ปราณต์เดินมาที่รถของเขาซึ่งอยู่ในลานจอดรถที่ล็อกไว้ให้สำหรับหมอและบุคลากรของโรงพยาบาลโดยเฉพาะ เขาเปิดประตูหน้ารอให้นัสรินก้าวเข้าไปนั่งข้างในก่อน จึงค่อยเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ
มือเรียวเล็กเผลอจิกกระเป๋าตัวเองแน่น เมื่อถูกขังอยู่ในบรรยากาศอันเป็นส่วนตัวแบบสองต่อสองอีกครั้ง ผิดแต่เพียงในรถมันแคบกว่าห้องของหมอชัชวาล แถมปราณต์ก็ไม่ยอมเปิดเพลง จึงทำให้แทบจะได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน นัสรินจำได้ว่ารถคันนี้ตัวเองเคยนั่งคู่กับเขาไม่เกินห้าครั้งตลอดช่วงที่แต่งงานกัน และวันสุดท้ายที่ได้นั่งด้วยกันก็คือวันที่เขามารับไปหย่า จากนั้นเธอกับเขาต่างก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองอย่างอดไม่ได้ ว่าที่นั่งที่เธอนั่งอยู่ตอนนี้มีใครมานั่งแทนหรือยัง หากเธอกล้ามากกว่านี้และปากจัดเหมือนปราณต์ เธอคงถามเขาไปตรงๆ เหมือนที่เขาถามเธอแล้ว ทว่าความกล้าของเธอห่างไกลกับเขาลิบลับ แต่ที่กลัวไปกว่านั้นก็คือความจริงอันน่าเจ็บปวด หากเขาบอกว่าเขามีคนใหม่แล้ว ดังนั้นนัสรินจึงเลือกจะไม่ยอมรับรู้อะไร ที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของอดีตสามี
อีกสิบกว่านาทีต่อมา รถของปราณต์ซึ่งมีนัสรินนั่งมาด้วยก็แล่นเข้าจอดเทียบยังลานจอดรถของร้านอาหารบรรยากาศสไตล์ล้านนาร้านหนึ่ง ร่างบางเดินตามเขาเข้าไปในร้านเงียบๆ ปราณต์เป็นคนเลือกโต๊ะและสั่งอาหารเองทั้งหมดโดยไม่ได้ถามความคิดเห็นของเธอแต่อย่างใด ทว่าอาหารสี่เมนูที่เขาสั่งไปนั้นก็บอกอยู่ในทีว่าเขาสั่งเผื่อแล้ว
บรรยากาศในร้านช่วงเที่ยงๆ แบบนี้คนค่อนข้างจะคึกคัก ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็รอไม่นานนัก พนักงานก็เริ่มนำอาหารมาเสิร์ฟจนครบ ปราณต์พยักหน้าให้อดีตภรรยาเป็นเชิงว่าให้ลงมือรับประทานอาหารได้แล้ว นัสรินจึงต้องจับช้อนมาตักอาหารใส่จานตัวเองทั้งที่ไม่หิวเลยสักนิด ความรู้สึกมันตื้อตั้งแต่พบปราณต์แบบไม่คาดคิด ทำให้ไม่นึกอยากให้มีอะไรลงไปในท้องเลย
“นึกยังไงถึงมาทำงานขายยา” ปราณต์ถามขึ้นหลังจากปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเขาและเธอเงียบอยู่นานพอสมควร
“เงินดีค่ะ” เสียงหวานที่ตอนนี้ไม่สั่นแล้วตอบออกไปเรียบๆ
“ยังเห็นแก่เงินเหมือนเดิม”
“ค่ะ ทำไงได้ล่ะคะในเมื่อเงินมันคือปัจจัยขับเคลื่อนชีวิตอย่างหนึ่งไปแล้ว” แม้จะหน้าชากับคำพูดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นัสรินก็ตอบโต้ไปตามที่ตัวเองพอจะคิดออก
“แล้วเข้ามาทำงานตำแหน่งนี้ได้ยังไง ใช้เส้นสายของพ่ออีกล่ะสิ”
“ค่ะ...” คนถูกถามตอบสั้นๆ จนคนฟังรู้สึกหงุดหงิด นัสรินคร้านจะอธิบาย ในเมื่อปราณต์เต็มไปด้วยอคติที่มีต่อเธอ พูดไปเขาก็คงไม่มีวันเชื่อ ว่าเธอเข้าทำงานในบริษัทยาชื่อดังนี้ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง และไม่ใช่คนที่เก่งมากมายอะไรหากจะเทียบกับสาวสมัยใหม่ ทว่าสิ่งที่เธอมีติดตัวก็คือความรู้ด้านภาษาอังกฤษในระดับดีเยี่ยม เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่ยังเด็ก นั่นจึงเป็นใบเบิกทางอย่างดีที่ทำให้เธอได้ทำงานที่บริษัทยาชื่อดังแห่งนี้ และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อของเธอต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากเพื่อนรักซึ่งเป็นพ่อของปราณต์มาส่งเสียเธอเรียน เพราะลำพังเงินเดือนทหารไม่พอสำหรับค่าเทอมที่แสนจะแพงมหาศาลของโรงเรียนนานาชาติ ดังนั้นเมื่อพ่อกับแม่บอกว่าอยากให้เธอแต่งงานกับปรัชญ์ เพื่อเป็นการชดใช้หนี้สินของครอบครัว เธอจึงไม่ปฏิเสธมาแต่ต้น
“เข้าใจเลือกงานนะ รายได้ดีไม่พอ เผื่อจะฟลุกได้ผัวเป็นหมออีกสักคนต่างหาก”
มือที่กำลังจะตักข้าวอีกคำเข้าปากต้องหยุดชะงัก ก่อนจะวางช้อนในมือลง รวบไปไว้ด้านหนึ่งของจาน แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เพราะเธออิ่มคำประชดแดกดันของเขาจนฝืนกินอะไรไม่ได้อีกต่อไป
“นัสอิ่มแล้วค่ะ”
“อิ่มก็นั่งรอไปก่อน ผมยังไม่อิ่ม”
ปราณต์บอกอย่างไม่คิดจะสนใจ ว่าเธอจะกินมากกินน้อย เขายังคงตักนั่นตักนี่ใส่จานแล้วค่อยๆ ละเลียดอย่างใจเย็น จนเวลาล่วงเลยจากเที่ยงไปใกล้บ่ายโมง
คนรอเริ่มกระวนกระวาย เพราะเธอจองตั๋วเครื่องบินกลับไว้ในไฟลท์บ่ายสาม แต่อย่างน้อยก็ต้องไปถึงสนามบินและเช็กอินก่อนสี่สิบห้านาที ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเหลือเวลาแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่จะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับยา ข้อตกลงซื้อขาย และรายละเอียดต่างๆ ในสัญญาที่จะเป็นภาระผูกพันกันต่อไป
“คุณปราณต์ไม่กลับไปทำงานหรือไงคะ” นัสรินพักเรื่องส่วนตัวของตัวเองลงชั่วขณะ เอ่ยถามเขาออกไปคล้ายกับเร่งอยู่ในที เพราะเธอต้องการปิดจ็อบนี้ให้ได้วันนี้
“ช่วงบ่ายผมไม่มีเคส และไม่ใช่เวรตรวจคนไข้ในด้วยเพราะฉะนั้นผมไม่รีบ”
“แต่นัสรีบค่ะ นัสจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ ถ้าคุณปราณต์ไม่คุยตอนนี้นัสอาจตกเครื่อง”
“ผมจำเป็นต้องตกลงซื้อยาที่คุณมาเสนอให้แค่ไหน”
“นัสบอกไม่ได้หรอกนะคะว่าจำเป็นมากหรือน้อยแค่ไหน เพราะคุณปราณต์คือคนที่ต้องตัดสินใจ แต่สรรพคุณของยาตัวนี้ดีมาก ราคาก็ค่อนข้างถูกหากจะเทียบกับยานอกยี่ห้ออื่น อย่างน้อยก็เป็นการเปิดโอกาสในการเข้าถึงยาสำหรับคนไข้ที่มีรายได้น้อยนะคะ”
“เข้าใจพูดนะ”
คำพูดนั้นก็ยังไม่แคล้วจะแดกดัน แต่นัสรินเลือกที่จะไม่เก็บมาเป็นอารมณ์
“นัสแค่พูดตามความจริง”
“ผู้หญิงอย่างคุณรู้จักพูดความจริงด้วยเหรอ”
“นัสไม่เคยโกหกค่ะ นัสพูดความจริงมาตลอด”
“แล้วไอ้ที่ร่วมมือกับปรัชญ์ตลบหลังผมล่ะ นั่นเรียกว่าความจริงด้วยหรือเปล่า”
“เอ่อ...นัส...คือนัส...” นัสรินพูดไม่ออก ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะขอโทษเขาถึงเรื่องคราวนั้น นี่เองกระมังสาเหตุของความเย็นชาและใจร้ายของปราณต์ เพราะเขารู้ความจริงนี่เองว่าการแต่งงานระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เพราะสถานการณ์มันบังคับ แต่เป็นเพราะเธอกับปรัชญ์ร่วมมือกันวางแผน จนเขาต้องมาแต่งงานกับเธอแทนปรัชญ์ต่างหาก
“พูดไม่ออกเลยล่ะสิท่า แล้วผมล่ะนัสริน ตอนที่รู้ความจริงตอนที่ได้ยินกับหูตัวเองว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นแค่การจัดฉาก ผมจะรู้สึกยังไง ผมยอมแต่งงานกับคุณก็เพราะสงสาร กลัวว่าจะเป็นหม้ายขันหมาก กลัวจะอับอาย และที่สำคัญแม่ผมเครียดจนแทบจะเป็นลมที่จู่ๆ งานแต่งก็จะล่มเอาดื้อๆ แต่กลับกลายเป็นว่าคุณกับปรัชญ์ตกลงกันมาอย่างดีตั้งนานสองนานแล้ว”
บทที่ 9“ถ้าย้อนเวลาได้นัสจะไม่ทำแบบนั้นค่ะ ที่นัสตัดสินใจทำไปแบบนั้นก็เพราะนัส...” กำลังจะบอกว่าเพราะเธอแอบรักเขามาตั้งแต่ได้เห็นหน้าครั้งแรกแล้ว เมื่อปรัชญ์ขอยกเลิกการแต่งงานกับเธอและเสนอให้เธอแต่งงานกับเขาแทน เธอจึงไม่ปฏิเสธ “เพราะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน และเห็นผมเป็นตัวตลกใช่ไหม” ปราณต์ไม่ยอมฟังให้จบก็ชิงพูดแทรกขึ้นตามอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในใจมาเป็นแรมปี“นัสไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ แต่นัสก็ชดเชยให้คุณไปหมดแล้วไงคะ”คำว่าชดเชยในความหมายของนัสรินก็คือการคืนอิสรภาพให้เขา และยอมจากไปเงียบๆ โดยไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าความหมายของปราณต์มันกลับเป็นคนละอย่าง“ด้วยการนอนกับผมแค่คืนเดียวอย่างนั้นเหรอ”“นัสเคยบอกคุณปราณต์แล้วว่านัสไม่ได้ห้ามให้คุณใช้สิทธิ์ความเป็นสามีกับนัส แต่คุณปฏิเสธนัสเองเพราะว่าคุณรังเกียจผู้หญิงอย่างนัส” เธอย้ำเตือนถึงคำพูดของเขาที่เคยพูดกับเธอตั้งแต่คุยกันเรื่องหย่า“แล้วถ้าตอนนี้ผมเกิดอยากจะใช้สิทธิ์ย้อนหลังล่ะ”“คุณปราณต์!” นัสรินเผลอเรียกชื่อเขาเสียงเข้ม แม้อะไรๆ ในตัวปราณต์ไม่เคยเปลี่ยนหลังจากที่เธอไม่เจอเขามาเป็นปี แต่ตอนนี้
บทที่ 10 สองทุ่มแล้ว...คลินิกยังคงปิดช้ากว่าเวลาเหมือนทุกวัน เพราะคนไข้มายื่นบัตรรอตรวจเยอะเช่นเคย แต่หมอหนุ่มวัยสามสิบสองก็ยังคงตรวจคนไข้จนถึงคนสุดท้ายอย่างละเอียด โดยไม่คิดจะเร่งรีบหรือตรวจพอแล้วๆ แต่อย่างใด คลินิกแห่งนี้เปิดได้ปีกว่าแล้ว ช่วงแรกๆ คนไข้ยังไม่เยอะเท่าไหร่ กระทั่งมีคนพูดปากต่อปาก ว่าคลินิกแห่งนี้ตรวจรักษาดีและค่ารักษาก็ไม่ได้แพงมากจนคนระดับทำมาหากินเข้ามาใช้บริการไม่ได้ ทำให้มีคนไข้มาใช้บริการเยอะขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดปราณต์ก็ต้องจ้างผู้ช่วยเพิ่ม จากที่ครั้งแรกเขาจ้างแค่พนักงานตรวจความดันและกรอกประวัติคนไข้เพียงคนเดียว ตอนนี้ต้องจ้างเพิ่มอีกหนึ่งคน และยังต้องจ้างผู้มีใบอนุญาตทางเภสัชกรรมมาช่วยจ่ายยาเพิ่มด้วย ปราณต์ลุกจากโต๊ะหลังจากคนไข้คนสุดท้ายออกจากห้องตรวจ จากนั้นก็ตรงไปยังรถของตัวเอง โดยปล่อยหน้าที่ปิด คลินิกให้เป็นของพนักงาน รถแลนด์โรเวอร์สีขาวรุ่นที่มีเพียงหลักร้อยคันในประเทศไทย แล่นออกจากริมฟุตบาทด้านข้างคลินิก มุ่งหน้าไปตามถนนที่เป็นคนละเส้นกับทางกลับบ้าน ไฟซึ่งส่องสว่างอยู่บนเสาไฟฟ้าเริ่มทยอยลดน้อยลงเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดก็มีเพีย
บทที่ 11“วันนี้ฉันเจอนัสริน”ในที่สุดหมอปากหนักก็ยอมพูดความจริง พร้อมกับแอบระบายลมหายใจออกมาเบาๆ และซ่อนบางอย่างเอาไว้ในสายตาที่เคร่งขรึมลงไป แต่คนมองก็สังเกตเห็น“เมียเก่าแกน่ะเหรอ”“อืม...”“เจอแล้วไง ทำไมต้องมานั่งดื่มเหล้าแทนน้ำแบบนี้ หรือว่าเสียดาย เมียคงสวยขึ้นผิดหูผิดตาล่ะสิ หวงก้างว่างั้น” คราวนี้เป็นศาสตราบ้างที่เป็นฝ่ายดักคอ“ไอ้กริช!”“หรือฉันพูดผิด ก็เถียงมาสิโว้ยว่าไม่จริง”“ถ้าจริงแล้วทำอะไรได้” คำตอบนั้นเท่ากับยอมรับกลายๆ“ก็จีบใหม่สิวะ แต่ติดตรงที่ว่าเขามีผัวใหม่หรือยังเท่านั้นละ” ศาสตราถามห่ามๆ ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ให้เกียรตินัสริน แต่ถามแบบจงใจเย้ยคนฟังให้หัวใจร้อนรุ่มเล่น มันสนุกดีพิลึกเวลาเห็นไอ้หมอผู้สุภาพมาโดยตลอดหลุดความดิบๆ เถื่อนๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมา“เห็นบอกว่ายัง” ปราณต์ตอบแบบเสียงแข็งกระด้าง มือที่กำลังเอื้อมไปจับขวดเหล้าเผลอลงน้ำหนักแรงอย่างหงุดหงิด เมื่อคิดถึงรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตาของนัสริน“เชื่อได้เหรอ”“ไม่รู้สิ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรสำหรับฉันสักนิด” ยิ่งฟังคำถามอันตอกย้ำเช่นนั้น ปราณต์ก็ยิ่งเหมือนร้อนรุ่มในอกมากขึ้นเป็นทวีค
บทที่ 12มันเป็นเรื่องกระอักกระอ่วนจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เมื่อจู่ๆ ตัวเองก็ต้องมาใส่ชุดเจ้าบ่าว นั่งเคียงคู่เจ้าสาว ให้ใครต่อใครมารดน้ำสังข์พร้อมกับอวยพรให้อยู่กันจนแก่เฒ่า เขาต้องทำหน้าที่แต่งงานแทนน้องชายอย่างปรัชญ์ที่จู่ๆ ก็ประกาศต่อหน้าเขาและแม่ว่ามีเมียแล้ว ซึ่งผู้หญิงที่ปรัชญ์บอกว่าเป็นเมียไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นธรินดาน้องสาวบุญธรรมของเขาที่เขาเองก็แอบปองใจอยู่เงียบๆ มานานแล้วเช่นกัน ปราณต์อยากจะหลอกตัวเองว่าเขากำลังฝันอยู่ ทว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คน เสียงบรรเลงของดนตรีไทย ดอกไม้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามอ่อนหวาน ป้ายชื่อด้านหลังซึ่งเป็นชื่อเขากับชื่อเจ้าสาวเด่นหรา รวมถึงเจ้าสาวหน้าตาหวานซึ้งซึ่งควรจะเป็นน้องสะใภ้เขากำลังนั่งเคียงข้างเขาในพิธีรดน้ำสังข์อยู่จริงๆ เขาไม่ปฏิเสธว่านัสรินเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสะสวย รูปร่างอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมคนหนึ่ง ยิ่งอยู่ในชุดไทยสีทองเช่นนี้ยิ่งขับให้เธอดูงดงามราวกับนางในวรรณคดี แต่ยามนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมความสวยงามใดๆ ต่อผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาทางนิตินัยอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากเขาและเธอเพิ่งจะจดทะเบียนสมรสกั
บทที่ 13“ชื่อในการ์ดเป็นชื่อผมด้วยเหรอ?”“ก็คุณปราณต์เป็นเจ้าบ่าว ก็ต้องเป็นชื่อคุณปราณต์สิคะ นี่อย่าบอกนะคะว่าคุณปราณต์กำลังเล่นมุก ออยขำไม่ทันเลยค่ะ”พินทุสรยังคงยิ้มร่าและหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดว่าเจ้าบ่าวของเพื่อนรักช่างมีอารมณ์ขันแบบหน้าตายดีแท้ๆ“ผมขอดูหน่อยได้ไหม”“ได้สิคะ ออยพกติดกระเป๋ามาด้วย ออยเห็นแล้วชอบมากๆ เลยค่ะ การ์ดสวยเก๋เห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าคนเลือกต้องพิถีพิถันมากๆ คุณปราณต์กับยัยนัสคงจะช่วยกันเลือกใช่มั้ยคะ” พินทุสรพูดเป็นต่อยหอย ขณะหยิบเอาการ์ดแต่งงานในกระเป๋าแล้วส่งให้กับปราณต์ โดยไม่ได้สังเกตอาการของเขาแต่อย่างใดตาคมกวาดตามองไปยังตัวหนังสือที่อยู่บนการ์ดแต่งงานสีหวานอย่างตั้งใจ ตัวหนังสือบนนั้นแสดงอยู่อย่างเด่นหรา ว่าชื่อเจ้าสาวเจ้าบ่าวเป็นชื่อนัสรินกับชื่อของเขาจริงๆ ลักษณะของการ์ดก็บ่งบอกชัดว่าถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน กระดาษที่ใช้พิมพ์ก็เป็นกระดาษเนื้อดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาแตะจมูกและติดมือคนจับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพิมพ์เสร็จภายในหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนที่การแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้น หนำซ้ำคำพูดของหญิงสาวที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับนัสรินก็ย้ำชัดว่า เรื่องที
บทที่ 14“ทำไมล่ะนัส” “นัสเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ท่านสองคนมีนัสคนเดียว” “อ้อ...นึกว่าเรื่องอะไร ผมไม่ได้ให้คุณไปประจำที่โน่นเลยหรอก ไปแค่สามเดือนเท่านั้น พออะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว และเราหาตัวแทนที่เป็นคนในพื้นที่ได้ ผมก็จะให้คุณเทรนให้จนคนที่นั่นทำงานได้คล่อง ผมก็จะให้คุณกลับมาประจำที่กรุงเทพฯ ตามเดิม ในระหว่างนี้หากเป็นช่วงวันหยุดแล้วคุณอยากกลับบ้านมาหาครอบครัว คุณก็กลับได้ตลอดเลย ทางบริษัทมีค่าเดินทางให้ ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องห่วงบริษัทเช่าอพาร์ตเมนต์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ไว้ให้ห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ใหญ่และอยู่ได้สบายๆ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทางไปทำงาน บริษัทมีรถยนต์ให้คุณใช้อีกคันหนึ่งด้วย” กิตติบอกถึงสิ่งอำนวยความสะดวกให้อย่างครบครัน จนนัสรินไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาแย้งได้ “ไม่มีคนไปแทนนัสเลยเหรอคะ” เสียงหวานถามอ่อยๆ “ไม่มีจริงๆ นัส ผมไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมเท่าคุณเลย ปิยวรรณก็ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว ส่วนอรอุมาก็ต้องรับส่งลูกทุกวัน มีแต่คุณคนเดียวที่โสดสนิท แล้วเรื่องที่คุณเป็นห่วงพ่อกับแม่ผมก็เข้าใจนะ แต่ก็
บทที่ 15คุ้มลักษิกาแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิดในความรู้สึกของนัสริน ที่นี่ยังคงใหญ่โต สวยงาม ร่มรื่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบล้านนาเช่นเดิม เธอมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในคุ้มลักษิกาแห่งนี้แค่เพียงสองอาทิตย์หลังจากแต่งงานกับปราณต์ จากนั้นเขาก็พาเธอย้ายออกไปอยู่บ้านเช่า โดยให้เหตุผลกับครอบครัวว่าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทว่าแท้จริงแล้วเขาพาเธอไปเพื่อจะได้ทรมานใจเธอได้อย่างสะดวกต่างหากแพขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ และรีบสลัดเรื่องของปราณต์ออกไปจากห้วงความคิด เมื่อปรัชญ์จอดรถที่ลานหน้าเรือนไทยทรงล้านนาหลังใหญ่ ขาเรียวก้าวลงจากรถและตามปรัชญ์กับธรินดาเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นนิดๆแม่เลี้ยงลักษิกาเงยหน้าขึ้นจากงานเย็บปักถักร้อย พลางขยับแว่นอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นอดีตลูกสะใภ้เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของตน แต่เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด หญิงวัยกลางคนผู้เป็นประมุขของบ้านก็รำพึงชื่อเจ้าตัวออกมาเบาๆ“หนูนัส...”“สวัสดีค่ะคุณแม่” นัสรินย่อตัวลงนั่งพับเพียบและกราบลงบนตักของแม่เลี้ยงลักษิกา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นให้นางพิศมองอีกครั้ง“หนูนัสจริงๆ ด้วย ไปยังไงมายั
บทที่ 16และหลังจากที่พูดเช่นนั้นแล้ว ปราณต์ก็ไม่รอฟังใครอีก เขาขยับมายืนข้างๆ นัสรินและโอบเอวบางพร้อมกับกระตุกเป็นการบังคับให้เธอเดินออกไปพร้อมเขา นัสรินพยายามจะเบี่ยงตัวออกแต่ก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะไหนจะแรงมือของปราณต์ ไหนจะสายตาของคนทั้งบ้านที่กำลังจดจ้องอยู่ จนในที่สุดเธอก็ต้องเข้ามานั่งในรถของปราณต์จนได้“พักที่ไหน?” เขาถามห้วนๆ หลังจากบังคับเธอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว“ลานนาอพาร์ตเมนต์ค่ะ คุณไม่ต้องไปส่งนัสก็ได้นะคะ นัสกลับเองได้” นัสรินไม่ได้ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากแต่คุยด้วยดีๆ เพราะถึงอย่างไรเสีย วันจันทร์เธอก็ต้องเจอเขาอีกตอนไปเซ็นสัญญา จึงไม่อยากก่อเรื่องให้ตัวเองต้องอึดอัดใจอีก “ผมบอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง ผมไม่ใช่พวกคนพูดกลับกลอกหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทำไม? กลัวหรือไงที่ต้องนั่งรถกับผมสองต่อสอง” “นัสไม่ได้กลัว นัสแค่ไม่อยากให้คุณเสียเวลา และรู้ดีว่าคุณไม่อยากเห็นหน้านัสเท่าไหร่” “ไหนบอกว่าจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก แล้วนี่มาทำไม” นัสรินหันขวับไปจ้องหน้าคนถาม ก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว จากที่คิดว่าจะพยายามควบคุม