“ชื่อในการ์ดเป็นชื่อผมด้วยเหรอ?”
“ก็คุณปราณต์เป็นเจ้าบ่าว ก็ต้องเป็นชื่อคุณปราณต์สิคะ นี่อย่าบอกนะคะว่าคุณปราณต์กำลังเล่นมุก ออยขำไม่ทันเลยค่ะ”
พินทุสรยังคงยิ้มร่าและหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดว่าเจ้าบ่าวของเพื่อนรักช่างมีอารมณ์ขันแบบหน้าตายดีแท้ๆ
“ผมขอดูหน่อยได้ไหม”
“ได้สิคะ ออยพกติดกระเป๋ามาด้วย ออยเห็นแล้วชอบมากๆ เลยค่ะ การ์ดสวยเก๋เห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าคนเลือกต้องพิถีพิถันมากๆ คุณปราณต์กับยัยนัสคงจะช่วยกันเลือกใช่มั้ยคะ” พินทุสรพูดเป็นต่อยหอย ขณะหยิบเอาการ์ดแต่งงานในกระเป๋าแล้วส่งให้กับปราณต์ โดยไม่ได้สังเกตอาการของเขาแต่อย่างใด
ตาคมกวาดตามองไปยังตัวหนังสือที่อยู่บนการ์ดแต่งงานสีหวานอย่างตั้งใจ ตัวหนังสือบนนั้นแสดงอยู่อย่างเด่นหรา ว่าชื่อเจ้าสาวเจ้าบ่าวเป็นชื่อนัสรินกับชื่อของเขาจริงๆ ลักษณะของการ์ดก็บ่งบอกชัดว่าถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน กระดาษที่ใช้พิมพ์ก็เป็นกระดาษเนื้อดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาแตะจมูกและติดมือคนจับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพิมพ์เสร็จภายในหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนที่การแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้น หนำซ้ำคำพูดของหญิงสาวที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับนัสรินก็ย้ำชัดว่า เรื่องที่เขาถูกมัดมือชกให้แต่งงานครั้งนี้ ถูกเตรียมการมาล่วงหน้าอย่างดีและเป็นเวลานานแล้ว
ตั้งแต่เกิดมาจนวัยย่างสามสิบเอ็ด ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวตลกขนาดนี้ ในขณะที่เขาตัดสินใจแค่เสี้ยวนาทีที่จะแต่งงานแทนน้องชายเพื่อรักษาหน้าแม่และเพื่อประชดตัวเอง บวกกับเห็นใจผู้หญิงอีกคนที่กำลังจะเป็นหม้ายขันหมาก โดยที่เธอไม่ได้มีความผิดใดๆ แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าทุกอย่างถูกปรัชญ์กับนัสรินเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้แต่ชื่อในการ์ดแต่งงานก็เป็นชื่อเขาแต่แรก และป้ายชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่อยู่บนฉากก็คงถูกเตรียมไว้สองอัน อันแรกเป็นชื่อของปรัชญ์กับนัสรินซึ่งติดหลอกตาคนในบ้าน ส่วนอีกอันคงถูกติดเมื่อเช้านี้หลังจากคนจัดงานได้รับคำสั่งให้เปลี่ยน
ก็ได้นัสริน...ในเมื่ออยากได้เขาเป็นผัวจนตัวสั่นขนาดยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองขนาดนี้ เขาก็จะทำให้เธอได้รู้ซึ้งว่า ผู้ชายที่แสนดีอย่างปราณต์ก็มีด้านมืดเหมือนกัน!!!
วันนี้เป็นวันแรกในรอบเกือบหนึ่งปีเลยก็ว่าได้ ที่นัสรินรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากมาทำงาน ยังดีว่าเมื่อสองวันที่ผ่านมานั้นเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ทำให้เธอมีเวลาทำใจที่จะมารับฟังคำตำหนิจากหัวหน้า เรื่องที่เธอไปทำงานที่เชียงใหม่แล้วคว้าน้ำเหลวกลับมา ทั้งๆ ที่ก่อนไปหัวหน้าคาดหวังกับเธอไว้มาก เธอรู้ว่าปราณต์ต้องปฏิเสธการซื้อยาจากบริษัทของเธอแน่ๆ เพราะเธอกับเขามีเรื่องทะเลาะกันจนไม่ได้เจรจา
ร่างบางในชุดเดรสทำงานสีครีมแขนยาวผ้าลูกไม้ แต่งระบายสวยหวาน ทรงเข้ารูป สั้นเลยเข่า เน้นให้เห็นสะโพกผายและเอวกิ่วคอด รวมทั้งเรียวขาที่สลักเสลาเนียนละเอียดราวกับลำเทียน แบบที่ไม่ได้ตั้งใจจะใส่อวด แต่ด้วยชุดและสรีระมันเน้นให้เห็นไปทางนั้น แรกๆ นัสรินก็ขัดเขินเหมือนกันกับชุดที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งขนาดนั้น แต่พอใส่นานๆ เข้ามันก็กลายเป็นความเคยชิน และตอนนี้ปัญหาของเธอก็ไม่ได้อยู่ที่ชุดที่ใส่อยู่ แต่มันอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่หัวหน้าจะเรียกเธอเข้าไปคุยเรื่องงานต่างหาก
นัสรินนั่งกระวนกระวายใจอยู่ได้ไม่นาน ก็มีเสียงโทรศัพท์ติดต่อภายในที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอดังขึ้น หญิงสาวแอบถอนหายใจเบาๆ เล็กน้อยอย่างทำใจล่วงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปยกโทรศัพท์มาแนบหู
“นัสรินค่ะ”
“นัสเข้ามาพบผมหน่อย ตอนนี้เลยนะ”
นั่นคือเสียงของกิตติซึ่งเป็นหัวหน้างานโดยตรงของนัสริน เขาสั่งเพียงสั้นๆ ก็วางสาย แต่คนถูกสั่งนี่สิมีแต่ความหนักอึ้งเต็มอกไปหมดจนแทบจะลุกจากโต๊ะไม่ได้ แต่สุดท้ายร่างบางก็พาตัวเองเข้าไปยืนที่หน้าโต๊ะทำงานของกิตติจนได้ เพราะถึงอย่างไรเสียก็คงจะหลีกเลี่ยงการตำหนิของเขาไม่พ้น
“หัวหน้าเรียกนัสมาพบมีอะไรหรือเปล่าคะ” นัสรินเอ่ยถามตามมารยาท ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่ากิตติเรียกมาพบเรื่องอะไร
“ก็เรื่องยาที่คุณไปติดต่อไว้กับทางเชียงใหม่เมื่อวันศุกร์นั่นแหละ”
“นัสขอโทษค่ะ...คือนัส...”
นัสรินพูดไม่ทันจบกิตติก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูด นัสรินจึงหลุบลงมองมือตัวเองอย่างว้าวุ่นใจ
“ทางโรงพยาบาลตอบกลับมาแล้วนะว่าตกลงทำสัญญา”
คำพูดของกิตติทำให้นัสรินต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“หัวหน้าว่าอะไรนะคะ!”
“คุณเก่งมากนะนัส ผมไว้ใจคนไม่ผิดจริงๆ” กิตติเอ่ยชื่นชมเป็นการตอกย้ำว่าเมื่อกี้เธอไม่ได้ฟังผิดหรือหูเพี้ยนแต่อย่างใด
“เป็นไปได้ยังไง” ประโยคนั้นนัสรินรำพึงออกมาคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่า
“เป็นไปแล้ว และตอนนี้ทางโรงพยาบาลก็ให้เราเอาสัญญาไปให้เซ็นได้เลย ซึ่งผมคงต้องให้คุณไปอีกรอบ อ้อ...แต่รอบนี้คุณไม่ต้องกลับไปกลับมาแล้วนะ พอดีทางบริษัทเพิ่งจะแจ้งผมในที่ประชุมเมื่อวันศุกร์ว่าตอนนี้ทางบริษัทไปเปิดสาขาย่อยที่เชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว เพื่อจะดูแลลูกค้าทางภาคเหนือทั้งหมด ในระหว่างนี้ผมอยากให้คุณไปประจำการที่นั่นชั่วคราว เพื่อดูแลลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาล ร้านยาต่างๆ แล้วก็คลินิกหมอที่สนใจสั่งซื้อยาจากเรา”
“แต่ว่านัสไม่สะดวกไปนะคะหัวหน้า”
จากความหนักใจเรื่องจะถูกตำหนิเพราะเจรจาไม่สำเร็จ ตอนนี้นัสรินเกิดความหนักใจเรื่องที่ต้องไปเผชิญหน้ากับปราณต์อีกรอบแทน ในเมื่อก่อนมาเธอประกาศชัดแล้วว่า เขาจะไม่ได้เห็นหน้าเธออีก ซ้ำร้ายหัวหน้าของเธอยังจะให้เธอย้ายไปประจำสาขาที่เชียงใหม่ ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนที่เธอไม่เคยมีความรักความหลังกับที่นั่นก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ตอนนี้เธอไม่อยากแม้แต่จะเหยียบย่างไปที่นั่นเพื่อให้หัวใจของตัวเองเป็นแผลเหวอะหวะขึ้นมาอีกรอบ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับปราณต์ ทำให้เธอรู้ว่าความเกลียดชังที่เขามีต่อเธอ มันไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยสักนิด จริงอยู่ว่าเชียงใหม่ออกจะใหญ่โตกว้างขวาง แต่ใช่ว่าโลกจะไม่กลม หากวันใดต้องเจอหน้าปราณต์ขึ้นมาอีก เขาคงคิดว่าเธอกลืนน้ำลายตัวเองแน่ๆ
บทที่ 14“ทำไมล่ะนัส” “นัสเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ท่านสองคนมีนัสคนเดียว” “อ้อ...นึกว่าเรื่องอะไร ผมไม่ได้ให้คุณไปประจำที่โน่นเลยหรอก ไปแค่สามเดือนเท่านั้น พออะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว และเราหาตัวแทนที่เป็นคนในพื้นที่ได้ ผมก็จะให้คุณเทรนให้จนคนที่นั่นทำงานได้คล่อง ผมก็จะให้คุณกลับมาประจำที่กรุงเทพฯ ตามเดิม ในระหว่างนี้หากเป็นช่วงวันหยุดแล้วคุณอยากกลับบ้านมาหาครอบครัว คุณก็กลับได้ตลอดเลย ทางบริษัทมีค่าเดินทางให้ ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องห่วงบริษัทเช่าอพาร์ตเมนต์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ไว้ให้ห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ใหญ่และอยู่ได้สบายๆ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทางไปทำงาน บริษัทมีรถยนต์ให้คุณใช้อีกคันหนึ่งด้วย” กิตติบอกถึงสิ่งอำนวยความสะดวกให้อย่างครบครัน จนนัสรินไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาแย้งได้ “ไม่มีคนไปแทนนัสเลยเหรอคะ” เสียงหวานถามอ่อยๆ “ไม่มีจริงๆ นัส ผมไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมเท่าคุณเลย ปิยวรรณก็ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว ส่วนอรอุมาก็ต้องรับส่งลูกทุกวัน มีแต่คุณคนเดียวที่โสดสนิท แล้วเรื่องที่คุณเป็นห่วงพ่อกับแม่ผมก็เข้าใจนะ แต่ก็
บทที่ 15คุ้มลักษิกาแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิดในความรู้สึกของนัสริน ที่นี่ยังคงใหญ่โต สวยงาม ร่มรื่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบล้านนาเช่นเดิม เธอมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในคุ้มลักษิกาแห่งนี้แค่เพียงสองอาทิตย์หลังจากแต่งงานกับปราณต์ จากนั้นเขาก็พาเธอย้ายออกไปอยู่บ้านเช่า โดยให้เหตุผลกับครอบครัวว่าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทว่าแท้จริงแล้วเขาพาเธอไปเพื่อจะได้ทรมานใจเธอได้อย่างสะดวกต่างหากแพขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ และรีบสลัดเรื่องของปราณต์ออกไปจากห้วงความคิด เมื่อปรัชญ์จอดรถที่ลานหน้าเรือนไทยทรงล้านนาหลังใหญ่ ขาเรียวก้าวลงจากรถและตามปรัชญ์กับธรินดาเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นนิดๆแม่เลี้ยงลักษิกาเงยหน้าขึ้นจากงานเย็บปักถักร้อย พลางขยับแว่นอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นอดีตลูกสะใภ้เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของตน แต่เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด หญิงวัยกลางคนผู้เป็นประมุขของบ้านก็รำพึงชื่อเจ้าตัวออกมาเบาๆ“หนูนัส...”“สวัสดีค่ะคุณแม่” นัสรินย่อตัวลงนั่งพับเพียบและกราบลงบนตักของแม่เลี้ยงลักษิกา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นให้นางพิศมองอีกครั้ง“หนูนัสจริงๆ ด้วย ไปยังไงมายั
บทที่ 16และหลังจากที่พูดเช่นนั้นแล้ว ปราณต์ก็ไม่รอฟังใครอีก เขาขยับมายืนข้างๆ นัสรินและโอบเอวบางพร้อมกับกระตุกเป็นการบังคับให้เธอเดินออกไปพร้อมเขา นัสรินพยายามจะเบี่ยงตัวออกแต่ก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะไหนจะแรงมือของปราณต์ ไหนจะสายตาของคนทั้งบ้านที่กำลังจดจ้องอยู่ จนในที่สุดเธอก็ต้องเข้ามานั่งในรถของปราณต์จนได้“พักที่ไหน?” เขาถามห้วนๆ หลังจากบังคับเธอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว“ลานนาอพาร์ตเมนต์ค่ะ คุณไม่ต้องไปส่งนัสก็ได้นะคะ นัสกลับเองได้” นัสรินไม่ได้ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากแต่คุยด้วยดีๆ เพราะถึงอย่างไรเสีย วันจันทร์เธอก็ต้องเจอเขาอีกตอนไปเซ็นสัญญา จึงไม่อยากก่อเรื่องให้ตัวเองต้องอึดอัดใจอีก “ผมบอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง ผมไม่ใช่พวกคนพูดกลับกลอกหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทำไม? กลัวหรือไงที่ต้องนั่งรถกับผมสองต่อสอง” “นัสไม่ได้กลัว นัสแค่ไม่อยากให้คุณเสียเวลา และรู้ดีว่าคุณไม่อยากเห็นหน้านัสเท่าไหร่” “ไหนบอกว่าจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก แล้วนี่มาทำไม” นัสรินหันขวับไปจ้องหน้าคนถาม ก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว จากที่คิดว่าจะพยายามควบคุม
บทที่ 17ทันทีที่ปราณต์จอดรถยังลานจอดรถของอพาร์ตเมนต์ นัสรินก็รีบปลดเข็มขัดพร้อมทั้งผลักประตูรถ แล้วก้าวไวๆ เข้าไปในตัวตึกทันที โดยไม่ได้กล่าวขอบคุณหรือพูดอะไรกับคนมาส่งเลยแม้แต่นิด มือเรียวเล็กยื่นกดไปเรียกลิฟต์แล้วยืนรออย่างกระวนกระวายเมื่อเห็นว่าปราณต์ลงจากรถและก้าวตามเข้ามาติดๆ ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างและเปิดประตูออกอย่างฉิวเฉียดก่อนที่ปราณต์จะตามมาทัน ร่างบางก้าวเข้าไปข้างในแล้วกดปิดอย่างเร่งรีบ แต่ประตูลิฟต์ยังไม่ทันได้ปิดร่างสูงก็แทรกผ่านเข้ามา และเป็นคนกดปิดประตูเสียเอง พอประตูปิดลงเขาก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ก่อนอย่างเอาเรื่อง ทำให้นัสรินต้องถอยร่นหนีจนชิดผนังลิฟต์อีกฝั่ง “ถอยไปนะคะคุณปราณต์ ต้องการอะไรจากนัสอีก” เสียงหวานเอ่ยไล่สั่นๆ เมื่อปราณต์ตามมาประชิดแถมยังยกมือสองข้างของเขายันกับผนังลิฟต์คร่อมร่างของเธอเอาไว้ด้านใน “ก็ต้องการคำขอบคุณน่ะสิ ผมอุตส่าห์มาส่ง แต่พอมาถึงคุณก็เปิดประตูรถ สะบัดตูดหนีเฉยๆ ต้องให้บอกมั้ยว่าไร้มารยาทแค่ไหน” ปราณต์ถามคนที่ตัวเองขังไว้ในอ้อมแขน โดยไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับคู่ข
บทที่ 18 แม้จะลำบากใจแค่ไหนที่ต้องมาพบคนที่ตัวเองพยายามจะหลีกเลี่ยง แต่นัสรินก็จำต้องมาเพราะมันคือหน้าที่ความรับผิดชอบกับงานที่ทำอยู่ กิตติหัวหน้าของเธอบอกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่า ทางโรงพยาบาลนัดเซ็นสัญญาในเวลาสี่โมงเย็น ทำให้วันนี้ทั้งวันเธอแทบจะไม่มีสมาธิทำงาน เพราะมัวแต่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องมาพบปราณต์ในช่วงเย็น หญิงสาวมาถึงก่อนเวลานัดตามมารยาทอันดี จากนั้นก็เข้าไปรอในห้องประชุมตามที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลบอก นั่งได้ไม่ถึงห้านาทีประตูหน้าห้องก็ถูกเคาะ และคนที่ก้าวเข้ามาก็คือคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอตลอดมา แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องพบเขา แต่หัวใจมันก็ยังเต้นแรงจนกลายเป็นระส่ำ โดยเฉพาะเมื่อปราณต์ปิดประตูห้องลง คล้ายดั่งกันเธอกับเขาออกจากโลกภายนอก และก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับที่เธอนั่งอยู่ “รอนานหรือเปล่า” นายแพทย์หนุ่มหล่อเป็นฝ่ายถามอดีตภรรยาขึ้นก่อน“ไม่นานค่ะ นัสเพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้เอง” นัสรินได้แต่ตอบออกไปแบบออมปากออมคำ เพราะน้ำเสียงของคนถามนั้นช่างแสนเรียบเฉย ราวกับเป็นคนละคนกับคนที่เกือบจะจูบเธอในลิฟต์เมื่อเย
บทที่ 19“นี่ค่ะ” “ใส่ให้ด้วยสิ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามือไม่ว่าง” ไม่แค่พูดแต่ยังกระชับสองมือที่กอดเอวเล็กเข้าหากันแน่นกว่าเดิมเป็นการย้ำว่าตอนนี้มือเขากำลังทำอะไรอยู่ คนถูกแกล้งเกือบจะหลุดจากการควบคุมตัวเอง หากก็ยังยอมทำตามความต้องการของเขาอีกรอบ แล้วนั่งนิ่งๆ เพื่อให้เขาอ่านเอกสารเสียที คราวนี้ปราณต์ยอมกวาดสายตาไปตามตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษอย่างละเอียดทุกตัวอักษร ก่อนจะบอกให้อดีตภรรยาหยิบปากกาให้และจรดลายเซ็นของตัวเองลงไปในหน้าสุดท้ายของกระดาษที่เว้นช่องไว้ให้เซ็นชื่อ “เสร็จแล้วก็ปล่อยนัสสิคะ นัสจะได้กลับ” “พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งเลยนะ” “นัสไม่ใช่คนแบบนั้น มีแต่คุณปราณต์นั่นละค่ะที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ใครเขาคุยงานกันแบบนี้บ้าง” เธอกล่าวตำหนิเขาตรงๆ พร้อมกับดิ้นเบาๆ เพื่อให้เขาปล่อย แต่ปราณต์ยังไม่ยอมปล่อยเหมือนกับว่ายังแกล้งเธอไม่สะใจ “ต้องถามคุณมากกว่า เพราะผมไม่ค่อยได้คุยงานกับใครแบบสองต่อสองอย่างนี้บ่อยนัก” “คนอื่นไม่มีใครเขาทำแบบคุณปราณต์หรอกค่ะ”
บทที่ 20“ปล่อยนัสลงค่ะคุณปราณต์ คุณมีสิทธิ์อะไรมาอุ้มนัสแบบนี้” คนเจ็บโวยวายพลางดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ไม่กล้าดิ้นมากเพราะกลัวตก “จอดรถที่ไหน” ปราณต์ไม่สนใจอาการขัดขืนของเธอ แต่ถามเสียงดุๆ ขรึมๆ แม้นัสรินจะแอบหวั่นทว่าการถูกอุ้มแบบนี้มันน่าหวาดหวั่นกว่าหลายเท่า “ก็นัสบอกแล้วไงคะว่า...” “ผมถามว่าจอดรถที่ไหนนัสริน” เสียงดุๆ ขรึมๆ เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่ถามแต่ยังพ่วงชื่อเธอต่อท้าย แถมตาก็ยังหลุบลงมองหน้าเธออย่างดุดันพอกัน “ที่ลานจอดรถด้านหน้าค่ะ” หลังจากได้คำตอบ ปราณต์ก็ไม่พูดไม่ถามอะไรอีก ร่างสูงอุ้มอดีตภรรยาสาวออกจากห้องประชุม ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อไปยังลานจอดรถ ท่ามกลางสายตาของคนไข้ พยาบาล และพนักงานของโรงพยาบาลหลายสิบคน “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณหมอ”พยาบาลหน้าห้องหมอชัชวาลรีบเอ่ยถามปราณต์อย่างค่อนข้างตกใจ เมื่อเห็นเขาอุ้มหญิงสาวซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายยาผ่านมา “เธอหกล้มขาแพลง ผมเลยจะอุ้มไปส่ง” “อ๋อ...ค่ะๆ มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ยคะ”
บทที่ 21นัสรินลอบมองปลายคางของอดีตสามี พลางคิดไปว่าเมื่อวันศุกร์เขาเข้ามาถึงในลิฟต์ แต่วันนี้เขาเข้าถึงในห้องและกำลังอุ้มเธอไปที่เตียง แถมเธอเองก็ไม่ยอมท้วง จากที่ประกาศปาวๆ ว่าหลังจากนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ดูเหมือนมันจะต้องข้ามไปเสียหมดปราณต์วางเธอลงบนเตียง จัดท่าให้นั่งพิงพนักเตียง ส่วนเขานั่งลงที่ขอบเตียง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนเตียง แล้วถอดรองเท้าของเธอออก ก่อนจะจับข้อเท้าด้านที่แพลงขึ้นพาดบนขาของเขา ท่ายกแบบนั้นทำให้ชายกระโปรงสั้นร่นขึ้น จนนัสรินต้องรีบหยิบหมอนอีกใบที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาปิดชายกระโปรงไว้เป็นพัลวัน เพื่อไม่ให้ปราณต์มองไปถึงไหนต่อไหน“จะปิดทำไมล่ะ ใส่สั้นก็ต้องกล้าโชว์สิ” ปราณต์เอ่ยออกมาอย่างรำคาญ เมื่อเห็นท่าทีปิดป้องอย่างหวงเนื้อหวงตัวของอดีตภรรยา“นัสไม่ใช่พวกชอบโชว์ แล้วคุณปราณต์มาจับขานัสยกแบบนี้ทำไม”“ผมจะนวดข้อเท้าให้”นัสรินเพิ่งเข้าใจตอนนี้ว่าเขาเข้าไปเอายาในคลินิกมาทำไม ความรู้สึกอุ่นซ่านจึงแล่นลึกเข้ามาในหัวใจ แต่ก็รีบปัดมันทิ้งอย่างรวดเร็วและบอกตัวเองว่าอย่าเคลิบเคลิ้ม การปล่อยให้ปราณต์เข้ามาเดินเล่นในหัวใจได้ง่ายๆ อีกครั้ง นั่นไม่ต่างอะไรกับการ