ถึงหัวใจไม่ค่อยรักดี แต่ขอรักเธอหมดหัวใจ... *************************************** คำโปรย: กว่า 5 ปีที่เตชิตายอมทนให้คนตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงไม่รักดี ใจแตก และท้องไม่มีพ่อ เพียงเพราะ 'รัก' เพียงคำเดียว... จนกระทั่งเธอได้พบกับ 'เขา' อีกครั้งในตำแหน่งเจ้านายคนใหม่ และที่น่าช้ำใจยิ่งกว่าคือ...เขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่อยู่ในหัวใจเขามาตลอด ซึ่งไม่ใช่เธอ เธอบอกตัวเองว่าควรตัดใจเสีย ไม่สิ! จริงๆ ควรบอกว่าเธอน่าจะตัดใจเสียตั้งแต่วันที่เขาทิ้งเธอไปเรียนต่อเมืองนอกนั่นแล้วต่างหาก เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นไม่มีความหมายใดให้จดจำสำหรับเขา แต่กับเธอมัน...มี! หากจะโทษคงต้องโทษหัวใจไม่รักดีดวงนี้ที่มันควรหยุดหวังลมๆ แล้งๆ เสียทีได้แล้ว แต่มันไม่ง่ายเลย...
View Moreพอได้หรือยังเจ้าหัวใจไม่รักดี เลิกรักคนที่ไม่เคยรักเราได้แล้ว สิ่งเดียวที่เธอควรคิดถึงให้มากกว่าสิ่งอื่นใดคือลูกชายสุดที่รัก และครอบครัวที่รักเธอเท่านั้น ส่วนคนใจร้ายนั่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา เธอจะเลิกสนใจเขาอีกต่อไปจากนี้ไปชื่อของเจษภัทรจะถูกลบออกจากหัวใจดวงนี้และเขาอย่าได้คิดจะมาแตะต้องลูกชายของเธอเด็ดขาดเธอไม่มีวันยอม!พอคิดถึงลูกชายสุดที่รัก หญิงสาวก็รีบปาดน้ำตา พลางสูดหายใจเข้าจนลึก ก่อนที่จะรวบรวมกำลังที่เหลือน้อยนิดเต็มทีเพื่อไปหา เตชินท์ เจ้าลูกชิ้นน้อยๆ ของแม่ ตอนนี้เธอต้องการกอดลูกเพื่อยึดเหนี่ยวหัวใจพังๆ ของตัวเองไว้ไม่ให้ย่อยยับมากไปกว่านี้“แตม...กลับมาแล้วหรือ”ตารการู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องเปิด พร้อมกับน้องสาวที่เดินไหล่ลู่เข้ามา แม้จะปิดไฟ แต่กลิ่นความหม่นเศร้าทำให้คนเป็นพี่รู้สึกได้ว่าอารมณ์น้องสาวไม่ปกติ“ขอโทษนะพี่ตาลที่ทำให้ตื่น” หญิงสาวพยายามข่มน้ำเสียงไม่ให้สั่น แต่มันก็ยากเย็นเต็มที ตาเธอแสบร้อนเพราะร้องไห้อย่างหนักจนบวม ดีที่ในห้องปิดไฟมืดทำให้พี่สาวไม่เห็นความบอบช้ำที่ฟ้องบนใบหน้า“ไม่เป็นไรหรอก ตาลูกชิ้นก็เพิ่งหลับไปไม่นาน บ่นคิดถึงแม่แตมจะรอเ
ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางหัวใจดวงน้อยจนขาดสะบั้น หูเธอดับวิ้งไปดื้อๆ รู้สึกตัวชาๆ กระบอกตาแสบร้อนจนปวดแปลบ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย แต่พอได้ฟังจากปากเขามันก็ทำเอาเธอใจสลายได้ในพริบตา“อ้อ...เหรอคะ” เธอข่มเสียงไม่ให้สั่น “ยินดีด้วยนะคะ”“เธอโอเคใช่ไหม...”โอเคเหรอ! เท่าที่ยังควบคุมสติไม่ให้เผลอแสดงอาการน่าสมเพชออกไปได้นี่ถือว่าโอเคหรือเปล่านะ“ค่ะ”“เรื่องที่ทำงาน”“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันรู้ว่าควรทำตัวยังไง” ก็เขาเล่นตอกย้ำด้วยการกระทำและคำพูดว่าไม่รักไม่คิดอะไร ให้เธอตัดใจ พูดเสียขนาดนั้นเธอยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ“อย่าห่วงเลยค่ะ ฉันรู้ฐานะตัวเองดีว่าฉันเป็นใครคุณเป็นใคร และถ้าคุณกลัวว่าใครจะสงสัยก็สบายใจได้ ฉันกำลังจะหางานใหม่ หากได้งานเมื่อไหร่ก็จะลาออกทันที”“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คุณรุ้งบอกว่าเธอทำงานดีมาก พี่ไม่ได้อยากให้โรงแรมของเราต้องเสียบุคลากรดีๆ อย่างเธอไป แต่แค่อยากขอร้องให้เธอเข้าใจพี่ด้วย”“ค่ะ ฉันเข้าใจทุกอย่าง เราต่างคนต่างอยู่แบบนี้ใช่ไหมที่คุณต้องการ ได้ค่ะ ฉันจะจำให้ขึ้นใจ” หญิงสาวยิ้มเยาะตัวเองจำให้ขึ้นใจว่าเขาไม่ใช่พี่เจที่เธอรัก แต่เป็นคุณเจษภัทรหัวหน้า
“ลูก...”“ค่ะ ลูกชายแตมเอง ตอนนี้สี่ขวบกว่าแล้ว”“พี่ไม่เห็นรู้เลยว่าน้องแตมมีสามีมีลูกแล้ว” เตชิตาขมวดคิ้วนิดๆ ไม่แน่ใจว่าเธอคิดไปเองไหมว่าน้ำเสียงคนพูดแปลกๆ ไปคล้ายกับผิดหวัง จากที่จะบอกว่าเธอเป็นซิงเกิ้ลมัม จึงเปลี่ยนใจนิ่งเสีย“เอ่อ...พี่แค่หมายถึง น้องแตมหน้าตายังเด็กอยู่เลย พี่แค่คิดไม่ถึงน่ะครับ”“แตมมีลูกเร็วน่ะค่ะ อ๊ะ! เดี๋ยวพี่ธัชช่วยจอดที่ข้างหน้าร้านสะดวกซื้อนั่นก็ได้ค่ะ พอดีแตมสัญญาว่าจะซื้อขนมฝากเจ้าแสบที่บ้านหน่อย”เตชิตาพยายามข่มสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติ หางตาแอบเห็นชายหนุ่มข้างกายถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ยอมเปิดไฟเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าร้านให้โดยดีก็โล่งใจ เธออาจคิดไปเองก็ได้ แต่กันไว้ก็ดีกว่ามาแก้ไขทีหลัง“พี่ธัชกลับก่อนก็ได้นะคะ บ้านแตมอยู่แค่นี้เอง” หญิงสาวรีบดักทาง “แตมอาจจะเลือกนาน เกรงใจพี่เปล่าๆ”“ไม่เป็นไรนี่ครับพี่รอได้”คำว่ารอของเขาฟังแล้วแปลกๆ“อย่ารอเลยค่ะ แตมเกรงใจจริงๆ”ธัชพงศ์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนพยักหน้า ในใจแอบนึกเสียดายหญิงสาวตรงหน้าที่เขาแอบหมายตาตั้งแต่เธอมาทำงานวันแรก แต่เมื่อรู้ว่าเธอมีพันธะแล้ว ถึงจะเจ้าชู้ตามประสาหนุ่มโสด แต่เขาก็ไม่ชอบแย่งเมียชาวบ้าน“งั
“อีกเดี๋ยวแม่กำลังจะกลับแล้วครับลูก”“แม่แตมอยู่ไหน ไมเสียงดังจังครับ” หญิงสาวรีบเดินออกห่างจากห้องกินเลี้ยงที่ยังคงมีเสียงเขาตามมาหลอกหลอนหู ไม่อยากให้ลูกชายได้ยินความใจร้ายของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่า...พ่อให้เธอเจ็บแค่คนเดียวก็พอแล้ว“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ แม่จะรีบกลับไปหาลูกชิ้นแล้ว” ปลายสายส่งเสียงส่งจูบมาให้ก่อนที่เธอจะตัดใจกดวางสายไปตอนนี้เธอไม่อยากเดินกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกแล้ว ไม่อยากเห็นหน้าหรือได้ยินเสียงเขาคนนั้นให้หัวใจเจ็บปวดอีกต่อจากนี้ไปเธอทำอย่างที่เขาบอก จะไม่หันกลับไปคิดถึงเขาอีกแล้ว สารที่เขาส่งให้เธอจะรับมันไว้เพื่อเตือนใจตัวเอง อย่าโง่รักใครที่เขาไม่เห็นค่าความรักของเราอีก!เตชิตาตัดสินใจไม่กลับเข้าไป แต่โดยมารยาทเธอจึงส่งข้อความไปบอกกับรุ้งลาวัณย์ว่าเธอขอตัวกลับก่อน เพราะมีธุระด่วนที่บ้าน หลังจากนั้นเธอก็รีบเดินออกไปยืนรอแท็กซี่ที่หน้าร้านหญิงสาวเงยหน้ามองฟ้าที่ตอนนี้มืดครึ้มเหมือนหัวใจเธอไม่มีผิด ดูเหมือนวันนี้ฝนกำลังจะตกเสียด้วยแหม...เข้าสูตรซ้ำเติมคนช้ำรักได้ดีเสียจริง เพียงไม่นานฝนใจร้ายก็โปรยปรายลงมาจริงๆ หญิงสาวจึงรีบถอยเข้าไปหลบใต้ชายคาร้าน ตาก็มองหารถแท็
“ไม่หนวกหูหรอกค่ะ เสียงหล่อๆ อย่างดอสน่ะน่าฟังจะตายไป จริงไหมพวกเรา”“งั้นก็ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบรับตามสปิริทของผู้นำ หากแต่ตอนเลือกเพลง หางตาเขาก็บังเอิญหันไปสบตากับหญิงสาวที่อยู่หลังห้อง ก่อนที่เธอจะรีบหลบตาและหันไปคุยกับชายหนุ่มข้างกาย ราวกับเขาไม่อยู่ในสายตาก็ดี! แต่ทำไมนะ มันถึงรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ ใจหนึ่งก็บอกไม่ให้สนใจเธอ ในเมื่อไม่ต้องการกวนตะกอนให้ขุ่น ก็ควรปล่อยเรื่องต่างๆ ให้จบไปแต่อีกใจมันก็อดห่วงไม่ได้ ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูไม่ออกว่านายธัชพงศ์อะไรนั่นมันสนใจเธอคนนั้นจนออกนอกหน้า ยิ่งงานคืนนี้รายนั้นก็ยิ่งเผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจน เขาไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงเตชิตาในวันนี้ไม่เหมือนน้องสาวข้างบ้านที่เขาเคยรู้จัก เขารู้จักเธอจนกระทั่งคืนแห่งความทรงจำนั้นมาทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องคนสนิทจนยากจะเหมือนเดิม แต่แววตาของเธอที่มองเขาในยามแรกที่ได้พบกันอีกครั้ง เขาพอดูออกว่าเธอยังคงมีใจให้เขาอยู่ไม่มากก็น้อยมีใจทั้งๆ ที่พูดคุยโทรศัพท์กระหนุงกระหนิงกับผู้ชายคนอื่น แล้วไหนจะเจ้าธัชพงศ์อะไรนี่อีก เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเตชิตาคนนี้ต้องการอะไรกันแน่หรือว่าสัมพันธ์ลึกซึ้งในคื
เตชิตามองสบตาคนพูดก่อนหลบตาเขาเมื่อเห็นแววตาที่มองมาอย่างมีนัยยะแฝงเพื่อนร่วมงานงั้นเหรอ...ไม่เข้าใจว่าเขาจะตอกย้ำเธอไปถึงไหน เธอรู้แล้วน่าว่าไม่อาจเป็นได้มากกว่านั้น ระหว่างที่กำลังอึดอัดใจนั้นเองก็มีเสียงใครบางคนแทรกขึ้นมา“ไปด้วยกันเถอะนะครับน้องแตม ไปหลายๆ คนสนุกดี เดี๋ยวขากลับพี่ไปส่งที่บ้านเองก็ได้” เตชิตาหันไปมองชายหนุ่มที่เสนอไมตรีมาให้“พอดีคราวก่อนผมก็เคยไปส่งน้องเขาที่บ้านแล้วน่ะครับ ยังไงบ้านเราก็อยู่ทางเดียวอยู่แล้ว สบายมากครับ”คำว่า ‘บ้านเรา’ ของเซลล์เอ็กเซกคลูทีฟหนุ่มคนนั้นทำให้หางตาใครบางคนกระตุกนิดๆ โดยไม่มีใครทันสังเกต ใบหน้าเคร่งขรึมขมวดขึ้ง รู้สึกหงุดหงิดหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก“ขอบคุณมากนะคะพี่ธัช”เตชิตาตอบกลับน้ำใจของธัชพงศ์เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ด้วยรอยยิ้ม โดยไม่ยอมหันไปมองเจ้านายคนใหม่ให้เสียอารมณ์อีกแล้วสุดท้ายหญิงสาวก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงต้องมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับผู้อำนวยการฝ่ายขายคนใหม่จนได้ งานนี้จัดให้ร้านอาหารกึ่งบาร์ แต่วันนี้เพื่อต้องการความเป็นส่วนตัวทางแผนกจึงจองห้องแยกต่างหาก มีทั้งบาร์ส่วนตัว และหากมีใครอยากร้องเพลงก็สามารถทำได้เตชิตาเลือกที่นั่งห่
“มายืนทำอะไรตรงนี้คะ”“เปล่านี่ ผมแค่เดินผ่านมา แล้วนี่คุณไม่ต้องเข้าประชุมหรือไงกัน ทำไมไม่ไปเตรียมตัว มัวแต่แอบมาคุยกับแฟนอยู่...”คนถูกตำหนิกลายๆ ตวัดสายตามอง เธอคิดไปเองหรือเปล่าที่น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวไปกว่าปกติ“ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”“ก็ดี...เพราะผมไม่ชอบคนที่ไม่รักษาเวลาหรือมาสาย” พูดจบก็เดินจากไปเตชิตามองตามแผ่นหลังกว้าง ในใจนึกฉุนกับคำตำหนิกลายๆ ของเขาฮึ! ใครกันแน่ที่ไม่รักษาเวลา ต่อให้เธอจะรักษาเวลาหรือไม่ เธอก็ไม่ใช่คนที่เขาชอบอยู่แล้วนี่นาเอาเถอะ...ไม่ชอบก็ไม่ต้องชอบสิ ใครแคร์ ต่อไปนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือตัดใจจากเขาให้เด็ดขาดเสียที ต่างคนต่างอยู่ ท่องไว้สิยัยแตม เขาเป็นเจ้านาย เธอมันก็แค่พนักงานตัวเล็กๆ ในแผนกคนหนึ่งก็เท่านั้น พอกันทีกับการรอคอยที่แสนไร้ค่า!การประชุมของแผนกขายปกติจะจัดทุกวันอยู่แล้วเพื่อคอยอัพเดตการทำงานตามที่ได้รับมอบหมายในแต่ละวันให้กับคนในแผนกและหัวหน้างานทราบ หากมีปัญหาก็จะได้หารือแก้ไขกันในที่ประชุมปกติเตชิตานั้นไม่ต้องเข้าประชุมที่ว่าก็ได้ แต่ทว่าการประชุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ทุกคนในแผนกจะได้ทำความรู้จักกับผู้อำนวยการฝ่ายขายคนใหม่อย่าง
คำขอโทษจากเขาคือคำตอบสุดท้ายที่ทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอจนแตกสลายลงในวินาทีนั้น ความสาวก็เสียไปแล้ว ส่วนคนที่รักสุดหัวใจก็ไม่อาจรักเธอได้เพราะหัวใจเขามีใครอีกคนเธอควรทำยังไง ดันทุรังต่อไป หรือควรถอยดี...‘งั้นก็ช่างมันเถอะค่ะ พี่ลืมทุกอย่างให้หมด เราจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน แบบนี้ดีไหม’ทุกคำที่ออกจากปากเธอมันช่างยากเย็นราวกับถูกใบมีดคมกรีดหัวใจขาดเป็นริ้วๆ เสี้ยวความหวังน้อยนิดที่อยากได้ยินเขาแย้งขึ้นว่าเขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของเธอได้ในฐานะสุภาพบุรุษที่กล้าทำกล้ารับผิดชอบแต่ทว่า...ชายหนุ่มกลับนิ่งเงียบ มีเพียงสายตาที่ฉายความรู้สึกสับสนในใจระหว่างความรู้สึกผิดชอบชั่วดี กับหัวใจที่มอบความรักให้ผู้หญิงคนอื่นไปแล้วทั้งดวง‘เธอไม่ได้แค่ประชดพี่หรอกใช่ไหม’‘เปล่าค่ะ แตมพูดจริง’เตชิตาในวันนั้นช่างอ่อนหัดและโลกสวยเกินไป เธอคิดเพียงว่าเวลาอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น บางทีเขาและเธออาจกลับมารู้สึกดังเดิมได้ หรือไม่ชายหนุ่มอาจจะมีใจเอนเอียงมาให้เธอสักนิดเมื่อคิดถึงสิ่งที่เธอมอบให้เขาทั้งตัวและใจ เหมือนในนิยายแสนโรแมนติกหลายเรื่องที่เคยอ่านว่าหากนางเอกมอบความสาวบริสุทธิ์ของตนให้พระเอกไป
เสียงครวญครางหวานหูเคล้าเสียงหอบกระเส่าของสองหนุ่มสาวบ่งบอกถึงความหวานซ่านรัญจวนที่มอบให้แก่กันอย่างเร่าร้อนถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนกระทั่งหญิงสาวใกล้จะคว้าดวงดาวมาไว้ในมือ‘พี่เจ...แตมไม่ไหวแล้ว อ๊ะ...’ เตชิตากัดฟันบอก เธอรู้สึกดีระคนทรมานไปพร้อมกัน‘ไปพร้อมกันนะที่รัก’คำว่าที่รักของเขาช่างหวานหูเหลือเกิน หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนที่จะยกสะโพกขึ้นรับการบดขยี้อย่างดุดันปนเร่าร้อนของเขาอย่างเต็มใจจนร่างกายเธอกระตุกถี่ๆ เมื่อทุกอย่างระเบิดพร่างพราวจนเกิดแรงสั่นสะเทือนไปถึงดวงดาวเตชิตากอดร่างของเขาไว้ รู้สึกอุ่นวาบในท้องน้อยเมื่ออีกฝ่ายปลดปล่อยธารลาวาสวาทสาดเข้าใส่จนหยาดหยดสุดท้าย และซบใบหน้าลงที่ทรวงอกเธอ‘พี่รักเธอนะวินนี่ รักมากที่สุด...’อารมณ์วาบหวามรัญจวนของหญิงสาวแทบมอดมลายเมื่อได้ยินคำนั้นจากปากเขา น้ำตาอุ่นร้อนไหลรินอาบแก้ม อยากจะผลักร่างหนาหนักออกไปให้พ้น แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง จำต้องยอมให้เขาฝากตัวตนไว้ภายในตัวเธออยู่อย่างนั้นเธอรักเขา...แต่เขากลับบอกรักคนอื่นทั้งๆ ที่มีนอนกอดเธอแน่น เจ็บปวดใจเหลือเกิน...คืนนั้นแม้จะถูกปรนเปรอจนบรรลุความสุขซ่านแห่งปรารถนา แต่เตชิตากลับต้องหลับไปทั
เพียะ!“นังลูกไม่รักดี!”เสียงนั้นร้าวลึกลงไปถึงแกนสมองเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสิบเก้าปี กำลังจะขึ้นปีสองของมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะถูกบุพการีที่รักผรุสวาทด้วยคำนี้นังลูกไม่รักดี...เตชิตา วิโรจน์ขจร หรือ แตม เม้มริมฝีปากแน่น ที่แก้มใสรู้สึกชาเห่อจนขึ้นรอยแดงเป็นริ้ว ในปากรู้สึกขมปร่าและมีรสคาวฝาดอุ่นๆ แต่นั่นยังไม่ถือว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต เพราะสิ่งที่เจ็บยิ่งกว่าคือหัวใจของเธอ และความรู้สึกผิดที่อาบล้นวนเวียนอยู่ในตัวตอนนี้“บอกพ่อมานะว่ามันเป็นใคร” คนที่ยืนสอบสวนเธอราวกับเป็นอาชญากรฆ่าคนตายตรงหน้านี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น นายวีระ วิโรจน์ขจร หรือ เฮียวี บิดาบังเกิดเกล้าของเธอนี่เอง“ใจเย็นๆ ก่อนพ่อ เดี๋ยวก็ความดันขึ้นหรอก” คนที่คอยฉุดแขนพ่อของเธอไว้ก็คือผู้เป็นแม่ของเด็กสาวที่ยืนหน้าซีดปากสั่นนั่นเองนางตวงพรมองใบหน้าสดใสในวัยแรกรุ่นของบุตรสาวคนเล็กอย่างแสนเสียดาย ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกที่เธอเลี้ยงมากับมือจะทำตัวเช่นนี้ ไอ้โมโหก็ใช่อยู่ แต่พอเห็นผู้เป็นสามีลงไม้ลงมือกับเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเอง นางก็ไม่อาจทนได้ที่ผ่านมาแม้ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เป็นชนชั้...
Comments