“ถ้าย้อนเวลาได้นัสจะไม่ทำแบบนั้นค่ะ ที่นัสตัดสินใจทำไปแบบนั้นก็เพราะนัส...” กำลังจะบอกว่าเพราะเธอแอบรักเขามาตั้งแต่ได้เห็นหน้าครั้งแรกแล้ว เมื่อปรัชญ์ขอยกเลิกการแต่งงานกับเธอและเสนอให้เธอแต่งงานกับเขาแทน เธอจึงไม่ปฏิเสธ
“เพราะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน และเห็นผมเป็นตัวตลกใช่ไหม” ปราณต์ไม่ยอมฟังให้จบก็ชิงพูดแทรกขึ้นตามอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในใจมาเป็นแรมปี
“นัสไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ แต่นัสก็ชดเชยให้คุณไปหมดแล้วไงคะ”
คำว่าชดเชยในความหมายของนัสรินก็คือการคืนอิสรภาพให้เขา และยอมจากไปเงียบๆ โดยไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าความหมายของปราณต์มันกลับเป็นคนละอย่าง
“ด้วยการนอนกับผมแค่คืนเดียวอย่างนั้นเหรอ”
“นัสเคยบอกคุณปราณต์แล้วว่านัสไม่ได้ห้ามให้คุณใช้สิทธิ์ความเป็นสามีกับนัส แต่คุณปฏิเสธนัสเองเพราะว่าคุณรังเกียจผู้หญิงอย่างนัส” เธอย้ำเตือนถึงคำพูดของเขาที่เคยพูดกับเธอตั้งแต่คุยกันเรื่องหย่า
“แล้วถ้าตอนนี้ผมเกิดอยากจะใช้สิทธิ์ย้อนหลังล่ะ”
“คุณปราณต์!” นัสรินเผลอเรียกชื่อเขาเสียงเข้ม แม้อะไรๆ ในตัวปราณต์ไม่เคยเปลี่ยนหลังจากที่เธอไม่เจอเขามาเป็นปี แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอรู้สึกได้ว่าเขาเปลี่ยนไปจริงๆ ก็สกิลการพูดจาให้เธอเจ็บใจและอับอาย มันเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนหลายเท่าตัว
“ว่าไง?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเหมือนจะยวนอารมณ์ ทั้งๆ ที่หน้าหล่อๆ นั้นยังคงนิ่งขรึมเหมือนหุ่นยนต์
“สิทธิ์ของคุณปราณต์หมดลงตั้งแต่วันที่คุณกับนัสหย่ากันแล้วค่ะ” นัสรินเชิดหน้าและปฏิเสธเสียงแข็งกระด้าง
“ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าโง่ที่ไม่ใช้สิทธิ์จนคุณสึกหรอเสียก่อน ครั้งเดียว...ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ครั้งเดียว จะให้ถูกต้องพูดว่า ถึงแม้จะหลายครั้งในคืนเดียว มันก็ไม่ได้ทำให้คุณสึกหรอเท่าที่ควรเลย ถ้าไม่ออกไปกรำศึกต่อหลังจากนั้น ตอนนี้อะไรๆ ก็คงจะเข้าที่เข้าทางหมดแล้วละ เผลอๆ ไอ้ผู้ชายคนใหม่มันก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเคยมีผัวมาก่อน”
แม้เจ็บเกินจะเจ็บกับวาจาเยาะเย้ยถากถางซึ่งหลุดมาแทบจะทุกประโยคที่คุยกัน แต่ทว่าคำพูดที่เพิ่งพ่นออกมาจากปากของปราณต์หมาดๆ เมื่อครู่นี้ มันร้ายกาจเกินกว่าที่นัสรินจะทนนั่งฟังได้อีกต่อไป เธอเงยหน้าขึ้นมองดูเพดาน กะพริบตาถี่ๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะก้มลงมาเผชิญหน้ากับเขาใหม่
“โอเคค่ะ นัสยอมแพ้ นัสจะไม่ขายยาและจะไม่อยู่ให้คุณปราณต์ดูถูกมากไปกว่านี้อีกแล้ว คุณปราณต์อยากทำอะไรหรืออยากกินอะไรต่อก็เชิญตามสบายค่ะ อ้อ...อาหารมื้อนี้นัสเลี้ยงนะคะ”
พูดจบนัสรินก็หยิบเอาเงินฉบับละพันสองใบในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นและก้าวฉับๆ ออกไปจากร้าน โดยไม่สนใจว่าร่างสูงลุกขึ้นและก้าวตามมาติดๆ
เมื่อเดินมาถึงลานจอดรถของร้าน ต้นแขนกลมกลึงก็ถูกมือใหญ่เอื้อมมาจับไว้แน่น พร้อมกับที่ปราณต์บังคับให้เธอต้องหันมาเผชิญหน้ากันอีกครา
“เดี๋ยวก่อนนัสริน”
“จะเอายังไงกับนัสอีกคะ” เสียงหวานเอ่ยถามห้วนกระด้าง เชิดหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่มีอะไรต้องเกรงใจกันอีกต่อไป
“ผมไม่ชอบให้ใครเอาเงินฟาดหัว ถ้าจะเอาอะไรสักอย่างฟาดผมก็ควรจะเป็นปากของคุณ”
จบคำร่างบางก็ถูกกระชากเข้าไปกอด ก่อนที่ริมฝีปากหยักซึ่งนัสรินเคยชื่นชมว่าสวยราวกับปากผู้หญิงบดขยี้ลงมาบนเรียวปากของเธออย่างรุนแรงป่าเถื่อน
นัสรินแตกตื่นใจเป็นที่สุด ไม่คิดว่าจู่ๆ ตัวเองจะถูกปราณต์กอดจูบเช่นนั้น เธอเบี่ยงหน้าหลบการรุกรานนั้นพร้อมกับร้องห้ามเป็นพัลวัน
“อย่าค่ะ...คุณปราณต์...ปล่อยนัส...”
คำห้ามปรามของเธอ ไม่ต่างอะไรกับการบอกเขาให้จาบจ้วงหนักกว่าเดิม เพราะตอนนี้สองมือของปราณต์ยกขึ้นประคองข้างแก้มนวลตรึงเอาไว้ เพื่อไม่ให้เธอเบี่ยงหน้าหลบไปไหนได้อีก จากนั้นนัสรินก็รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะเมื่อริมฝีปากของคนที่กำลังโกรธกรุ่นทาบลงมาปิดปากของเธอในที่สุด และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือลิ้นสากหนาร้อนๆ ที่เธอยังจำรสสัมผัสได้ไม่รู้ลืม ชำแรกผ่านเรียวปากอิ่มเต็มของเธออย่างรวดเร็ว ความรู้สึกหลากหลายแล่นพล่านเข้ามารวมตัวกันอยู่ที่ท้องน้อย ปราณต์จูบแรงมาก จูบจนเธอเจ็บร้าวไปหมดทั้งปาก แต่ทันทีที่ลิ้นสัมผัสกับลิ้น ความเจ็บร้าวนั้นก็มลายหายไป เหลือไว้แต่ความวาบหวามรัญจวนอย่างไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ก็แน่ละ...เธอยังตัดใจจากเขาไม่ได้ ยังไม่มีวันไหนที่ลืมเขาได้ พอโดนเขาจูบเข้าหน่อยก็ตัวอ่อนระทวย แล้วเขาเล่ารู้สึกเช่นไร คงจะรู้สึกแค่อยากลงโทษ อยากเอาคืน อยากแก้แค้น และทำให้เธอเจ็บปวดอับอายเสียกระมัง ความคิดเช่นนั้นทำให้หญิงสาวพยายามเตือนสติข่มกลั้นอารมณ์รัญจวนที่ไม่ควรเกิดขึ้นของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แล้วฉาบความรู้สึกที่ว่า ปราณต์ทำไปเพราะต้องการที่จะระบายอารมณ์โกรธของเขาเท่านั้น
หมอหนุ่มถอนปากออกมา เมื่อร่างบางไม่ดิ้นรนต่อสู้ ไม่ร้องโวยวายเหมือนช่วงแรก แต่กลับยืนนิ่งให้เขาจูบเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตจิตใจ
“พอใจหรือยังคะ ถ้ายังก็เชิญเลย อยากทำอะไรนัสอีกก็ทำ” เธอมองด้วยสายตาว่างเปล่าแต่เจือไว้ด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงต่อการกระทำของเขา
“นัสริน...ผม...” นึกอยากจะเอ่ยปากขอโทษ แต่ปากมันก็หนักจนพูดไม่ออก
“ถ้าคุณพอใจแล้วนัสก็ขอตัว และก็ขอโทษที่การมาของนัสทำให้คุณขุ่นเคืองใจ แต่นัสสัญญาว่าจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก ชาตินี้เราจะไม่มีวันได้พบกันอีก คุณสบายใจได้เลย”
พูดจบนัสรินก็เดินไปโบกแท็กซี่ทั้งที่น้ำตายังคลอเต็มเบ้า โชคดีที่แท็กซี่ในเชียงใหม่มีค่อนข้างเยอะ จึงแล่นมาได้จังหวะที่เธอกำลังอยากจะหนีหน้าปราณต์โดยไวที่สุดพอดี
นัสรินบอกปลายทางกับคนขับว่าให้ไปส่งที่สนามบิน ตาที่ฝ้าฟางด้วยม่านน้ำตาบางๆ ตอนนี้มองออกไปนอกหน้าต่างรถ บอกกับตัวเองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเหยียบย่างมาที่นี่ และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เจอหน้าผู้ชายที่ตัวเองรัก ซึ่งไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปนานเท่าไหร่เขาก็ยังคงใจร้ายเช่นเดิม
บทที่ 10 สองทุ่มแล้ว...คลินิกยังคงปิดช้ากว่าเวลาเหมือนทุกวัน เพราะคนไข้มายื่นบัตรรอตรวจเยอะเช่นเคย แต่หมอหนุ่มวัยสามสิบสองก็ยังคงตรวจคนไข้จนถึงคนสุดท้ายอย่างละเอียด โดยไม่คิดจะเร่งรีบหรือตรวจพอแล้วๆ แต่อย่างใด คลินิกแห่งนี้เปิดได้ปีกว่าแล้ว ช่วงแรกๆ คนไข้ยังไม่เยอะเท่าไหร่ กระทั่งมีคนพูดปากต่อปาก ว่าคลินิกแห่งนี้ตรวจรักษาดีและค่ารักษาก็ไม่ได้แพงมากจนคนระดับทำมาหากินเข้ามาใช้บริการไม่ได้ ทำให้มีคนไข้มาใช้บริการเยอะขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดปราณต์ก็ต้องจ้างผู้ช่วยเพิ่ม จากที่ครั้งแรกเขาจ้างแค่พนักงานตรวจความดันและกรอกประวัติคนไข้เพียงคนเดียว ตอนนี้ต้องจ้างเพิ่มอีกหนึ่งคน และยังต้องจ้างผู้มีใบอนุญาตทางเภสัชกรรมมาช่วยจ่ายยาเพิ่มด้วย ปราณต์ลุกจากโต๊ะหลังจากคนไข้คนสุดท้ายออกจากห้องตรวจ จากนั้นก็ตรงไปยังรถของตัวเอง โดยปล่อยหน้าที่ปิด คลินิกให้เป็นของพนักงาน รถแลนด์โรเวอร์สีขาวรุ่นที่มีเพียงหลักร้อยคันในประเทศไทย แล่นออกจากริมฟุตบาทด้านข้างคลินิก มุ่งหน้าไปตามถนนที่เป็นคนละเส้นกับทางกลับบ้าน ไฟซึ่งส่องสว่างอยู่บนเสาไฟฟ้าเริ่มทยอยลดน้อยลงเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดก็มีเพีย
บทที่ 11“วันนี้ฉันเจอนัสริน”ในที่สุดหมอปากหนักก็ยอมพูดความจริง พร้อมกับแอบระบายลมหายใจออกมาเบาๆ และซ่อนบางอย่างเอาไว้ในสายตาที่เคร่งขรึมลงไป แต่คนมองก็สังเกตเห็น“เมียเก่าแกน่ะเหรอ”“อืม...”“เจอแล้วไง ทำไมต้องมานั่งดื่มเหล้าแทนน้ำแบบนี้ หรือว่าเสียดาย เมียคงสวยขึ้นผิดหูผิดตาล่ะสิ หวงก้างว่างั้น” คราวนี้เป็นศาสตราบ้างที่เป็นฝ่ายดักคอ“ไอ้กริช!”“หรือฉันพูดผิด ก็เถียงมาสิโว้ยว่าไม่จริง”“ถ้าจริงแล้วทำอะไรได้” คำตอบนั้นเท่ากับยอมรับกลายๆ“ก็จีบใหม่สิวะ แต่ติดตรงที่ว่าเขามีผัวใหม่หรือยังเท่านั้นละ” ศาสตราถามห่ามๆ ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ให้เกียรตินัสริน แต่ถามแบบจงใจเย้ยคนฟังให้หัวใจร้อนรุ่มเล่น มันสนุกดีพิลึกเวลาเห็นไอ้หมอผู้สุภาพมาโดยตลอดหลุดความดิบๆ เถื่อนๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมา“เห็นบอกว่ายัง” ปราณต์ตอบแบบเสียงแข็งกระด้าง มือที่กำลังเอื้อมไปจับขวดเหล้าเผลอลงน้ำหนักแรงอย่างหงุดหงิด เมื่อคิดถึงรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตาของนัสริน“เชื่อได้เหรอ”“ไม่รู้สิ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรสำหรับฉันสักนิด” ยิ่งฟังคำถามอันตอกย้ำเช่นนั้น ปราณต์ก็ยิ่งเหมือนร้อนรุ่มในอกมากขึ้นเป็นทวีค
บทที่ 12มันเป็นเรื่องกระอักกระอ่วนจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เมื่อจู่ๆ ตัวเองก็ต้องมาใส่ชุดเจ้าบ่าว นั่งเคียงคู่เจ้าสาว ให้ใครต่อใครมารดน้ำสังข์พร้อมกับอวยพรให้อยู่กันจนแก่เฒ่า เขาต้องทำหน้าที่แต่งงานแทนน้องชายอย่างปรัชญ์ที่จู่ๆ ก็ประกาศต่อหน้าเขาและแม่ว่ามีเมียแล้ว ซึ่งผู้หญิงที่ปรัชญ์บอกว่าเป็นเมียไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นธรินดาน้องสาวบุญธรรมของเขาที่เขาเองก็แอบปองใจอยู่เงียบๆ มานานแล้วเช่นกัน ปราณต์อยากจะหลอกตัวเองว่าเขากำลังฝันอยู่ ทว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คน เสียงบรรเลงของดนตรีไทย ดอกไม้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามอ่อนหวาน ป้ายชื่อด้านหลังซึ่งเป็นชื่อเขากับชื่อเจ้าสาวเด่นหรา รวมถึงเจ้าสาวหน้าตาหวานซึ้งซึ่งควรจะเป็นน้องสะใภ้เขากำลังนั่งเคียงข้างเขาในพิธีรดน้ำสังข์อยู่จริงๆ เขาไม่ปฏิเสธว่านัสรินเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสะสวย รูปร่างอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมคนหนึ่ง ยิ่งอยู่ในชุดไทยสีทองเช่นนี้ยิ่งขับให้เธอดูงดงามราวกับนางในวรรณคดี แต่ยามนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมความสวยงามใดๆ ต่อผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาทางนิตินัยอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากเขาและเธอเพิ่งจะจดทะเบียนสมรสกั
บทที่ 13“ชื่อในการ์ดเป็นชื่อผมด้วยเหรอ?”“ก็คุณปราณต์เป็นเจ้าบ่าว ก็ต้องเป็นชื่อคุณปราณต์สิคะ นี่อย่าบอกนะคะว่าคุณปราณต์กำลังเล่นมุก ออยขำไม่ทันเลยค่ะ”พินทุสรยังคงยิ้มร่าและหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดว่าเจ้าบ่าวของเพื่อนรักช่างมีอารมณ์ขันแบบหน้าตายดีแท้ๆ“ผมขอดูหน่อยได้ไหม”“ได้สิคะ ออยพกติดกระเป๋ามาด้วย ออยเห็นแล้วชอบมากๆ เลยค่ะ การ์ดสวยเก๋เห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าคนเลือกต้องพิถีพิถันมากๆ คุณปราณต์กับยัยนัสคงจะช่วยกันเลือกใช่มั้ยคะ” พินทุสรพูดเป็นต่อยหอย ขณะหยิบเอาการ์ดแต่งงานในกระเป๋าแล้วส่งให้กับปราณต์ โดยไม่ได้สังเกตอาการของเขาแต่อย่างใดตาคมกวาดตามองไปยังตัวหนังสือที่อยู่บนการ์ดแต่งงานสีหวานอย่างตั้งใจ ตัวหนังสือบนนั้นแสดงอยู่อย่างเด่นหรา ว่าชื่อเจ้าสาวเจ้าบ่าวเป็นชื่อนัสรินกับชื่อของเขาจริงๆ ลักษณะของการ์ดก็บ่งบอกชัดว่าถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน กระดาษที่ใช้พิมพ์ก็เป็นกระดาษเนื้อดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาแตะจมูกและติดมือคนจับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพิมพ์เสร็จภายในหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนที่การแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้น หนำซ้ำคำพูดของหญิงสาวที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับนัสรินก็ย้ำชัดว่า เรื่องที
บทที่ 14“ทำไมล่ะนัส” “นัสเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ท่านสองคนมีนัสคนเดียว” “อ้อ...นึกว่าเรื่องอะไร ผมไม่ได้ให้คุณไปประจำที่โน่นเลยหรอก ไปแค่สามเดือนเท่านั้น พออะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว และเราหาตัวแทนที่เป็นคนในพื้นที่ได้ ผมก็จะให้คุณเทรนให้จนคนที่นั่นทำงานได้คล่อง ผมก็จะให้คุณกลับมาประจำที่กรุงเทพฯ ตามเดิม ในระหว่างนี้หากเป็นช่วงวันหยุดแล้วคุณอยากกลับบ้านมาหาครอบครัว คุณก็กลับได้ตลอดเลย ทางบริษัทมีค่าเดินทางให้ ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องห่วงบริษัทเช่าอพาร์ตเมนต์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ไว้ให้ห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ใหญ่และอยู่ได้สบายๆ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทางไปทำงาน บริษัทมีรถยนต์ให้คุณใช้อีกคันหนึ่งด้วย” กิตติบอกถึงสิ่งอำนวยความสะดวกให้อย่างครบครัน จนนัสรินไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาแย้งได้ “ไม่มีคนไปแทนนัสเลยเหรอคะ” เสียงหวานถามอ่อยๆ “ไม่มีจริงๆ นัส ผมไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมเท่าคุณเลย ปิยวรรณก็ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว ส่วนอรอุมาก็ต้องรับส่งลูกทุกวัน มีแต่คุณคนเดียวที่โสดสนิท แล้วเรื่องที่คุณเป็นห่วงพ่อกับแม่ผมก็เข้าใจนะ แต่ก็
บทที่ 15คุ้มลักษิกาแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิดในความรู้สึกของนัสริน ที่นี่ยังคงใหญ่โต สวยงาม ร่มรื่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบล้านนาเช่นเดิม เธอมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในคุ้มลักษิกาแห่งนี้แค่เพียงสองอาทิตย์หลังจากแต่งงานกับปราณต์ จากนั้นเขาก็พาเธอย้ายออกไปอยู่บ้านเช่า โดยให้เหตุผลกับครอบครัวว่าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทว่าแท้จริงแล้วเขาพาเธอไปเพื่อจะได้ทรมานใจเธอได้อย่างสะดวกต่างหากแพขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ และรีบสลัดเรื่องของปราณต์ออกไปจากห้วงความคิด เมื่อปรัชญ์จอดรถที่ลานหน้าเรือนไทยทรงล้านนาหลังใหญ่ ขาเรียวก้าวลงจากรถและตามปรัชญ์กับธรินดาเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นนิดๆแม่เลี้ยงลักษิกาเงยหน้าขึ้นจากงานเย็บปักถักร้อย พลางขยับแว่นอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นอดีตลูกสะใภ้เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของตน แต่เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด หญิงวัยกลางคนผู้เป็นประมุขของบ้านก็รำพึงชื่อเจ้าตัวออกมาเบาๆ“หนูนัส...”“สวัสดีค่ะคุณแม่” นัสรินย่อตัวลงนั่งพับเพียบและกราบลงบนตักของแม่เลี้ยงลักษิกา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นให้นางพิศมองอีกครั้ง“หนูนัสจริงๆ ด้วย ไปยังไงมายั
บทที่ 16และหลังจากที่พูดเช่นนั้นแล้ว ปราณต์ก็ไม่รอฟังใครอีก เขาขยับมายืนข้างๆ นัสรินและโอบเอวบางพร้อมกับกระตุกเป็นการบังคับให้เธอเดินออกไปพร้อมเขา นัสรินพยายามจะเบี่ยงตัวออกแต่ก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะไหนจะแรงมือของปราณต์ ไหนจะสายตาของคนทั้งบ้านที่กำลังจดจ้องอยู่ จนในที่สุดเธอก็ต้องเข้ามานั่งในรถของปราณต์จนได้“พักที่ไหน?” เขาถามห้วนๆ หลังจากบังคับเธอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว“ลานนาอพาร์ตเมนต์ค่ะ คุณไม่ต้องไปส่งนัสก็ได้นะคะ นัสกลับเองได้” นัสรินไม่ได้ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากแต่คุยด้วยดีๆ เพราะถึงอย่างไรเสีย วันจันทร์เธอก็ต้องเจอเขาอีกตอนไปเซ็นสัญญา จึงไม่อยากก่อเรื่องให้ตัวเองต้องอึดอัดใจอีก “ผมบอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง ผมไม่ใช่พวกคนพูดกลับกลอกหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทำไม? กลัวหรือไงที่ต้องนั่งรถกับผมสองต่อสอง” “นัสไม่ได้กลัว นัสแค่ไม่อยากให้คุณเสียเวลา และรู้ดีว่าคุณไม่อยากเห็นหน้านัสเท่าไหร่” “ไหนบอกว่าจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก แล้วนี่มาทำไม” นัสรินหันขวับไปจ้องหน้าคนถาม ก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว จากที่คิดว่าจะพยายามควบคุม
บทที่ 17ทันทีที่ปราณต์จอดรถยังลานจอดรถของอพาร์ตเมนต์ นัสรินก็รีบปลดเข็มขัดพร้อมทั้งผลักประตูรถ แล้วก้าวไวๆ เข้าไปในตัวตึกทันที โดยไม่ได้กล่าวขอบคุณหรือพูดอะไรกับคนมาส่งเลยแม้แต่นิด มือเรียวเล็กยื่นกดไปเรียกลิฟต์แล้วยืนรออย่างกระวนกระวายเมื่อเห็นว่าปราณต์ลงจากรถและก้าวตามเข้ามาติดๆ ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างและเปิดประตูออกอย่างฉิวเฉียดก่อนที่ปราณต์จะตามมาทัน ร่างบางก้าวเข้าไปข้างในแล้วกดปิดอย่างเร่งรีบ แต่ประตูลิฟต์ยังไม่ทันได้ปิดร่างสูงก็แทรกผ่านเข้ามา และเป็นคนกดปิดประตูเสียเอง พอประตูปิดลงเขาก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ก่อนอย่างเอาเรื่อง ทำให้นัสรินต้องถอยร่นหนีจนชิดผนังลิฟต์อีกฝั่ง “ถอยไปนะคะคุณปราณต์ ต้องการอะไรจากนัสอีก” เสียงหวานเอ่ยไล่สั่นๆ เมื่อปราณต์ตามมาประชิดแถมยังยกมือสองข้างของเขายันกับผนังลิฟต์คร่อมร่างของเธอเอาไว้ด้านใน “ก็ต้องการคำขอบคุณน่ะสิ ผมอุตส่าห์มาส่ง แต่พอมาถึงคุณก็เปิดประตูรถ สะบัดตูดหนีเฉยๆ ต้องให้บอกมั้ยว่าไร้มารยาทแค่ไหน” ปราณต์ถามคนที่ตัวเองขังไว้ในอ้อมแขน โดยไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับคู่ข