มันเป็นเรื่องกระอักกระอ่วนจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เมื่อจู่ๆ ตัวเองก็ต้องมาใส่ชุดเจ้าบ่าว นั่งเคียงคู่เจ้าสาว ให้ใครต่อใครมารดน้ำสังข์พร้อมกับอวยพรให้อยู่กันจนแก่เฒ่า เขาต้องทำหน้าที่แต่งงานแทนน้องชายอย่างปรัชญ์ที่จู่ๆ ก็ประกาศต่อหน้าเขาและแม่ว่ามีเมียแล้ว ซึ่งผู้หญิงที่ปรัชญ์บอกว่าเป็นเมียไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นธรินดาน้องสาวบุญธรรมของเขาที่เขาเองก็แอบปองใจอยู่เงียบๆ มานานแล้วเช่นกัน
ปราณต์อยากจะหลอกตัวเองว่าเขากำลังฝันอยู่ ทว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คน เสียงบรรเลงของดนตรีไทย ดอกไม้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามอ่อนหวาน ป้ายชื่อด้านหลังซึ่งเป็นชื่อเขากับชื่อเจ้าสาวเด่นหรา รวมถึงเจ้าสาวหน้าตาหวานซึ้งซึ่งควรจะเป็นน้องสะใภ้เขากำลังนั่งเคียงข้างเขาในพิธีรดน้ำสังข์อยู่จริงๆ
เขาไม่ปฏิเสธว่านัสรินเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสะสวย รูปร่างอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมคนหนึ่ง ยิ่งอยู่ในชุดไทยสีทองเช่นนี้ยิ่งขับให้เธอดูงดงามราวกับนางในวรรณคดี แต่ยามนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมความสวยงามใดๆ ต่อผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาทางนิตินัยอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากเขาและเธอเพิ่งจะจดทะเบียนสมรสกันเสร็จเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง
เห็นพวงแก้มระเรื่อจากการถูกปัดด้วยบลัชออนเนื้อเนียนของผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้ว ชั่วขณะหนึ่งก็อดนึกสงสารไม่ได้ หากว่าเมื่อเช้านี้เขาไม่ยอมเข้าพิธีแต่งงานกับเธอแทนปรัชญ์ นัสรินคงต้องอับอายขายหน้ามาก ความจริงเธอเองก็น่าสงสารและน่าเห็นใจไม่น้อยที่ถูกโยนให้คนน้องทีคนพี่ที แต่เธอก็คงทำเพื่อให้ครอบครัวหมดภาระหนี้สิน ถึงได้ยอมแต่งงานกับเขาทั้งๆ ที่หมั้นกับปรัชญ์อยู่นานหลายเดือน
หลังจากพิธีรดน้ำสังข์ผ่านพ้นไป ปราณต์ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ระเบียงด้านนอก เพื่อให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจคลายลงบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะต้องถ่ายรูปกับเพื่อนๆ ของเขาและเพื่อนของปรัชญ์ที่ต่างเข้ามาแสดงความยินดี ทั้งๆ ที่บางคนคงรู้ว่าเขาไม่ได้ยินดีสักนิดกับการเป็นเจ้าบ่าวแบบสายฟ้าแลบเช่นนี้
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าที่ทุกคนจะยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ ปราณต์รีบพาตัวเองตรงไปยังระเบียงตามความตั้งใจเดิมทันที ทว่าระเบียงด้านหลังที่เขาคิดว่าจะเงียบเชียบ กลับมีคนจับจองอยู่ก่อนแล้ว และคนที่จับจองพื้นที่นั้นก่อนหน้าเขา ก็คือคนสองคนที่ทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในฐานะเจ้าบ่าวจำเป็นในวันนี้
ปราณต์ยอมรับว่าค่อนข้างแปลกใจ ที่เห็นน้องชายตัวเองมายืนคุยกับผู้หญิงซึ่งตัวเองเพิ่งปฏิเสธการแต่งงานด้วย แต่เขาก็ยังคิดในแง่ดีว่าปรัชญ์อาจมีเรื่องอยากเคลียร์กับอดีตคู่หมั้นกระมัง เขาจึงเลือกที่จะไม่เข้าไปทำลายบรรยากาศ และตั้งใจว่าจะเดินไปหามุมอื่นเสียเอง แต่เสียงสนทนาของทั้งคู่นั่นต่างหากที่รั้งไม่ให้เขาก้าวเท้าไปไหน
“ไงเจ้าสาวทำไมทำหน้าอย่างนั้นหือ หรือว่าเจ้าบ่าวไม่หล่อพอ แต่พี่ว่าวันนี้หมอปราณต์ของนัสหล่อสุดๆ เลยนะ” ปรัชญ์เอ่ยขึ้นอย่างสนิทสนมพร้อมกับยิ้มให้ผู้หญิงที่วันนี้เป็นเจ้าสาวของงาน ดูไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งปฏิเสธการแต่งงานกันสักนิด
“พี่ปรัชญ์ก็ชอบล้อนัสอยู่เรื่อย ไม่เห็นหรือไงคะว่าหมอปราณต์หน้าเครียดแค่ไหน”
“ไม่ว่าจะทำหน้าแบบไหนพี่ปราณต์ก็หล่อที่สุดสำหรับนัสอยู่แล้วละ จริงมั้ย ไม่งั้นนัสคงไม่ยอมเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวกับพี่หรอก”
“ก็นัส...”
“ชอบหมอปราณต์” ปรัชญ์เอ่ยดักคออย่างคนที่รู้ความนัยกันดี
“เห็นหน้าคุณปราณต์วันนี้แล้วนัสใจแป้วนะคะ ไม่รู้ว่านัสคิดถูกหรือคิดผิดที่ยอมร่วมมือกับพี่ปรัชญ์มัดมือชกคุณปราณต์แบบนี้” นัสรินพูดเสียงอ่อยๆ เช่นเดียวกับสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความกังวล
“พี่เองก็ไม่ได้สบายใจสักเท่าไหร่หรอก แต่ทำไงได้เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นัสเองก็เอาชนะใจพี่ปราณต์ให้ได้นะ พี่เป็นกำลังใจให้”
“แล้วพี่ปรัชญ์ล่ะคะเคลียร์กับน้องเล็กเข้าใจหรือยัง”
“ยังเลย รายนั้นโกรธจนไม่ยอมมองหน้าพี่”
“น้องเล็กคงง้อไม่ยากใช่มั้ยคะ”
“ใครว่าล่ะ นี่พี่ยังหนักใจอยู่เลย”
ปราณต์ได้ยินเสียงน้องชายถอนหายใจเบาๆ ออกมาด้วยอาการของคนที่หนักใจ แต่ตอนนี้ความหนักใจของปรัชญ์คงไม่ได้เศษเสี้ยวของเขา เรื่องที่ได้ยินมาหมาดๆ ทำให้เขาปะติดปะต่อได้ว่านัสรินรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าปรัชญ์จะไม่แต่งงานด้วย และทั้งสองร่วมมือกันเพื่อให้เขาแต่งงานแทนปรัชญ์
ความสงสาร ความเห็นใจ และความเอ็นดูซึ่งเคยมีให้กับผู้หญิงที่ตัวเองต้องแต่งงานด้วย มลายหายวับไปทันที เหลือเพียงความรู้สึกอื่นที่มันทำให้เขาอึ้งจนพูดไม่ออก
ร่างสูงค่อยๆ พาตัวเองหนีห่างออกมาจากที่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมมากกว่าเดิม ในยามนี้เขาไม่มีแก่ใจจะปั้นหน้ายิ้มหรือพูดจากับใคร แต่ดูเหมือนว่าเขายังต้องฝืนใจตัวเองอีกครั้ง เมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินยิ้มร่าเข้ามาหาด้วยท่าทีเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะคุณปราณต์ กว่าจะเข้าถึงตัวได้คิวแน่นน่าดูเลยนะคะ”
“ครับ มีอะไรหรือเปล่า” ปราณต์ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พยายามให้สุภาพที่สุด แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในอารมณ์ที่ไม่อยากเสวนากับใครเลยก็ตาม แต่ด้วยอาชีพและการถูกฝึกอบรมเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้เขายังคงต้องดำรงความเป็นสุภาพบุรุษต่อไป
“พอดีออยจะฝากของขวัญให้ยัยนัสหน่อยน่ะค่ะ ออยจะกลับแล้ว เพราะต้องขึ้นเครื่องอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่ายัยนัสหายไปไหน”
“คุณเป็นเพื่อนนัสริน?”
“ค่ะคุณปราณต์ เรียกว่าออยก็ได้นะคะ ออยเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมกับยัยนัสน่ะค่ะ แต่เรียนมหา’ลัยคนละที่กัน คือพ่อแม่ออยส่งออยไปเรียนต่างประเทศน่ะค่ะ นี่ก็กำลังต่อปริญญาโทอยู่เกือบจบแล้วละค่ะ ยัยนัสส่งการ์ดนี้ไปให้ตอนออยอยู่ที่อังกฤษค่ะ รู้ไหมคะว่าออยตื่นเต้นมาก อยากเห็นหน้าว่าที่เจ้าบ่าวของยัยนัสจะแย่ แต่เสียดายในการ์ดไม่มีรูปมีแต่ชื่อ ตอนนั้นออยก็นึกอยากเห็นนะคะว่าผู้ชายที่มีชื่อสั้นๆ ว่า ‘ปราณต์’ จะหน้าตาเป็นยังไง ทำไมถึงทำให้ยัยนัสยอมสละโสดได้ ทั้งๆ ที่ยัยนัสไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย” พินทุสร หญิงสาวแนะนำตัวเองและพูดจากับปราณต์อย่างคล่องแคล่วฉะฉาน โดยปราศจากความเคอะเขินใดๆ
บทที่ 13“ชื่อในการ์ดเป็นชื่อผมด้วยเหรอ?”“ก็คุณปราณต์เป็นเจ้าบ่าว ก็ต้องเป็นชื่อคุณปราณต์สิคะ นี่อย่าบอกนะคะว่าคุณปราณต์กำลังเล่นมุก ออยขำไม่ทันเลยค่ะ”พินทุสรยังคงยิ้มร่าและหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดว่าเจ้าบ่าวของเพื่อนรักช่างมีอารมณ์ขันแบบหน้าตายดีแท้ๆ“ผมขอดูหน่อยได้ไหม”“ได้สิคะ ออยพกติดกระเป๋ามาด้วย ออยเห็นแล้วชอบมากๆ เลยค่ะ การ์ดสวยเก๋เห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าคนเลือกต้องพิถีพิถันมากๆ คุณปราณต์กับยัยนัสคงจะช่วยกันเลือกใช่มั้ยคะ” พินทุสรพูดเป็นต่อยหอย ขณะหยิบเอาการ์ดแต่งงานในกระเป๋าแล้วส่งให้กับปราณต์ โดยไม่ได้สังเกตอาการของเขาแต่อย่างใดตาคมกวาดตามองไปยังตัวหนังสือที่อยู่บนการ์ดแต่งงานสีหวานอย่างตั้งใจ ตัวหนังสือบนนั้นแสดงอยู่อย่างเด่นหรา ว่าชื่อเจ้าสาวเจ้าบ่าวเป็นชื่อนัสรินกับชื่อของเขาจริงๆ ลักษณะของการ์ดก็บ่งบอกชัดว่าถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน กระดาษที่ใช้พิมพ์ก็เป็นกระดาษเนื้อดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาแตะจมูกและติดมือคนจับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพิมพ์เสร็จภายในหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนที่การแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้น หนำซ้ำคำพูดของหญิงสาวที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับนัสรินก็ย้ำชัดว่า เรื่องที
บทที่ 14“ทำไมล่ะนัส” “นัสเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ท่านสองคนมีนัสคนเดียว” “อ้อ...นึกว่าเรื่องอะไร ผมไม่ได้ให้คุณไปประจำที่โน่นเลยหรอก ไปแค่สามเดือนเท่านั้น พออะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว และเราหาตัวแทนที่เป็นคนในพื้นที่ได้ ผมก็จะให้คุณเทรนให้จนคนที่นั่นทำงานได้คล่อง ผมก็จะให้คุณกลับมาประจำที่กรุงเทพฯ ตามเดิม ในระหว่างนี้หากเป็นช่วงวันหยุดแล้วคุณอยากกลับบ้านมาหาครอบครัว คุณก็กลับได้ตลอดเลย ทางบริษัทมีค่าเดินทางให้ ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องห่วงบริษัทเช่าอพาร์ตเมนต์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ไว้ให้ห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ใหญ่และอยู่ได้สบายๆ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทางไปทำงาน บริษัทมีรถยนต์ให้คุณใช้อีกคันหนึ่งด้วย” กิตติบอกถึงสิ่งอำนวยความสะดวกให้อย่างครบครัน จนนัสรินไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาแย้งได้ “ไม่มีคนไปแทนนัสเลยเหรอคะ” เสียงหวานถามอ่อยๆ “ไม่มีจริงๆ นัส ผมไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมเท่าคุณเลย ปิยวรรณก็ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว ส่วนอรอุมาก็ต้องรับส่งลูกทุกวัน มีแต่คุณคนเดียวที่โสดสนิท แล้วเรื่องที่คุณเป็นห่วงพ่อกับแม่ผมก็เข้าใจนะ แต่ก็
บทที่ 15คุ้มลักษิกาแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิดในความรู้สึกของนัสริน ที่นี่ยังคงใหญ่โต สวยงาม ร่มรื่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบล้านนาเช่นเดิม เธอมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในคุ้มลักษิกาแห่งนี้แค่เพียงสองอาทิตย์หลังจากแต่งงานกับปราณต์ จากนั้นเขาก็พาเธอย้ายออกไปอยู่บ้านเช่า โดยให้เหตุผลกับครอบครัวว่าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทว่าแท้จริงแล้วเขาพาเธอไปเพื่อจะได้ทรมานใจเธอได้อย่างสะดวกต่างหากแพขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ และรีบสลัดเรื่องของปราณต์ออกไปจากห้วงความคิด เมื่อปรัชญ์จอดรถที่ลานหน้าเรือนไทยทรงล้านนาหลังใหญ่ ขาเรียวก้าวลงจากรถและตามปรัชญ์กับธรินดาเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นนิดๆแม่เลี้ยงลักษิกาเงยหน้าขึ้นจากงานเย็บปักถักร้อย พลางขยับแว่นอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นอดีตลูกสะใภ้เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของตน แต่เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด หญิงวัยกลางคนผู้เป็นประมุขของบ้านก็รำพึงชื่อเจ้าตัวออกมาเบาๆ“หนูนัส...”“สวัสดีค่ะคุณแม่” นัสรินย่อตัวลงนั่งพับเพียบและกราบลงบนตักของแม่เลี้ยงลักษิกา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นให้นางพิศมองอีกครั้ง“หนูนัสจริงๆ ด้วย ไปยังไงมายั
บทที่ 16และหลังจากที่พูดเช่นนั้นแล้ว ปราณต์ก็ไม่รอฟังใครอีก เขาขยับมายืนข้างๆ นัสรินและโอบเอวบางพร้อมกับกระตุกเป็นการบังคับให้เธอเดินออกไปพร้อมเขา นัสรินพยายามจะเบี่ยงตัวออกแต่ก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะไหนจะแรงมือของปราณต์ ไหนจะสายตาของคนทั้งบ้านที่กำลังจดจ้องอยู่ จนในที่สุดเธอก็ต้องเข้ามานั่งในรถของปราณต์จนได้“พักที่ไหน?” เขาถามห้วนๆ หลังจากบังคับเธอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว“ลานนาอพาร์ตเมนต์ค่ะ คุณไม่ต้องไปส่งนัสก็ได้นะคะ นัสกลับเองได้” นัสรินไม่ได้ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากแต่คุยด้วยดีๆ เพราะถึงอย่างไรเสีย วันจันทร์เธอก็ต้องเจอเขาอีกตอนไปเซ็นสัญญา จึงไม่อยากก่อเรื่องให้ตัวเองต้องอึดอัดใจอีก “ผมบอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง ผมไม่ใช่พวกคนพูดกลับกลอกหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทำไม? กลัวหรือไงที่ต้องนั่งรถกับผมสองต่อสอง” “นัสไม่ได้กลัว นัสแค่ไม่อยากให้คุณเสียเวลา และรู้ดีว่าคุณไม่อยากเห็นหน้านัสเท่าไหร่” “ไหนบอกว่าจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก แล้วนี่มาทำไม” นัสรินหันขวับไปจ้องหน้าคนถาม ก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว จากที่คิดว่าจะพยายามควบคุม
บทที่ 17ทันทีที่ปราณต์จอดรถยังลานจอดรถของอพาร์ตเมนต์ นัสรินก็รีบปลดเข็มขัดพร้อมทั้งผลักประตูรถ แล้วก้าวไวๆ เข้าไปในตัวตึกทันที โดยไม่ได้กล่าวขอบคุณหรือพูดอะไรกับคนมาส่งเลยแม้แต่นิด มือเรียวเล็กยื่นกดไปเรียกลิฟต์แล้วยืนรออย่างกระวนกระวายเมื่อเห็นว่าปราณต์ลงจากรถและก้าวตามเข้ามาติดๆ ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างและเปิดประตูออกอย่างฉิวเฉียดก่อนที่ปราณต์จะตามมาทัน ร่างบางก้าวเข้าไปข้างในแล้วกดปิดอย่างเร่งรีบ แต่ประตูลิฟต์ยังไม่ทันได้ปิดร่างสูงก็แทรกผ่านเข้ามา และเป็นคนกดปิดประตูเสียเอง พอประตูปิดลงเขาก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ก่อนอย่างเอาเรื่อง ทำให้นัสรินต้องถอยร่นหนีจนชิดผนังลิฟต์อีกฝั่ง “ถอยไปนะคะคุณปราณต์ ต้องการอะไรจากนัสอีก” เสียงหวานเอ่ยไล่สั่นๆ เมื่อปราณต์ตามมาประชิดแถมยังยกมือสองข้างของเขายันกับผนังลิฟต์คร่อมร่างของเธอเอาไว้ด้านใน “ก็ต้องการคำขอบคุณน่ะสิ ผมอุตส่าห์มาส่ง แต่พอมาถึงคุณก็เปิดประตูรถ สะบัดตูดหนีเฉยๆ ต้องให้บอกมั้ยว่าไร้มารยาทแค่ไหน” ปราณต์ถามคนที่ตัวเองขังไว้ในอ้อมแขน โดยไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับคู่ข
บทที่ 18 แม้จะลำบากใจแค่ไหนที่ต้องมาพบคนที่ตัวเองพยายามจะหลีกเลี่ยง แต่นัสรินก็จำต้องมาเพราะมันคือหน้าที่ความรับผิดชอบกับงานที่ทำอยู่ กิตติหัวหน้าของเธอบอกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่า ทางโรงพยาบาลนัดเซ็นสัญญาในเวลาสี่โมงเย็น ทำให้วันนี้ทั้งวันเธอแทบจะไม่มีสมาธิทำงาน เพราะมัวแต่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องมาพบปราณต์ในช่วงเย็น หญิงสาวมาถึงก่อนเวลานัดตามมารยาทอันดี จากนั้นก็เข้าไปรอในห้องประชุมตามที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลบอก นั่งได้ไม่ถึงห้านาทีประตูหน้าห้องก็ถูกเคาะ และคนที่ก้าวเข้ามาก็คือคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอตลอดมา แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องพบเขา แต่หัวใจมันก็ยังเต้นแรงจนกลายเป็นระส่ำ โดยเฉพาะเมื่อปราณต์ปิดประตูห้องลง คล้ายดั่งกันเธอกับเขาออกจากโลกภายนอก และก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับที่เธอนั่งอยู่ “รอนานหรือเปล่า” นายแพทย์หนุ่มหล่อเป็นฝ่ายถามอดีตภรรยาขึ้นก่อน“ไม่นานค่ะ นัสเพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้เอง” นัสรินได้แต่ตอบออกไปแบบออมปากออมคำ เพราะน้ำเสียงของคนถามนั้นช่างแสนเรียบเฉย ราวกับเป็นคนละคนกับคนที่เกือบจะจูบเธอในลิฟต์เมื่อเย
บทที่ 19“นี่ค่ะ” “ใส่ให้ด้วยสิ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามือไม่ว่าง” ไม่แค่พูดแต่ยังกระชับสองมือที่กอดเอวเล็กเข้าหากันแน่นกว่าเดิมเป็นการย้ำว่าตอนนี้มือเขากำลังทำอะไรอยู่ คนถูกแกล้งเกือบจะหลุดจากการควบคุมตัวเอง หากก็ยังยอมทำตามความต้องการของเขาอีกรอบ แล้วนั่งนิ่งๆ เพื่อให้เขาอ่านเอกสารเสียที คราวนี้ปราณต์ยอมกวาดสายตาไปตามตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษอย่างละเอียดทุกตัวอักษร ก่อนจะบอกให้อดีตภรรยาหยิบปากกาให้และจรดลายเซ็นของตัวเองลงไปในหน้าสุดท้ายของกระดาษที่เว้นช่องไว้ให้เซ็นชื่อ “เสร็จแล้วก็ปล่อยนัสสิคะ นัสจะได้กลับ” “พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งเลยนะ” “นัสไม่ใช่คนแบบนั้น มีแต่คุณปราณต์นั่นละค่ะที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ใครเขาคุยงานกันแบบนี้บ้าง” เธอกล่าวตำหนิเขาตรงๆ พร้อมกับดิ้นเบาๆ เพื่อให้เขาปล่อย แต่ปราณต์ยังไม่ยอมปล่อยเหมือนกับว่ายังแกล้งเธอไม่สะใจ “ต้องถามคุณมากกว่า เพราะผมไม่ค่อยได้คุยงานกับใครแบบสองต่อสองอย่างนี้บ่อยนัก” “คนอื่นไม่มีใครเขาทำแบบคุณปราณต์หรอกค่ะ”
บทที่ 20“ปล่อยนัสลงค่ะคุณปราณต์ คุณมีสิทธิ์อะไรมาอุ้มนัสแบบนี้” คนเจ็บโวยวายพลางดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ไม่กล้าดิ้นมากเพราะกลัวตก “จอดรถที่ไหน” ปราณต์ไม่สนใจอาการขัดขืนของเธอ แต่ถามเสียงดุๆ ขรึมๆ แม้นัสรินจะแอบหวั่นทว่าการถูกอุ้มแบบนี้มันน่าหวาดหวั่นกว่าหลายเท่า “ก็นัสบอกแล้วไงคะว่า...” “ผมถามว่าจอดรถที่ไหนนัสริน” เสียงดุๆ ขรึมๆ เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่ถามแต่ยังพ่วงชื่อเธอต่อท้าย แถมตาก็ยังหลุบลงมองหน้าเธออย่างดุดันพอกัน “ที่ลานจอดรถด้านหน้าค่ะ” หลังจากได้คำตอบ ปราณต์ก็ไม่พูดไม่ถามอะไรอีก ร่างสูงอุ้มอดีตภรรยาสาวออกจากห้องประชุม ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อไปยังลานจอดรถ ท่ามกลางสายตาของคนไข้ พยาบาล และพนักงานของโรงพยาบาลหลายสิบคน “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณหมอ”พยาบาลหน้าห้องหมอชัชวาลรีบเอ่ยถามปราณต์อย่างค่อนข้างตกใจ เมื่อเห็นเขาอุ้มหญิงสาวซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายยาผ่านมา “เธอหกล้มขาแพลง ผมเลยจะอุ้มไปส่ง” “อ๋อ...ค่ะๆ มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ยคะ”