่นไม่ใช่ มันเกิดจากความร้อนรุ่มวาบหวามจนเธอไม่อาจเปล่งเสียงอย่างอื่นได้ต่างหาก ถ้าจะมีเสียงอย่างอื่นที่ไม่ใช่เสียงหอบหายใจนั้น ก็คือเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บแน่นอึดอัดในตอนที่ปราณต์ล่วงล้ำเข้ามาในกายเธอเป็นครั้งแรก แต่มันก็เงียบไปแทบจะทันที เพราะปากถูกปราณต์ประกบจูบ ขณะที่ร่างกายส่วนอื่นๆ ของเขายังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
และหลังจากนั้นเมื่อปราณต์ปล่อยให้ปากอิ่มเต็มเป็นอิสระ เสียงที่หลุดออกมาก็กลับกลายเป็นเสียงครวญครางอันสุดเร่าร้อน จนนัสรินแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเสียงของตัวเอง
คลื่นแห่งความสุขสมระลอกแรกผ่านไป และปราณต์ก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เขายังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเหมือนกับเหนื่อยไม่เป็น ร่างใหญ่เคลื่อนไหวอยู่เหนือร่างของเธอด้วยความ ‘อึดทน’ อย่างที่เขาว่า มันเป็นการเสียสาวครั้งแรกแต่ไม่ใช่ครั้งเดียว นัสรินจำไม่ได้ว่าตัวเองได้รับรู้รสชาติความสุขสมอันท่วมท้นและหลากหลายนั้นกี่ครั้ง แต่ละครั้งล้วนรู้สึกเหมือนจะขาดใจ แต่ร่างกายกลับรับได้และโลดทะยานตามเขาไปทุกครั้งแม้จะบอบช้ำสุดๆ ก็ตาม
ความรู้สึกเสียดายตอนนั้นไม่มีแม้แต่นิด เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้มอบสิ่งหวงแหนนี้ให้กับผู้ชายที่ตัวเองรัก แม้เขาจะไม่เคยรักหรือแม้จะมองเธอด้วยท่าทีอ่อนโยนเลยก็ตาม
ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงในตอนเกือบรุ่งสาง ปราณต์ลุกขึ้นแต่งตัวเช่นเดียวกับเธอ จากนั้นต่างคนต่างขึ้นห้องนอนของตัวเองไปเงียบๆ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป ถ้าจะมีก็มีเพียงร่างกายของเธอเท่านั้นที่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เธอก็ไม่ใช่สาวพรหมจารีอีกต่อไป เธอกับปราณต์ไปหย่ากันในตอนบ่าย และหลังจากที่เขากับเธอจรดปากกาลงบนกระดาษที่เรียกว่า ‘ใบหย่า’ เธอก็ตกอยู่ในสถานะการเป็นแม่หม้ายอย่างสมบูรณ์ทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยทันที
บทที่ 6ร่างสูงเกือบหกฟุตแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแบรนด์หรู ยัดชายเข้าไปข้างในกางเกงสแล็กเนื้อดี สวมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาว ก้าวออกมาจากห้องผ่าตัดพร้อมกับหมอและพยาบาลอีกหลายคนหลังจากการผ่าตัดคนไข้เสร็จสิ้นลงในเวลาใกล้เที่ยง เพราะการผ่าตัดเคสนี้เป็นการผ่าตัดใหญ่ จึงต้องใช้ทีมแพทย์และพยาบาลจำนวนหลายคน ซึ่งแม้การผ่าตัดจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็เกินเวลาที่วางแผนกันเอาไว้กว่าหนึ่งชั่วโมงแพทย์พยาบาลแต่ละคนต่างเดินมุ่งหน้ากลับไปยังที่ทำงานประจำของตัวเอง เช่นเดียวกับปราณต์ที่กำลังมุ่งหน้าเดินกลับห้องพักของตนพร้อมด้วยหมอชัชวาลซึ่งเป็นหมออาวุโสวัยห้าสิบเศษ มีประสบการณ์สูงและเป็นหมอที่เก่งมากคนหนึ่ง ปราณต์ให้ความเคารพและสนิทกับหมอชัชวาลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องผ่าตัดและมีเคสร่วมกันบ่อยครั้ง ซึ่งหมอชัชวาลเองก็เอ่ยปากชมอยู่บ่อยๆ ว่าหมอวัยสามสิบเศษอย่างปราณต์นั้นทั้งเก่งและเป็นหมอหนุ่มที่ฝีมือดีมากคนหนึ่งของโรงพยาบาลหมอต่างวัยสองคนเดินคุยกันมากระทั่งเกือบจะถึงหน้าห้องพักของหมอชัชวาล พยาบาลหน้าห้องก็เดินตรงเข้ามาหาคล้ายกับมีธุระที่ต้องแจ้งให้ทราบ“อาจารย์คะ ตัวแทนจากบริษัทยาที่อาจารย์นัดไว้มารอในห้องอาจ
บทที่ 7ปราณต์หงุดหงิดตัวเองที่ความคิดนั้นทำให้เขาเกิดอาการร้อนรุ่มในใจแปลกๆ‘เป็นบ้าอะไรวะปราณต์หยุดคิดเดี๋ยวนี้ นัสรินก็แค่ผู้หญิงมากเล่ห์ที่เคยร่วมมือกับปรัชญ์ล่อลวงเขาให้แต่งงานด้วยเท่านั้น ความรู้สึกเดียวที่เขามีให้เธอ นั่นก็คือรังเกียจการกระทำ ความรู้สึกอย่างอื่นมันไม่เคยเกิดขึ้น และจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ๆ’“สวัสดีค่ะหมอปราณต์” นัสรินเอ่ยทักทายเสียงติดจะสั่นๆ แม้จะเริ่มตั้งสติได้บ้างแล้วก็ตาม ทำไมเธอจะต้องตื่นเต้นในเมื่อเขาออกจะมองมาอย่างเย็นชาและดูเหมือนจะหงุดหงิดมากด้วยซ้ำที่เห็นเธอปรากฏตัวที่นี่ แต่เธอไม่ได้ตั้งใจมาพบเขา คนที่อยากพบมากที่สุดตอนนี้ก็คือหมอชัชวาลต่างหาก“ผมอนุญาตให้เรียกผมว่าหมอปราณต์ได้ เฉพาะคนไข้ของผมเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่ใช่คนไข้ ผมไม่อนุญาตให้เรียก” ปราณต์พูดเสียงแข็งกระด้าง“ขอโทษค่ะ...คุณปราณต์” นัสรินจำต้องกล่าวขอโทษ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ก้อนแข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกในคอจนแทบจะกลืนน้ำลายไม่ลง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ปราณต์ก็ยังใจร้ายกับเธอไม่เคยเปลี่ยน คำว่า ‘หมอปราณต์’ ที่เธอเรียกเขานั้นออกจะเป็นคำพูดที่ให้เกียรติด้วยซ้ำ คนที่บ้านของเขาบางคนก็เรียกเขาแบบนี้ แต่
บทที่ 8ปราณต์เดินมาที่รถของเขาซึ่งอยู่ในลานจอดรถที่ล็อกไว้ให้สำหรับหมอและบุคลากรของโรงพยาบาลโดยเฉพาะ เขาเปิดประตูหน้ารอให้นัสรินก้าวเข้าไปนั่งข้างในก่อน จึงค่อยเดินอ้อมไปฝั่งคนขับมือเรียวเล็กเผลอจิกกระเป๋าตัวเองแน่น เมื่อถูกขังอยู่ในบรรยากาศอันเป็นส่วนตัวแบบสองต่อสองอีกครั้ง ผิดแต่เพียงในรถมันแคบกว่าห้องของหมอชัชวาล แถมปราณต์ก็ไม่ยอมเปิดเพลง จึงทำให้แทบจะได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน นัสรินจำได้ว่ารถคันนี้ตัวเองเคยนั่งคู่กับเขาไม่เกินห้าครั้งตลอดช่วงที่แต่งงานกัน และวันสุดท้ายที่ได้นั่งด้วยกันก็คือวันที่เขามารับไปหย่า จากนั้นเธอกับเขาต่างก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองอย่างอดไม่ได้ ว่าที่นั่งที่เธอนั่งอยู่ตอนนี้มีใครมานั่งแทนหรือยัง หากเธอกล้ามากกว่านี้และปากจัดเหมือนปราณต์ เธอคงถามเขาไปตรงๆ เหมือนที่เขาถามเธอแล้ว ทว่าความกล้าของเธอห่างไกลกับเขาลิบลับ แต่ที่กลัวไปกว่านั้นก็คือความจริงอันน่าเจ็บปวด หากเขาบอกว่าเขามีคนใหม่แล้ว ดังนั้นนัสรินจึงเลือกจะไม่ยอมรับรู้อะไร ที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของอดีตสามีอีกสิบกว่านาทีต่อมา รถของปราณต์ซึ่งมีนัสรินนั่งมาด้วยก็แล่นเข้าจอดเ
บทที่ 9“ถ้าย้อนเวลาได้นัสจะไม่ทำแบบนั้นค่ะ ที่นัสตัดสินใจทำไปแบบนั้นก็เพราะนัส...” กำลังจะบอกว่าเพราะเธอแอบรักเขามาตั้งแต่ได้เห็นหน้าครั้งแรกแล้ว เมื่อปรัชญ์ขอยกเลิกการแต่งงานกับเธอและเสนอให้เธอแต่งงานกับเขาแทน เธอจึงไม่ปฏิเสธ “เพราะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน และเห็นผมเป็นตัวตลกใช่ไหม” ปราณต์ไม่ยอมฟังให้จบก็ชิงพูดแทรกขึ้นตามอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในใจมาเป็นแรมปี“นัสไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ แต่นัสก็ชดเชยให้คุณไปหมดแล้วไงคะ”คำว่าชดเชยในความหมายของนัสรินก็คือการคืนอิสรภาพให้เขา และยอมจากไปเงียบๆ โดยไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าความหมายของปราณต์มันกลับเป็นคนละอย่าง“ด้วยการนอนกับผมแค่คืนเดียวอย่างนั้นเหรอ”“นัสเคยบอกคุณปราณต์แล้วว่านัสไม่ได้ห้ามให้คุณใช้สิทธิ์ความเป็นสามีกับนัส แต่คุณปฏิเสธนัสเองเพราะว่าคุณรังเกียจผู้หญิงอย่างนัส” เธอย้ำเตือนถึงคำพูดของเขาที่เคยพูดกับเธอตั้งแต่คุยกันเรื่องหย่า“แล้วถ้าตอนนี้ผมเกิดอยากจะใช้สิทธิ์ย้อนหลังล่ะ”“คุณปราณต์!” นัสรินเผลอเรียกชื่อเขาเสียงเข้ม แม้อะไรๆ ในตัวปราณต์ไม่เคยเปลี่ยนหลังจากที่เธอไม่เจอเขามาเป็นปี แต่ตอนนี้
บทที่ 10 สองทุ่มแล้ว...คลินิกยังคงปิดช้ากว่าเวลาเหมือนทุกวัน เพราะคนไข้มายื่นบัตรรอตรวจเยอะเช่นเคย แต่หมอหนุ่มวัยสามสิบสองก็ยังคงตรวจคนไข้จนถึงคนสุดท้ายอย่างละเอียด โดยไม่คิดจะเร่งรีบหรือตรวจพอแล้วๆ แต่อย่างใด คลินิกแห่งนี้เปิดได้ปีกว่าแล้ว ช่วงแรกๆ คนไข้ยังไม่เยอะเท่าไหร่ กระทั่งมีคนพูดปากต่อปาก ว่าคลินิกแห่งนี้ตรวจรักษาดีและค่ารักษาก็ไม่ได้แพงมากจนคนระดับทำมาหากินเข้ามาใช้บริการไม่ได้ ทำให้มีคนไข้มาใช้บริการเยอะขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดปราณต์ก็ต้องจ้างผู้ช่วยเพิ่ม จากที่ครั้งแรกเขาจ้างแค่พนักงานตรวจความดันและกรอกประวัติคนไข้เพียงคนเดียว ตอนนี้ต้องจ้างเพิ่มอีกหนึ่งคน และยังต้องจ้างผู้มีใบอนุญาตทางเภสัชกรรมมาช่วยจ่ายยาเพิ่มด้วย ปราณต์ลุกจากโต๊ะหลังจากคนไข้คนสุดท้ายออกจากห้องตรวจ จากนั้นก็ตรงไปยังรถของตัวเอง โดยปล่อยหน้าที่ปิด คลินิกให้เป็นของพนักงาน รถแลนด์โรเวอร์สีขาวรุ่นที่มีเพียงหลักร้อยคันในประเทศไทย แล่นออกจากริมฟุตบาทด้านข้างคลินิก มุ่งหน้าไปตามถนนที่เป็นคนละเส้นกับทางกลับบ้าน ไฟซึ่งส่องสว่างอยู่บนเสาไฟฟ้าเริ่มทยอยลดน้อยลงเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดก็มีเพีย
บทที่ 11“วันนี้ฉันเจอนัสริน”ในที่สุดหมอปากหนักก็ยอมพูดความจริง พร้อมกับแอบระบายลมหายใจออกมาเบาๆ และซ่อนบางอย่างเอาไว้ในสายตาที่เคร่งขรึมลงไป แต่คนมองก็สังเกตเห็น“เมียเก่าแกน่ะเหรอ”“อืม...”“เจอแล้วไง ทำไมต้องมานั่งดื่มเหล้าแทนน้ำแบบนี้ หรือว่าเสียดาย เมียคงสวยขึ้นผิดหูผิดตาล่ะสิ หวงก้างว่างั้น” คราวนี้เป็นศาสตราบ้างที่เป็นฝ่ายดักคอ“ไอ้กริช!”“หรือฉันพูดผิด ก็เถียงมาสิโว้ยว่าไม่จริง”“ถ้าจริงแล้วทำอะไรได้” คำตอบนั้นเท่ากับยอมรับกลายๆ“ก็จีบใหม่สิวะ แต่ติดตรงที่ว่าเขามีผัวใหม่หรือยังเท่านั้นละ” ศาสตราถามห่ามๆ ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ให้เกียรตินัสริน แต่ถามแบบจงใจเย้ยคนฟังให้หัวใจร้อนรุ่มเล่น มันสนุกดีพิลึกเวลาเห็นไอ้หมอผู้สุภาพมาโดยตลอดหลุดความดิบๆ เถื่อนๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมา“เห็นบอกว่ายัง” ปราณต์ตอบแบบเสียงแข็งกระด้าง มือที่กำลังเอื้อมไปจับขวดเหล้าเผลอลงน้ำหนักแรงอย่างหงุดหงิด เมื่อคิดถึงรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตาของนัสริน“เชื่อได้เหรอ”“ไม่รู้สิ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรสำหรับฉันสักนิด” ยิ่งฟังคำถามอันตอกย้ำเช่นนั้น ปราณต์ก็ยิ่งเหมือนร้อนรุ่มในอกมากขึ้นเป็นทวีค
บทที่ 12มันเป็นเรื่องกระอักกระอ่วนจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เมื่อจู่ๆ ตัวเองก็ต้องมาใส่ชุดเจ้าบ่าว นั่งเคียงคู่เจ้าสาว ให้ใครต่อใครมารดน้ำสังข์พร้อมกับอวยพรให้อยู่กันจนแก่เฒ่า เขาต้องทำหน้าที่แต่งงานแทนน้องชายอย่างปรัชญ์ที่จู่ๆ ก็ประกาศต่อหน้าเขาและแม่ว่ามีเมียแล้ว ซึ่งผู้หญิงที่ปรัชญ์บอกว่าเป็นเมียไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นธรินดาน้องสาวบุญธรรมของเขาที่เขาเองก็แอบปองใจอยู่เงียบๆ มานานแล้วเช่นกัน ปราณต์อยากจะหลอกตัวเองว่าเขากำลังฝันอยู่ ทว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คน เสียงบรรเลงของดนตรีไทย ดอกไม้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามอ่อนหวาน ป้ายชื่อด้านหลังซึ่งเป็นชื่อเขากับชื่อเจ้าสาวเด่นหรา รวมถึงเจ้าสาวหน้าตาหวานซึ้งซึ่งควรจะเป็นน้องสะใภ้เขากำลังนั่งเคียงข้างเขาในพิธีรดน้ำสังข์อยู่จริงๆ เขาไม่ปฏิเสธว่านัสรินเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสะสวย รูปร่างอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมคนหนึ่ง ยิ่งอยู่ในชุดไทยสีทองเช่นนี้ยิ่งขับให้เธอดูงดงามราวกับนางในวรรณคดี แต่ยามนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมความสวยงามใดๆ ต่อผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาทางนิตินัยอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากเขาและเธอเพิ่งจะจดทะเบียนสมรสกั
บทที่ 13“ชื่อในการ์ดเป็นชื่อผมด้วยเหรอ?”“ก็คุณปราณต์เป็นเจ้าบ่าว ก็ต้องเป็นชื่อคุณปราณต์สิคะ นี่อย่าบอกนะคะว่าคุณปราณต์กำลังเล่นมุก ออยขำไม่ทันเลยค่ะ”พินทุสรยังคงยิ้มร่าและหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดว่าเจ้าบ่าวของเพื่อนรักช่างมีอารมณ์ขันแบบหน้าตายดีแท้ๆ“ผมขอดูหน่อยได้ไหม”“ได้สิคะ ออยพกติดกระเป๋ามาด้วย ออยเห็นแล้วชอบมากๆ เลยค่ะ การ์ดสวยเก๋เห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าคนเลือกต้องพิถีพิถันมากๆ คุณปราณต์กับยัยนัสคงจะช่วยกันเลือกใช่มั้ยคะ” พินทุสรพูดเป็นต่อยหอย ขณะหยิบเอาการ์ดแต่งงานในกระเป๋าแล้วส่งให้กับปราณต์ โดยไม่ได้สังเกตอาการของเขาแต่อย่างใดตาคมกวาดตามองไปยังตัวหนังสือที่อยู่บนการ์ดแต่งงานสีหวานอย่างตั้งใจ ตัวหนังสือบนนั้นแสดงอยู่อย่างเด่นหรา ว่าชื่อเจ้าสาวเจ้าบ่าวเป็นชื่อนัสรินกับชื่อของเขาจริงๆ ลักษณะของการ์ดก็บ่งบอกชัดว่าถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน กระดาษที่ใช้พิมพ์ก็เป็นกระดาษเนื้อดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาแตะจมูกและติดมือคนจับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพิมพ์เสร็จภายในหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนที่การแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้น หนำซ้ำคำพูดของหญิงสาวที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับนัสรินก็ย้ำชัดว่า เรื่องที