แชร์

บทที่ 39

บทที่ 39

“หิวหรือเปล่า อยากกินอะไรมั้ย” ปราณต์หันมาถามหลังออกจากร้านเสื้อผ้าแล้ว

“ไม่ค่ะ” นัสรินตอบสั้นๆ ไม่อยากพูดอะไรกับเขาในตอนนี้

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับ”

มือข้างหนึ่งตวัดมากระชับมือของเธอแล้วจูงให้เดินตาม อีกมือถือถุงเสื้อผ้าที่เขาบอกพนักงานขายให้รวมใส่ถุงแค่สามถุงเพื่อจะได้ไม่พะรุงพะรัง แล้วเดินเคียงคู่กันออกไปยังรถ ทำให้นัสรินอดคิดไม่ได้ ตอนนี้ท่าทางที่เขากำลังปฏิบัติกับเธอคงทำให้คนมองเข้าใจว่า เธอกับเขาเป็นคู่รักหรือสามีภรรยาที่มาเดินเที่ยวห้างซื้อของด้วยกันในวันหยุด มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ตอนนี้เธอเป็นเมียเก็บและนางบำเรอของเขาเต็มตัวแล้ว

นัสรินแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าปราณต์ไม่ได้ขับรถกลับบ้านของเขาอย่างที่เธอคิด แต่เบนจุดหมายไปทางอื่นเหมือนกับว่าเขามีธุระจะทำต่อ ทั้งๆ ที่ก่อนออกจากห้างเขาบอกเธอว่าจะพากลับ

ตาคู่สวยมองถนนเส้นนั้นอย่างคุ้นเคย เพราะมันเป็นถนนที่ไปยังบ้านของเธอ และเมื่อปราณต์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของเธอจริงๆ เธอก็หันไปมองเขาอย่างหวาดหวั่น

“คุณพานัสมาที่นี่ทำไมคะ” นัสรินรีบถามอย่างร้อนใจ กลัวว่าเขาจะทำอะไรห่ามๆ ให้เธอได้อับอายขายหน้าพ่อแม่อีก แต่ก็ผิดคาดเพราะเขาแค่หันกลับมาพูดด้วยประโยคที่นัสรินไม่คิดว่าจะได้ยิน

“คืนนี้อนุญาตให้ค้างคืนที่บ้านได้วันหนึ่ง”

“นัสนึกว่าคุณจะพานัสกลับไปที่บ้านคุณเสียอีก” นัสรินพึมพำความคิดของตัวเองออกมา

“ก็อยากพาไปนะ แต่ก็ไม่อยากให้คุณกรำศึกหนักเกินไป หรือว่าคุณไหว” เขาหันมาถามพลางจ้องหน้าเนียนของเธอจนคนมองหน้าร้อน

“นัสไม่ได้หื่นเหมือนคุณนี่คะ จะได้อยากตลอดเวลา”

“ผิดแล้วละนัสริน คุณเองก็หื่นพอกัน หรือต้องให้ผมสาธยายว่าเมื่อคืนคุณทำอะไรกับร่างกายของผมบ้าง”

นัสรินหน้าแดงก่ำเมื่อถูกย้อนเช่นนั้น ภาพเมื่อคืนยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ แม้เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มแต่ในระหว่างทางเขาก็ไม่ได้เป็นผู้ให้ฝ่ายเดียว เขายังสอนและใช้ประสบการณ์ที่มากกว่าบีบบังคับให้เธอเป็นฝ่ายทำในสิ่งที่เขาต้องการจะให้ทำ ซึ่งแรกๆ ก็เหมือนจะถูกบังคับ ทว่าตอนหลังนัสรินรู้ดีว่าตัวเองทำไปเพราะความปรารถนาในส่วนลึกและพอใจที่ได้เห็นเขาครางระส่ำจากฝีมือตัวเอง

“คนบ้า! ชอบพูดอะไรให้คนอื่นขายหน้าอยู่เรื่อย”

“ผมไม่ได้ถนัดแค่พูดนะ ทำผมก็ถนัด”

“นัสรู้ซึ้งดีค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าบ้านเถอะ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ แล้วเจอกันที่เชียงใหม่นะเด็กดี” เขาบอกเสียงนุ่มและทำให้สิ่งที่นัสรินต้องวาบหวามด้วยการยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มใสของเธอ คนถูกหอมแก้มได้แต่มองค้อน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากผลักประตูรถลงไป แล้วเดินเข้าบ้านไปหาพ่อแม่ โดยไม่ยอมหยิบถุงเสื้อผ้าไปด้วย ใครเป็นคนซื้อก็ถือกลับไปเชียงใหม่เอาเองก็แล้วกัน

พลตรีชยุตและคุณนิภาต่างมองหน้ากันอย่างแปลกใจ โดยที่คุณนิภาเป็นฝ่ายอุทานออกมาเมื่อเห็นลูกสาวคนเดียวเดินเข้ามาในบ้าน หญิงสาวตรงเข้าไปกราบที่ตักพ่อกับแม่ จากนั้นร่างบางก็ถูกมารดาดึงเข้าไปกอดและหอมแก้มซ้ายขวาอย่างคิดถึง

“มาได้ไงยัยนัส ทำไมไม่โทร.มาบอกพ่อกับแม่ก่อน”

“ก็กะจะมาเซอร์ไพรส์ไงคะ” นัสรินตอบพลางยิ้มอย่างร่าเริงกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง

“แล้วนี่เพิ่งมาถึงเหรอ มายังไงทำไมไม่โทร.บอกให้พ่อกับแม่ไปรับ” คุณนิภาซักต่อ นัสรินพยายามจะไม่สบตามารดาโดยซบหน้าลงที่อก ก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่ตรงกับความจริงเลยสักนิด

“นัสไม่อยากกวนคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ก็เลยนั่งรถแท็กซี่มา” ตอบเสร็จก็กล่าวขอโทษมารดาในใจที่พูดจามดเท็จ

“แล้วเป็นยังไงไปอยู่เชียงใหม่ มีเรื่องอะไรบ้างหรือเปล่า เล่าให้พ่อกับแม่ฟังหน่อยซิ”

“ก็เรื่อยๆ ค่ะคุณแม่ ไม่มีอะไรมาก”

“แล้วได้พบแม่เลี้ยงลักษิกาบ้างหรือเปล่า” มารดาถามถึงอดีตคนที่เคยเกี่ยวดองกัน อย่างน้อยแม่เลี้ยงลักษิกาก็เป็นผู้ใหญ่ที่นับว่าเมตตาลูกสาวของตนมาก ถึงแม้ว่าชีวิตการแต่งงานของลูกสาวของตนกับลูกชายของแม่เลี้ยงจะพังลงไม่เป็นท่าก็ตาม

“พบค่ะ ท่านยังเมตตานัสเหมือนเดิม”

“แล้วหมอปราณต์ล่ะลูก ได้เจอกันบ้างไหม”

คำถามนั้นของมารดาทำให้นัสรินที่โกหกไม่เก่งเริ่มอึกอักและนิ่งงันไปชั่วขณะ เพราะหาคำพูดมาตอบไม่ได้

“ว่าไงล่ะยัยนัสทำไมเงียบไป” คุณนิภาถามซ้ำและหลุบตาลงมองลูกสาวอย่างสงสัย

“เปล่าค่ะ...ที่นัสเงียบก็เพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไง”

“ตอบตามตรงสิ หรือว่าเดี๋ยวนี้มีความลับกับพ่อแม่”

เป็นอีกครั้งที่นัสรินไม่กล้าสู้สายตามารดา หากเป็นแต่ก่อนเธอเองคงไม่มีความลับใดๆ และกล้าที่จะพูดจากับพ่อแม่ตรงๆ แต่ในยามนี้เรื่องจริงบางเรื่องเธอก็ไม่อาจเอ่ยถึงได้ เพราะมันจะนำมาซึ่งความไม่สบายใจต่อบุพการีทั้งสอง

“ถ้าให้ตอบตรงๆ ก็ได้เจอกันบ้างค่ะ”

“แล้วหมอปราณต์มีท่าทียังไง”

“ก็ไม่มีอะไรค่ะ ทักทายกันตามปกติ”

“แค่นั้นน่ะเหรอ” คุณนิภาถามอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อนัก นัสรินจึงต้องรีบฉีกยิ้มพร้อมกับทำสีหน้าและแววตาให้ดูสดใสร่าเริง

“แค่นั้นจริงๆ ค่ะคุณแม่”

คุณนิภาไม่ค่อยอยากเชื่อนัก ธรรมชาติของนัสรินเป็นคนโกหกไม่เก่ง แม้จะเป็นห่วงแค่ไหนแต่ในยามนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักไซ้ไล่เรียงหรือบีบคั้นลูกสาว เพราะนัสรินโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณนิภาจึงคิดว่าจะให้นัสรินเป็นคนตัดสินใจในทุกๆ เรื่องด้วยตัวเอง หากเรื่องไหนที่ลูกสาวเห็นว่าเหลือบ่ากว่าแรงแล้วมาขอคำปรึกษาก็ค่อยว่ากัน

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status