นัสรินหยิบมาเปิดดู ก่อนจะหน้าซีดเผือดราวกับขาดโลหิตอย่างอึ้งๆ เพราะจำนนด้วยหลักฐาน เธอไม่คิดว่าปราณต์จะได้เห็นการ์ดพวกนี้ เพราะการ์ดพวกนี้เป็นส่วนที่เธอแจกให้กับญาติและเพื่อนสนิทฝั่งตัวเอง ซึ่งในการ์ดแต่งงานที่ออกแบบอย่างสวยงามนั้น ระบุชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นชื่อของเธอกับเขา นั่นเป็นการยืนยันชัดว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะสาเหตุของการตกกระไดพลอยโจน แต่เกิดจากความตั้งใจของเธอกับปรัชญ์ที่วางแผนการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะให้ปราณต์แต่งงานกับเธอแทน
“คุณอยากให้นัสชดใช้ยังไงล่ะคะ” เธอหันไปถามเมื่อคิดว่ายังไงเรื่องนี้ตัวเองก็เป็นคนทำผิดจริงๆ
“คุณน่าจะรู้ดีนะนัสริน ว่าผมยังต้องการร่างกายของคุณ”
คำพูดนั้นแสนเย็นชาและฟังดูใจร้ายเหลือเกิน และแม้นัสรินจะรู้อยู่แล้วก็ยังอดปลาบแปลบใจไม่ได้
“นัสก็ให้คุณไปแล้วนี่คะ” นัสรินเชิดหน้าขึ้นตอบ พยายามทำตัวให้นิ่งเฉย เหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาต่อคำพูดของเขาเช่นกัน
“น้อยไปไหม แค่ครั้งเดียวผมยังไม่อิ่มหรอก”
“แล้วต้องกี่ครั้ง คุณปราณต์ถึงจะพอ”
“จนกว่าผมจะพอใจ”
นัสรินจ้องหน้าคนใจร้ายเลือดเย็นอย่างน้อยใจ เขาช่างพูดออกมาได้ว่าเธอต้องชดใช้ให้เขาด้วยร่างกายตัวเอง ตามแต่เขาต้องการและจนกว่าเขาจะพอใจ
“คุณจะให้นัสเป็นเมียเก็บของคุณอย่างนั้นเหรอคะ”
“เข้าใจอะไรง่ายดีนี่”
“แต่นัสมีเวลาไม่มาก นัสถูกส่งตัวมาทำงานที่นี่แค่สามเดือนเท่านั้น”
“ไม่เป็นไร ถ้าผมอยาก ผมจะไปหาที่กรุงเทพฯ เอง”
“หลังจากที่คุณเบื่อ คุณจะปล่อยนัสไปใช่มั้ย” นัสรินถามเหมือนคนยอมจำนน ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่เขาเรียกร้องก็ได้ แต่ในเมื่อเขาอยากให้เธอชดใช้ เธอก็จะชดใช้เพื่อจะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกันอีก
“ใช่”
ก็แน่ละ...ตอนนี้เธอก็มีความหมายแค่นี้ ปราณต์แค่เพียงต้องการร่างกายของเธอ ต้องการทำให้เธอแปดเปื้อนและบอบช้ำมากที่สุดเท่านั้น หลังจากที่เขาสะใจแล้ว เธอก็คงไม่มีความหมายอะไรอีก
“นัสต้องเริ่มทำหน้าที่เมื่อไหร่”
“คืนนี้เลย”
“คืนนี้!” เป็นอีกครั้งที่เสียงหวานอุทานออกมาอย่างตกใจ “ไม่ได้ค่ะนัสจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ แล้วนัสจะออกมาหาคุณได้ยังไงคะ”
“ไม่รู้สิมันปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของผม ผมจะรออยู่ที่บ้านเท่านั้น คุณก็รู้จักบ้านผมแล้วนี่ ปรัชญ์เคยพาไปไม่ใช่เหรอ” ปราณต์ยักไหล่และนั่งในท่าสบายๆ แต่คนที่ถูกกดดันกำลังหน้าซีดปากสั่น เพราะทุกอย่างมันเร็วเกินไป เธอตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าตัวเองจะไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆ กับเขาอีก แต่แล้วปราณต์ก็เข้ามาพร้อมกับบีบบังคับให้เธอชดใช้ความผิดในอดีตให้แก่เขา
“นัสขอเวลาก่อนไม่ได้เหรอคะ รอให้กลับถึงเชียงใหม่ก่อนก็ได้นี่คะ” นัสรินเอ่ยต่อรอง พลางหันไปมองหน้าเขาเป็นเชิงอ้อนวอน หากแต่ปราณต์กลับยังคงเฉยชาและตอบกลับมาอย่างคนเลือดเย็นดังเดิม
“ผมเป็นคนใจร้อน อยากได้คืนนี้ก็ต้องได้คืนนี้”
“แล้วถ้านัสไม่ไปล่ะ” เมื่อถูกบีบคั้นมากๆ นัสรินก็คิดที่จะแข็งข้อขึ้นมาบ้าง แม้จะตัดสินใจแล้วว่าจะชดใช้ให้เขาตามที่เขาเรียกร้อง แต่เขาก็ไม่ควรเอาแต่ใจแบบนี้
“ผมก็จะเอาคลิปหลุดตอนที่เราจูบกันหน้าร้านวันนั้น อัพลงเน็ตให้คนเห็นกันทั่วเชียงใหม่”
ไม่พูดเปล่าแต่ปรัชญ์ยังหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมา ทำท่าเหมือนจะอัพคลิปที่ว่านั่นจริงๆ นัสรินมองดูปราณต์อย่างตกใจ แต่ก็พยายามข่มกลั้นและรวบรวมสติเอาไว้ เพื่อต่อสู้กับความร้ายจากของเขา
“เรื่องจูบมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วละค่ะสำหรับสังคมยุคนี้ คุณหมออย่าเอาคลิปแค่นี้มาขู่นัสเลย นัสไม่แคร์ อยากอัพก็อัพ” นัสรินพูดออกมาหลังจากตั้งสติได้
“แน่นอนคลิปแค่นี้มันเป็นแค่คลิปธรรมดา แต่ถ้าเป็นคลิปที่...เราทำอะไรกันอย่างเผ็ดร้อนคืนนั้นล่ะนัสริน”
“นี่คุณ! คุณอัดคลิปไว้ด้วยเหรอคะ”
เมื่อครู่ว่าตกใจแล้ว แต่ตอนนี้เธอตกใจยิ่งกว่า ไม่คิดว่าปราณต์จะทำอะไรเพื่อแบล็กเมล์เธอถึงขนาดนี้
“แน่นอนสิ คลิปเด็ดๆ แบบนั้น ถ้าพลาดโอกาสก็เสียดายแย่”
“คุณมันหมอโรคจิต!”
“ด่าสินัสริน ด่าอีก จะด่าผมจะแช่งยังไงก็เชิญเลย แต่คืนนี้คุณต้องมาหาผม ไม่อย่างนั้นผมจะปล่อยคลิปนี้ อ้อ...ลืมบอกว่าผมเซ็นเซอร์หน้าตัวเองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่หน้าคุณ ตัวคุณ ท่วงท่าของคุณ เสียงของคุณ ชัดทุกมุมทุกตอน อยากดูตัวอย่างก่อนมั้ยล่ะ ถ้าอยากดูผมจะเปิดให้ดู”
ปราณต์ขู่อย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่าและใจเย็น ทว่าคนฟังแทบจะอยากแทรกแผ่นดินหนี อยากจะย้อนเวลากลับไป เธอจะไม่ใจง่ายกับเขา เธอจะไม่หลงเชื่อคำหวานของเขา เธอจะไม่ใจดีพาเขากลับไปส่งบ้าน จนเกิดเรื่องที่ผูกมัดตัวเองจนแทบดิ้นไม่หลุดแบบนี้
“ไม่ต้องค่ะ”
“ตัดสินใจซะ ไม่งั้นผมจะตัดสินใจแทนเอง”
“ก็ได้ค่ะ นัสจะไปกับคุณ” นัสรินพูดออกมาอย่างตัดสินใจในที่สุด
“ไม่กลับบ้านไปหาพ่อแม่แล้วเหรอ”
“นัสยังไม่ได้บอกท่านว่านัสจะกลับกรุงเทพฯ ถ้านัสเข้าบ้านแล้วนัสคงออกมาหาคุณไม่ได้” เธอพูดเสียงสั่นแต่ใจเจ็บร้าวไปหมด เมื่อรู้ตัวว่าความสัมพันธ์ทางกายหลังจากนี้ มันคือเรื่องของการชดใช้ล้วนๆ ปราณต์ไม่หลงเหลือความรู้สึกอย่างอื่นให้กับเธออีกแล้ว
บทที่ 35แท็กซี่จากสนามบินแล่นมาจอดยังลานหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวางกว่าสามร้อยตารางวา มีรั้วรอบขอบชิดแน่นหนา พื้นที่รอบบ้านเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของสนามหญ้าซึ่งปลูกแซมด้วยต้นปาล์ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่ากว้างขวาง ชวนสบาย บ่งบอกถึงฐานะผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดีสำอางกับลุงเล็กสองสามีภรรยาที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านรวมทั้งสายหยุดลูกสาวของทั้งคู่ต่างเดินมาดู เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาจากรถคือปราณต์ซึ่งมาพร้อมกับนัสรินที่เป็นอดีตภรรยาเก่าก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก“สวัสดีค่ะคุณปราณต์ คุณนัส” สำอางยกมือขึ้นไหว้ทั้งสองคน ซึ่งปราณต์และนัสรินก็ยกมือขึ้นรับไหว้ เพราะถึงแม้ว่าสำอางจะเป็นลูกจ้างแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่า“สบายดีนะป้าสำอาง ลุงเล็ก สายหยุด”“สบายดีทุกคนค่ะ อิฉันไม่ทราบว่าคุณปราณต์จะมา ไม่อย่างนั้นคงให้ตาเล็กไปรับที่สนามบินแล้วละค่ะ”“ไม่เป็นไรหรอก ผมนั่งแท็กซี่มาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ทุกคนมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมดูแลตัวเองได้ อ้อ...แล้วไม่ต้องโทร.บอกแม่ล่ะว่าผมมาที่นี่” ปราณต์สั่งกำชับในประโยคท้าย ทำให้ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้ แม้จะสงสัยและอยากบอกแม่เลี้ยงลัก
บทที่ 36“ผมพูดความจริงต่างหาก หรือคุณจะปฏิเสธว่าเวลาคุณจะถึงคุณไม่ครางแบบนี้”“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดนัสจะ...จะ...” จู่ๆ นัสรินก็คิดไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ ว่าจะขู่อะไรดี ปราณต์ถึงจะกลัว“จะอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและยิ้มยวนอย่างท้าทาย นั่นยิ่งทำให้คนที่เป็นฝ่ายถูกต้อนเจ็บใจมากกว่าเดิม จึงคว้ามีดที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยกขึ้น“นัสจะแทงคุณด้วยมีดนี่” นัสรินหวังว่าความแหลมคมของมีดจะทำให้ปราณต์กลัวและเลิกตอแยกับเธอ แต่เปล่าเลยเขายังคงยืนนิ่งและท้าทายให้เธอลงมือจริงๆ“ก็เอาสินัสริน อยากแทงตรงไหนบนตัวผมก็แทงเลย จะแทงที่คอ ที่หัวใจ หรือจะที่ท้องก็ได้นะ ผมขออย่างเดียวอย่าแทงข้างหลังผมอีก”“คุณอย่านึกว่านัสไม่กล้านะ” ปากขู่ฟ่อ แต่มือสั่นเทา ขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวเมื่อปราณต์ยืนรอราวกับไม่อนาทรต่อความเจ็บปวดที่เธอจะมอบให้แม้แต่นิด“ก็ไม่คิดว่าจะไม่กล้า ผมแค่บอกให้คุณแทงตามสบาย แทงได้ทุกที่ ยกเว้นข้างหลังผม”คำพูดอันตอกย้ำว่าเขาไม่อยากถูกแทงข้างหลังอีก บวกกับท่าทีที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของร่างสูงซึ่งอยู่ตรงหน้า ทำให้นัสรินเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง เธอวางมีดในมือลงที่เดิม พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจนตัวโยน“
บทที่ 37นัสรินคร้านจะมีเรื่องด้วยจึงไปนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อน มองดูปราณต์หยิบนั่นหยิบนี่ใส่กระทะอยู่เงียบๆ ตอนนี้ในห้องครัวไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงการเคลื่อนไหวของเขา และเสียงตะหลิวที่เคาะกับกระทะเป็นระยะไม่นานข้าวผัดอเมริกันหน้าตาน่ากินสองจานก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะ จากนั้นทั้งเขาและเธอต่างก็นั่งกินเงียบๆ หากแต่หญิงสาวแทบจะกลืนข้าวไม่ลง เพราะมีสายตาคมๆ นั้นจดจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เมื่ออิ่มนัสรินก็ทำหน้าที่เก็บจานไปล้างอย่างอ้อยอิ่ง พลางคิดว่าหลังจากนี้จะหลบเลี่ยงปราณต์ยังไง เธออยากมีเวลาอยู่กับตัวเองก่อน ไม่ใช่อยู่ในสายตาของเขาทุกย่างก้าวแบบนี้ แต่ปราณต์ก็ไม่ให้เวลาเธอคิด เมื่อเธอล้างจานไม่เสร็จเสียที เขาก็เป็นฝ่ายดึงจานจากมือเล็ก จัดการล้างเสียเองและเสร็จภายในไม่กี่พริบตา จากนั้นเขาก็หันหน้ามาเผชิญกับคนที่ยืนมองอยู่ข้างๆ พร้อมกับจับข้อมือของเธอเอาไว้มั่น“คราวนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เราขึ้นห้องกันเถอะ”ขึ้นห้อง...เขาคงไม่พาขึ้นไปเฉยๆ หรอกกระมัง ในเมื่อเขาประกาศความต้องการของตัวเองออกจะชัด ว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม“คุณขึ้นไปก่อนเถอะค่ะ นัสขอเดินย่อยอาหารสักพัก” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่เธอคิดออกในเ
บทที่ 38ขณะที่นัสรินกำลังขุ่นเคืองคนพูด ร่างสูงก็ขยับมายืนซ้อนหลัง ทำเอานัสรินตัวแข็งทื่อกลัวว่าปราณต์จะมาทำอะไรอย่างที่ตัวเองนึกหวาดหวั่น ไม่ใช่ว่าเธอจะรังเกียจหรือไม่ไยดีต่อไฟปรารถนาของเขา ตรงกันข้ามเธอกลับโหยหามันอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เธอรู้สึกแย่กับตัวเองที่ร่างกายนี้เป็นที่ปรารถนาของเขา หากแต่หัวใจของเธอเขากลับไม่คิดแม้แต่จะเหลียวแล“เมื่อไหร่จะเลิกประวิงเวลา ไหนว่าอาบน้ำเสร็จจะไปนอนรอบนเตียง” เขาทวงถามถึงคำพูดที่เธอพูดใส่หน้าเขาก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ“ผมนัสยังไม่แห้งนี่คะ จะให้ไปนอน หมอนคุณก็เปียกแย่” เสียงหวานตอบพลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดมือราวกับไม่สนใจคำพูดของเขา ทั้งๆ ที่ตอนนี้หัวใจเต้นแรงโลดไปหมด“หมอนเปียก ผมไม่ซีเรียสหรอก แต่ผมจะซีเรียสถ้าหากว่าส่วนอื่นของคุณ ‘เปียก’ โดยที่ผมไม่ได้เป็นคนทำ”คำพูดของเขาทำให้ร่างบางที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตอนแรกลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ และหันหน้าไปเผชิญกับคนชอบหาเรื่องและพูดจาสองแง่สองง่ามด้วยสายตาเคืองขุ่น“หมอลามก! นัสไม่เคยเป็นแบบนั้น”“งั้นก็แสดงว่า ‘เปียก’ เฉพาะกับผมน่ะสิ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างยียวนแววตาก็ไหวระริกอย่างคนที่กำลังขำแต่หน้ากลั
บทที่ 39“หิวหรือเปล่า อยากกินอะไรมั้ย” ปราณต์หันมาถามหลังออกจากร้านเสื้อผ้าแล้ว“ไม่ค่ะ” นัสรินตอบสั้นๆ ไม่อยากพูดอะไรกับเขาในตอนนี้“ถ้าอย่างนั้นก็กลับ”มือข้างหนึ่งตวัดมากระชับมือของเธอแล้วจูงให้เดินตาม อีกมือถือถุงเสื้อผ้าที่เขาบอกพนักงานขายให้รวมใส่ถุงแค่สามถุงเพื่อจะได้ไม่พะรุงพะรัง แล้วเดินเคียงคู่กันออกไปยังรถ ทำให้นัสรินอดคิดไม่ได้ ตอนนี้ท่าทางที่เขากำลังปฏิบัติกับเธอคงทำให้คนมองเข้าใจว่า เธอกับเขาเป็นคู่รักหรือสามีภรรยาที่มาเดินเที่ยวห้างซื้อของด้วยกันในวันหยุด มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ตอนนี้เธอเป็นเมียเก็บและนางบำเรอของเขาเต็มตัวแล้วนัสรินแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าปราณต์ไม่ได้ขับรถกลับบ้านของเขาอย่างที่เธอคิด แต่เบนจุดหมายไปทางอื่นเหมือนกับว่าเขามีธุระจะทำต่อ ทั้งๆ ที่ก่อนออกจากห้างเขาบอกเธอว่าจะพากลับตาคู่สวยมองถนนเส้นนั้นอย่างคุ้นเคย เพราะมันเป็นถนนที่ไปยังบ้านของเธอ และเมื่อปราณต์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของเธอจริงๆ เธอก็หันไปมองเขาอย่างหวาดหวั่น“คุณพานัสมาที่นี่ทำไมคะ” นัสรินรีบถามอย่างร้อนใจ กลัวว่าเขาจะทำอะไรห่ามๆ ให้เธอได้อับอายขายหน้าพ่อแม่อีก
บทที่ 40ทันทีที่กลับมาทำงานเชียงใหม่ในเช้าวันจันทร์ นัสรินก็ได้รับโทรศัพท์จากกิตติ บอกว่าทางโรงพยาบาลจะจัดงานเลี้ยงราตรีสโมสรเพื่อระดมทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ บริษัทของเธอในฐานะซัพพลายเออร์จึงต้องไปร่วมงานดังกล่าวและนำทุนส่วนหนึ่งไปมอบให้เพื่อแสดงไมตรีจิต และนัสรินก็ถูกมอบหมายจากกิตติให้ไปร่วมงานดังกล่าวนัสรินรับปากแต่ก็คิดหนัก เพราะคาดว่าต้องเจอปราณต์ในงานนั้นแน่ๆ แต่อีกใจก็ปลอบตัวเองว่า คนในงานน่าจะเยอะอยู่พอสมควร หากเธอหลบเลี่ยงดีๆ ก็คงหนีสายตาของปราณต์พ้น ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเรื่องเดียวที่ยังเป็นปัญหาก็คือเรื่องชุดที่จะใส่ไปร่วมงาน เธอไม่ได้เตรียมชุดเพื่อจะออกงานกลางคืนมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจะต้องได้ไป ดังนั้นหลังจากเคลียร์งานที่โต๊ะเสร็จ นัสรินจึงขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเชียงใหม่ เพื่อหาชุดราคาจับต้องได้สักชุดสำหรับใส่ไปร่วมงานร่างบางเดินแค่มองสำรวจ ยังไม่ได้แวะร้านไหน เพราะอยากดูโดยรวมก่อน เดินดูชุดร้านนั้นร้านนี้ผ่านกระจกหน้าร้านไปเรื่อยๆ ก็คิดถึงเสื้อผ้าที่ปราณต์พาไปซื้อ ชุดที่เขาซื้อให้มีแต่ชุดแพงๆ วันนั้นเขาหมดไปหลายหมื่นเหมือนกัน ทว่าเธอก็ทิ้งชุดพวกนั้นไว้ในร
บทที่ 41“จะไปงานอะไรคะแม่เลี้ยง”“หนูนัสจะไปงานเลี้ยงราตรีสโมสรของโรงพยาบาล น่าจะจัดที่หอประชุมจังหวัดนั่นแหละ แต่ฉันอยากให้ลูกสะใภ้ของฉันสวยและเด่นที่สุดในงาน คุณวรรณจัดให้ได้ไหม”“ไม่มีปัญหาค่ะแม่เลี้ยง เชิญวัดตัวค่ะคุณนัส”“คุณแม่คะ...” นัสรินกำลังจะเอ่ยแย้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่แม่เลี้ยงลักษิกาไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธใดๆ“แม่เองก็ถูกเชิญให้ไปงานนี้เหมือนกัน กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ใครไปแทน เห็นหนูนัสว่าจะไปแม่ก็เลยคิดออก ถือว่าแม่ขอร้องก็แล้วกันนะ แม่จะให้หนูนัสเอาซองของแม่ไปด้วย ถือว่าเป็นตัวแทนของบริษัทด้วย ของแม่ด้วย พอดีช่วงนี้แม่ขี้เกียจออกงาน แก่แล้วก็อยากอยู่กับลูกกับหลานสบายๆ บ้าง”เมื่อถูกขอร้องแกมบังคับเช่นนั้น นัสรินจึงจำต้องยอมให้เจ้าของห้องเสื้อวัดตัวและเลือกแบบชุดให้ตามที่เห็นสมควร พอวัดตัวและเลือกแบบชุดเสร็จแม่เลี้ยงก็สั่งกำชับวรรณาว่า ขอให้เร่งตัดชุดและนำชุดไปส่งให้กับนัสรินที่อพาร์ตเมนต์ของเธอหลังจากวรรณากลับไปแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาก็ไปเปิดเซฟ เขียนเช็คใส่ซองสำหรับบริจาคสมทบทุนให้กับโรงพยาบาล พร้อมกับถือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ติดมือมาด้วยกล่องหนึ่ง“นี่เป็นซองที่แม่จะฝากไป
บทที่ 1เรากำลังจะหมั้น!คนที่รอคอยและลุ้นอะไรมากๆ มักจะตื่นเต้นเสมอ และยิ่งเป็นเรื่องที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปตลอดกาล มันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกเป็นหลายเท่า ความรู้สึกของผู้หญิงทุกคนเมื่อวันสำคัญของตัวเองมาถึงคงไม่ต่างกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่รอคอยให้พิธีการมาถึงร่างบางสวยสง่างามระหงในชุดเดรสสีขาวแบบเปิดไหล่เล็กน้อย แขนยาว ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าลูกไม้สีขาวทั้งชุด ผมดำขลับถูกม้วนเป็นก้นหอยคล้ายกลีบดอกกุหลาบและรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย เปิดใบหน้างดงามที่ไร้ไฝฝ้าตำหนิใดๆ มีเพียงแค่เครื่องสำอางชั้นดีซึ่งแต่งเติมโดยโทนสีชมพูอมส้ม เพื่อให้ใบหน้านั้นดูมีสีสันและโดดเด่นยิ่งขึ้น บนลำคอมีสร้อยเพชรเส้นเล็กๆ เข้าชุดกับต่างหูที่ใส่ประดับแค่พองามหากเป็นยามปกติ เธอคงไม่คิดจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราและราคาแพงขนาดนี้ แม้กระทั่งในยามที่ต้องออกงานสังคมกับบิดามารดาเป็นบางครั้งบางคราว เธอก็เลือกเสื้อผ้าที่ราคาไม่ได้แพงอะไร ด้วยรู้ว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นใส่ออกงานซ้ำได้เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่สำหรับงานวันนี้และชุดนี้มันคือข้อยกเว้น เพราะมันเป็นชุดที่นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาแพงเฉียดหมื่นทั้งห
บทที่ 41“จะไปงานอะไรคะแม่เลี้ยง”“หนูนัสจะไปงานเลี้ยงราตรีสโมสรของโรงพยาบาล น่าจะจัดที่หอประชุมจังหวัดนั่นแหละ แต่ฉันอยากให้ลูกสะใภ้ของฉันสวยและเด่นที่สุดในงาน คุณวรรณจัดให้ได้ไหม”“ไม่มีปัญหาค่ะแม่เลี้ยง เชิญวัดตัวค่ะคุณนัส”“คุณแม่คะ...” นัสรินกำลังจะเอ่ยแย้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่แม่เลี้ยงลักษิกาไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธใดๆ“แม่เองก็ถูกเชิญให้ไปงานนี้เหมือนกัน กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ใครไปแทน เห็นหนูนัสว่าจะไปแม่ก็เลยคิดออก ถือว่าแม่ขอร้องก็แล้วกันนะ แม่จะให้หนูนัสเอาซองของแม่ไปด้วย ถือว่าเป็นตัวแทนของบริษัทด้วย ของแม่ด้วย พอดีช่วงนี้แม่ขี้เกียจออกงาน แก่แล้วก็อยากอยู่กับลูกกับหลานสบายๆ บ้าง”เมื่อถูกขอร้องแกมบังคับเช่นนั้น นัสรินจึงจำต้องยอมให้เจ้าของห้องเสื้อวัดตัวและเลือกแบบชุดให้ตามที่เห็นสมควร พอวัดตัวและเลือกแบบชุดเสร็จแม่เลี้ยงก็สั่งกำชับวรรณาว่า ขอให้เร่งตัดชุดและนำชุดไปส่งให้กับนัสรินที่อพาร์ตเมนต์ของเธอหลังจากวรรณากลับไปแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาก็ไปเปิดเซฟ เขียนเช็คใส่ซองสำหรับบริจาคสมทบทุนให้กับโรงพยาบาล พร้อมกับถือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ติดมือมาด้วยกล่องหนึ่ง“นี่เป็นซองที่แม่จะฝากไป
บทที่ 40ทันทีที่กลับมาทำงานเชียงใหม่ในเช้าวันจันทร์ นัสรินก็ได้รับโทรศัพท์จากกิตติ บอกว่าทางโรงพยาบาลจะจัดงานเลี้ยงราตรีสโมสรเพื่อระดมทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ บริษัทของเธอในฐานะซัพพลายเออร์จึงต้องไปร่วมงานดังกล่าวและนำทุนส่วนหนึ่งไปมอบให้เพื่อแสดงไมตรีจิต และนัสรินก็ถูกมอบหมายจากกิตติให้ไปร่วมงานดังกล่าวนัสรินรับปากแต่ก็คิดหนัก เพราะคาดว่าต้องเจอปราณต์ในงานนั้นแน่ๆ แต่อีกใจก็ปลอบตัวเองว่า คนในงานน่าจะเยอะอยู่พอสมควร หากเธอหลบเลี่ยงดีๆ ก็คงหนีสายตาของปราณต์พ้น ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเรื่องเดียวที่ยังเป็นปัญหาก็คือเรื่องชุดที่จะใส่ไปร่วมงาน เธอไม่ได้เตรียมชุดเพื่อจะออกงานกลางคืนมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจะต้องได้ไป ดังนั้นหลังจากเคลียร์งานที่โต๊ะเสร็จ นัสรินจึงขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเชียงใหม่ เพื่อหาชุดราคาจับต้องได้สักชุดสำหรับใส่ไปร่วมงานร่างบางเดินแค่มองสำรวจ ยังไม่ได้แวะร้านไหน เพราะอยากดูโดยรวมก่อน เดินดูชุดร้านนั้นร้านนี้ผ่านกระจกหน้าร้านไปเรื่อยๆ ก็คิดถึงเสื้อผ้าที่ปราณต์พาไปซื้อ ชุดที่เขาซื้อให้มีแต่ชุดแพงๆ วันนั้นเขาหมดไปหลายหมื่นเหมือนกัน ทว่าเธอก็ทิ้งชุดพวกนั้นไว้ในร
บทที่ 39“หิวหรือเปล่า อยากกินอะไรมั้ย” ปราณต์หันมาถามหลังออกจากร้านเสื้อผ้าแล้ว“ไม่ค่ะ” นัสรินตอบสั้นๆ ไม่อยากพูดอะไรกับเขาในตอนนี้“ถ้าอย่างนั้นก็กลับ”มือข้างหนึ่งตวัดมากระชับมือของเธอแล้วจูงให้เดินตาม อีกมือถือถุงเสื้อผ้าที่เขาบอกพนักงานขายให้รวมใส่ถุงแค่สามถุงเพื่อจะได้ไม่พะรุงพะรัง แล้วเดินเคียงคู่กันออกไปยังรถ ทำให้นัสรินอดคิดไม่ได้ ตอนนี้ท่าทางที่เขากำลังปฏิบัติกับเธอคงทำให้คนมองเข้าใจว่า เธอกับเขาเป็นคู่รักหรือสามีภรรยาที่มาเดินเที่ยวห้างซื้อของด้วยกันในวันหยุด มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ตอนนี้เธอเป็นเมียเก็บและนางบำเรอของเขาเต็มตัวแล้วนัสรินแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าปราณต์ไม่ได้ขับรถกลับบ้านของเขาอย่างที่เธอคิด แต่เบนจุดหมายไปทางอื่นเหมือนกับว่าเขามีธุระจะทำต่อ ทั้งๆ ที่ก่อนออกจากห้างเขาบอกเธอว่าจะพากลับตาคู่สวยมองถนนเส้นนั้นอย่างคุ้นเคย เพราะมันเป็นถนนที่ไปยังบ้านของเธอ และเมื่อปราณต์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของเธอจริงๆ เธอก็หันไปมองเขาอย่างหวาดหวั่น“คุณพานัสมาที่นี่ทำไมคะ” นัสรินรีบถามอย่างร้อนใจ กลัวว่าเขาจะทำอะไรห่ามๆ ให้เธอได้อับอายขายหน้าพ่อแม่อีก
บทที่ 38ขณะที่นัสรินกำลังขุ่นเคืองคนพูด ร่างสูงก็ขยับมายืนซ้อนหลัง ทำเอานัสรินตัวแข็งทื่อกลัวว่าปราณต์จะมาทำอะไรอย่างที่ตัวเองนึกหวาดหวั่น ไม่ใช่ว่าเธอจะรังเกียจหรือไม่ไยดีต่อไฟปรารถนาของเขา ตรงกันข้ามเธอกลับโหยหามันอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เธอรู้สึกแย่กับตัวเองที่ร่างกายนี้เป็นที่ปรารถนาของเขา หากแต่หัวใจของเธอเขากลับไม่คิดแม้แต่จะเหลียวแล“เมื่อไหร่จะเลิกประวิงเวลา ไหนว่าอาบน้ำเสร็จจะไปนอนรอบนเตียง” เขาทวงถามถึงคำพูดที่เธอพูดใส่หน้าเขาก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ“ผมนัสยังไม่แห้งนี่คะ จะให้ไปนอน หมอนคุณก็เปียกแย่” เสียงหวานตอบพลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดมือราวกับไม่สนใจคำพูดของเขา ทั้งๆ ที่ตอนนี้หัวใจเต้นแรงโลดไปหมด“หมอนเปียก ผมไม่ซีเรียสหรอก แต่ผมจะซีเรียสถ้าหากว่าส่วนอื่นของคุณ ‘เปียก’ โดยที่ผมไม่ได้เป็นคนทำ”คำพูดของเขาทำให้ร่างบางที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตอนแรกลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ และหันหน้าไปเผชิญกับคนชอบหาเรื่องและพูดจาสองแง่สองง่ามด้วยสายตาเคืองขุ่น“หมอลามก! นัสไม่เคยเป็นแบบนั้น”“งั้นก็แสดงว่า ‘เปียก’ เฉพาะกับผมน่ะสิ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างยียวนแววตาก็ไหวระริกอย่างคนที่กำลังขำแต่หน้ากลั
บทที่ 37นัสรินคร้านจะมีเรื่องด้วยจึงไปนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อน มองดูปราณต์หยิบนั่นหยิบนี่ใส่กระทะอยู่เงียบๆ ตอนนี้ในห้องครัวไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงการเคลื่อนไหวของเขา และเสียงตะหลิวที่เคาะกับกระทะเป็นระยะไม่นานข้าวผัดอเมริกันหน้าตาน่ากินสองจานก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะ จากนั้นทั้งเขาและเธอต่างก็นั่งกินเงียบๆ หากแต่หญิงสาวแทบจะกลืนข้าวไม่ลง เพราะมีสายตาคมๆ นั้นจดจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เมื่ออิ่มนัสรินก็ทำหน้าที่เก็บจานไปล้างอย่างอ้อยอิ่ง พลางคิดว่าหลังจากนี้จะหลบเลี่ยงปราณต์ยังไง เธออยากมีเวลาอยู่กับตัวเองก่อน ไม่ใช่อยู่ในสายตาของเขาทุกย่างก้าวแบบนี้ แต่ปราณต์ก็ไม่ให้เวลาเธอคิด เมื่อเธอล้างจานไม่เสร็จเสียที เขาก็เป็นฝ่ายดึงจานจากมือเล็ก จัดการล้างเสียเองและเสร็จภายในไม่กี่พริบตา จากนั้นเขาก็หันหน้ามาเผชิญกับคนที่ยืนมองอยู่ข้างๆ พร้อมกับจับข้อมือของเธอเอาไว้มั่น“คราวนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เราขึ้นห้องกันเถอะ”ขึ้นห้อง...เขาคงไม่พาขึ้นไปเฉยๆ หรอกกระมัง ในเมื่อเขาประกาศความต้องการของตัวเองออกจะชัด ว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม“คุณขึ้นไปก่อนเถอะค่ะ นัสขอเดินย่อยอาหารสักพัก” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่เธอคิดออกในเ
บทที่ 36“ผมพูดความจริงต่างหาก หรือคุณจะปฏิเสธว่าเวลาคุณจะถึงคุณไม่ครางแบบนี้”“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดนัสจะ...จะ...” จู่ๆ นัสรินก็คิดไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ ว่าจะขู่อะไรดี ปราณต์ถึงจะกลัว“จะอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและยิ้มยวนอย่างท้าทาย นั่นยิ่งทำให้คนที่เป็นฝ่ายถูกต้อนเจ็บใจมากกว่าเดิม จึงคว้ามีดที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยกขึ้น“นัสจะแทงคุณด้วยมีดนี่” นัสรินหวังว่าความแหลมคมของมีดจะทำให้ปราณต์กลัวและเลิกตอแยกับเธอ แต่เปล่าเลยเขายังคงยืนนิ่งและท้าทายให้เธอลงมือจริงๆ“ก็เอาสินัสริน อยากแทงตรงไหนบนตัวผมก็แทงเลย จะแทงที่คอ ที่หัวใจ หรือจะที่ท้องก็ได้นะ ผมขออย่างเดียวอย่าแทงข้างหลังผมอีก”“คุณอย่านึกว่านัสไม่กล้านะ” ปากขู่ฟ่อ แต่มือสั่นเทา ขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวเมื่อปราณต์ยืนรอราวกับไม่อนาทรต่อความเจ็บปวดที่เธอจะมอบให้แม้แต่นิด“ก็ไม่คิดว่าจะไม่กล้า ผมแค่บอกให้คุณแทงตามสบาย แทงได้ทุกที่ ยกเว้นข้างหลังผม”คำพูดอันตอกย้ำว่าเขาไม่อยากถูกแทงข้างหลังอีก บวกกับท่าทีที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของร่างสูงซึ่งอยู่ตรงหน้า ทำให้นัสรินเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง เธอวางมีดในมือลงที่เดิม พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจนตัวโยน“
บทที่ 35แท็กซี่จากสนามบินแล่นมาจอดยังลานหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวางกว่าสามร้อยตารางวา มีรั้วรอบขอบชิดแน่นหนา พื้นที่รอบบ้านเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของสนามหญ้าซึ่งปลูกแซมด้วยต้นปาล์ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่ากว้างขวาง ชวนสบาย บ่งบอกถึงฐานะผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดีสำอางกับลุงเล็กสองสามีภรรยาที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านรวมทั้งสายหยุดลูกสาวของทั้งคู่ต่างเดินมาดู เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาจากรถคือปราณต์ซึ่งมาพร้อมกับนัสรินที่เป็นอดีตภรรยาเก่าก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก“สวัสดีค่ะคุณปราณต์ คุณนัส” สำอางยกมือขึ้นไหว้ทั้งสองคน ซึ่งปราณต์และนัสรินก็ยกมือขึ้นรับไหว้ เพราะถึงแม้ว่าสำอางจะเป็นลูกจ้างแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่า“สบายดีนะป้าสำอาง ลุงเล็ก สายหยุด”“สบายดีทุกคนค่ะ อิฉันไม่ทราบว่าคุณปราณต์จะมา ไม่อย่างนั้นคงให้ตาเล็กไปรับที่สนามบินแล้วละค่ะ”“ไม่เป็นไรหรอก ผมนั่งแท็กซี่มาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ทุกคนมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมดูแลตัวเองได้ อ้อ...แล้วไม่ต้องโทร.บอกแม่ล่ะว่าผมมาที่นี่” ปราณต์สั่งกำชับในประโยคท้าย ทำให้ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้ แม้จะสงสัยและอยากบอกแม่เลี้ยงลัก
บทที่ 34นัสรินหยิบมาเปิดดู ก่อนจะหน้าซีดเผือดราวกับขาดโลหิตอย่างอึ้งๆ เพราะจำนนด้วยหลักฐาน เธอไม่คิดว่าปราณต์จะได้เห็นการ์ดพวกนี้ เพราะการ์ดพวกนี้เป็นส่วนที่เธอแจกให้กับญาติและเพื่อนสนิทฝั่งตัวเอง ซึ่งในการ์ดแต่งงานที่ออกแบบอย่างสวยงามนั้น ระบุชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นชื่อของเธอกับเขา นั่นเป็นการยืนยันชัดว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะสาเหตุของการตกกระไดพลอยโจน แต่เกิดจากความตั้งใจของเธอกับปรัชญ์ที่วางแผนการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะให้ปราณต์แต่งงานกับเธอแทน“คุณอยากให้นัสชดใช้ยังไงล่ะคะ” เธอหันไปถามเมื่อคิดว่ายังไงเรื่องนี้ตัวเองก็เป็นคนทำผิดจริงๆ“คุณน่าจะรู้ดีนะนัสริน ว่าผมยังต้องการร่างกายของคุณ”คำพูดนั้นแสนเย็นชาและฟังดูใจร้ายเหลือเกิน และแม้นัสรินจะรู้อยู่แล้วก็ยังอดปลาบแปลบใจไม่ได้“นัสก็ให้คุณไปแล้วนี่คะ” นัสรินเชิดหน้าขึ้นตอบ พยายามทำตัวให้นิ่งเฉย เหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาต่อคำพูดของเขาเช่นกัน“น้อยไปไหม แค่ครั้งเดียวผมยังไม่อิ่มหรอก”“แล้วต้องกี่ครั้ง คุณปราณต์ถึงจะพอ”“จนกว่าผมจะพอใจ”นัสรินจ้องหน้าคนใจร้ายเลือดเย็นอย่างน้อยใจ เขาช่างพูดออกมาได้ว่าเธอ
บทที่ 33เสียงโทรศัทพ์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ทำให้ตาคู่สวยที่บอบช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักในตอนเช้า ต้องละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อก้มดูหน้าจอว่าใครโทร.มา แม้หัวใจจะเจ็บช้ำปานใดเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทร.เข้ามาเป็นเบอร์ของคนในครอบครัวของปราณต์ แต่นัสรินก็ตัดสินใจรับเพราะอย่างน้อยธรินดาก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักสำหรับเธอมาตลอด ตั้งแต่ครั้งที่เธอยังหมั้นกับปรัชญ์“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก” น้ำเสียงยามกรอกลงไปในโทรศัพท์นั้นยังพยายามฝืนให้เป็นปกติ ไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในอาการเช่นใด แม่เลี้ยงลักษิกาคงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้กับธรินดาและปรัชญ์ฟังหมดแล้ว และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ธรินดาโทร.มาหา“สวัสดีค่ะพี่นัส วันหยุดนี้พี่นัสจะไปไหนหรือเปล่าคะ พวกเราว่าจะไปเที่ยวดอยที่เชียงรายกัน พี่นัสไปด้วยกันไหมคะ”ธรินดาเอ่ยชวนมาอย่างมีไมตรีจนคนฟังสัมผัสได้ถึงความจริงใจ หากเป็นเมื่อก่อนเธออาจลังเลว่าจะไปด้วยดีหรือไม่ เพราะอย่างน้อยคนในครอบครัวของอดีตสามีก็ดีกับเธอทุกคน แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้าเธอคงไม่มีหน้าไปพบใคร“วันเสาร์นี้พี่จะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพฯ น่ะจ้ะ เอาไว