คุ้มลักษิกาแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิดในความรู้สึกของนัสริน ที่นี่ยังคงใหญ่โต สวยงาม ร่มรื่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบล้านนาเช่นเดิม เธอมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในคุ้มลักษิกาแห่งนี้แค่เพียงสองอาทิตย์หลังจากแต่งงานกับปราณต์ จากนั้นเขาก็พาเธอย้ายออกไปอยู่บ้านเช่า โดยให้เหตุผลกับครอบครัวว่าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทว่าแท้จริงแล้วเขาพาเธอไปเพื่อจะได้ทรมานใจเธอได้อย่างสะดวกต่างหาก
แพขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ และรีบสลัดเรื่องของปราณต์ออกไปจากห้วงความคิด เมื่อปรัชญ์จอดรถที่ลานหน้าเรือนไทยทรงล้านนาหลังใหญ่ ขาเรียวก้าวลงจากรถและตามปรัชญ์กับธรินดาเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นนิดๆ
แม่เลี้ยงลักษิกาเงยหน้าขึ้นจากงานเย็บปักถักร้อย พลางขยับแว่นอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นอดีตลูกสะใภ้เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของตน แต่เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด หญิงวัยกลางคนผู้เป็นประมุขของบ้านก็รำพึงชื่อเจ้าตัวออกมาเบาๆ
“หนูนัส...”
“สวัสดีค่ะคุณแม่” นัสรินย่อตัวลงนั่งพับเพียบและกราบลงบนตักของแม่เลี้ยงลักษิกา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นให้นางพิศมองอีกครั้ง
“หนูนัสจริงๆ ด้วย ไปยังไงมายังไงถึงได้มากับตาปรัชญ์กับหนูเล็กได้ล่ะลูก”
“เล็กกับคุณปรัชญ์เจอพี่นัสที่ห้างก็เลยชวนมาทานข้าวที่บ้านเราน่ะค่ะแม่ใหญ่ พี่นัสบอกว่ามาทำงานที่นี่สามเดือนค่ะ”
“จริงเหรอหนูนัส” แม่เลี้ยงลักษิกาเงยหน้าฟังลูกสาวบุญธรรมของตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าลงมาถามคนที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าตนอีกครั้ง
“ค่ะคุณแม่”
“มาทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ นะแม่คิดถึง คุ้มลักษิกายินดีต้อนรับหนูเสมอ” อดีตแม่สามีบอกอย่างใจดี หลังจากรู้ว่าหญิงสาวต้องมาอยู่ที่เชียงใหม่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะคุณแม่ที่เมตตานัส ถ้านัสมีเวลาจะแวะมาหาบ่อยๆ นะคะ”
“มาจริงๆ นะ อย่าหลอกให้คนแก่ดีใจเก้อล่ะ”
“ค่ะนัสรับปากค่ะ”
แม่เลี้ยงลักษิกาถอนหายใจออกมาเบาๆ เห็นหญิงสาวที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ ทว่าเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้วก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ตนจึงได้แต่ขอให้นัสรินได้มีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมหลังจากที่หย่าร้างกับปราณต์แล้ว
เมื่อทักทายกันพอสมควร แม่เลี้ยงลักษิกาก็ขอให้นัสรินอยู่คุยกับตน ส่วนธรินดาแยกตัวไปเตรียมอาหาร โดยปรัชญ์เป็นคนอุ้มลูกและมีพี่เลี้ยงมาคอยช่วย อดีตแม่สามีถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของอดีตสะใภ้และเล่าเรื่องราวต่างๆ ในคุ้มให้ฟังแทบจะทุกเรื่อง แต่ไม่ได้พูดถึงลูกชายคนโตของตนแต่อย่างใด เพราะเกรงว่านัสรินจะกระอักกระอ่วนใจ
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง อาหารเย็นที่จัดเตรียมก็เสร็จ ธรินดาเดินมาตามทุกคนหลังจากตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าทุกคนที่กำลังจะเดินไปยังห้องรับประทานอาหารก็เกิดอาการชะงักกันหมด เพราะร่างสูงของคนที่ไม่คิดว่าจะมา ปรากฏตัวขึ้นแบบที่ไม่มีใครคาดคิด โดยเฉพาะนัสรินที่ทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ เมื่อเห็นสายตาคมจ้องมองมายังตนราวกับเป็นวัตถุประหลาด... ไหนธรินดาบอกว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่เขากลับบ้าน!
“อ้าวตาปราณต์มาได้ยังไงลูก ไม่ได้ทำงานหรอกเหรอ” แม่เลี้ยงลักษิกาทักลูกชายคนโต เป็นการทำลายบรรยากาศความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วขณะ
“วันนี้ผมหยุดครึ่งวันครับ” ปราณต์ตอบมารดาสั้นๆ โดยสายตายังไม่ละไปจากร่างบางในชุดเสื้อยืดเข้ารูปสีขาวกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้มแต่อย่างใด เขาไม่แปลกใจสักนิดที่เห็นนัสรินมาที่นี่ เพราะเขาแอบตามมาตั้งแต่เห็นเธอเดินอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแล้ว แต่ที่ออกจะไม่พอใจก็เพราะเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่ตอนนี้ต่างหาก แม้มันจะเป็นชุดที่แสนจะธรรมดา แต่ทว่าเสื้อมันก็ตัวเล็กจนทำให้เห็นว่าหน้าอกคู่นั้นอวบอิ่มกลมกลึงเพียงใด แถมช่วงล่างก็เหมือนจงใจอวดส่วนเว้าส่วนโค้งของเอวและสะโพกอีกต่างหาก
“มาก็ดีแล้ว มาทานข้าวด้วยกัน วันนี้หนูนัสมาทานข้าวที่บ้านเรา”
“ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่”
ตอนที่พูดประโยคนั้นปราณต์ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่นัสรินรู้ว่าเขาพูดกับเธอ เพราะสายตาของเขาพุ่งตรงมายังเธอตั้งแต่แรก เขาคงไม่พอใจที่เธอมาที่นี่
“เล็กเป็นคนชวนพี่นัสมาเองค่ะพี่ปราณต์ พอดีเล็กเจอพี่นัสในห้างน่ะค่ะ” ธรินดาพูดแทรกขึ้นเสียงละมุนละม่อมเพื่อเป็นการไกล่เกลี่ยสถานการณ์อันอึมครึม และนึกสงสารนัสรินเมื่อเห็นสีหน้าของอดีตพี่สะใภ้เจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“งั้นเหรอ”
นัสรินขยับตัวอย่างอึดอัด เพราะรู้ว่าปราณต์จงใจรวน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เธอเองไม่สามารถจะตอบโต้อะไรเขาได้ วิธีที่ดีที่สุดคือไม่ต้องอยู่ให้เขาเห็นหน้าน่าจะดีกว่า
“คุณแม่คะ พี่ปรัชญ์ น้องเล็ก นัสคงต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีนัสต้องกลับไปเคลียร์เอกสารที่ค้างอยู่น่ะค่ะ”
นัสรินขอตัวกลับอย่างรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นที่ระคายเคืองตาของใครบางคน และคิดว่าคนอื่นๆ คงเข้าใจที่เธอจะหนีกลับเอาดื้อๆ แบบนี้
“ไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนเหรอหนูนัส”
แม่เลี้ยงลักษิกาพยายามทัดทานและอดที่จะมองค้อนลูกชายคนโตไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่าที่อดีตลูกสะใภ้ขอตัวกลับแบบกะทันหันเช่นนั้น ก็เพราะสายตาและวาจาของปราณต์ที่ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“เอาไว้โอกาสหน้านัสจะแวะมาเยี่ยมใหม่นะคะคุณแม่”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง” ปรัชญ์บอกพลางส่งลูกสาวให้ภรรยาอุ้มแทน
“แกดูแลเมียกับลูกแกเถอะ ฉันจะไปส่งนัสรินเอง”
คำพูดนั้นของปราณต์ทำเอาทุกคนอึ้งและหันไปจ้องหน้าเขาอย่างไม่วางใจ แต่ปราณต์ยังคงทำหน้านิ่งขรึมราวกับไม่รู้สึกรู้สมกับการมองของใครทั้งนั้น
“จะไม่ถามนัสก่อนเหรอ ว่าอยากให้พี่ปราณต์ไม่ส่งหรือเปล่า” ปรัชญ์ถามสลับกับมองหน้าอดีตคู่หมั้นตัวเองซึ่งยืนหันมาทางเขาเหมือนกับขอความช่วยเหลือ
“ไม่อยากก็ต้องอยาก เขาถนัดทำในเรื่องที่ฝืนใจคนอื่น เพราะฉะนั้นเขาก็น่าจะฝืนใจตัวเองเก่งเหมือนกัน”
ปราณต์ตอกย้ำถึงความผิดร้ายแรงในครั้งอดีตของคนทั้งสองที่กระทำกับตน ทำให้ปรัชญ์ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างรู้สึกผิดกับพี่ชายและผู้หญิงที่กำลังมองตัวเองด้วยสายตาขอความช่วยเหลืออยู่ตอนนี้
บทที่ 16และหลังจากที่พูดเช่นนั้นแล้ว ปราณต์ก็ไม่รอฟังใครอีก เขาขยับมายืนข้างๆ นัสรินและโอบเอวบางพร้อมกับกระตุกเป็นการบังคับให้เธอเดินออกไปพร้อมเขา นัสรินพยายามจะเบี่ยงตัวออกแต่ก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะไหนจะแรงมือของปราณต์ ไหนจะสายตาของคนทั้งบ้านที่กำลังจดจ้องอยู่ จนในที่สุดเธอก็ต้องเข้ามานั่งในรถของปราณต์จนได้“พักที่ไหน?” เขาถามห้วนๆ หลังจากบังคับเธอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว“ลานนาอพาร์ตเมนต์ค่ะ คุณไม่ต้องไปส่งนัสก็ได้นะคะ นัสกลับเองได้” นัสรินไม่ได้ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากแต่คุยด้วยดีๆ เพราะถึงอย่างไรเสีย วันจันทร์เธอก็ต้องเจอเขาอีกตอนไปเซ็นสัญญา จึงไม่อยากก่อเรื่องให้ตัวเองต้องอึดอัดใจอีก “ผมบอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง ผมไม่ใช่พวกคนพูดกลับกลอกหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทำไม? กลัวหรือไงที่ต้องนั่งรถกับผมสองต่อสอง” “นัสไม่ได้กลัว นัสแค่ไม่อยากให้คุณเสียเวลา และรู้ดีว่าคุณไม่อยากเห็นหน้านัสเท่าไหร่” “ไหนบอกว่าจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก แล้วนี่มาทำไม” นัสรินหันขวับไปจ้องหน้าคนถาม ก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว จากที่คิดว่าจะพยายามควบคุม
บทที่ 17ทันทีที่ปราณต์จอดรถยังลานจอดรถของอพาร์ตเมนต์ นัสรินก็รีบปลดเข็มขัดพร้อมทั้งผลักประตูรถ แล้วก้าวไวๆ เข้าไปในตัวตึกทันที โดยไม่ได้กล่าวขอบคุณหรือพูดอะไรกับคนมาส่งเลยแม้แต่นิด มือเรียวเล็กยื่นกดไปเรียกลิฟต์แล้วยืนรออย่างกระวนกระวายเมื่อเห็นว่าปราณต์ลงจากรถและก้าวตามเข้ามาติดๆ ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างและเปิดประตูออกอย่างฉิวเฉียดก่อนที่ปราณต์จะตามมาทัน ร่างบางก้าวเข้าไปข้างในแล้วกดปิดอย่างเร่งรีบ แต่ประตูลิฟต์ยังไม่ทันได้ปิดร่างสูงก็แทรกผ่านเข้ามา และเป็นคนกดปิดประตูเสียเอง พอประตูปิดลงเขาก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ก่อนอย่างเอาเรื่อง ทำให้นัสรินต้องถอยร่นหนีจนชิดผนังลิฟต์อีกฝั่ง “ถอยไปนะคะคุณปราณต์ ต้องการอะไรจากนัสอีก” เสียงหวานเอ่ยไล่สั่นๆ เมื่อปราณต์ตามมาประชิดแถมยังยกมือสองข้างของเขายันกับผนังลิฟต์คร่อมร่างของเธอเอาไว้ด้านใน “ก็ต้องการคำขอบคุณน่ะสิ ผมอุตส่าห์มาส่ง แต่พอมาถึงคุณก็เปิดประตูรถ สะบัดตูดหนีเฉยๆ ต้องให้บอกมั้ยว่าไร้มารยาทแค่ไหน” ปราณต์ถามคนที่ตัวเองขังไว้ในอ้อมแขน โดยไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับคู่ข
บทที่ 18 แม้จะลำบากใจแค่ไหนที่ต้องมาพบคนที่ตัวเองพยายามจะหลีกเลี่ยง แต่นัสรินก็จำต้องมาเพราะมันคือหน้าที่ความรับผิดชอบกับงานที่ทำอยู่ กิตติหัวหน้าของเธอบอกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่า ทางโรงพยาบาลนัดเซ็นสัญญาในเวลาสี่โมงเย็น ทำให้วันนี้ทั้งวันเธอแทบจะไม่มีสมาธิทำงาน เพราะมัวแต่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องมาพบปราณต์ในช่วงเย็น หญิงสาวมาถึงก่อนเวลานัดตามมารยาทอันดี จากนั้นก็เข้าไปรอในห้องประชุมตามที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลบอก นั่งได้ไม่ถึงห้านาทีประตูหน้าห้องก็ถูกเคาะ และคนที่ก้าวเข้ามาก็คือคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอตลอดมา แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องพบเขา แต่หัวใจมันก็ยังเต้นแรงจนกลายเป็นระส่ำ โดยเฉพาะเมื่อปราณต์ปิดประตูห้องลง คล้ายดั่งกันเธอกับเขาออกจากโลกภายนอก และก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับที่เธอนั่งอยู่ “รอนานหรือเปล่า” นายแพทย์หนุ่มหล่อเป็นฝ่ายถามอดีตภรรยาขึ้นก่อน“ไม่นานค่ะ นัสเพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้เอง” นัสรินได้แต่ตอบออกไปแบบออมปากออมคำ เพราะน้ำเสียงของคนถามนั้นช่างแสนเรียบเฉย ราวกับเป็นคนละคนกับคนที่เกือบจะจูบเธอในลิฟต์เมื่อเย
บทที่ 19“นี่ค่ะ” “ใส่ให้ด้วยสิ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามือไม่ว่าง” ไม่แค่พูดแต่ยังกระชับสองมือที่กอดเอวเล็กเข้าหากันแน่นกว่าเดิมเป็นการย้ำว่าตอนนี้มือเขากำลังทำอะไรอยู่ คนถูกแกล้งเกือบจะหลุดจากการควบคุมตัวเอง หากก็ยังยอมทำตามความต้องการของเขาอีกรอบ แล้วนั่งนิ่งๆ เพื่อให้เขาอ่านเอกสารเสียที คราวนี้ปราณต์ยอมกวาดสายตาไปตามตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษอย่างละเอียดทุกตัวอักษร ก่อนจะบอกให้อดีตภรรยาหยิบปากกาให้และจรดลายเซ็นของตัวเองลงไปในหน้าสุดท้ายของกระดาษที่เว้นช่องไว้ให้เซ็นชื่อ “เสร็จแล้วก็ปล่อยนัสสิคะ นัสจะได้กลับ” “พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งเลยนะ” “นัสไม่ใช่คนแบบนั้น มีแต่คุณปราณต์นั่นละค่ะที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ใครเขาคุยงานกันแบบนี้บ้าง” เธอกล่าวตำหนิเขาตรงๆ พร้อมกับดิ้นเบาๆ เพื่อให้เขาปล่อย แต่ปราณต์ยังไม่ยอมปล่อยเหมือนกับว่ายังแกล้งเธอไม่สะใจ “ต้องถามคุณมากกว่า เพราะผมไม่ค่อยได้คุยงานกับใครแบบสองต่อสองอย่างนี้บ่อยนัก” “คนอื่นไม่มีใครเขาทำแบบคุณปราณต์หรอกค่ะ”
บทที่ 20“ปล่อยนัสลงค่ะคุณปราณต์ คุณมีสิทธิ์อะไรมาอุ้มนัสแบบนี้” คนเจ็บโวยวายพลางดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ไม่กล้าดิ้นมากเพราะกลัวตก “จอดรถที่ไหน” ปราณต์ไม่สนใจอาการขัดขืนของเธอ แต่ถามเสียงดุๆ ขรึมๆ แม้นัสรินจะแอบหวั่นทว่าการถูกอุ้มแบบนี้มันน่าหวาดหวั่นกว่าหลายเท่า “ก็นัสบอกแล้วไงคะว่า...” “ผมถามว่าจอดรถที่ไหนนัสริน” เสียงดุๆ ขรึมๆ เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่ถามแต่ยังพ่วงชื่อเธอต่อท้าย แถมตาก็ยังหลุบลงมองหน้าเธออย่างดุดันพอกัน “ที่ลานจอดรถด้านหน้าค่ะ” หลังจากได้คำตอบ ปราณต์ก็ไม่พูดไม่ถามอะไรอีก ร่างสูงอุ้มอดีตภรรยาสาวออกจากห้องประชุม ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อไปยังลานจอดรถ ท่ามกลางสายตาของคนไข้ พยาบาล และพนักงานของโรงพยาบาลหลายสิบคน “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณหมอ”พยาบาลหน้าห้องหมอชัชวาลรีบเอ่ยถามปราณต์อย่างค่อนข้างตกใจ เมื่อเห็นเขาอุ้มหญิงสาวซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายยาผ่านมา “เธอหกล้มขาแพลง ผมเลยจะอุ้มไปส่ง” “อ๋อ...ค่ะๆ มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ยคะ”
บทที่ 21นัสรินลอบมองปลายคางของอดีตสามี พลางคิดไปว่าเมื่อวันศุกร์เขาเข้ามาถึงในลิฟต์ แต่วันนี้เขาเข้าถึงในห้องและกำลังอุ้มเธอไปที่เตียง แถมเธอเองก็ไม่ยอมท้วง จากที่ประกาศปาวๆ ว่าหลังจากนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ดูเหมือนมันจะต้องข้ามไปเสียหมดปราณต์วางเธอลงบนเตียง จัดท่าให้นั่งพิงพนักเตียง ส่วนเขานั่งลงที่ขอบเตียง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนเตียง แล้วถอดรองเท้าของเธอออก ก่อนจะจับข้อเท้าด้านที่แพลงขึ้นพาดบนขาของเขา ท่ายกแบบนั้นทำให้ชายกระโปรงสั้นร่นขึ้น จนนัสรินต้องรีบหยิบหมอนอีกใบที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาปิดชายกระโปรงไว้เป็นพัลวัน เพื่อไม่ให้ปราณต์มองไปถึงไหนต่อไหน“จะปิดทำไมล่ะ ใส่สั้นก็ต้องกล้าโชว์สิ” ปราณต์เอ่ยออกมาอย่างรำคาญ เมื่อเห็นท่าทีปิดป้องอย่างหวงเนื้อหวงตัวของอดีตภรรยา“นัสไม่ใช่พวกชอบโชว์ แล้วคุณปราณต์มาจับขานัสยกแบบนี้ทำไม”“ผมจะนวดข้อเท้าให้”นัสรินเพิ่งเข้าใจตอนนี้ว่าเขาเข้าไปเอายาในคลินิกมาทำไม ความรู้สึกอุ่นซ่านจึงแล่นลึกเข้ามาในหัวใจ แต่ก็รีบปัดมันทิ้งอย่างรวดเร็วและบอกตัวเองว่าอย่าเคลิบเคลิ้ม การปล่อยให้ปราณต์เข้ามาเดินเล่นในหัวใจได้ง่ายๆ อีกครั้ง นั่นไม่ต่างอะไรกับการ
บทที่ 22แม้ว่ารถแท็กซี่สีเหลืองน้ำเงินคันที่กำลังแล่นมาจะไม่หรูและสภาพค่อนไปทางทรุดโทรม แต่ปราณต์ก็ไม่เกี่ยงที่จะใช้บริการ เขาบอกจุดหมายกับคนขับแล้วขึ้นไปนั่งที่ตอนหลังของรถ พลางซึมซับเอาบรรยากาศการนั่งแท็กซี่ในตัวจังหวัดในทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำงานมาหลายปีที่มีโอกาสได้ใช้บริการรถดังกล่าว แน่นอนว่าลูกชายเศรษฐีนีเชียงใหม่ระดับแม่เลี้ยงลักษิกาอย่างเขาย่อมมีรถให้ใช้หลายคัน ดังนั้นจึงไม่มีครั้งใดที่เขาจะได้เฉียดใกล้กับการนั่งรถแท็กซี่เช่นนี้ ความจริงเขาจะโทร.เรียกอินแปงหรือคนที่บ้านให้ขับรถมารับก็ได้ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นที่ต้องรบกวนใคร อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ติดหรูจนถึงขนาดนั่งรถแท็กซี่ไม่ได้ปราณต์ทอดสายตาตรงไปข้างหน้าราวกับกำลังมองถนนเงียบๆ ทำให้คนขับแท็กซี่ไม่กล้าชวนคุย บรรยากาศในรถจึงมีเพียงความเงียบ แต่ความเงียบนั้นก็ถูกรบกวนด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของปราณต์ และเขาก็กดรับเช่นเดียวกับทุกครั้งเมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่โทร.มา“สวัสดีครับแม่”“ตาปราณต์อยู่ไหนลูก”“อยู่บนรถครับ”“กลับบ้านหน่อยได้ไหม แม่มีเรื่องอยากคุยด้วย”น้ำเสียงยามที่เอ่ยผ่านโทรศัพท์มานั้นฟังดูซีเร
บทที่ 23แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ กับอดีตสามีอีก แต่คำพูดของเขาก่อนจากกันวันนั้น ก็ทำให้นัสรินแอบรอคอยการมาของเขาอย่างห้ามใจไม่อยู่ บ่อยครั้งที่เธอมองนาฬิกาสลับกับเงี่ยหูฟังเสียงเคาะประตูห้อง ยิ่งช่วงสองทุ่มกว่าๆ ซึ่งเป็นเวลาปิดคลินิกของปราณต์ใกล้เข้ามาทีไร เธอก็ยิ่งมองบ่อยครั้งขึ้นเท่านั้น ทว่าการรอคอยของเธอวันแล้ววันเล่าก็ว่างเปล่า นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วแต่กลับไม่มีวี่แววว่าปราณต์จะมาอย่างที่เขาว่าแต่อย่างใด ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ...นัสรินบอกตัวเองแบบนั้น แต่ใจกลับห่อเหี่ยวลงราวกับต้นไม้ที่ไร้ฝนหลั่งลงมาอาบชโลมเป็นเวลานานก็ไม่ปาน หากกระนั้นเธอก็ยังบังคับตัวเองให้ทำกิจวัตรประจำวันของตนอย่างเป็นปกติ หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ร่างบางก็ขึ้นไปนั่งพิงพนักเตียง หยิบรีโมตโทรทัศน์แล้วกดเปิดเพื่อให้เสียงโทรทัศน์ดังเป็นเพื่อนยามอยู่คนเดียว เปิดได้ไม่นานก็ต้องหยิบรีโมตอีกรอบเพื่อหรี่เสียง เพราะมีเสียงจากโทรศัพท์มือถือแผดร้องแข่งเสียงโทรทัศน์ขึ้น นัสรินกดรับสายทันทีเพราะคนที่โทร.มาคือกิตติหัวหน้าของเธอนั่นเอง “สวัส
บทที่ 41“จะไปงานอะไรคะแม่เลี้ยง”“หนูนัสจะไปงานเลี้ยงราตรีสโมสรของโรงพยาบาล น่าจะจัดที่หอประชุมจังหวัดนั่นแหละ แต่ฉันอยากให้ลูกสะใภ้ของฉันสวยและเด่นที่สุดในงาน คุณวรรณจัดให้ได้ไหม”“ไม่มีปัญหาค่ะแม่เลี้ยง เชิญวัดตัวค่ะคุณนัส”“คุณแม่คะ...” นัสรินกำลังจะเอ่ยแย้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่แม่เลี้ยงลักษิกาไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธใดๆ“แม่เองก็ถูกเชิญให้ไปงานนี้เหมือนกัน กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ใครไปแทน เห็นหนูนัสว่าจะไปแม่ก็เลยคิดออก ถือว่าแม่ขอร้องก็แล้วกันนะ แม่จะให้หนูนัสเอาซองของแม่ไปด้วย ถือว่าเป็นตัวแทนของบริษัทด้วย ของแม่ด้วย พอดีช่วงนี้แม่ขี้เกียจออกงาน แก่แล้วก็อยากอยู่กับลูกกับหลานสบายๆ บ้าง”เมื่อถูกขอร้องแกมบังคับเช่นนั้น นัสรินจึงจำต้องยอมให้เจ้าของห้องเสื้อวัดตัวและเลือกแบบชุดให้ตามที่เห็นสมควร พอวัดตัวและเลือกแบบชุดเสร็จแม่เลี้ยงก็สั่งกำชับวรรณาว่า ขอให้เร่งตัดชุดและนำชุดไปส่งให้กับนัสรินที่อพาร์ตเมนต์ของเธอหลังจากวรรณากลับไปแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาก็ไปเปิดเซฟ เขียนเช็คใส่ซองสำหรับบริจาคสมทบทุนให้กับโรงพยาบาล พร้อมกับถือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ติดมือมาด้วยกล่องหนึ่ง“นี่เป็นซองที่แม่จะฝากไป
บทที่ 40ทันทีที่กลับมาทำงานเชียงใหม่ในเช้าวันจันทร์ นัสรินก็ได้รับโทรศัพท์จากกิตติ บอกว่าทางโรงพยาบาลจะจัดงานเลี้ยงราตรีสโมสรเพื่อระดมทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ บริษัทของเธอในฐานะซัพพลายเออร์จึงต้องไปร่วมงานดังกล่าวและนำทุนส่วนหนึ่งไปมอบให้เพื่อแสดงไมตรีจิต และนัสรินก็ถูกมอบหมายจากกิตติให้ไปร่วมงานดังกล่าวนัสรินรับปากแต่ก็คิดหนัก เพราะคาดว่าต้องเจอปราณต์ในงานนั้นแน่ๆ แต่อีกใจก็ปลอบตัวเองว่า คนในงานน่าจะเยอะอยู่พอสมควร หากเธอหลบเลี่ยงดีๆ ก็คงหนีสายตาของปราณต์พ้น ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเรื่องเดียวที่ยังเป็นปัญหาก็คือเรื่องชุดที่จะใส่ไปร่วมงาน เธอไม่ได้เตรียมชุดเพื่อจะออกงานกลางคืนมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจะต้องได้ไป ดังนั้นหลังจากเคลียร์งานที่โต๊ะเสร็จ นัสรินจึงขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเชียงใหม่ เพื่อหาชุดราคาจับต้องได้สักชุดสำหรับใส่ไปร่วมงานร่างบางเดินแค่มองสำรวจ ยังไม่ได้แวะร้านไหน เพราะอยากดูโดยรวมก่อน เดินดูชุดร้านนั้นร้านนี้ผ่านกระจกหน้าร้านไปเรื่อยๆ ก็คิดถึงเสื้อผ้าที่ปราณต์พาไปซื้อ ชุดที่เขาซื้อให้มีแต่ชุดแพงๆ วันนั้นเขาหมดไปหลายหมื่นเหมือนกัน ทว่าเธอก็ทิ้งชุดพวกนั้นไว้ในร
บทที่ 39“หิวหรือเปล่า อยากกินอะไรมั้ย” ปราณต์หันมาถามหลังออกจากร้านเสื้อผ้าแล้ว“ไม่ค่ะ” นัสรินตอบสั้นๆ ไม่อยากพูดอะไรกับเขาในตอนนี้“ถ้าอย่างนั้นก็กลับ”มือข้างหนึ่งตวัดมากระชับมือของเธอแล้วจูงให้เดินตาม อีกมือถือถุงเสื้อผ้าที่เขาบอกพนักงานขายให้รวมใส่ถุงแค่สามถุงเพื่อจะได้ไม่พะรุงพะรัง แล้วเดินเคียงคู่กันออกไปยังรถ ทำให้นัสรินอดคิดไม่ได้ ตอนนี้ท่าทางที่เขากำลังปฏิบัติกับเธอคงทำให้คนมองเข้าใจว่า เธอกับเขาเป็นคู่รักหรือสามีภรรยาที่มาเดินเที่ยวห้างซื้อของด้วยกันในวันหยุด มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ตอนนี้เธอเป็นเมียเก็บและนางบำเรอของเขาเต็มตัวแล้วนัสรินแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าปราณต์ไม่ได้ขับรถกลับบ้านของเขาอย่างที่เธอคิด แต่เบนจุดหมายไปทางอื่นเหมือนกับว่าเขามีธุระจะทำต่อ ทั้งๆ ที่ก่อนออกจากห้างเขาบอกเธอว่าจะพากลับตาคู่สวยมองถนนเส้นนั้นอย่างคุ้นเคย เพราะมันเป็นถนนที่ไปยังบ้านของเธอ และเมื่อปราณต์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของเธอจริงๆ เธอก็หันไปมองเขาอย่างหวาดหวั่น“คุณพานัสมาที่นี่ทำไมคะ” นัสรินรีบถามอย่างร้อนใจ กลัวว่าเขาจะทำอะไรห่ามๆ ให้เธอได้อับอายขายหน้าพ่อแม่อีก
บทที่ 38ขณะที่นัสรินกำลังขุ่นเคืองคนพูด ร่างสูงก็ขยับมายืนซ้อนหลัง ทำเอานัสรินตัวแข็งทื่อกลัวว่าปราณต์จะมาทำอะไรอย่างที่ตัวเองนึกหวาดหวั่น ไม่ใช่ว่าเธอจะรังเกียจหรือไม่ไยดีต่อไฟปรารถนาของเขา ตรงกันข้ามเธอกลับโหยหามันอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เธอรู้สึกแย่กับตัวเองที่ร่างกายนี้เป็นที่ปรารถนาของเขา หากแต่หัวใจของเธอเขากลับไม่คิดแม้แต่จะเหลียวแล“เมื่อไหร่จะเลิกประวิงเวลา ไหนว่าอาบน้ำเสร็จจะไปนอนรอบนเตียง” เขาทวงถามถึงคำพูดที่เธอพูดใส่หน้าเขาก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ“ผมนัสยังไม่แห้งนี่คะ จะให้ไปนอน หมอนคุณก็เปียกแย่” เสียงหวานตอบพลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดมือราวกับไม่สนใจคำพูดของเขา ทั้งๆ ที่ตอนนี้หัวใจเต้นแรงโลดไปหมด“หมอนเปียก ผมไม่ซีเรียสหรอก แต่ผมจะซีเรียสถ้าหากว่าส่วนอื่นของคุณ ‘เปียก’ โดยที่ผมไม่ได้เป็นคนทำ”คำพูดของเขาทำให้ร่างบางที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตอนแรกลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ และหันหน้าไปเผชิญกับคนชอบหาเรื่องและพูดจาสองแง่สองง่ามด้วยสายตาเคืองขุ่น“หมอลามก! นัสไม่เคยเป็นแบบนั้น”“งั้นก็แสดงว่า ‘เปียก’ เฉพาะกับผมน่ะสิ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างยียวนแววตาก็ไหวระริกอย่างคนที่กำลังขำแต่หน้ากลั
บทที่ 37นัสรินคร้านจะมีเรื่องด้วยจึงไปนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อน มองดูปราณต์หยิบนั่นหยิบนี่ใส่กระทะอยู่เงียบๆ ตอนนี้ในห้องครัวไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงการเคลื่อนไหวของเขา และเสียงตะหลิวที่เคาะกับกระทะเป็นระยะไม่นานข้าวผัดอเมริกันหน้าตาน่ากินสองจานก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะ จากนั้นทั้งเขาและเธอต่างก็นั่งกินเงียบๆ หากแต่หญิงสาวแทบจะกลืนข้าวไม่ลง เพราะมีสายตาคมๆ นั้นจดจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เมื่ออิ่มนัสรินก็ทำหน้าที่เก็บจานไปล้างอย่างอ้อยอิ่ง พลางคิดว่าหลังจากนี้จะหลบเลี่ยงปราณต์ยังไง เธออยากมีเวลาอยู่กับตัวเองก่อน ไม่ใช่อยู่ในสายตาของเขาทุกย่างก้าวแบบนี้ แต่ปราณต์ก็ไม่ให้เวลาเธอคิด เมื่อเธอล้างจานไม่เสร็จเสียที เขาก็เป็นฝ่ายดึงจานจากมือเล็ก จัดการล้างเสียเองและเสร็จภายในไม่กี่พริบตา จากนั้นเขาก็หันหน้ามาเผชิญกับคนที่ยืนมองอยู่ข้างๆ พร้อมกับจับข้อมือของเธอเอาไว้มั่น“คราวนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เราขึ้นห้องกันเถอะ”ขึ้นห้อง...เขาคงไม่พาขึ้นไปเฉยๆ หรอกกระมัง ในเมื่อเขาประกาศความต้องการของตัวเองออกจะชัด ว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม“คุณขึ้นไปก่อนเถอะค่ะ นัสขอเดินย่อยอาหารสักพัก” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่เธอคิดออกในเ
บทที่ 36“ผมพูดความจริงต่างหาก หรือคุณจะปฏิเสธว่าเวลาคุณจะถึงคุณไม่ครางแบบนี้”“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดนัสจะ...จะ...” จู่ๆ นัสรินก็คิดไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ ว่าจะขู่อะไรดี ปราณต์ถึงจะกลัว“จะอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและยิ้มยวนอย่างท้าทาย นั่นยิ่งทำให้คนที่เป็นฝ่ายถูกต้อนเจ็บใจมากกว่าเดิม จึงคว้ามีดที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยกขึ้น“นัสจะแทงคุณด้วยมีดนี่” นัสรินหวังว่าความแหลมคมของมีดจะทำให้ปราณต์กลัวและเลิกตอแยกับเธอ แต่เปล่าเลยเขายังคงยืนนิ่งและท้าทายให้เธอลงมือจริงๆ“ก็เอาสินัสริน อยากแทงตรงไหนบนตัวผมก็แทงเลย จะแทงที่คอ ที่หัวใจ หรือจะที่ท้องก็ได้นะ ผมขออย่างเดียวอย่าแทงข้างหลังผมอีก”“คุณอย่านึกว่านัสไม่กล้านะ” ปากขู่ฟ่อ แต่มือสั่นเทา ขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวเมื่อปราณต์ยืนรอราวกับไม่อนาทรต่อความเจ็บปวดที่เธอจะมอบให้แม้แต่นิด“ก็ไม่คิดว่าจะไม่กล้า ผมแค่บอกให้คุณแทงตามสบาย แทงได้ทุกที่ ยกเว้นข้างหลังผม”คำพูดอันตอกย้ำว่าเขาไม่อยากถูกแทงข้างหลังอีก บวกกับท่าทีที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของร่างสูงซึ่งอยู่ตรงหน้า ทำให้นัสรินเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง เธอวางมีดในมือลงที่เดิม พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจนตัวโยน“
บทที่ 35แท็กซี่จากสนามบินแล่นมาจอดยังลานหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวางกว่าสามร้อยตารางวา มีรั้วรอบขอบชิดแน่นหนา พื้นที่รอบบ้านเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของสนามหญ้าซึ่งปลูกแซมด้วยต้นปาล์ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่ากว้างขวาง ชวนสบาย บ่งบอกถึงฐานะผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดีสำอางกับลุงเล็กสองสามีภรรยาที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านรวมทั้งสายหยุดลูกสาวของทั้งคู่ต่างเดินมาดู เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาจากรถคือปราณต์ซึ่งมาพร้อมกับนัสรินที่เป็นอดีตภรรยาเก่าก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก“สวัสดีค่ะคุณปราณต์ คุณนัส” สำอางยกมือขึ้นไหว้ทั้งสองคน ซึ่งปราณต์และนัสรินก็ยกมือขึ้นรับไหว้ เพราะถึงแม้ว่าสำอางจะเป็นลูกจ้างแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่า“สบายดีนะป้าสำอาง ลุงเล็ก สายหยุด”“สบายดีทุกคนค่ะ อิฉันไม่ทราบว่าคุณปราณต์จะมา ไม่อย่างนั้นคงให้ตาเล็กไปรับที่สนามบินแล้วละค่ะ”“ไม่เป็นไรหรอก ผมนั่งแท็กซี่มาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ทุกคนมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมดูแลตัวเองได้ อ้อ...แล้วไม่ต้องโทร.บอกแม่ล่ะว่าผมมาที่นี่” ปราณต์สั่งกำชับในประโยคท้าย ทำให้ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้ แม้จะสงสัยและอยากบอกแม่เลี้ยงลัก
บทที่ 34นัสรินหยิบมาเปิดดู ก่อนจะหน้าซีดเผือดราวกับขาดโลหิตอย่างอึ้งๆ เพราะจำนนด้วยหลักฐาน เธอไม่คิดว่าปราณต์จะได้เห็นการ์ดพวกนี้ เพราะการ์ดพวกนี้เป็นส่วนที่เธอแจกให้กับญาติและเพื่อนสนิทฝั่งตัวเอง ซึ่งในการ์ดแต่งงานที่ออกแบบอย่างสวยงามนั้น ระบุชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นชื่อของเธอกับเขา นั่นเป็นการยืนยันชัดว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะสาเหตุของการตกกระไดพลอยโจน แต่เกิดจากความตั้งใจของเธอกับปรัชญ์ที่วางแผนการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะให้ปราณต์แต่งงานกับเธอแทน“คุณอยากให้นัสชดใช้ยังไงล่ะคะ” เธอหันไปถามเมื่อคิดว่ายังไงเรื่องนี้ตัวเองก็เป็นคนทำผิดจริงๆ“คุณน่าจะรู้ดีนะนัสริน ว่าผมยังต้องการร่างกายของคุณ”คำพูดนั้นแสนเย็นชาและฟังดูใจร้ายเหลือเกิน และแม้นัสรินจะรู้อยู่แล้วก็ยังอดปลาบแปลบใจไม่ได้“นัสก็ให้คุณไปแล้วนี่คะ” นัสรินเชิดหน้าขึ้นตอบ พยายามทำตัวให้นิ่งเฉย เหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาต่อคำพูดของเขาเช่นกัน“น้อยไปไหม แค่ครั้งเดียวผมยังไม่อิ่มหรอก”“แล้วต้องกี่ครั้ง คุณปราณต์ถึงจะพอ”“จนกว่าผมจะพอใจ”นัสรินจ้องหน้าคนใจร้ายเลือดเย็นอย่างน้อยใจ เขาช่างพูดออกมาได้ว่าเธอ
บทที่ 33เสียงโทรศัทพ์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ทำให้ตาคู่สวยที่บอบช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักในตอนเช้า ต้องละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อก้มดูหน้าจอว่าใครโทร.มา แม้หัวใจจะเจ็บช้ำปานใดเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทร.เข้ามาเป็นเบอร์ของคนในครอบครัวของปราณต์ แต่นัสรินก็ตัดสินใจรับเพราะอย่างน้อยธรินดาก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักสำหรับเธอมาตลอด ตั้งแต่ครั้งที่เธอยังหมั้นกับปรัชญ์“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก” น้ำเสียงยามกรอกลงไปในโทรศัพท์นั้นยังพยายามฝืนให้เป็นปกติ ไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในอาการเช่นใด แม่เลี้ยงลักษิกาคงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้กับธรินดาและปรัชญ์ฟังหมดแล้ว และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ธรินดาโทร.มาหา“สวัสดีค่ะพี่นัส วันหยุดนี้พี่นัสจะไปไหนหรือเปล่าคะ พวกเราว่าจะไปเที่ยวดอยที่เชียงรายกัน พี่นัสไปด้วยกันไหมคะ”ธรินดาเอ่ยชวนมาอย่างมีไมตรีจนคนฟังสัมผัสได้ถึงความจริงใจ หากเป็นเมื่อก่อนเธออาจลังเลว่าจะไปด้วยดีหรือไม่ เพราะอย่างน้อยคนในครอบครัวของอดีตสามีก็ดีกับเธอทุกคน แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้าเธอคงไม่มีหน้าไปพบใคร“วันเสาร์นี้พี่จะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพฯ น่ะจ้ะ เอาไว