สองทุ่มแล้ว...คลินิกยังคงปิดช้ากว่าเวลาเหมือนทุกวัน เพราะคนไข้มายื่นบัตรรอตรวจเยอะเช่นเคย แต่หมอหนุ่มวัยสามสิบสองก็ยังคงตรวจคนไข้จนถึงคนสุดท้ายอย่างละเอียด โดยไม่คิดจะเร่งรีบหรือตรวจพอแล้วๆ แต่อย่างใด คลินิกแห่งนี้เปิดได้ปีกว่าแล้ว ช่วงแรกๆ คนไข้ยังไม่เยอะเท่าไหร่ กระทั่งมีคนพูดปากต่อปาก ว่าคลินิกแห่งนี้ตรวจรักษาดีและค่ารักษาก็ไม่ได้แพงมากจนคนระดับทำมาหากินเข้ามาใช้บริการไม่ได้ ทำให้มีคนไข้มาใช้บริการเยอะขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดปราณต์ก็ต้องจ้างผู้ช่วยเพิ่ม จากที่ครั้งแรกเขาจ้างแค่พนักงานตรวจความดันและกรอกประวัติคนไข้เพียงคนเดียว ตอนนี้ต้องจ้างเพิ่มอีกหนึ่งคน และยังต้องจ้างผู้มีใบอนุญาตทางเภสัชกรรมมาช่วยจ่ายยาเพิ่มด้วย
ปราณต์ลุกจากโต๊ะหลังจากคนไข้คนสุดท้ายออกจากห้องตรวจ จากนั้นก็ตรงไปยังรถของตัวเอง โดยปล่อยหน้าที่ปิด คลินิกให้เป็นของพนักงาน
รถแลนด์โรเวอร์สีขาวรุ่นที่มีเพียงหลักร้อยคันในประเทศไทย แล่นออกจากริมฟุตบาทด้านข้างคลินิก มุ่งหน้าไปตามถนนที่เป็นคนละเส้นกับทางกลับบ้าน ไฟซึ่งส่องสว่างอยู่บนเสาไฟฟ้าเริ่มทยอยลดน้อยลงเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดก็มีเพียงแสงสว่างจากหน้ารถเท่านั้นที่สาดแสงนำทาง ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางที่ปราณต์ไม่ได้ขับมาบ่อยนัก แต่เขาก็จำได้แม่นว่ามันเป็นถนนที่จะพาไปยัง ‘ไร่เดชาธร’ ซึ่งเป็นไร่ที่มีอาณาจักรกว้างขวาง และเจ้าของไร่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจเป็นอันดับต้นๆ ของเชียงใหม่ ไม่แพ้ครอบครัวของเขา
ศาสตราทำหน้าเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมากเมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปในบ้าน ส่วนปราณต์เองก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดไปไวๆ ซึ่งเห็นแค่นั้นเขาก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้น คือภรรยาของศาสตราที่เพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน
“ลมอะไรหอบมาถึงนี่วะปราณต์ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
ศาสตราเอ่ยถามเพื่อนที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก โดยที่น้ำเสียงยังคงเจือความหงุดหงิด นั่นเป็นเพราะเพิ่งจะทะเลาะกับภรรยาสาวมาหมาดๆ ทว่าปราณต์ก็ไม่คิดจะสนใจ ในเมื่อเขาอุตส่าห์ถ่อสังขารมาถึงนี่แล้ว เรื่องของศาสตราไว้ค่อยให้ไปเคลียร์กับเมียทีหลัง ถึงยังไงทั้งสองคนก็อยู่บ้านเดียวกัน คงจะโกรธกันได้ไม่นาน ไม่เหมือนเขากับ...
“มาหาเหล้ากิน” ปราณต์ตอบเอื่อยๆ แต่คนฟังกลับอุทานซะใหญ่โตเมื่อได้ยินคำตอบของเขา
“อะไรนะ! นี่ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม คุณหมอปราณต์ผู้รักสุขภาพ หล่อเหลา และใจดีกับคนไข้ราวกับเทพบุตร กำลังบอกฉันว่ามาหาเหล้ากิน” ศาสตราทำเสียงและสีหน้ากวนอารมณ์สุดๆ ก่อนจะกระแทกก้นลงบนโซฟาราคาแพงที่ก่อนหน้านี้ปราณต์นั่งลงก่อนแล้ว โดยที่เขาไม่ต้องเชิญให้มากพิธี เขารู้จักนิสัยปราณต์ดี ปราณต์ไม่เคยชอบของพวกนี้ แต่ให้ดื่มก็ดื่มเป็นเพื่อนได้เป็นครั้งคราว ซึ่งก็แทบจะนับครั้งได้ ครั้งสุดท้ายที่ปราณต์มาที่นี่และบอกว่าอยากดื่มเหล้า ก็น่าจะเมื่อราวๆ หนึ่งปีกว่าแล้ว ซึ่งครั้งนั้นปราณต์ดื่มหนักคล้ายกับมีเรื่องในใจ แต่ก็ไม่ยอมปริปากว่าเรื่องอะไร จากนั้นก็ขับรถกลับไปในสภาพเมาแอ๋ โชคดีที่กลับถึงบ้านและไม่เจอด่านตรวจ ไม่อย่างนั้นคงเป็นข่าวใหญ่โตทั่วเชียงใหม่แน่
“อย่ากวนโมโหได้มั้ยวะ ไปหาเหล้ามากินไป” ปราณต์ทำเสียงหงุดหงิดใส่ ทำให้ศาสตราต้องลุกขึ้นไปที่บาร์เครื่องดื่ม พลางคิดว่าดื่มให้เมาๆ ไปซะก็ดีเหมือนกัน เขาเองก็กำลังกลุ้มเพราะเพิ่งทะเลาะกับเมียมาหยกๆ จนนึกอยากจะดื่มให้มันหายเซ็ง
เจ้าของบ้านกลับมาพร้อมกับขวดวิสกี้ในมือ ถังน้ำแข็ง และแก้วเปล่าอีกสองใบ จากนั้นก็จัดการคีบน้ำแข็งใส่แก้วเปล่าและเทน้ำสีอำพันลงไปแบบเพียวๆ ก่อนจะส่งให้ปราณต์ ทว่าคุณหมอหนุ่มเหมือนจะไม่พอใจในปริมาณของมัน เพราะเขาเอื้อมมือมาจับขวดวิสกี้ เทลงไปเพิ่มอีกเกือบเท่าตัว ก่อนจะยกขึ้นแตะริมฝีปาก แล้วเทลงคอแบบพรวดๆ ราวกับกำลังดื่มน้ำเปล่าก็ไม่ปาน
“เป็นอะไรปราณต์ ดื่มยังกะหิวโซมาเป็นชาติ” ศาสตราเอ่ยถามตรงๆ เมื่อแอลกอฮอล์แก้วนั้นซึมลึกเข้าไปในร่างกายของปราณต์ และค่อยๆ คืบคลานเข้าไปสั่นคลอนสติสัมปชัญญะของเขา จนตาที่เคยแข็งกระด้างเย็นชาเริ่มฉ่ำเยิ้มคล้ายคนง่วงนอน
“เปล่า” คนเริ่มเมายังคงปากแข็ง
“คราวที่แล้วแกก็ไม่ยอมบอกฉัน ถ้าคราวนี้จะมาทำอมพะนำอีกก็เชิญแกดื่มไปคนเดียวเถอะ ฉันจะได้ไปนอน” ศาสตราไม่ใช่แค่ขู่ ยังทำท่าจะลุกหนีจริงๆ อย่างคนหงุดหงิด ปราณต์จึงหัวเราะออกมาหยันๆ
“รีบไปนอนกับเมียว่างั้น แน่ใจเหรอว่าเขาจะให้นอนด้วย”
“ไอ้หมอปากเสีย!”
“หรือฉันพูดผิด หน้าตาบูดบึ้งแบบนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ายังไม่ได้แอ้มเมียสักครั้ง”
แม้ออกจะหงุดหงิดที่ปราณต์พูดเฉียดความจริง แต่นั่นก็สามารถทำให้ศาสตราชะงักและยอมนั่งลงบนโซฟาได้อีกครั้ง พร้อมกับถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างหนักอกไม่แพ้กัน
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนประเด็น ตกลงจะบอกไม่บอก” คราวนี้ศาสตราถามอย่างจริงจัง ตาจ้องเขม็งไปยังหน้าหล่อๆ ที่สะอาดสะอ้าน หากเครื่องหน้าทุกชิ้นบ่งบอกว่าปราณต์เป็นผู้ชายเต็มตัว
บทที่ 11“วันนี้ฉันเจอนัสริน”ในที่สุดหมอปากหนักก็ยอมพูดความจริง พร้อมกับแอบระบายลมหายใจออกมาเบาๆ และซ่อนบางอย่างเอาไว้ในสายตาที่เคร่งขรึมลงไป แต่คนมองก็สังเกตเห็น“เมียเก่าแกน่ะเหรอ”“อืม...”“เจอแล้วไง ทำไมต้องมานั่งดื่มเหล้าแทนน้ำแบบนี้ หรือว่าเสียดาย เมียคงสวยขึ้นผิดหูผิดตาล่ะสิ หวงก้างว่างั้น” คราวนี้เป็นศาสตราบ้างที่เป็นฝ่ายดักคอ“ไอ้กริช!”“หรือฉันพูดผิด ก็เถียงมาสิโว้ยว่าไม่จริง”“ถ้าจริงแล้วทำอะไรได้” คำตอบนั้นเท่ากับยอมรับกลายๆ“ก็จีบใหม่สิวะ แต่ติดตรงที่ว่าเขามีผัวใหม่หรือยังเท่านั้นละ” ศาสตราถามห่ามๆ ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ให้เกียรตินัสริน แต่ถามแบบจงใจเย้ยคนฟังให้หัวใจร้อนรุ่มเล่น มันสนุกดีพิลึกเวลาเห็นไอ้หมอผู้สุภาพมาโดยตลอดหลุดความดิบๆ เถื่อนๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมา“เห็นบอกว่ายัง” ปราณต์ตอบแบบเสียงแข็งกระด้าง มือที่กำลังเอื้อมไปจับขวดเหล้าเผลอลงน้ำหนักแรงอย่างหงุดหงิด เมื่อคิดถึงรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตาของนัสริน“เชื่อได้เหรอ”“ไม่รู้สิ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรสำหรับฉันสักนิด” ยิ่งฟังคำถามอันตอกย้ำเช่นนั้น ปราณต์ก็ยิ่งเหมือนร้อนรุ่มในอกมากขึ้นเป็นทวีค
บทที่ 12มันเป็นเรื่องกระอักกระอ่วนจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เมื่อจู่ๆ ตัวเองก็ต้องมาใส่ชุดเจ้าบ่าว นั่งเคียงคู่เจ้าสาว ให้ใครต่อใครมารดน้ำสังข์พร้อมกับอวยพรให้อยู่กันจนแก่เฒ่า เขาต้องทำหน้าที่แต่งงานแทนน้องชายอย่างปรัชญ์ที่จู่ๆ ก็ประกาศต่อหน้าเขาและแม่ว่ามีเมียแล้ว ซึ่งผู้หญิงที่ปรัชญ์บอกว่าเป็นเมียไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นธรินดาน้องสาวบุญธรรมของเขาที่เขาเองก็แอบปองใจอยู่เงียบๆ มานานแล้วเช่นกัน ปราณต์อยากจะหลอกตัวเองว่าเขากำลังฝันอยู่ ทว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คน เสียงบรรเลงของดนตรีไทย ดอกไม้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามอ่อนหวาน ป้ายชื่อด้านหลังซึ่งเป็นชื่อเขากับชื่อเจ้าสาวเด่นหรา รวมถึงเจ้าสาวหน้าตาหวานซึ้งซึ่งควรจะเป็นน้องสะใภ้เขากำลังนั่งเคียงข้างเขาในพิธีรดน้ำสังข์อยู่จริงๆ เขาไม่ปฏิเสธว่านัสรินเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสะสวย รูปร่างอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมคนหนึ่ง ยิ่งอยู่ในชุดไทยสีทองเช่นนี้ยิ่งขับให้เธอดูงดงามราวกับนางในวรรณคดี แต่ยามนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมความสวยงามใดๆ ต่อผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาทางนิตินัยอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากเขาและเธอเพิ่งจะจดทะเบียนสมรสกั
บทที่ 13“ชื่อในการ์ดเป็นชื่อผมด้วยเหรอ?”“ก็คุณปราณต์เป็นเจ้าบ่าว ก็ต้องเป็นชื่อคุณปราณต์สิคะ นี่อย่าบอกนะคะว่าคุณปราณต์กำลังเล่นมุก ออยขำไม่ทันเลยค่ะ”พินทุสรยังคงยิ้มร่าและหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดว่าเจ้าบ่าวของเพื่อนรักช่างมีอารมณ์ขันแบบหน้าตายดีแท้ๆ“ผมขอดูหน่อยได้ไหม”“ได้สิคะ ออยพกติดกระเป๋ามาด้วย ออยเห็นแล้วชอบมากๆ เลยค่ะ การ์ดสวยเก๋เห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าคนเลือกต้องพิถีพิถันมากๆ คุณปราณต์กับยัยนัสคงจะช่วยกันเลือกใช่มั้ยคะ” พินทุสรพูดเป็นต่อยหอย ขณะหยิบเอาการ์ดแต่งงานในกระเป๋าแล้วส่งให้กับปราณต์ โดยไม่ได้สังเกตอาการของเขาแต่อย่างใดตาคมกวาดตามองไปยังตัวหนังสือที่อยู่บนการ์ดแต่งงานสีหวานอย่างตั้งใจ ตัวหนังสือบนนั้นแสดงอยู่อย่างเด่นหรา ว่าชื่อเจ้าสาวเจ้าบ่าวเป็นชื่อนัสรินกับชื่อของเขาจริงๆ ลักษณะของการ์ดก็บ่งบอกชัดว่าถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน กระดาษที่ใช้พิมพ์ก็เป็นกระดาษเนื้อดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาแตะจมูกและติดมือคนจับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพิมพ์เสร็จภายในหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนที่การแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้น หนำซ้ำคำพูดของหญิงสาวที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับนัสรินก็ย้ำชัดว่า เรื่องที
บทที่ 14“ทำไมล่ะนัส” “นัสเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ท่านสองคนมีนัสคนเดียว” “อ้อ...นึกว่าเรื่องอะไร ผมไม่ได้ให้คุณไปประจำที่โน่นเลยหรอก ไปแค่สามเดือนเท่านั้น พออะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว และเราหาตัวแทนที่เป็นคนในพื้นที่ได้ ผมก็จะให้คุณเทรนให้จนคนที่นั่นทำงานได้คล่อง ผมก็จะให้คุณกลับมาประจำที่กรุงเทพฯ ตามเดิม ในระหว่างนี้หากเป็นช่วงวันหยุดแล้วคุณอยากกลับบ้านมาหาครอบครัว คุณก็กลับได้ตลอดเลย ทางบริษัทมีค่าเดินทางให้ ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องห่วงบริษัทเช่าอพาร์ตเมนต์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ไว้ให้ห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ใหญ่และอยู่ได้สบายๆ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทางไปทำงาน บริษัทมีรถยนต์ให้คุณใช้อีกคันหนึ่งด้วย” กิตติบอกถึงสิ่งอำนวยความสะดวกให้อย่างครบครัน จนนัสรินไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาแย้งได้ “ไม่มีคนไปแทนนัสเลยเหรอคะ” เสียงหวานถามอ่อยๆ “ไม่มีจริงๆ นัส ผมไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมเท่าคุณเลย ปิยวรรณก็ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว ส่วนอรอุมาก็ต้องรับส่งลูกทุกวัน มีแต่คุณคนเดียวที่โสดสนิท แล้วเรื่องที่คุณเป็นห่วงพ่อกับแม่ผมก็เข้าใจนะ แต่ก็
บทที่ 15คุ้มลักษิกาแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิดในความรู้สึกของนัสริน ที่นี่ยังคงใหญ่โต สวยงาม ร่มรื่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบล้านนาเช่นเดิม เธอมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในคุ้มลักษิกาแห่งนี้แค่เพียงสองอาทิตย์หลังจากแต่งงานกับปราณต์ จากนั้นเขาก็พาเธอย้ายออกไปอยู่บ้านเช่า โดยให้เหตุผลกับครอบครัวว่าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทว่าแท้จริงแล้วเขาพาเธอไปเพื่อจะได้ทรมานใจเธอได้อย่างสะดวกต่างหากแพขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ และรีบสลัดเรื่องของปราณต์ออกไปจากห้วงความคิด เมื่อปรัชญ์จอดรถที่ลานหน้าเรือนไทยทรงล้านนาหลังใหญ่ ขาเรียวก้าวลงจากรถและตามปรัชญ์กับธรินดาเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นนิดๆแม่เลี้ยงลักษิกาเงยหน้าขึ้นจากงานเย็บปักถักร้อย พลางขยับแว่นอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นอดีตลูกสะใภ้เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของตน แต่เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด หญิงวัยกลางคนผู้เป็นประมุขของบ้านก็รำพึงชื่อเจ้าตัวออกมาเบาๆ“หนูนัส...”“สวัสดีค่ะคุณแม่” นัสรินย่อตัวลงนั่งพับเพียบและกราบลงบนตักของแม่เลี้ยงลักษิกา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นให้นางพิศมองอีกครั้ง“หนูนัสจริงๆ ด้วย ไปยังไงมายั
บทที่ 16และหลังจากที่พูดเช่นนั้นแล้ว ปราณต์ก็ไม่รอฟังใครอีก เขาขยับมายืนข้างๆ นัสรินและโอบเอวบางพร้อมกับกระตุกเป็นการบังคับให้เธอเดินออกไปพร้อมเขา นัสรินพยายามจะเบี่ยงตัวออกแต่ก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะไหนจะแรงมือของปราณต์ ไหนจะสายตาของคนทั้งบ้านที่กำลังจดจ้องอยู่ จนในที่สุดเธอก็ต้องเข้ามานั่งในรถของปราณต์จนได้“พักที่ไหน?” เขาถามห้วนๆ หลังจากบังคับเธอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว“ลานนาอพาร์ตเมนต์ค่ะ คุณไม่ต้องไปส่งนัสก็ได้นะคะ นัสกลับเองได้” นัสรินไม่ได้ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากแต่คุยด้วยดีๆ เพราะถึงอย่างไรเสีย วันจันทร์เธอก็ต้องเจอเขาอีกตอนไปเซ็นสัญญา จึงไม่อยากก่อเรื่องให้ตัวเองต้องอึดอัดใจอีก “ผมบอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง ผมไม่ใช่พวกคนพูดกลับกลอกหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทำไม? กลัวหรือไงที่ต้องนั่งรถกับผมสองต่อสอง” “นัสไม่ได้กลัว นัสแค่ไม่อยากให้คุณเสียเวลา และรู้ดีว่าคุณไม่อยากเห็นหน้านัสเท่าไหร่” “ไหนบอกว่าจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก แล้วนี่มาทำไม” นัสรินหันขวับไปจ้องหน้าคนถาม ก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว จากที่คิดว่าจะพยายามควบคุม
บทที่ 17ทันทีที่ปราณต์จอดรถยังลานจอดรถของอพาร์ตเมนต์ นัสรินก็รีบปลดเข็มขัดพร้อมทั้งผลักประตูรถ แล้วก้าวไวๆ เข้าไปในตัวตึกทันที โดยไม่ได้กล่าวขอบคุณหรือพูดอะไรกับคนมาส่งเลยแม้แต่นิด มือเรียวเล็กยื่นกดไปเรียกลิฟต์แล้วยืนรออย่างกระวนกระวายเมื่อเห็นว่าปราณต์ลงจากรถและก้าวตามเข้ามาติดๆ ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างและเปิดประตูออกอย่างฉิวเฉียดก่อนที่ปราณต์จะตามมาทัน ร่างบางก้าวเข้าไปข้างในแล้วกดปิดอย่างเร่งรีบ แต่ประตูลิฟต์ยังไม่ทันได้ปิดร่างสูงก็แทรกผ่านเข้ามา และเป็นคนกดปิดประตูเสียเอง พอประตูปิดลงเขาก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ก่อนอย่างเอาเรื่อง ทำให้นัสรินต้องถอยร่นหนีจนชิดผนังลิฟต์อีกฝั่ง “ถอยไปนะคะคุณปราณต์ ต้องการอะไรจากนัสอีก” เสียงหวานเอ่ยไล่สั่นๆ เมื่อปราณต์ตามมาประชิดแถมยังยกมือสองข้างของเขายันกับผนังลิฟต์คร่อมร่างของเธอเอาไว้ด้านใน “ก็ต้องการคำขอบคุณน่ะสิ ผมอุตส่าห์มาส่ง แต่พอมาถึงคุณก็เปิดประตูรถ สะบัดตูดหนีเฉยๆ ต้องให้บอกมั้ยว่าไร้มารยาทแค่ไหน” ปราณต์ถามคนที่ตัวเองขังไว้ในอ้อมแขน โดยไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับคู่ข
บทที่ 18 แม้จะลำบากใจแค่ไหนที่ต้องมาพบคนที่ตัวเองพยายามจะหลีกเลี่ยง แต่นัสรินก็จำต้องมาเพราะมันคือหน้าที่ความรับผิดชอบกับงานที่ทำอยู่ กิตติหัวหน้าของเธอบอกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่า ทางโรงพยาบาลนัดเซ็นสัญญาในเวลาสี่โมงเย็น ทำให้วันนี้ทั้งวันเธอแทบจะไม่มีสมาธิทำงาน เพราะมัวแต่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องมาพบปราณต์ในช่วงเย็น หญิงสาวมาถึงก่อนเวลานัดตามมารยาทอันดี จากนั้นก็เข้าไปรอในห้องประชุมตามที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลบอก นั่งได้ไม่ถึงห้านาทีประตูหน้าห้องก็ถูกเคาะ และคนที่ก้าวเข้ามาก็คือคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอตลอดมา แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องพบเขา แต่หัวใจมันก็ยังเต้นแรงจนกลายเป็นระส่ำ โดยเฉพาะเมื่อปราณต์ปิดประตูห้องลง คล้ายดั่งกันเธอกับเขาออกจากโลกภายนอก และก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับที่เธอนั่งอยู่ “รอนานหรือเปล่า” นายแพทย์หนุ่มหล่อเป็นฝ่ายถามอดีตภรรยาขึ้นก่อน“ไม่นานค่ะ นัสเพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้เอง” นัสรินได้แต่ตอบออกไปแบบออมปากออมคำ เพราะน้ำเสียงของคนถามนั้นช่างแสนเรียบเฉย ราวกับเป็นคนละคนกับคนที่เกือบจะจูบเธอในลิฟต์เมื่อเย