“งั้นพาไปที่รถพี่ก็ได้ค่ะ มาช่วยพี่ประคองหน่อย”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเมียพี่จัดการเอง” ปราณต์หยิบกระเป๋าเงินมาให้ทิปแล้วโบกมือเป็นเชิงบอกให้ไปได้ ดังนั้นหน้าที่ประคองผู้ชายที่ตัวโตกว่าจึงเป็นของนัสรินคนเดียว
หญิงสาวยกแขนของเขาพาดบ่าตัวเอง แล้วพาคนเมาออกจากร้านไปยังรถของตัวเองอย่างทุลักทุเล เพราะคนเมาไม่ให้ความร่วมมือเลย เขาทิ้งน้ำหนักแทบจะทั้งหมดลงบนไหล่ของเธอ ใบหน้าซบลงบนคอ และบ่อยครั้งที่นัสรินรู้สึกว่าปราณต์ใช้จมูกไซ้ซอกคอของเธอเบาๆ
“คุณปราณต์เดินดีๆ สิคะ” เธอปรามเขาเสียงขุ่น แม้ว่าลานจอดรถตอนนี้แทบจะไม่มีคน แต่เธอก็ไม่อยากถูกคนเมาหาเศษหาเลยแบบนี้
“นี่ก็เดินดีแล้ว เดินด้วยหอมด้วย” เขากระซิบเสียงอ้อแอ้พลางซุกจมูกเข้าที่ซอกคอขาวละมุนอีกครั้ง
“ถ้าคุณลวนลามนัสอีก นัสจะปล่อยคุณทิ้งไว้นี่”
“ใจร้ายจริง จะหวงตัวกับผัวไปถึงไหน” เสียงทุ้มนั้นพึมพำก่อนจะหัวเราะน้อยๆ
“เลิกขี้ตู่เสียทีค่ะ นัสกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว สมองเสื่อมหรือไงคะคุณหมอปราณต์” นัสรินคิดว่าตัวเองต้องบ้าแน่ๆ ที่ต่อปากต่อคำกับคนเมา แต่เขาก็ช่างยั่วเหลือเกิน ทำให้บ่อยครั้งที่เธอหลุดการควบคุมตัวเองเพราะคำพูดของเขา
เมื่อถึงรถหญิงสาวก็ใช้มือข้างหนึ่งเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ และบอกให้ปราณต์เข้าไปนั่งข้างใน ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ปราณต์ดูเหมือนเด็กว่าง่ายเพราะเขาให้ความร่วมมืออย่างดี พอจัดการให้คนเมาขึ้นรถเสร็จ นัสรินจึงค่อยเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ เธอเหลือบมามองเบาะข้างๆ ก็เห็นว่าตอนนี้ปราณต์นั่งพิงพนัก แต่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยแต่อย่างใด เธอจึงเอ่ยเตือนเขา
“คาดเข็มขัดด้วยค่ะคุณหมอ นัสจะออกรถแล้ว”
“ไม่คาด อึดอัด” ปราณต์ปฏิเสธและทำท่าว่าจะหลับ ทำให้นัสรินต้องโน้มตัวไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้เขาเสียเอง และโดยที่เธอไม่ทันระวังตัว ปราณต์ก็ฉวยโอกาสกดจมูกโด่งลงบนแก้มของเธอหนักๆ ทำเอาหญิงสาวหน้าร้อนวูบวาบไปหมด
“คนฉวยโอกาส!” เธอต่อว่าเขาเสียงขุ่น แต่กลับถูกรวบเอวเล็กเอาไว้จนขยับไปนั่งที่ตัวเองไม่ได้
“แก้มหอมดีจัง แต่จะให้ดีต้องหอมอีกข้างด้วย” เขาพูดเสียงอ้อแอ้หากแต่แตะจมูกลงที่แก้มอีกข้างได้อย่างแม่นยำ พร้อมกับซ่อนยิ้มในหน้าซึ่งดูเคร่งขรึมมาก่อนหน้านี้ ขณะที่คนถูกขโมยหอมแก้มกลับหน้าร้อนผ่าวไปหมด
“ปล่อยค่ะ ถ้าไม่ปล่อยนัสจะให้คุณกลับเอง”
“ใจร้ายจริง”
“ใครกันแน่คะที่ร้าย ปล่อยนัสได้แล้ว”
นัสรินดิ้นอีกและคราวนี้ปราณต์ก็ยอมปล่อยมือจากเอวเล็กที่ตัวเองกอดอยู่อย่างง่ายดาย นัสรินหยิบกระเป๋าสะพายออกจากไหล่ วางมันไว้ที่บริเวณใกล้ๆ คันเกียร์ซึ่งออกแบบมาให้วางของ และทันทีที่เธอวางลงปราณต์ก็หยิบมันไปวางบนตักตัวเอง และกอดกระเป๋าใบนั้นคล้ายจะกอดแทนผู้เป็นเจ้าของ นัสรินมองค้อนแต่คร้านจะว่าอะไร เพราะหลังจากนั้นปราณต์ก็หลับตาลง เธอคิดว่าคนเมาพอโดนแอร์เย็นๆ ก็เลยง่วง และที่เอากระเป๋าของเธอไปกอดไว้คงเป็นเพราะหนาวนั่นเอง เห็นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้
ช่างเถอะ...ส่งเขาถึงบ้านแล้วทุกอย่างก็คงจบ เขาเองจะได้เข้าบ้านและหลับพักผ่อน ส่วนเธอก็ได้กระเป๋าคืน จากนั้นก็ต่างคนต่างอยู่เช่นเดิม นัสรินบอกตัวเองเช่นนั้น ก่อนจะออกรถแล้วขับตรงไปยังบ้านเช่าหลังเดิมที่เธอกับปราณต์เคยอยู่ด้วยกันตอนแต่งงาน เพราะทราบจากธรินดามาว่าปราณต์ยังอยู่ที่บ้านหลังนั้น
รถญี่ปุ่นคันสีขาวจอดที่หน้าบ้านทรงโมเดิร์นซึ่งตัวเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี จากนั้นก็หันไปปลุกคนเมาซึ่งนั่งหลับมาตลอดทาง
“คุณปราณต์คะ ถึงบ้านแล้วค่ะ”
“ถึงแล้วเหรอ” ปราณต์ทำท่าทางงัวเงีย หันไปมองบ้านตัวเองแวบหนึ่ง ก่อนจะล้วงเอากุญแจรั้วออกมาแล้วกดรีโมตให้ประตูเปิดออก จากนั้นก็หลับต่อ ทำให้นัสรินต้องหักพวงมาลัยรถเข้าไปในบ้าน ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะส่งเขาแค่หน้าบ้าน แต่เห็นจากสภาพแล้วปราณต์คงเดินไม่ถึงบ้านเป็นแน่
หัวใจของนัสรินกระตุกวาบอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อต้องมาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเดิมๆ แบบใกล้ชิดอีกครั้ง เธอหันไปทางปราณต์ก็เห็นว่าเขาหลับอีกแล้ว แสดงว่าเขาเมาหนักจริงๆ แม้จะอยู่ด้วยกันชั่วระยะเวลาสั้นๆ แค่สามเดือน แต่เธอรู้ว่าปราณต์ไม่ใช่คนชอบดื่มเหล้า มีเพียงครั้งเดียวที่เขาเมามาก็คือคืนก่อนหย่า และเขาก็มอบความเป็นแม่หม้ายอย่างสมบูรณ์ให้กับเธอในคืนนั้น
นัสรินพยายามจะไม่คิดถึงอดีต แต่มันก็ยากเหลือเกิน ยิ่งเมื่อเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของบ้านหลังนี้ ภาพแต่หนหลังก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาจนอยากหนีกลับไปไวๆ
“คุณปราณต์คะ คุณปราณต์” เสียงหวานรีบเอ่ยปลุกอดีตสามีที่ยังคงหลับอยู่
“หือ” เขาขานแต่ไม่ยอมลืมตาเหมือนตอนแรก
“ถึงบ้านแล้วค่ะ ลงได้แล้ว”
“...”
คราวนี้เขาไม่ยอมตอบ และทำท่าเหมือนหลับลึก ทำเอาคนมาส่งหนักใจว่าจะทำอย่างไรดี ในที่สุดนัสรินก็ตัดสินใจผลักประตูลงจากรถ เปิดประตูฝั่งที่ปราณต์นั่งอยู่ เขย่าแขนเขาเบาๆ เพื่อปลุกให้เขาตื่น
“คุณปราณต์คะ คุณปราณต์”
“ฮื้อ...อย่ากวน คนจะนอน”
“แต่นี่มันในรถนัสนะคะ คุณจะนอนได้ยังไง ไปค่ะเข้าบ้านเดี๋ยวนัสจะไปส่ง” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยตะล่อมราวกับหลอกล่อเด็ก ในยามนี้เธอรู้ว่าการใช้อารมณ์และวาจารุนแรงไป ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา เพราะปราณต์เมาและทำท่าจะหลับอย่างเดียว ยิ่งเธอตอแยเขามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งต้องอยู่ในบ้านหลังนี้นานขึ้นเท่านั้น
บทที่ 28ร่างบางโน้มตัวไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยอย่างระวังตัว ด้วยกลัวว่าจะถูกฉวยโอกาสเอาอีกครั้ง แต่ปราณต์ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งนิ่งๆ เธอจึงยกแขนข้างหนึ่งของเขาขึ้นพาดบ่าและเรียกเขาอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนว่าคนเมาจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายอมลงจากรถ ก้าวตามร่างเล็กที่ประคองตัวเองเข้าไปในบ้าน เมื่อถึงโซฟาในห้องโถงนัสรินก็วางร่างใหญ่นั้นลง และเพิ่งสังเกตว่าปราณต์ถือกระเป๋าของเธอมาด้วย แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจเท่ากับสิ่งที่อยู่ในบ้าน ตาคู่สวยกวาดมองสำรวจอย่างอดไม่ได้ บ้านหลังนี้ยังมีบรรยากาศแบบเดิม ปราณต์ยังจัดบ้านและวางทุกอย่างไว้ที่เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งโซฟาตัวนี้ซึ่งเขาเคยใช้มันในการตีตราเธอให้เป็นแม่หม้ายอย่างสมบูรณ์ ปราณต์ก็ไม่ได้ย้ายหรือขยับมันไปไหนเขาคงไม่รู้สึกอะไรที่จะต้องทนมองมันทุกวัน หากแต่นัสรินกลับรู้สึกว่าตัวเองถูกดึงให้จมไปกับอดีตอีกครั้ง ทำให้มือเล็กต้องรีบเอื้อมไปหยิบเอากระเป๋าของตัวเองจากมือเขา เพื่อจะหนีไปจากที่ที่ทำให้หัวใจตัวเองอ่อนไหวในทันที แต่แค่เอื้อมมือไปมือเล็กก็ถูกปราณต์รั้งเอาไว้“จะไปไหน” “นัสจะกลับค่ะ”“พาผมขึ้นไปส่
บทที่ 29นัสรินมองใบหน้าที่อยู่เหนือใบหน้าของตัวเองอย่างตื่นตระหนก ตอนนี้ท่าทางของปราณต์ไม่มีหลงเหลือวี่แววของคนเมาเลยแม้แต่นิด เธอจึงรู้ตัวว่าเสียรู้เขาให้แล้ว“นี่คุณไม่ได้เมาเหรอคะ”“เมา แต่สร่างเมาตั้งแต่ได้หอมแก้มคุณแล้ว”“คนเจ้าเล่ห์” เธอต่อว่าเขาอย่างเจ็บใจตัวเองที่ถูกหลอก พยายามจะบิดมือออก แต่ยิ่งบิดยิ่งถูกมือแกร่งกดแน่น ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเขายังโน้มหน้าลงมาใกล้มากกว่าเดิม จนลมหายใจอุ่นซ่านนั้นมากระทบซอกคอที่ไวต่อความรู้สึกของเธอ“ถ้าไม่เจ้าเล่ห์ คุณจะยอมขึ้นมาส่งถึงนี่เหรอ”“คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร”“เพราะผมไม่อยากให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียเก่าไปเป็นชู้กับผัวชาวบ้านน่ะสิ รู้หรือเปล่าว่าหมออรรณพมีเมียแล้ว” ปราณต์ไม่สนใจท่าทีเคืองขุ่นของเธอ แต่เขากลับถามกลับไปอย่างตำหนิ“รู้ค่ะ คุณเป็นคนบอกนัสเองตั้งแต่เมื่อวานไม่ใช่เหรอ”“รู้แล้วทำไมยังไปออกเดต นั่งกินข้าวใต้บรรยากาศสุดโรแมนติกในร้านแบบนั้น”“นัสไม่ได้ทำอะไรที่มันเสียหายนี่คะ นัสแค่ไปคุยงานกับหมอณพ อ้อ...อีกอย่างถึงนัสจะออกเดตกับใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของนัสไม่ใช่เหรอคะ ในเมื่อตอนนี้นัสโสด” นัสรินเผลอประชดและสบตากับเขาอย่างไม่ยอมถูกเล่
บทที่ 30มือใหญ่ละจากการประสานนิ้ว เคลื่อนวาบลูบไล้ไปทั่วเรือนกาย แม้จะไม่เต็มใจในคราแรก แต่กลิ่นกายและรสสัมผัสที่ร่างกายโหยหาอยู่ลึกๆ ก็ทำให้เธอระทดระทวยอยู่ภายใต้การเล้าโลมของเขา“อย่าค่ะ...เราไม่ควรทำแบบนี้”เสียงหวานร้องห้ามสั่นระริก เมื่อปราณต์เริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างกายบอบบางของเธอ แม้ปากจะร้องห้ามหากร่างกายกลับไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆ ออกมาแม้แต่นิด“ไปทำอะไรมาหือ ถึงได้สวยและมีน้ำมีนวลขึ้นแบบนี้”เสียงทุ้มที่เจืออาการกระเส่าดังขึ้นอย่างพึงพอใจ เมื่อร่างกายของเธอเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา จากนั้นปากเขา จมูกเขา มือเขา ก็แตะต้องลูบโลมไปทุกหนแห่งของร่างกายเธออย่างเป็นเจ้าของ ปลุกปั่นเลือดสาวให้เร่าร้อนราวกับถูกอังด้วยไฟกองโตความเย็นจากแอร์แผ่ซ่านเข้ามากระทบผิวกาย เมื่อปราณต์ลุกขึ้นจากการทาบทับ แต่ความเย็นสะท้านนั้นก็เปลี่ยนเป็นเร่าร้อนในระยะเวลาแค่ชั่วพริบตา เมื่อนัสรินประจักษ์แก่สายตาว่าเขาลุกขึ้นไปทำไมตาคู่สวยมองจับจ้องไปยังเรือนกายเปลือยเปล่าที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ กระทั่งเรือนกายใหญ่โตนั้นเคลื่อนขยับมาทาบทับเรือนร่างที่ปราศจากอาภรณ์ของเธออีกครา นัสรินก็รู้ซึ้งถึงความร้อนซ่
บทที่ 31 แสงอรุณเช้าวันใหม่ทาทาบขอบฟ้าของเชียงใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้คนที่ตื่นเช้าเป็นประจำรู้สึกตัวขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก จะแปลกก็แค่เช้านี้ไม่ได้ตื่นมาเพียงลำพัง แต่เตียงกว้างตอนนี้มีร่างบางของอดีตภรรยาสาวนอนอยู่ด้วย ตาของเธอหลับพริ้ม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ร่างกายที่เปลือยเปล่าเพราะเขาเป็นคนถอดเสื้อผ้าของเธอเองกับมือสอดซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเขา มีเพียงช่วงหัวไหล่ขาวละมุนเท่านั้นที่โผล่พ้นขึ้นมาให้เห็นเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า ผิวพรรณทั่วเรือนกายของเธอก็เนียนละมุนเช่นเดียวกับส่วนที่เปิดเปลือยต่อสายตาของเขาในตอนนี้ ปราณต์ลุกไปจากเตียงเงียบๆ ไม่ได้ปลุกให้ผู้หญิงที่นอนอยู่ข้างๆ ตื่นแต่อย่างใด เขารู้ว่าเธอคงจะเพลียไม่เบา เพราะเมื่อคืนกว่าเขาจะยอมให้เธอนอน เวลาก็ล่วงไปเกือบตีสี่แล้ว ร่างสูงกำยำก้าวเข้าไปใต้ฝักบัว ก่อนจะเปิดก๊อกให้น้ำอุ่นๆ สาดละอองลงมาอาบชโลมร่างเปลือยเปล่าในยามเช้าอย่างผ่อนคลาย ผ่านไปกว่ายี่สิบนาที เขาจึงกลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง โดยสวมเสื้อคลุมสีขาว ผมยังเปียกลู่เพราะเมื่อครู่นี้สระผมมาหมาดๆ มือใหญ่จึงเอื้
บทที่ 32“นี่ผมตาฝาดไปหรือเปล่าครับที่เห็นแม่มาบ้านผมแต่เช้าขนาดนี้” ปราณต์เอ่ยทักทายมารดาแบบเรียบๆ และพอจะรู้ถึงสาเหตุการมาของผู้เป็นแม่ เมื่อเหลือบไปเห็นกระเป๋าของนัสรินวางอยู่ที่โต๊ะหน้าโซฟาชั้นล่าง“ไม่ได้ตาฝาดหรอก บัวคำบอกแม่ว่าแกพาผู้หญิงมาค้างที่บ้าน”“ข่าวของแม่นี่เร็วเสมอเลยนะครับ”“แล้วผู้หญิงที่ปราณต์พามาค้างด้วยนั้นเป็นใคร” คนเป็นแม่ถามทั้งที่รู้แก่ใจดี แต่อยากได้ยินจากปากลูกชายมากกว่า“แม่น่าจะรู้แล้วนะครับ” ปราณต์ตอบอย่างรู้ดีว่าแม่ของตนฉลาดแค่ไหนแม่เลี้ยงลักษิการะบายลมหายใจออกมาแรงๆ เพื่อผ่อนคลายความหนักอก นางรู้ว่านัสรินกลับมาเชียงใหม่เพื่อมาทำงาน แต่แม่เลี้ยงผู้กว้างขวางอย่างตนกลับไม่เข้าใจลูกชายของตัวเองสักนิด ว่าทำไมถึงได้หวนกลับไปยุ่งกับอดีตภรรยาที่แต่งและหย่ากันภายในสามเดือน ด้วยเหตุผลที่ว่าไปกันไม่ได้และทั้งคู่ไม่ได้รักกัน ครั้งนั้นนางสงสารนัสรินไม่น้อย แต่ก็คิดว่านัสรินคงเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะยังสาวยังสวย แถมกิริยาวาจาก็ดีพร้อมไปเสียหมด“มันเกิดอะไรขึ้นหือปราณต์ ไปยุ่งกับน้องทำไมอีก คราวที่แล้วก็จูบน้อง คราวนี้ก็พามาค้างที่บ้านด้วย มันยังไงกันแน่ ในเมื่อหย่
บทที่ 33เสียงโทรศัทพ์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ทำให้ตาคู่สวยที่บอบช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักในตอนเช้า ต้องละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อก้มดูหน้าจอว่าใครโทร.มา แม้หัวใจจะเจ็บช้ำปานใดเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทร.เข้ามาเป็นเบอร์ของคนในครอบครัวของปราณต์ แต่นัสรินก็ตัดสินใจรับเพราะอย่างน้อยธรินดาก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักสำหรับเธอมาตลอด ตั้งแต่ครั้งที่เธอยังหมั้นกับปรัชญ์“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก” น้ำเสียงยามกรอกลงไปในโทรศัพท์นั้นยังพยายามฝืนให้เป็นปกติ ไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในอาการเช่นใด แม่เลี้ยงลักษิกาคงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้กับธรินดาและปรัชญ์ฟังหมดแล้ว และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ธรินดาโทร.มาหา“สวัสดีค่ะพี่นัส วันหยุดนี้พี่นัสจะไปไหนหรือเปล่าคะ พวกเราว่าจะไปเที่ยวดอยที่เชียงรายกัน พี่นัสไปด้วยกันไหมคะ”ธรินดาเอ่ยชวนมาอย่างมีไมตรีจนคนฟังสัมผัสได้ถึงความจริงใจ หากเป็นเมื่อก่อนเธออาจลังเลว่าจะไปด้วยดีหรือไม่ เพราะอย่างน้อยคนในครอบครัวของอดีตสามีก็ดีกับเธอทุกคน แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้าเธอคงไม่มีหน้าไปพบใคร“วันเสาร์นี้พี่จะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพฯ น่ะจ้ะ เอาไว
บทที่ 34นัสรินหยิบมาเปิดดู ก่อนจะหน้าซีดเผือดราวกับขาดโลหิตอย่างอึ้งๆ เพราะจำนนด้วยหลักฐาน เธอไม่คิดว่าปราณต์จะได้เห็นการ์ดพวกนี้ เพราะการ์ดพวกนี้เป็นส่วนที่เธอแจกให้กับญาติและเพื่อนสนิทฝั่งตัวเอง ซึ่งในการ์ดแต่งงานที่ออกแบบอย่างสวยงามนั้น ระบุชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นชื่อของเธอกับเขา นั่นเป็นการยืนยันชัดว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะสาเหตุของการตกกระไดพลอยโจน แต่เกิดจากความตั้งใจของเธอกับปรัชญ์ที่วางแผนการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะให้ปราณต์แต่งงานกับเธอแทน“คุณอยากให้นัสชดใช้ยังไงล่ะคะ” เธอหันไปถามเมื่อคิดว่ายังไงเรื่องนี้ตัวเองก็เป็นคนทำผิดจริงๆ“คุณน่าจะรู้ดีนะนัสริน ว่าผมยังต้องการร่างกายของคุณ”คำพูดนั้นแสนเย็นชาและฟังดูใจร้ายเหลือเกิน และแม้นัสรินจะรู้อยู่แล้วก็ยังอดปลาบแปลบใจไม่ได้“นัสก็ให้คุณไปแล้วนี่คะ” นัสรินเชิดหน้าขึ้นตอบ พยายามทำตัวให้นิ่งเฉย เหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาต่อคำพูดของเขาเช่นกัน“น้อยไปไหม แค่ครั้งเดียวผมยังไม่อิ่มหรอก”“แล้วต้องกี่ครั้ง คุณปราณต์ถึงจะพอ”“จนกว่าผมจะพอใจ”นัสรินจ้องหน้าคนใจร้ายเลือดเย็นอย่างน้อยใจ เขาช่างพูดออกมาได้ว่าเธอ
บทที่ 35แท็กซี่จากสนามบินแล่นมาจอดยังลานหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวางกว่าสามร้อยตารางวา มีรั้วรอบขอบชิดแน่นหนา พื้นที่รอบบ้านเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของสนามหญ้าซึ่งปลูกแซมด้วยต้นปาล์ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่ากว้างขวาง ชวนสบาย บ่งบอกถึงฐานะผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดีสำอางกับลุงเล็กสองสามีภรรยาที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านรวมทั้งสายหยุดลูกสาวของทั้งคู่ต่างเดินมาดู เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาจากรถคือปราณต์ซึ่งมาพร้อมกับนัสรินที่เป็นอดีตภรรยาเก่าก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก“สวัสดีค่ะคุณปราณต์ คุณนัส” สำอางยกมือขึ้นไหว้ทั้งสองคน ซึ่งปราณต์และนัสรินก็ยกมือขึ้นรับไหว้ เพราะถึงแม้ว่าสำอางจะเป็นลูกจ้างแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่า“สบายดีนะป้าสำอาง ลุงเล็ก สายหยุด”“สบายดีทุกคนค่ะ อิฉันไม่ทราบว่าคุณปราณต์จะมา ไม่อย่างนั้นคงให้ตาเล็กไปรับที่สนามบินแล้วละค่ะ”“ไม่เป็นไรหรอก ผมนั่งแท็กซี่มาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ทุกคนมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมดูแลตัวเองได้ อ้อ...แล้วไม่ต้องโทร.บอกแม่ล่ะว่าผมมาที่นี่” ปราณต์สั่งกำชับในประโยคท้าย ทำให้ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้ แม้จะสงสัยและอยากบอกแม่เลี้ยงลัก
บทที่ 41“จะไปงานอะไรคะแม่เลี้ยง”“หนูนัสจะไปงานเลี้ยงราตรีสโมสรของโรงพยาบาล น่าจะจัดที่หอประชุมจังหวัดนั่นแหละ แต่ฉันอยากให้ลูกสะใภ้ของฉันสวยและเด่นที่สุดในงาน คุณวรรณจัดให้ได้ไหม”“ไม่มีปัญหาค่ะแม่เลี้ยง เชิญวัดตัวค่ะคุณนัส”“คุณแม่คะ...” นัสรินกำลังจะเอ่ยแย้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่แม่เลี้ยงลักษิกาไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธใดๆ“แม่เองก็ถูกเชิญให้ไปงานนี้เหมือนกัน กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ใครไปแทน เห็นหนูนัสว่าจะไปแม่ก็เลยคิดออก ถือว่าแม่ขอร้องก็แล้วกันนะ แม่จะให้หนูนัสเอาซองของแม่ไปด้วย ถือว่าเป็นตัวแทนของบริษัทด้วย ของแม่ด้วย พอดีช่วงนี้แม่ขี้เกียจออกงาน แก่แล้วก็อยากอยู่กับลูกกับหลานสบายๆ บ้าง”เมื่อถูกขอร้องแกมบังคับเช่นนั้น นัสรินจึงจำต้องยอมให้เจ้าของห้องเสื้อวัดตัวและเลือกแบบชุดให้ตามที่เห็นสมควร พอวัดตัวและเลือกแบบชุดเสร็จแม่เลี้ยงก็สั่งกำชับวรรณาว่า ขอให้เร่งตัดชุดและนำชุดไปส่งให้กับนัสรินที่อพาร์ตเมนต์ของเธอหลังจากวรรณากลับไปแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาก็ไปเปิดเซฟ เขียนเช็คใส่ซองสำหรับบริจาคสมทบทุนให้กับโรงพยาบาล พร้อมกับถือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ติดมือมาด้วยกล่องหนึ่ง“นี่เป็นซองที่แม่จะฝากไป
บทที่ 40ทันทีที่กลับมาทำงานเชียงใหม่ในเช้าวันจันทร์ นัสรินก็ได้รับโทรศัพท์จากกิตติ บอกว่าทางโรงพยาบาลจะจัดงานเลี้ยงราตรีสโมสรเพื่อระดมทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ บริษัทของเธอในฐานะซัพพลายเออร์จึงต้องไปร่วมงานดังกล่าวและนำทุนส่วนหนึ่งไปมอบให้เพื่อแสดงไมตรีจิต และนัสรินก็ถูกมอบหมายจากกิตติให้ไปร่วมงานดังกล่าวนัสรินรับปากแต่ก็คิดหนัก เพราะคาดว่าต้องเจอปราณต์ในงานนั้นแน่ๆ แต่อีกใจก็ปลอบตัวเองว่า คนในงานน่าจะเยอะอยู่พอสมควร หากเธอหลบเลี่ยงดีๆ ก็คงหนีสายตาของปราณต์พ้น ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเรื่องเดียวที่ยังเป็นปัญหาก็คือเรื่องชุดที่จะใส่ไปร่วมงาน เธอไม่ได้เตรียมชุดเพื่อจะออกงานกลางคืนมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจะต้องได้ไป ดังนั้นหลังจากเคลียร์งานที่โต๊ะเสร็จ นัสรินจึงขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเชียงใหม่ เพื่อหาชุดราคาจับต้องได้สักชุดสำหรับใส่ไปร่วมงานร่างบางเดินแค่มองสำรวจ ยังไม่ได้แวะร้านไหน เพราะอยากดูโดยรวมก่อน เดินดูชุดร้านนั้นร้านนี้ผ่านกระจกหน้าร้านไปเรื่อยๆ ก็คิดถึงเสื้อผ้าที่ปราณต์พาไปซื้อ ชุดที่เขาซื้อให้มีแต่ชุดแพงๆ วันนั้นเขาหมดไปหลายหมื่นเหมือนกัน ทว่าเธอก็ทิ้งชุดพวกนั้นไว้ในร
บทที่ 39“หิวหรือเปล่า อยากกินอะไรมั้ย” ปราณต์หันมาถามหลังออกจากร้านเสื้อผ้าแล้ว“ไม่ค่ะ” นัสรินตอบสั้นๆ ไม่อยากพูดอะไรกับเขาในตอนนี้“ถ้าอย่างนั้นก็กลับ”มือข้างหนึ่งตวัดมากระชับมือของเธอแล้วจูงให้เดินตาม อีกมือถือถุงเสื้อผ้าที่เขาบอกพนักงานขายให้รวมใส่ถุงแค่สามถุงเพื่อจะได้ไม่พะรุงพะรัง แล้วเดินเคียงคู่กันออกไปยังรถ ทำให้นัสรินอดคิดไม่ได้ ตอนนี้ท่าทางที่เขากำลังปฏิบัติกับเธอคงทำให้คนมองเข้าใจว่า เธอกับเขาเป็นคู่รักหรือสามีภรรยาที่มาเดินเที่ยวห้างซื้อของด้วยกันในวันหยุด มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ตอนนี้เธอเป็นเมียเก็บและนางบำเรอของเขาเต็มตัวแล้วนัสรินแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าปราณต์ไม่ได้ขับรถกลับบ้านของเขาอย่างที่เธอคิด แต่เบนจุดหมายไปทางอื่นเหมือนกับว่าเขามีธุระจะทำต่อ ทั้งๆ ที่ก่อนออกจากห้างเขาบอกเธอว่าจะพากลับตาคู่สวยมองถนนเส้นนั้นอย่างคุ้นเคย เพราะมันเป็นถนนที่ไปยังบ้านของเธอ และเมื่อปราณต์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของเธอจริงๆ เธอก็หันไปมองเขาอย่างหวาดหวั่น“คุณพานัสมาที่นี่ทำไมคะ” นัสรินรีบถามอย่างร้อนใจ กลัวว่าเขาจะทำอะไรห่ามๆ ให้เธอได้อับอายขายหน้าพ่อแม่อีก
บทที่ 38ขณะที่นัสรินกำลังขุ่นเคืองคนพูด ร่างสูงก็ขยับมายืนซ้อนหลัง ทำเอานัสรินตัวแข็งทื่อกลัวว่าปราณต์จะมาทำอะไรอย่างที่ตัวเองนึกหวาดหวั่น ไม่ใช่ว่าเธอจะรังเกียจหรือไม่ไยดีต่อไฟปรารถนาของเขา ตรงกันข้ามเธอกลับโหยหามันอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เธอรู้สึกแย่กับตัวเองที่ร่างกายนี้เป็นที่ปรารถนาของเขา หากแต่หัวใจของเธอเขากลับไม่คิดแม้แต่จะเหลียวแล“เมื่อไหร่จะเลิกประวิงเวลา ไหนว่าอาบน้ำเสร็จจะไปนอนรอบนเตียง” เขาทวงถามถึงคำพูดที่เธอพูดใส่หน้าเขาก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ“ผมนัสยังไม่แห้งนี่คะ จะให้ไปนอน หมอนคุณก็เปียกแย่” เสียงหวานตอบพลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดมือราวกับไม่สนใจคำพูดของเขา ทั้งๆ ที่ตอนนี้หัวใจเต้นแรงโลดไปหมด“หมอนเปียก ผมไม่ซีเรียสหรอก แต่ผมจะซีเรียสถ้าหากว่าส่วนอื่นของคุณ ‘เปียก’ โดยที่ผมไม่ได้เป็นคนทำ”คำพูดของเขาทำให้ร่างบางที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตอนแรกลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ และหันหน้าไปเผชิญกับคนชอบหาเรื่องและพูดจาสองแง่สองง่ามด้วยสายตาเคืองขุ่น“หมอลามก! นัสไม่เคยเป็นแบบนั้น”“งั้นก็แสดงว่า ‘เปียก’ เฉพาะกับผมน่ะสิ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างยียวนแววตาก็ไหวระริกอย่างคนที่กำลังขำแต่หน้ากลั
บทที่ 37นัสรินคร้านจะมีเรื่องด้วยจึงไปนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อน มองดูปราณต์หยิบนั่นหยิบนี่ใส่กระทะอยู่เงียบๆ ตอนนี้ในห้องครัวไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงการเคลื่อนไหวของเขา และเสียงตะหลิวที่เคาะกับกระทะเป็นระยะไม่นานข้าวผัดอเมริกันหน้าตาน่ากินสองจานก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะ จากนั้นทั้งเขาและเธอต่างก็นั่งกินเงียบๆ หากแต่หญิงสาวแทบจะกลืนข้าวไม่ลง เพราะมีสายตาคมๆ นั้นจดจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เมื่ออิ่มนัสรินก็ทำหน้าที่เก็บจานไปล้างอย่างอ้อยอิ่ง พลางคิดว่าหลังจากนี้จะหลบเลี่ยงปราณต์ยังไง เธออยากมีเวลาอยู่กับตัวเองก่อน ไม่ใช่อยู่ในสายตาของเขาทุกย่างก้าวแบบนี้ แต่ปราณต์ก็ไม่ให้เวลาเธอคิด เมื่อเธอล้างจานไม่เสร็จเสียที เขาก็เป็นฝ่ายดึงจานจากมือเล็ก จัดการล้างเสียเองและเสร็จภายในไม่กี่พริบตา จากนั้นเขาก็หันหน้ามาเผชิญกับคนที่ยืนมองอยู่ข้างๆ พร้อมกับจับข้อมือของเธอเอาไว้มั่น“คราวนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เราขึ้นห้องกันเถอะ”ขึ้นห้อง...เขาคงไม่พาขึ้นไปเฉยๆ หรอกกระมัง ในเมื่อเขาประกาศความต้องการของตัวเองออกจะชัด ว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม“คุณขึ้นไปก่อนเถอะค่ะ นัสขอเดินย่อยอาหารสักพัก” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่เธอคิดออกในเ
บทที่ 36“ผมพูดความจริงต่างหาก หรือคุณจะปฏิเสธว่าเวลาคุณจะถึงคุณไม่ครางแบบนี้”“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดนัสจะ...จะ...” จู่ๆ นัสรินก็คิดไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ ว่าจะขู่อะไรดี ปราณต์ถึงจะกลัว“จะอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและยิ้มยวนอย่างท้าทาย นั่นยิ่งทำให้คนที่เป็นฝ่ายถูกต้อนเจ็บใจมากกว่าเดิม จึงคว้ามีดที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยกขึ้น“นัสจะแทงคุณด้วยมีดนี่” นัสรินหวังว่าความแหลมคมของมีดจะทำให้ปราณต์กลัวและเลิกตอแยกับเธอ แต่เปล่าเลยเขายังคงยืนนิ่งและท้าทายให้เธอลงมือจริงๆ“ก็เอาสินัสริน อยากแทงตรงไหนบนตัวผมก็แทงเลย จะแทงที่คอ ที่หัวใจ หรือจะที่ท้องก็ได้นะ ผมขออย่างเดียวอย่าแทงข้างหลังผมอีก”“คุณอย่านึกว่านัสไม่กล้านะ” ปากขู่ฟ่อ แต่มือสั่นเทา ขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวเมื่อปราณต์ยืนรอราวกับไม่อนาทรต่อความเจ็บปวดที่เธอจะมอบให้แม้แต่นิด“ก็ไม่คิดว่าจะไม่กล้า ผมแค่บอกให้คุณแทงตามสบาย แทงได้ทุกที่ ยกเว้นข้างหลังผม”คำพูดอันตอกย้ำว่าเขาไม่อยากถูกแทงข้างหลังอีก บวกกับท่าทีที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของร่างสูงซึ่งอยู่ตรงหน้า ทำให้นัสรินเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง เธอวางมีดในมือลงที่เดิม พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจนตัวโยน“
บทที่ 35แท็กซี่จากสนามบินแล่นมาจอดยังลานหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวางกว่าสามร้อยตารางวา มีรั้วรอบขอบชิดแน่นหนา พื้นที่รอบบ้านเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของสนามหญ้าซึ่งปลูกแซมด้วยต้นปาล์ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่ากว้างขวาง ชวนสบาย บ่งบอกถึงฐานะผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดีสำอางกับลุงเล็กสองสามีภรรยาที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านรวมทั้งสายหยุดลูกสาวของทั้งคู่ต่างเดินมาดู เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาจากรถคือปราณต์ซึ่งมาพร้อมกับนัสรินที่เป็นอดีตภรรยาเก่าก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก“สวัสดีค่ะคุณปราณต์ คุณนัส” สำอางยกมือขึ้นไหว้ทั้งสองคน ซึ่งปราณต์และนัสรินก็ยกมือขึ้นรับไหว้ เพราะถึงแม้ว่าสำอางจะเป็นลูกจ้างแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่า“สบายดีนะป้าสำอาง ลุงเล็ก สายหยุด”“สบายดีทุกคนค่ะ อิฉันไม่ทราบว่าคุณปราณต์จะมา ไม่อย่างนั้นคงให้ตาเล็กไปรับที่สนามบินแล้วละค่ะ”“ไม่เป็นไรหรอก ผมนั่งแท็กซี่มาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ทุกคนมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมดูแลตัวเองได้ อ้อ...แล้วไม่ต้องโทร.บอกแม่ล่ะว่าผมมาที่นี่” ปราณต์สั่งกำชับในประโยคท้าย ทำให้ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้ แม้จะสงสัยและอยากบอกแม่เลี้ยงลัก
บทที่ 34นัสรินหยิบมาเปิดดู ก่อนจะหน้าซีดเผือดราวกับขาดโลหิตอย่างอึ้งๆ เพราะจำนนด้วยหลักฐาน เธอไม่คิดว่าปราณต์จะได้เห็นการ์ดพวกนี้ เพราะการ์ดพวกนี้เป็นส่วนที่เธอแจกให้กับญาติและเพื่อนสนิทฝั่งตัวเอง ซึ่งในการ์ดแต่งงานที่ออกแบบอย่างสวยงามนั้น ระบุชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นชื่อของเธอกับเขา นั่นเป็นการยืนยันชัดว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะสาเหตุของการตกกระไดพลอยโจน แต่เกิดจากความตั้งใจของเธอกับปรัชญ์ที่วางแผนการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะให้ปราณต์แต่งงานกับเธอแทน“คุณอยากให้นัสชดใช้ยังไงล่ะคะ” เธอหันไปถามเมื่อคิดว่ายังไงเรื่องนี้ตัวเองก็เป็นคนทำผิดจริงๆ“คุณน่าจะรู้ดีนะนัสริน ว่าผมยังต้องการร่างกายของคุณ”คำพูดนั้นแสนเย็นชาและฟังดูใจร้ายเหลือเกิน และแม้นัสรินจะรู้อยู่แล้วก็ยังอดปลาบแปลบใจไม่ได้“นัสก็ให้คุณไปแล้วนี่คะ” นัสรินเชิดหน้าขึ้นตอบ พยายามทำตัวให้นิ่งเฉย เหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาต่อคำพูดของเขาเช่นกัน“น้อยไปไหม แค่ครั้งเดียวผมยังไม่อิ่มหรอก”“แล้วต้องกี่ครั้ง คุณปราณต์ถึงจะพอ”“จนกว่าผมจะพอใจ”นัสรินจ้องหน้าคนใจร้ายเลือดเย็นอย่างน้อยใจ เขาช่างพูดออกมาได้ว่าเธอ
บทที่ 33เสียงโทรศัทพ์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ทำให้ตาคู่สวยที่บอบช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักในตอนเช้า ต้องละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อก้มดูหน้าจอว่าใครโทร.มา แม้หัวใจจะเจ็บช้ำปานใดเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทร.เข้ามาเป็นเบอร์ของคนในครอบครัวของปราณต์ แต่นัสรินก็ตัดสินใจรับเพราะอย่างน้อยธรินดาก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักสำหรับเธอมาตลอด ตั้งแต่ครั้งที่เธอยังหมั้นกับปรัชญ์“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก” น้ำเสียงยามกรอกลงไปในโทรศัพท์นั้นยังพยายามฝืนให้เป็นปกติ ไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในอาการเช่นใด แม่เลี้ยงลักษิกาคงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้กับธรินดาและปรัชญ์ฟังหมดแล้ว และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ธรินดาโทร.มาหา“สวัสดีค่ะพี่นัส วันหยุดนี้พี่นัสจะไปไหนหรือเปล่าคะ พวกเราว่าจะไปเที่ยวดอยที่เชียงรายกัน พี่นัสไปด้วยกันไหมคะ”ธรินดาเอ่ยชวนมาอย่างมีไมตรีจนคนฟังสัมผัสได้ถึงความจริงใจ หากเป็นเมื่อก่อนเธออาจลังเลว่าจะไปด้วยดีหรือไม่ เพราะอย่างน้อยคนในครอบครัวของอดีตสามีก็ดีกับเธอทุกคน แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้าเธอคงไม่มีหน้าไปพบใคร“วันเสาร์นี้พี่จะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพฯ น่ะจ้ะ เอาไว