“ทำไมล่ะนัส”
“นัสเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ท่านสองคนมีนัสคนเดียว”
“อ้อ...นึกว่าเรื่องอะไร ผมไม่ได้ให้คุณไปประจำที่โน่นเลยหรอก ไปแค่สามเดือนเท่านั้น พออะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว และเราหาตัวแทนที่เป็นคนในพื้นที่ได้ ผมก็จะให้คุณเทรนให้จนคนที่นั่นทำงานได้คล่อง ผมก็จะให้คุณกลับมาประจำที่กรุงเทพฯ ตามเดิม ในระหว่างนี้หากเป็นช่วงวันหยุดแล้วคุณอยากกลับบ้านมาหาครอบครัว คุณก็กลับได้ตลอดเลย ทางบริษัทมีค่าเดินทางให้ ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องห่วงบริษัทเช่าอพาร์ตเมนต์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ไว้ให้ห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ใหญ่และอยู่ได้สบายๆ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทางไปทำงาน บริษัทมีรถยนต์ให้คุณใช้อีกคันหนึ่งด้วย” กิตติบอกถึงสิ่งอำนวยความสะดวกให้อย่างครบครัน จนนัสรินไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาแย้งได้
“ไม่มีคนไปแทนนัสเลยเหรอคะ” เสียงหวานถามอ่อยๆ
“ไม่มีจริงๆ นัส ผมไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมเท่าคุณเลย ปิยวรรณก็ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว ส่วนอรอุมาก็ต้องรับส่งลูกทุกวัน มีแต่คุณคนเดียวที่โสดสนิท แล้วเรื่องที่คุณเป็นห่วงพ่อกับแม่ผมก็เข้าใจนะ แต่ก็อย่างที่บอก คุณสามารถกลับทุกอาทิตย์ก็ได้ ทางบริษัทไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับค่าเดินทางของคุณเลย ไปเถอะนะนัสผมขอร้อง ไม่อย่างนั้นทางไดเรกเตอร์ต้องมาคุยกับคุณด้วยตัวเองแน่ๆ” กิตติบอกถึงความจำเป็น พร้อมกับมองไปยังลูกน้องสาวอย่างคาดหวังแกมขอร้อง
“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยค่ะ ตกลงค่ะ นัสไปก็ได้”
นัสรินจำต้องรับปากทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่า จะรับมือกับปัญหาที่ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับปราณต์ในอนาคตอย่างไร พยายามคิดในแง่ดีและให้กำลังใจตัวเองว่าปราณต์เกลียดเธอมาก เขาคงไม่คิดจะมาตอแยหรือยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย หรือหากต้องเจอกันจริงๆ เธอก็จะเจอกับเขาเฉพาะด้วยหน้าที่การงานเท่านั้น
เพราะรับปากกับหัวหน้าในวันนั้น ทำให้เวลาบ่ายๆ ของวันนี้นัสรินต้องมาเดินต๊อกๆ อยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ เพื่อซื้อของใช้จำเป็นบางอย่างไปใช้ที่อพาร์ตเมนต์ พ่อกับแม่ของเธอไม่เห็นด้วยเท่าใดนักกับการมาทำงานที่นี่แม้จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ตามที แต่นัสรินก็แสร้งทำให้ท่านทั้งสองเห็นว่า เธอลืมเรื่องราวในอดีตไปหมดแล้ว การมาเชียงใหม่ครั้งนี้เธอไม่ได้หวาดหวั่นอะไร มุ่งมั่นแค่มาทำงานเท่านั้น พ่อกับแม่ของเธอจึงได้ยอมปล่อยมา
ร่างบางในชุดลำลองเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เกตของห้าง และเลือกของอย่างเอื่อยๆ แบบไม่ได้เร่งรีบอะไร เพราะถึงแม้วันนี้จะไม่ใช่วันหยุด แต่บริษัทก็ให้เธอหยุดเพื่อเตรียมตัวทำงานในวันจันทร์
สิ่งที่ต้องซื้อส่วนใหญ่เป็นพวกแชมพู ครีมนวดผม และของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงอื่นๆ โดยตลอดเวลาที่เดินเลือกซื้อของอยู่นั้น นัสรินรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครกำลังแอบมองตัวเองอยู่ ครั้นพอเธอมองหาดูรอบๆ ก็ไม่เห็นใครมีอาการผิดสังเกต หญิงสาวจึงบอกตัวเองว่าสงสัยจะเครียดมากไป จึงคิดระแวงและมโนไปเอง
เมื่อได้ของครบแล้วร่างบางก็เดินไปยังเคาน์เตอร์ จัดการจ่ายเงิน และรับถุงจากพนักงานสาวที่ยิ้มให้อย่างมีไมตรี นัสรินตั้งใจว่าจะแวะกินข้าวก่อน จากนั้นค่อยกลับที่พัก ซึ่งคงต้องใช้บริการรถแท็กซี่เช่นเดียวกับตอนมา เพราะถึงบริษัทจะมีรถให้แต่เธอยังไม่อยากขับรถในตอนนี้
ขณะที่เท้าเล็กๆ ซึ่งรองรับด้วยรองเท้าหนังหุ้มส้นสีชมพูอ่อนคาดดำกำลังจะมุ่งหน้าไปยังฟู้ดแลนด์ของห้าง ก็มีเสียงเรียกชื่อเธอดังขึ้น ซึ่งเสียงเสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิงที่เธอเองค่อนข้างคุ้นหู นัสรินจึงหันกลับไปยังต้นเสียงพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนเรียกเป็นใคร
“พี่นัสคะ”
“อ้าวน้องเล็ก/พี่ปรัชญ์ สวัสดีค่ะ” มือเล็กยกขึ้นไหว้ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ธรินดา ซึ่งเขาคนนี้ก็คืออดีตคู่หมั้นของเธอนั่นเอง
“พี่นัสจริงๆ ด้วย เล็กมองตั้งนานแต่ไม่แน่ใจก็เลยไม่กล้าทัก พี่นัสสวยขึ้นจนแทบจำไม่ได้แน่ะค่ะ”
“สวยยังไงก็ไม่สู้น้องเล็กหรอก จริงมั้ยคะพี่ปรัชญ์” นัสรินหันไปทางอดีตคู่หมั้นและยิ้มบางๆ อย่างอดเขินกับคำชมของธรินดาไม่ได้
“ไม่คิดว่าจะได้เจอนัสที่นี่” ปรัชญ์เอ่ยทักทายอดีตคู่หมั้นและอดีตพี่สะใภ้ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าแปลกใจเป็นอย่างมาก
“นัสเองก็เซอร์ไพรส์แล้วก็ดีใจมากค่ะที่ได้เจอพี่ปรัชญ์กับน้องเล็ก แล้วนี่น้องอะไรคะ ลูกสาวเหรอคะ หน้าตาน่าชังจังค่ะ” เสียงหวานนุ่มเอ่ยถาม พลางเอื้อมมือไปเขี่ยแก้มใสๆ แดงๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กจิ๋วที่ธรินดาอุ้มอยู่อย่างเอ็นดู
“ลูกสาวค่ะพี่นัส ชื่อน้องนิล ว่าแต่พี่นัสล่ะคะ มาทำอะไรที่เชียงใหม่ มาเที่ยวหรือเปล่าคะ แล้วมากับใคร” คนที่ตอบและถามคือธรินดาซึ่งอุ้มลูกสาววัยสี่เดือนหน้าตาน่ารักน่าชังอยู่ในอ้อมแขน
“เปล่าจ้ะไม่ได้มาเที่ยว พี่ถูกบริษัทส่งตัวมาทำงานที่นี่สามเดือน นี่ก็เพิ่งจะมาได้สองวัน อีกนานกว่าจะได้กลับกรุงเทพฯ”
นัสรินตอบเรียบๆ แต่สีหน้าเจื่อนลง เพราะไม่อยากให้ข่าวนี้ถึงหูปราณต์ แม้รู้ว่ายังไงเสียวันจันทร์นี้ก็จะได้เจออย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นไปทานข้าวเย็นที่บ้านด้วยกันนะคะพี่นัส เล็กกับคุณปรัชญ์มาซื้อของและกำลังจะกลับพอดี” ธรินดาเอ่ยชวนพร้อมกับมองอย่างคาดหวังว่าอดีตพี่สะใภ้จะยอมไปตามคำเชิญ
“คือพี่...” นัสรินอึกอัก อยากไปแต่ก็กลัวว่าต้องเผชิญหน้ากับใครบางคนทั้งที่เธอยังไม่พร้อม
“ถ้ากลัวว่าจะเจอพี่ปราณต์ไม่ต้องห่วงนะคะ ตอนนี้พี่ปราณต์ยังไม่ได้กลับไปอยู่บ้านหรอกค่ะ ส่วนใหญ่วันธรรมดาแบบนี้จะไม่กลับค่ะ กลับเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้น อีกอย่างช่วงเวลาบ่ายๆ แบบนี้พี่ปราณต์ก็น่าจะกำลังทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะฉะนั้นพี่นัสสบายใจได้ค่ะ” ธรินดารีบบอกเมื่อเห็นท่าทีลังเลของนัสริน และพอจะเดาได้ว่าอะไรทำให้นัสรินเกิดอาการลังเลเช่นนี้
“พอดีพี่ไม่ได้เอารถมา เกรงว่าจะไม่สะดวก” นัสรินหาทางปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม แต่ดูเหมือนว่าธรินดาจะไม่ยอมให้เธอปฏิเสธไม่ว่าทางไหน
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวขากลับเล็กให้คุณปรัชญ์ไปส่ง ไปเถอะนะคะพี่นัสไปทานข้าวที่บ้านด้วยกัน แม่ใหญ่เองก็คงจะดีใจมากถ้าได้เจอพี่นัส”
“งั้นก็ได้จ้ะ” เมื่อเจอการคะยั้นคะยอและปิดการปฏิเสธทุกทางเช่นนั้น ทำให้นัสรินจำต้องตกลงในที่สุด
บทที่ 15คุ้มลักษิกาแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิดในความรู้สึกของนัสริน ที่นี่ยังคงใหญ่โต สวยงาม ร่มรื่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบล้านนาเช่นเดิม เธอมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในคุ้มลักษิกาแห่งนี้แค่เพียงสองอาทิตย์หลังจากแต่งงานกับปราณต์ จากนั้นเขาก็พาเธอย้ายออกไปอยู่บ้านเช่า โดยให้เหตุผลกับครอบครัวว่าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทว่าแท้จริงแล้วเขาพาเธอไปเพื่อจะได้ทรมานใจเธอได้อย่างสะดวกต่างหากแพขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ และรีบสลัดเรื่องของปราณต์ออกไปจากห้วงความคิด เมื่อปรัชญ์จอดรถที่ลานหน้าเรือนไทยทรงล้านนาหลังใหญ่ ขาเรียวก้าวลงจากรถและตามปรัชญ์กับธรินดาเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นนิดๆแม่เลี้ยงลักษิกาเงยหน้าขึ้นจากงานเย็บปักถักร้อย พลางขยับแว่นอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นอดีตลูกสะใภ้เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของตน แต่เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด หญิงวัยกลางคนผู้เป็นประมุขของบ้านก็รำพึงชื่อเจ้าตัวออกมาเบาๆ“หนูนัส...”“สวัสดีค่ะคุณแม่” นัสรินย่อตัวลงนั่งพับเพียบและกราบลงบนตักของแม่เลี้ยงลักษิกา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นให้นางพิศมองอีกครั้ง“หนูนัสจริงๆ ด้วย ไปยังไงมายั
บทที่ 16และหลังจากที่พูดเช่นนั้นแล้ว ปราณต์ก็ไม่รอฟังใครอีก เขาขยับมายืนข้างๆ นัสรินและโอบเอวบางพร้อมกับกระตุกเป็นการบังคับให้เธอเดินออกไปพร้อมเขา นัสรินพยายามจะเบี่ยงตัวออกแต่ก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะไหนจะแรงมือของปราณต์ ไหนจะสายตาของคนทั้งบ้านที่กำลังจดจ้องอยู่ จนในที่สุดเธอก็ต้องเข้ามานั่งในรถของปราณต์จนได้“พักที่ไหน?” เขาถามห้วนๆ หลังจากบังคับเธอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว“ลานนาอพาร์ตเมนต์ค่ะ คุณไม่ต้องไปส่งนัสก็ได้นะคะ นัสกลับเองได้” นัสรินไม่ได้ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากแต่คุยด้วยดีๆ เพราะถึงอย่างไรเสีย วันจันทร์เธอก็ต้องเจอเขาอีกตอนไปเซ็นสัญญา จึงไม่อยากก่อเรื่องให้ตัวเองต้องอึดอัดใจอีก “ผมบอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง ผมไม่ใช่พวกคนพูดกลับกลอกหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทำไม? กลัวหรือไงที่ต้องนั่งรถกับผมสองต่อสอง” “นัสไม่ได้กลัว นัสแค่ไม่อยากให้คุณเสียเวลา และรู้ดีว่าคุณไม่อยากเห็นหน้านัสเท่าไหร่” “ไหนบอกว่าจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก แล้วนี่มาทำไม” นัสรินหันขวับไปจ้องหน้าคนถาม ก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว จากที่คิดว่าจะพยายามควบคุม
บทที่ 17ทันทีที่ปราณต์จอดรถยังลานจอดรถของอพาร์ตเมนต์ นัสรินก็รีบปลดเข็มขัดพร้อมทั้งผลักประตูรถ แล้วก้าวไวๆ เข้าไปในตัวตึกทันที โดยไม่ได้กล่าวขอบคุณหรือพูดอะไรกับคนมาส่งเลยแม้แต่นิด มือเรียวเล็กยื่นกดไปเรียกลิฟต์แล้วยืนรออย่างกระวนกระวายเมื่อเห็นว่าปราณต์ลงจากรถและก้าวตามเข้ามาติดๆ ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างและเปิดประตูออกอย่างฉิวเฉียดก่อนที่ปราณต์จะตามมาทัน ร่างบางก้าวเข้าไปข้างในแล้วกดปิดอย่างเร่งรีบ แต่ประตูลิฟต์ยังไม่ทันได้ปิดร่างสูงก็แทรกผ่านเข้ามา และเป็นคนกดปิดประตูเสียเอง พอประตูปิดลงเขาก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ก่อนอย่างเอาเรื่อง ทำให้นัสรินต้องถอยร่นหนีจนชิดผนังลิฟต์อีกฝั่ง “ถอยไปนะคะคุณปราณต์ ต้องการอะไรจากนัสอีก” เสียงหวานเอ่ยไล่สั่นๆ เมื่อปราณต์ตามมาประชิดแถมยังยกมือสองข้างของเขายันกับผนังลิฟต์คร่อมร่างของเธอเอาไว้ด้านใน “ก็ต้องการคำขอบคุณน่ะสิ ผมอุตส่าห์มาส่ง แต่พอมาถึงคุณก็เปิดประตูรถ สะบัดตูดหนีเฉยๆ ต้องให้บอกมั้ยว่าไร้มารยาทแค่ไหน” ปราณต์ถามคนที่ตัวเองขังไว้ในอ้อมแขน โดยไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับคู่ข
บทที่ 18 แม้จะลำบากใจแค่ไหนที่ต้องมาพบคนที่ตัวเองพยายามจะหลีกเลี่ยง แต่นัสรินก็จำต้องมาเพราะมันคือหน้าที่ความรับผิดชอบกับงานที่ทำอยู่ กิตติหัวหน้าของเธอบอกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่า ทางโรงพยาบาลนัดเซ็นสัญญาในเวลาสี่โมงเย็น ทำให้วันนี้ทั้งวันเธอแทบจะไม่มีสมาธิทำงาน เพราะมัวแต่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องมาพบปราณต์ในช่วงเย็น หญิงสาวมาถึงก่อนเวลานัดตามมารยาทอันดี จากนั้นก็เข้าไปรอในห้องประชุมตามที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลบอก นั่งได้ไม่ถึงห้านาทีประตูหน้าห้องก็ถูกเคาะ และคนที่ก้าวเข้ามาก็คือคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอตลอดมา แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องพบเขา แต่หัวใจมันก็ยังเต้นแรงจนกลายเป็นระส่ำ โดยเฉพาะเมื่อปราณต์ปิดประตูห้องลง คล้ายดั่งกันเธอกับเขาออกจากโลกภายนอก และก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับที่เธอนั่งอยู่ “รอนานหรือเปล่า” นายแพทย์หนุ่มหล่อเป็นฝ่ายถามอดีตภรรยาขึ้นก่อน“ไม่นานค่ะ นัสเพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้เอง” นัสรินได้แต่ตอบออกไปแบบออมปากออมคำ เพราะน้ำเสียงของคนถามนั้นช่างแสนเรียบเฉย ราวกับเป็นคนละคนกับคนที่เกือบจะจูบเธอในลิฟต์เมื่อเย
บทที่ 19“นี่ค่ะ” “ใส่ให้ด้วยสิ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามือไม่ว่าง” ไม่แค่พูดแต่ยังกระชับสองมือที่กอดเอวเล็กเข้าหากันแน่นกว่าเดิมเป็นการย้ำว่าตอนนี้มือเขากำลังทำอะไรอยู่ คนถูกแกล้งเกือบจะหลุดจากการควบคุมตัวเอง หากก็ยังยอมทำตามความต้องการของเขาอีกรอบ แล้วนั่งนิ่งๆ เพื่อให้เขาอ่านเอกสารเสียที คราวนี้ปราณต์ยอมกวาดสายตาไปตามตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษอย่างละเอียดทุกตัวอักษร ก่อนจะบอกให้อดีตภรรยาหยิบปากกาให้และจรดลายเซ็นของตัวเองลงไปในหน้าสุดท้ายของกระดาษที่เว้นช่องไว้ให้เซ็นชื่อ “เสร็จแล้วก็ปล่อยนัสสิคะ นัสจะได้กลับ” “พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งเลยนะ” “นัสไม่ใช่คนแบบนั้น มีแต่คุณปราณต์นั่นละค่ะที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ใครเขาคุยงานกันแบบนี้บ้าง” เธอกล่าวตำหนิเขาตรงๆ พร้อมกับดิ้นเบาๆ เพื่อให้เขาปล่อย แต่ปราณต์ยังไม่ยอมปล่อยเหมือนกับว่ายังแกล้งเธอไม่สะใจ “ต้องถามคุณมากกว่า เพราะผมไม่ค่อยได้คุยงานกับใครแบบสองต่อสองอย่างนี้บ่อยนัก” “คนอื่นไม่มีใครเขาทำแบบคุณปราณต์หรอกค่ะ”
บทที่ 20“ปล่อยนัสลงค่ะคุณปราณต์ คุณมีสิทธิ์อะไรมาอุ้มนัสแบบนี้” คนเจ็บโวยวายพลางดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ไม่กล้าดิ้นมากเพราะกลัวตก “จอดรถที่ไหน” ปราณต์ไม่สนใจอาการขัดขืนของเธอ แต่ถามเสียงดุๆ ขรึมๆ แม้นัสรินจะแอบหวั่นทว่าการถูกอุ้มแบบนี้มันน่าหวาดหวั่นกว่าหลายเท่า “ก็นัสบอกแล้วไงคะว่า...” “ผมถามว่าจอดรถที่ไหนนัสริน” เสียงดุๆ ขรึมๆ เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่ถามแต่ยังพ่วงชื่อเธอต่อท้าย แถมตาก็ยังหลุบลงมองหน้าเธออย่างดุดันพอกัน “ที่ลานจอดรถด้านหน้าค่ะ” หลังจากได้คำตอบ ปราณต์ก็ไม่พูดไม่ถามอะไรอีก ร่างสูงอุ้มอดีตภรรยาสาวออกจากห้องประชุม ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อไปยังลานจอดรถ ท่ามกลางสายตาของคนไข้ พยาบาล และพนักงานของโรงพยาบาลหลายสิบคน “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณหมอ”พยาบาลหน้าห้องหมอชัชวาลรีบเอ่ยถามปราณต์อย่างค่อนข้างตกใจ เมื่อเห็นเขาอุ้มหญิงสาวซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายยาผ่านมา “เธอหกล้มขาแพลง ผมเลยจะอุ้มไปส่ง” “อ๋อ...ค่ะๆ มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ยคะ”
บทที่ 21นัสรินลอบมองปลายคางของอดีตสามี พลางคิดไปว่าเมื่อวันศุกร์เขาเข้ามาถึงในลิฟต์ แต่วันนี้เขาเข้าถึงในห้องและกำลังอุ้มเธอไปที่เตียง แถมเธอเองก็ไม่ยอมท้วง จากที่ประกาศปาวๆ ว่าหลังจากนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ดูเหมือนมันจะต้องข้ามไปเสียหมดปราณต์วางเธอลงบนเตียง จัดท่าให้นั่งพิงพนักเตียง ส่วนเขานั่งลงที่ขอบเตียง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนเตียง แล้วถอดรองเท้าของเธอออก ก่อนจะจับข้อเท้าด้านที่แพลงขึ้นพาดบนขาของเขา ท่ายกแบบนั้นทำให้ชายกระโปรงสั้นร่นขึ้น จนนัสรินต้องรีบหยิบหมอนอีกใบที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาปิดชายกระโปรงไว้เป็นพัลวัน เพื่อไม่ให้ปราณต์มองไปถึงไหนต่อไหน“จะปิดทำไมล่ะ ใส่สั้นก็ต้องกล้าโชว์สิ” ปราณต์เอ่ยออกมาอย่างรำคาญ เมื่อเห็นท่าทีปิดป้องอย่างหวงเนื้อหวงตัวของอดีตภรรยา“นัสไม่ใช่พวกชอบโชว์ แล้วคุณปราณต์มาจับขานัสยกแบบนี้ทำไม”“ผมจะนวดข้อเท้าให้”นัสรินเพิ่งเข้าใจตอนนี้ว่าเขาเข้าไปเอายาในคลินิกมาทำไม ความรู้สึกอุ่นซ่านจึงแล่นลึกเข้ามาในหัวใจ แต่ก็รีบปัดมันทิ้งอย่างรวดเร็วและบอกตัวเองว่าอย่าเคลิบเคลิ้ม การปล่อยให้ปราณต์เข้ามาเดินเล่นในหัวใจได้ง่ายๆ อีกครั้ง นั่นไม่ต่างอะไรกับการ
บทที่ 22แม้ว่ารถแท็กซี่สีเหลืองน้ำเงินคันที่กำลังแล่นมาจะไม่หรูและสภาพค่อนไปทางทรุดโทรม แต่ปราณต์ก็ไม่เกี่ยงที่จะใช้บริการ เขาบอกจุดหมายกับคนขับแล้วขึ้นไปนั่งที่ตอนหลังของรถ พลางซึมซับเอาบรรยากาศการนั่งแท็กซี่ในตัวจังหวัดในทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำงานมาหลายปีที่มีโอกาสได้ใช้บริการรถดังกล่าว แน่นอนว่าลูกชายเศรษฐีนีเชียงใหม่ระดับแม่เลี้ยงลักษิกาอย่างเขาย่อมมีรถให้ใช้หลายคัน ดังนั้นจึงไม่มีครั้งใดที่เขาจะได้เฉียดใกล้กับการนั่งรถแท็กซี่เช่นนี้ ความจริงเขาจะโทร.เรียกอินแปงหรือคนที่บ้านให้ขับรถมารับก็ได้ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นที่ต้องรบกวนใคร อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ติดหรูจนถึงขนาดนั่งรถแท็กซี่ไม่ได้ปราณต์ทอดสายตาตรงไปข้างหน้าราวกับกำลังมองถนนเงียบๆ ทำให้คนขับแท็กซี่ไม่กล้าชวนคุย บรรยากาศในรถจึงมีเพียงความเงียบ แต่ความเงียบนั้นก็ถูกรบกวนด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของปราณต์ และเขาก็กดรับเช่นเดียวกับทุกครั้งเมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่โทร.มา“สวัสดีครับแม่”“ตาปราณต์อยู่ไหนลูก”“อยู่บนรถครับ”“กลับบ้านหน่อยได้ไหม แม่มีเรื่องอยากคุยด้วย”น้ำเสียงยามที่เอ่ยผ่านโทรศัพท์มานั้นฟังดูซีเร