ใบหน้าและรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนนั่นยังคงเหมือนที่เธอเคยเห็นในวันนั้นไม่เปลี่ยน แต่เขาไม่ใช่คนเดิมที่เธอเคยรู้จักอีกต่อไป
ไม่ใช่...พี่เจที่เธอเคยรู้จัก แต่วันนี้เขาคือ คุณเจษภัทร เจ้านายคนใหม่ของเธอเสียแล้ว แถมที่สำคัญคือหัวใจของเราก็มีคนเข้าไปจับจอง ไม่ว่าวันนั้นหรือวันนี้ พื้นที่ในหัวใจเขาก็ไม่ใช่ของเธอ มันไม่เคยเป็นของเธอ...
“ผมขอฝากตัวกับพวกเราทุกคนด้วยนะครับ หากมีอะไรที่ต้องการเสนอแนะ หรือปรึกษาเรื่องงานก็บอกกันได้เลยนะครับ เพราะตอนนี้เราคือทีมเดียวกันแล้ว”
นอกจากหน้าตาที่มีเสน่ห์แล้ว บุคลิกนิสัยใจคอของดอสคนใหม่ก็ดูจะเฟรนด์ลี่ผูกใจผู้ร่วมงานทั้งแผนกได้ไม่ยากเลย
“ใกล้ได้เวลาเข้าประชุมกับหัวหน้าแผนกแล้วค่ะดอส นี่เป็นเอกสารที่ต้องใช้เข้าประชุม ยังพอมีเวลาอ่านอีกนิดหน่อยนะคะ”
“ขอบคุณครับคุณรุ้ง” ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนนึกได้ “อ้อ! จริงสิ...หลังประชุมเสร็จผมอยากได้รายงานการขายย้อนหลังของสามไตรมาสล่าสุดรวมถึงแผนงานต่างๆ ในปีนี้ด้วยนะครับ แล้วก็ช่วงบ่ายสองฝากคุณรุ้งช่วยนัดประชุมทีมกับทุกคนในแผนกเรา ทุกคนเลยนะครับ รบกวนคุณช่วยจองห้องประชุมให้ด้วย”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวรุ้งจัดการให้ ส่วนเอกสารต่างๆ เดี๋ยวให้น้องแตมปริ๊นให้ แล้วจะรีบเอาเข้าไปวางที่โต๊ะดอสเลยนะคะ”
“น้องแตม...” ชายหนุ่มทวนคำ คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ
“อ๋อ น้องแตมคือเซลล์แอดมินคนใหม่ของเราค่ะ อ้าว...หายไปไหนแล้วล่ะ” รุ้งลาวัณย์แปลกใจเมื่อหันไปก็ไม่เห็นคนที่เอ่ยถึงเสียแล้ว
“งั้นผมขอฝากด้วยนะครับ” ชายหนุ่มไม่ได้ติดใจใดๆ เขารับแฟ้มเอกสารจากเลขาคนใหม่และเข้าห้องทำงานส่วนตัวไปเพื่อเตรียมตัวเข้าประชุมกับฝ่ายบริหารของโรงแรม
เตชิตากุมหน้าอกซ้ายที่หัวใจกำลังเต้นรัวๆ ขอบตาร้อนผ่าวๆ แต่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ เธอไม่ได้ตั้งใจจะหลบหน้าเขา แต่มันเป็นไปตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด แต่เกรงว่าหากต้องทำงานด้วยกัน เธอคงไม่อาจใช้วิธีหลบเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง
“อ้าว น้องแตมอยู่นี่เอง! แล้วไปทำอะไรอยู่ใต้โต๊ะล่ะนั่น”
“ขอโทษค่ะพี่รุ้ง พอดีแตมทำแฟ้มตก เลยก้มเก็บเอกสารที่พื้นน่ะค่ะ” ข้อแก้ตัวไม่เข้าท่าแต่สมองเธอคิดได้เท่านี้จริงๆ
“อืม...แล้วเมื่อกี้ได้ยินที่ดอสสั่งงานไหมจ๊ะ”
“อ๋อๆ ได้ยินแล้วค่ะ เดี๋ยวแตมรีบจัดการให้นะคะ”
“ดีจ้ะ งั้นเดี๋ยวพี่ไปห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวต้องเข้าประชุมแล้ววันนี่ท่าจะถกกันนาน อ้อ พี่ฝากเจ้านายใหม่ด้วย เผื่อต้องการอะไรก็บอกว่าเดี๋ยวพี่มานะ”
“ได้ค่ะ” เตชิตายิ้มรับ พลางชำเลืองไปทางประตูห้องทำงานของผู้จัดการคนใหม่ที่ปิดสนิท ดวงตาคู่สวยหม่นแสง
มันผ่านไปตั้งเกือบห้าปีแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะลืมเธอไปแล้วก็ได้ บางทีเธออาจจะกลัวเกินไป เอาน่ะ ขอเวลาตั้งหลักก่อนสักนิด อย่างน้อยก็ให้เธอได้ซ้อมยิ้มเวลาต้องเจอหน้าเขา หรือไม่ก็เตรียมคำทักทายกันก่อนก็ยังดี
ยังไม่ทันที่เธอจะคิดออกเลย จู่ๆ ประตูห้องทำงานของดอสคนใหม่ก็เปิดออกอีกครั้ง
“คุณรุ้งครับ...”
เตชิชาหัวใจแทบหยุดเต้น ร่างบางยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตมองเจ้านายคนใหม่ค้างนิ่ง หัวใจที่เต้นแรงคราวนี้แทบหลุดกระเด็นออกมานอกอก ใบหน้าเธอเกร็งจนเกือบสั่นยามที่ต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มตรงหน้าในระยะเกือบเผาขน
ยามที่ดวงตาสองคู่สานสบกัน ชั่ววินาทีหนึ่งหัวใจของหญิงสาวก็พลันเต้นรัว ใบหน้าร้อนวูบวาบยามที่ตกอยู่ภายใต้สายตาคมกริบที่จ้องมองมาคู่นั้น หรือเขาจะจำเธอได้!
“อ้าว คุณรุ้งล่ะครับ”
คำถามนั้นผลักเธอจนตกจากหน้าผาแห่งความหวังทันใด
“พะ...พี่รุ้งไม่อยู่ค่ะ” น้ำเสียงที่ตอบเงอะงะเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง “ดอสมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”
“คุณชื่อแตมใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” เตชิตาตอบเสียงเบาหวิว ขอบตาแสบร้อน อย่าว่าแต่ชื่อเลย หน้าตาเธอเขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่เธอควรจะดีใจสิยัยแตม แต่ทำไมนะทำไมมันจุกในหัวใจแปลกๆ
“อืม พอดีผมอยากได้กาแฟสักแก้ว คุณช่วยหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ เหมือนเดิมนะคะ” พูดไปแล้วเธอก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเห็นคิ้วเข้มๆ ขมวดเข้าหากัน ก่อนที่ริมฝีปากหยักพึมพำ
“เหมือนเดิม?”
“เออ...แตม เอ๊ย! ดิฉันหมายถึงดอสชอบกาแฟรสชาติแบบไหนคะ”
“อืม ลองชงเหมือนเดิมแบบที่คุณว่าก็ได้นะ” แม้เสียงที่เอ่ยจะปกติเหมือนที่เขาพูดกับทุกคน แต่ก็ฟังห่างเหินไม่เหมือนคนเคยรู้จักกัน แถมประกายตาที่มองมานั่น ทำให้เธอร้อนๆ หนาวๆ เหมือนกำลังจับไข้
และแม้เขาจะกลับเข้าไปในห้องแล้ว ทิ้งให้เตชิตายังคงยืนนิ่งในท่าเดิม กาแฟรสชาติเหมือนเดิม แต่คนดื่มต่างหากที่เปลี่ยนไป
เขาไม่เหมือนเดิม...
ท่องไว้สิยัยแตมท่องไว้ คนตรงหน้าคือคุณเจ เขาไม่ใช่พี่เจที่เธอรู้จัก ไม่ใช่!
กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟในมือไม่ได้ช่วยดับความว้าวุ่นในอารมณ์ของหญิงสาวให้สงบเหมือนทุกครั้ง กาแฟรสชาติเหมือนเดิมที่เธอจำได้ขึ้นใจว่าเขาเคยชอบดื่ม แต่ไม่รู้ว่าเขาจะยังชอบรสชาตินั้นอีกไหมนะ
“เชิญครับ”
“เชิญครับ”เตชิตาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนดันประตูเข้าไปในห้องทำงาน ตั้งแต่เริ่มทำงานมา เธอได้เข้ามาในห้องนี้แทบนับครั้งได้ แต่เพราะรุ้งลาวัณย์ยังไม่กลับมา จะให้เขารอก็ใช่ที่“กาแฟของคุณค่ะ”“วางไว้ตรงนั้นก่อน” เจ้าของห้องเอ่ยโดยที่ไม่ได้เงยหน้าจากหน้าจอแทปเลต ทำให้เธอมีโอกาสลอบพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้าวันนี้เขาดูดีและภูมิฐานแปลกตาไปจากวันวานที่เธอเคยพบ ผิวคร้ามดูขาวขึ้นคงเพราะไปเรียนเมืองนอกมาหลายปี ใบหน้าคมคายเฉกเช่นบุรุษแท้ รับกับคิ้วเข้มดก และดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เรียวยาว ที่เวลาจ้องมองมานิ่งๆ ก็ทำให้ใจเธอสั่นไหวได้ทุกครั้งดูเหมือนคนถูกลอบมองจะรู้สึกตัวจึงเงยหน้าจากแทปเลตจ้องมองกลับมา พร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน“คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”“อะ...ปะเปล่าค่ะ ไม่มีอะไร งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” คนถูกจับได้ว่าแอบมองเป็นฝ่ายตกประหม่าทำอะไรไม่ถูกเสียเอง“เดี๋ยวก่อนครับ”“คะ” เตชิตาหันขวับ พอเห็นสายตาที่มองมา หัวใจเจ้ากรรมก็พลันเต้นโครมครามด้วยความหวัง“ขอบคุณสำหรับกาแฟนะครับ”หัวใจไม่รักดีปลิวตกไปที่พื้นอีกหนพร้อมกับความหวังที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะจำกันได้ หรือทักทายกันเหมือนคนที่เคยรู้จัก ไม่ใ
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่เคยรักเธอเลย ไม่เคยมองเป็นอย่างอื่นนอกจากลูกสาวเพื่อนพ่อที่อยู่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้าม เห็นกันมานานปี ตอนนั้นบ้านเจษภัทรเปิดเป็นอู่ซ่อมรถ เขาในฐานะลูกชายคนเดียวจึงต้องคอยเป็นลูกมือช่วยกิจการพ่อมาตลอดครั้งหนึ่งที่เธอเคยปั่นรถจักรยานกลับจากโรงเรียนและเหยียบตะปูจนยางแบนกลางทาง ก็ได้เขาที่ผ่านมาเห็นเลยช่วยจูงรถมาช่วยเปลี่ยนยางให้ที่ร้านโดยไม่คิดเงิน ตั้งแต่นั้นเตชิตาซึ่งกำลังอยู่ในวัยแรกสาวก็เกิดรู้สึกดีๆ กับพี่ชายข้างบ้านจนความรักเริ่มก่อตัวในหัวใจหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเธอก็คอยหาเหตุทำยางรถจักรยานตัวเองแบนเป็นประจำ เพื่อจะได้เอามันไปให้เขาช่วยซ่อมที่ร้าน แล้วแอบเฝ้ามองเขาตามประสาคนแอบรัก หรือแม้กระทั่งวันไหนที่เขามาสั่งก๋วยเตี๋ยวที่ร้านพ่อเธอให้ไปส่งที่อู่ ต่อให้มีงานล้นมือแค่ไหนเตชิตาก็จะคอยอาสาเป็นคนไปส่งให้เขาที่บ้านเองจนกระทั่งพลอยสนิทกับครอบครัวของอีกฝ่ายและสามารถเข้านอกออกในบ้านเขาได้โดยไม่มีใครสงสัย เพราะคิดว่าทั้งสองคบหาเป็นเพื่อนพี่น้องกันเหมือนที่พ่อของทั้งสองเองก็เป็นเกลอกันมานานหรือแม้แต่ตอนที่เจษภัทรเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็เป็นคนที่รู้ควา
เสียงหวานครางแผ่วระโหยหวังจะเรียกสติ แต่คนที่เมาทั้งเหล้าเมาทั้งรักหรือจะฟัง มือของเขาเคล้นคลึงดอกบัวตูมที่ชูช่ออย่างเมามัน ก่อนที่ริมฝีปากชุ่มชื้นจะครอบครองปลายยอดทรวงและดูดดื่มความหวานจนเธอผวาไปทั้งร่าง สมองขาวโพลนจนเผลอตัวแอ่นกายป้อนให้เขาชิมหูแว่วได้ยินเสียงห้าวครางกระเส่าอย่างพอใจ หัวใจไม่รักดีก็เต้นรัวแรงไม่ยั้ง‘วินนี่ สวยมาก สวยทั้งตัวเลย’ เตชิตากัดริมฝีปากแน่น อารมณ์รัญจวนเกือบหายเมื่อได้ยินชื่อหญิงอื่นจากปากเขา‘พี่เจ! นี่แตมค่ะ ไม่ใช่พี่วินนี่ แตมเอง อ๊ะ! อื้ม...”หญิงสาวเอ่ยไม่ทันจบก็ต้องผวาสะดุ้ง เมื่อมือใหญ่เคลื่อนต่ำลงไปที่จุดศูนย์กลางร่างสาว ก่อนที่จะกรีดกลีบกายอันบอบบางจากกันเพื่อสำรวจความพร้อม และเขาก็คลี่ยิ้ม ดวงตาฉ่ำเยิ้มมีเสน่ห์ทอประกายวาวอย่างพอใจ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายพรักพร้อมสำหรับเขาแล้ว‘พี่เจ...อย่า!” เตชิตากรีดร้องเบาๆ เมื่อถูกปลายนิ้วเรียวยาวสะกิดเบาๆ ที่เกสรสาวสะพรั่ง จนเธอสั่นสะท้านไปทั้งกาย เพราะเขาคลึงขยี้มันจนน้ำหวานในกายซึมออกมาล้นปรี่ เจษภัทรยิ้มร่าเมื่อเห็นภาพอันแสนรัญจวนตรงหน้า เขาไม่รอช้าหรือหยุดคิดที่จะลิ้มลองมันด้วยริมฝีปาก‘อร้ายยยย...’ เสียงหวาน
เสียงครวญครางหวานหูเคล้าเสียงหอบกระเส่าของสองหนุ่มสาวบ่งบอกถึงความหวานซ่านรัญจวนที่มอบให้แก่กันอย่างเร่าร้อนถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนกระทั่งหญิงสาวใกล้จะคว้าดวงดาวมาไว้ในมือ‘พี่เจ...แตมไม่ไหวแล้ว อ๊ะ...’ เตชิตากัดฟันบอก เธอรู้สึกดีระคนทรมานไปพร้อมกัน‘ไปพร้อมกันนะที่รัก’คำว่าที่รักของเขาช่างหวานหูเหลือเกิน หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนที่จะยกสะโพกขึ้นรับการบดขยี้อย่างดุดันปนเร่าร้อนของเขาอย่างเต็มใจจนร่างกายเธอกระตุกถี่ๆ เมื่อทุกอย่างระเบิดพร่างพราวจนเกิดแรงสั่นสะเทือนไปถึงดวงดาวเตชิตากอดร่างของเขาไว้ รู้สึกอุ่นวาบในท้องน้อยเมื่ออีกฝ่ายปลดปล่อยธารลาวาสวาทสาดเข้าใส่จนหยาดหยดสุดท้าย และซบใบหน้าลงที่ทรวงอกเธอ‘พี่รักเธอนะวินนี่ รักมากที่สุด...’อารมณ์วาบหวามรัญจวนของหญิงสาวแทบมอดมลายเมื่อได้ยินคำนั้นจากปากเขา น้ำตาอุ่นร้อนไหลรินอาบแก้ม อยากจะผลักร่างหนาหนักออกไปให้พ้น แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง จำต้องยอมให้เขาฝากตัวตนไว้ภายในตัวเธออยู่อย่างนั้นเธอรักเขา...แต่เขากลับบอกรักคนอื่นทั้งๆ ที่มีนอนกอดเธอแน่น เจ็บปวดใจเหลือเกิน...คืนนั้นแม้จะถูกปรนเปรอจนบรรลุความสุขซ่านแห่งปรารถนา แต่เตชิตากลับต้องหลับไปทั
คำขอโทษจากเขาคือคำตอบสุดท้ายที่ทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอจนแตกสลายลงในวินาทีนั้น ความสาวก็เสียไปแล้ว ส่วนคนที่รักสุดหัวใจก็ไม่อาจรักเธอได้เพราะหัวใจเขามีใครอีกคนเธอควรทำยังไง ดันทุรังต่อไป หรือควรถอยดี...‘งั้นก็ช่างมันเถอะค่ะ พี่ลืมทุกอย่างให้หมด เราจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน แบบนี้ดีไหม’ทุกคำที่ออกจากปากเธอมันช่างยากเย็นราวกับถูกใบมีดคมกรีดหัวใจขาดเป็นริ้วๆ เสี้ยวความหวังน้อยนิดที่อยากได้ยินเขาแย้งขึ้นว่าเขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของเธอได้ในฐานะสุภาพบุรุษที่กล้าทำกล้ารับผิดชอบแต่ทว่า...ชายหนุ่มกลับนิ่งเงียบ มีเพียงสายตาที่ฉายความรู้สึกสับสนในใจระหว่างความรู้สึกผิดชอบชั่วดี กับหัวใจที่มอบความรักให้ผู้หญิงคนอื่นไปแล้วทั้งดวง‘เธอไม่ได้แค่ประชดพี่หรอกใช่ไหม’‘เปล่าค่ะ แตมพูดจริง’เตชิตาในวันนั้นช่างอ่อนหัดและโลกสวยเกินไป เธอคิดเพียงว่าเวลาอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น บางทีเขาและเธออาจกลับมารู้สึกดังเดิมได้ หรือไม่ชายหนุ่มอาจจะมีใจเอนเอียงมาให้เธอสักนิดเมื่อคิดถึงสิ่งที่เธอมอบให้เขาทั้งตัวและใจ เหมือนในนิยายแสนโรแมนติกหลายเรื่องที่เคยอ่านว่าหากนางเอกมอบความสาวบริสุทธิ์ของตนให้พระเอกไป
“มายืนทำอะไรตรงนี้คะ”“เปล่านี่ ผมแค่เดินผ่านมา แล้วนี่คุณไม่ต้องเข้าประชุมหรือไงกัน ทำไมไม่ไปเตรียมตัว มัวแต่แอบมาคุยกับแฟนอยู่...”คนถูกตำหนิกลายๆ ตวัดสายตามอง เธอคิดไปเองหรือเปล่าที่น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวไปกว่าปกติ“ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”“ก็ดี...เพราะผมไม่ชอบคนที่ไม่รักษาเวลาหรือมาสาย” พูดจบก็เดินจากไปเตชิตามองตามแผ่นหลังกว้าง ในใจนึกฉุนกับคำตำหนิกลายๆ ของเขาฮึ! ใครกันแน่ที่ไม่รักษาเวลา ต่อให้เธอจะรักษาเวลาหรือไม่ เธอก็ไม่ใช่คนที่เขาชอบอยู่แล้วนี่นาเอาเถอะ...ไม่ชอบก็ไม่ต้องชอบสิ ใครแคร์ ต่อไปนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือตัดใจจากเขาให้เด็ดขาดเสียที ต่างคนต่างอยู่ ท่องไว้สิยัยแตม เขาเป็นเจ้านาย เธอมันก็แค่พนักงานตัวเล็กๆ ในแผนกคนหนึ่งก็เท่านั้น พอกันทีกับการรอคอยที่แสนไร้ค่า!การประชุมของแผนกขายปกติจะจัดทุกวันอยู่แล้วเพื่อคอยอัพเดตการทำงานตามที่ได้รับมอบหมายในแต่ละวันให้กับคนในแผนกและหัวหน้างานทราบ หากมีปัญหาก็จะได้หารือแก้ไขกันในที่ประชุมปกติเตชิตานั้นไม่ต้องเข้าประชุมที่ว่าก็ได้ แต่ทว่าการประชุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ทุกคนในแผนกจะได้ทำความรู้จักกับผู้อำนวยการฝ่ายขายคนใหม่อย่าง
เตชิตามองสบตาคนพูดก่อนหลบตาเขาเมื่อเห็นแววตาที่มองมาอย่างมีนัยยะแฝงเพื่อนร่วมงานงั้นเหรอ...ไม่เข้าใจว่าเขาจะตอกย้ำเธอไปถึงไหน เธอรู้แล้วน่าว่าไม่อาจเป็นได้มากกว่านั้น ระหว่างที่กำลังอึดอัดใจนั้นเองก็มีเสียงใครบางคนแทรกขึ้นมา“ไปด้วยกันเถอะนะครับน้องแตม ไปหลายๆ คนสนุกดี เดี๋ยวขากลับพี่ไปส่งที่บ้านเองก็ได้” เตชิตาหันไปมองชายหนุ่มที่เสนอไมตรีมาให้“พอดีคราวก่อนผมก็เคยไปส่งน้องเขาที่บ้านแล้วน่ะครับ ยังไงบ้านเราก็อยู่ทางเดียวอยู่แล้ว สบายมากครับ”คำว่า ‘บ้านเรา’ ของเซลล์เอ็กเซกคลูทีฟหนุ่มคนนั้นทำให้หางตาใครบางคนกระตุกนิดๆ โดยไม่มีใครทันสังเกต ใบหน้าเคร่งขรึมขมวดขึ้ง รู้สึกหงุดหงิดหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก“ขอบคุณมากนะคะพี่ธัช”เตชิตาตอบกลับน้ำใจของธัชพงศ์เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ด้วยรอยยิ้ม โดยไม่ยอมหันไปมองเจ้านายคนใหม่ให้เสียอารมณ์อีกแล้วสุดท้ายหญิงสาวก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงต้องมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับผู้อำนวยการฝ่ายขายคนใหม่จนได้ งานนี้จัดให้ร้านอาหารกึ่งบาร์ แต่วันนี้เพื่อต้องการความเป็นส่วนตัวทางแผนกจึงจองห้องแยกต่างหาก มีทั้งบาร์ส่วนตัว และหากมีใครอยากร้องเพลงก็สามารถทำได้เตชิตาเลือกที่นั่งห่
“ไม่หนวกหูหรอกค่ะ เสียงหล่อๆ อย่างดอสน่ะน่าฟังจะตายไป จริงไหมพวกเรา”“งั้นก็ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบรับตามสปิริทของผู้นำ หากแต่ตอนเลือกเพลง หางตาเขาก็บังเอิญหันไปสบตากับหญิงสาวที่อยู่หลังห้อง ก่อนที่เธอจะรีบหลบตาและหันไปคุยกับชายหนุ่มข้างกาย ราวกับเขาไม่อยู่ในสายตาก็ดี! แต่ทำไมนะ มันถึงรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ ใจหนึ่งก็บอกไม่ให้สนใจเธอ ในเมื่อไม่ต้องการกวนตะกอนให้ขุ่น ก็ควรปล่อยเรื่องต่างๆ ให้จบไปแต่อีกใจมันก็อดห่วงไม่ได้ ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูไม่ออกว่านายธัชพงศ์อะไรนั่นมันสนใจเธอคนนั้นจนออกนอกหน้า ยิ่งงานคืนนี้รายนั้นก็ยิ่งเผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจน เขาไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงเตชิตาในวันนี้ไม่เหมือนน้องสาวข้างบ้านที่เขาเคยรู้จัก เขารู้จักเธอจนกระทั่งคืนแห่งความทรงจำนั้นมาทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องคนสนิทจนยากจะเหมือนเดิม แต่แววตาของเธอที่มองเขาในยามแรกที่ได้พบกันอีกครั้ง เขาพอดูออกว่าเธอยังคงมีใจให้เขาอยู่ไม่มากก็น้อยมีใจทั้งๆ ที่พูดคุยโทรศัพท์กระหนุงกระหนิงกับผู้ชายคนอื่น แล้วไหนจะเจ้าธัชพงศ์อะไรนี่อีก เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเตชิตาคนนี้ต้องการอะไรกันแน่หรือว่าสัมพันธ์ลึกซึ้งในคื
“พ่อเจ...” ราวกับหัวใจที่แห้งแล้งได้น้ำชโลม เจษภัทรรู้สึกอุ่นวาบในอก หัวใจพองโต ก่อนอ้าแขนโอบร่างเล็กเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน“ครับคนเก่ง พ่อเจพ่อของลูกชิ้น พ่อขอโทษนะที่ทำงานเสร็จช้า แต่ต่อไปนี้พ่อสัญญาว่าจะไม่ทิ้งลูกกับแม่แตมไปไหนอีกแล้ว พ่อรักลูกนะครับ”เตชิตามองภาพนั้นอย่างตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดลูกของเธอก็ได้มีพ่อกับเขาเสียที“จริงๆ นะครับ พ่อเจห้ามโกหกนะ”“ไม่โกหกครับ”“เย้! ลูกชิ้นมีพ่อแล้ว ลูกชิ้นรักพ่อเจที่สุดเลย”“เดี๋ยวนะ แล้วแม่ล่ะครับ” หญิงสาวแกล้งแหย่ลูกชายตัวแสบ“ลูกชิ้นรักทั้งพ่อเจ รักทั้งแม่แตม รักมากที่สุดในโลกเลยครับ” เด็กน้อยยิ้มแป้น พลางยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่อและแม่อย่างมีความสุขสองปีต่อมา...ร้านก๋วยเตี๋ยวโกวีในวันหยุดมีลูกค้าคึกคักกว่าปกติ เจ้าของร้านแม้จะอายุเกือบหกสิบปีในอีกไม่กี่วัน แต่ดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แต่ที่ทำให้ขายดีเป็นพิเศษนั้นอาจเป็นเพราะวันนี้มีเด็กเสิร์ฟกิตติมศักดิ์มาช่วยงานก็เป็นได้“หมี่เหลืองแห้งโต๊ะสี่ได้แล้ว” พอขาดคำ ร่างสูงใหญ่ของเด็กเสิร์ฟที่ว่าก็เข้ามารับชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อไปเสิร์ฟให้ลูกค้าสาวใหญ่ที่นั่งส่งตาหวานให้วิ้งๆ“ดูสามีเธอสิยัย
“ตาภาส”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรหันไปมองตาม พลางคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้พบอดีตศัตรูหัวใจ“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ผมมารับวินนี่ไปทานข้าวครับ” คนพูดหันไปสบตาแขกที่นั่งอยู่ พลางพยักหน้าให้นิดๆ “ไม่พบกันนานนะคุณเจ สบายดีเหรอ”“ครับ” เจษภัทรรับคำ น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่ได้รู้สึกอะไรที่เห็นอีกฝ่าย กลับรู้สึกเหมือนโล่งราวยกหินออกอก“ใครไปตามยัยวินนี่มาที บอกว่าพี่ภาสมารับแล้ว” คุณวิมาดากระวีกระวาดต้อนรับแขกผู้มาใหม่ราวกับต้องการให้เห็นว่าเธอไม่ได้แยแสอดีตคนรักของลูกสาวแม้แต่น้อยรอเพียงไม่นานวินรดาก็เดินลงมา หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้ภาสกร แต่พอเห็นหันมาเห็นใครอีกคน ยิ้มหวานก็ลบเลือนหาย เหลือเพียงความเย็นชา“คุณมาที่นี่ทำไมอีก”“พี่มาขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ดูท่าคงไม่จำเป็นแล้ว” เจษภัทรยกยิ้ม น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรยามได้เห็นวินรดาเดินไปควงแขนชายหนุ่มอีกคนแสดงความสนิทสนมอย่างออกนอกหน้าผิดกับวินรดาที่หวังจะได้เห็นสีหน้าของผู้พ่ายแพ้เหมือนครั้งอดีตที่เธอเคยบอกเลิกกับเขาเพื่อคบกับภาสกร แต่ทว่าก็ต้องแอบผิดหวังและขัดใจนิดๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าผิดหวังเสียใจอย่างที่เธอต้องการเห็น ต
นายวีระหายใจฮึดฮัด ร่ำๆ อยากจะเอาเลือดหัวอีกฝ่ายออกให้สมอยาก ยิ่งเห็นลูกสาวสุดที่รักเข้าไปประคองและช่วยซับเลือดให้อีกฝ่าย ก็ยิ่งขัดตาขัดใจ“ยัยตาล พาน้องขึ้นห้องไปก่อน”“พ่อคะ...”เตชิตาร้องเรียกอย่างกลัวใจ ตาแลไปทางชายหนุ่มที่นั่งนิ่งยอมรับความผิด สภาพเขาตอนนี้อาจแค่ปากแตกสะบักสะบอม แต่หากเธอยอมขึ้นห้องไปตามที่พ่อสั่ง ไม่แน่ว่าตอนลงมาอาจพบเขานอนเป็นศพแล้วก็ได้“ถ้าพ่อจะลงโทษพี่เจ งั้นก็ลงโทษแตมด้วยอีกคนเถอะค่ะ หากเรื่องนี้จะมีใครผิด เราสองคนก็คงผิดเท่าๆ กัน หรือไม่แตมก็ผิดมากกว่า”เจษภัทรหันขวับไปมองหญิงสาวที่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างกายเขาด้วยสายตาห่วงใย“แตม อย่าทำแบบนี้”“พี่เจไม่เคยรู้ว่าแตมท้อง ตอนเกิดเรื่องเขาเคยขอรับผิดชอบแล้ว แต่เป็นหนูที่ปฏิเสธเขา”“แล้วทำไมตอนนั้นลูกไม่บอกพ่อสักคำ”“แตม...” เจษภัทรกดสายตามองหญิงสาวพลางส่ายหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปสบตาพ่อของเธอ“เพราะตอนนั้นผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองครับ”ทุกคนมองสองหนุ่มสาว พลางหายใจไม่ทั่วท้อง เกรงว่าระเบิดจะลง“คนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองงั้นเหรอ” นายวีระทวนคำเสียงเยาะ “แล้วตอนนี้เกิดฉลาดขึ้นมาแล้วหรือไง”“เปล่าครับ แค่เพิ่งรู้ใจ
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องไอซียูก็เปิดออก พร้อมกับคุณหมอที่ออกมาแจ้งผลด้วยสีหน้าอิดโรย“คุณหมอคะ ลูกชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ” เตชิตาพุ่งไปเป็นคนแรก“เด็กปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่น้องได้เลือดจากคุณพ่อที่มีกรุ๊ปเดียวกัน ไม่งั้นคงแย่ เพราะเลือดกรุ๊ปนี้หายากเสียด้วย” ทุกคนพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แล้วตอนนี้พ่อของเด็กเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”“กำลังนอนพักอยู่ในห้องบริจาคเลือดข้างๆ กันครับ เพราะให้เลือดไปเยอะ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อีกเดี๋ยวก็คงฟื้น”“งั้นฉันขอเข้าไปดูได้ไหมคะ” คุณหมอพยักหน้าอนุญาต แต่ให้เข้าไปได้เพียงคนเดียวภาพคนตัวเล็กนอนเหยียดบนเตียงโดยมีสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยชีวิตระโยงระยาง ทำให้คนเป็นแม่ใจแทบสลาย สีหน้าลูกแม้ซีดเผือด แต่เตชิตารู้ว่าลูกรักปลอดภัยแล้ว แม้จะมีบาดแผลตามร่างกายให้เห็น หญิงสาวปาดน้ำตาตัวเองเงียบๆในนาทีแห่งชีวิตที่เกิดขึ้นทำให้เธอรับรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด“แตม...ลูกเป็นยังไงบ้าง...”เสียงนั้นอ่อนระโหย แต่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจที่สุด เตชิตาหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ในหัวใจมาตลอดนิ่งค้าง มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อถูกเขาดึงตัวเข้าไปกอดแนบอกเสียงห
คุณวิมาดาหันไปถามกับสามี แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเพราะไม่รู้เช่นกัน“ว่าไงนะ ใครถูกรถชน เด็กที่ไหน...”เสียงซุบซิบเริ่มลามมาทางแถวหน้าอย่างรวดเร็ว และกระเด็นเข้าหูเจ้าภาพบนเวที พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินแกมวิ่งไปที่ข้างเวทีด้านที่นายชิษณุนั่งพร้อมกระซิบบอก“มีลูกของแขกที่มางานถูกรถชนหน้าโรงแรมค่ะ”“ตายจริง ลูกของแขกคนไหนกัน” คุณวิมาดาที่ได้ยินพลอยตกใจ“เห็นว่าเป็นแขกของคุณชิษณุ เด็กคนนั้นชื่อลูกชิ้นค่ะ!”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรสะดุ้ง ใจหายวาบ“ว่าไงนะ เด็กชื่ออะไรนะ”“ชื่อน้องลูกชิ้นค่ะ”“ลูกชิ้น!”ร่างสูงใหญ่ผุดลุกพรวดพราดขึ้นทันทีจนหญิงสาวที่นั่งพับเพียบข้างๆ พลอยตกใจ หันมาขึงตาใส่“พี่เจจะทำอะไรคะ ใกล้ได้ฤกษ์แล้ว จะไปไหน” วินรดากัดฟันถาม ตามองแขกเหรื่อที่เริ่มมองมาทางเวทีเป็นตาเดียว“ตาเจ ลูกอยู่ทางนี้ก่อน เดี๋ยวพ่อไปดูให้เอง” นายชิษณุที่เห็นท่าไม่ดีรีบอาสา“ไม่ครับพ่อ ผมจะไปดูลูกเอง”“ลูก!” วินรดาเผลอตัวรีบคว้าแขนว่าที่คู่หมั้นหนุ่มไว้ “ลูกใครคะ”“ลูกชิ้น! ลูกชายของพี่!”วินรดาอ้าปากค้าง ส่วนคนบนเวทีพลอยตกอกตกใจกับประโยคนั้น คุณวิมาดาลมแทบใส่“ละ...ลูกชายพี่งั้นเหรอคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ทุกอย่างตอนนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณกำลังจะได้สมหวังกับผู้หญิงที่คุณรักมาตลอด ส่วนฉันก็พอใจกับชีวิตตอนนี้แล้ว เราต่างก็มีทางเดินของตัวเอง งั้นอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายอีกเลยนะคะ ดึกแล้วคุณควรกลับไปพักผ่อน ส่วนฉันก็ควรต้องกลับเหมือนกัน”“แล้วพรุ่งนี้เธอจะไปที่งานหรือเปล่า” อะไรบางอย่างทำให้เขาหลุดปากถามออกไป“ฉันรับปากพี่วินนี่ไว้แล้วว่าจะไปค่ะ คุณเองก็อย่ากลับดึกนะคะ เดี๋ยวว่าที่คู่หมั้นจะเป็นห่วง ลา...อุ๊บ!” คำสุดท้ายถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับลงมาเสียก่อนจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายของเขาสะกดตรึงเธอไว้ ราวกับปลดชนวนระเบิดในหัวใจที่แสนอัดอั้น หากนี่คือจูบอำลา เธอก็ขอเห็นแก่ตัวทำตามที่หัวใจไม่รักดีต้องการเป็นครั้งสุดท้ายบ้างเจษภัทรเลิกคิ้ว เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มละมุนที่ตอบกลับมา ความรู้สึกหวานที่คละเคล้าความเศร้าอวลในรสจูบนี้ จนนึกอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มตัดใจถอนริมฝีปากออกเมื่อรับรู้ถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่รินอาบแก้มของอีกฝ่าย“แตม...พี่...”“ครั้งก่อนพี่ทิ้งกันไปโดยไม่ได้บอกลา งั้นครั้งนี้แตมขอเป็นฝ่ายบอกพี่เอง...ลาก่อนนะคะพี่เจ
พอคล้อยหลังผู้เป็นมารดา หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกพลางนึกสงสัยตัวเองคร้ามครัน นี่เธอกำลังคิดผิดอย่างที่มารดาบอกหรือเปล่านะที่เลือกเจษภัทรแทนที่จะเลือกผู้ชายอีกคนที่ระยะนี้กลับเข้ามาวนเวียนในชีวิตอีกครั้ง หลังจากเลิกรากันไปตั้งแต่สมัยเรียน เพราะต่างคนต่างงี่เง่าเอาแต่ใจเป็นที่ตั้งเพื่อกลบความรู้สึกไม่มั่นคงในหัวใจ วินรดาจึงคว้าโทรศัพท์มาลองกดโทรออกหาว่าที่คู่หมั้นอีกครั้ง หากทว่าก็เหมือนเดิมที่เขาไม่รับสายจึงกดวางอีกครั้ง แต่พอกำลังคิดจะถอดใจ จู่ๆ สัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อนหญิงสาวมองชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ตาวาว รอให้มันดังอีกสองสามครั้งจึงยอมกดรับสาย“ว่าไงคะพี่ภาส”“ทำไมทำเสียงหงุดหงิดจัง มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”“ก็นิดหน่อยค่ะ พี่ภาสมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ วินนี่ยุ่งๆ อยู่ ถ้าไม่มี...”“พี่คิดถึงวินนี่ พอดีพี่แวะมาร้านประจำที่เราเคยมาด้วยกันสมัยเรียน ถ้าเธอไม่มีนัดที่ไหน เราออกมาเจอกันหน่อยดีไหม”วินรดาคลี่ยิ้มอย่างลำพองใจ ความหงุดหงิดขุ่นมัวที่มีมาทั้งวันมลายหายไปทันที“ก็ได้ค่ะ แต่วินนี่อยู่ได้แป๊บเดียวนะคะ พี่ก็รู้ว่าวินนี่กำลังจะหมั้นแล้ว เดี๋ยวว่าที่คู่หมั้นจะเป็น
แล้วเธอก็คิดถูกจริงๆ“วินนี่ครับ พอดีพี่มีธุระด่วนเข้ามา จะเป็นไรไหมถ้าพี่ขอตัวกลับก่อน” สีหน้าเขารู้สึกผิด แต่ทว่าไม่ได้ทำให้หญิงสาวเห็นใจ ตรงข้ามเธอกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา“แต่วินนี่สั่งอาหารไปแล้ว นั่งทานให้เสร็จก่อนค่อยไปไม่ได้เหรอคะ”“ขอโทษจริงๆ นะวินนี่”“งั้นก็ตามใจเถอะค่ะ วินนี่ทานคนเดียวก็ได้” วินรดาประชดเสียงแข็ง คิดว่าอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดกลัวเธอโกรธ แล้วตามใจเธอเหมือนเช่นทุกครั้งที่ใช้ไม้นี้ แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่ได้ผล“งั้นเสร็จธุระแล้วพี่รีบโทรหานะ”ว่าแล้วชายหนุ่มก็ผละไปทันที“คนบ้า!”หญิงสาวทำหน้างอ อารมณ์เสียจนอยากจะลุกเดินออกจากร้านเสียเดี๋ยวนั้น แต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่ใจคิด ก็มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามาเสียก่อน ทำให้เธอยิ้มออกมาเพราะคิดว่าแฟนหนุ่มอาจเปลี่ยนใจกลับมาง้อเพราะกลัวเธอโกรธจึงรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา หากทว่าชื่อที่โชว์บนหน้าจอกลับทำให้รอยยิ้มของเธอจางลงเปลี่ยนเป็นความสงสัย“สวัสดีครับคนสวย” หญิงสาวค้อนใส่โทรศัพท์นิดๆ เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นหูนั่น“โทรมามีธุระอะไรคะ”“มีสิ พอดีพี่เห็นผู้หญิงหน้าคล้ายเธอนั่งในร้านอาหารคนเดียว ก็เลยลองโทรมาว่าใช่คนเดียวกันไ
“แตม...”“เอ่อ...ขึ้นมาข้างบนนานแล้ว เรารีบลงไปข้างล่างเสียทีดีไหมคะ” หญิงสาวรีบตัดบท หากทว่าตอนที่เธอหันหลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูนั้น กลับต้องชะงักเมื่อถูกดึงตัวเข้าไปกอดจากด้านหลังอย่างฉับพลัน“นี่คุณจะทำอะไรเนี่ย”“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวลูกตื่น...พี่ขออยู่แบบนี้สักพักได้ไหม”อยากจะปฏิเสธออกไปเพราะกลัวใจตัวเองหวั่นไหว หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ให้ความร่วมมือ แถมยังกดปลายคางลงมาวางบนไหล่มนเบาๆ ให้เธอใจสั่นอีกไออุ่นจากกายแกร่งของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวหายใจติดขัด ตัวแข็งทื่อ ยามที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขา“พี่เจ...” เจษภัทรเผลอยิ้มละมุนกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกเหมือนในวันวาน ไม่ใช่เรียกแต่คุณฉันอย่างห่างเหิน“ที่ผ่านมาพี่ใจร้ายกับเธอมากเลยใช่ไหม”ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบที่ข้างแก้มของเธอบ่งบอกถึงความรู้สึกภายในใจของเขา“เรื่องมันผ่านมาแล้ว อย่ารื้อฟื้นเลยนะคะ เราควรอยู่กับปัจจุบันแล้วเดินไปข้างหน้าดีกว่า” เจษภัทรระบายลมหายใจออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ“แล้วถ้าพี่ทำไม่ได้ล่ะ เธอจะว่ายังไง...”“คำถามนั้นคุณควรถามใจตัวเองดีกว่านะคะว่าควรทำยังไง...” ยังไม่ทันเอ่ยจบ หญิงสาวก็พลันสะดุ้งวาบเมื่อรู้สึกถึงความอุ