เตชิตาหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกลับก้มลงจูบซับที่ศีรษะหอมๆ ของเจ้าตัวเล็กอย่างมันเขี้ยว
“นิ่งแล้วลูก แม่แตมไม่ร้องแล้วเห็นไหมครับ”
“เย้ๆ แม่แตมเก่งมาก มาจูจุ๊บกันก่อน” ว่าพลางทำปากจู๋น่ารัก จนคนเป็นแม่ใจบางรีบยื่นแก้มให้ลูกรักจูบ
เจ้าตัวน่ารักปรบมือ หัวเราะโชว์ฟันซี่เล็กๆ ดวงตากลมโตยิบหยีชวนให้คิดถึงใครบางคนที่เธอไม่ได้พบมานานหลายปี
คิดถึงเขาเหลือเกิน...
หญิงสาวกอดร่างอวบของลูกชายตัวน้อยไว้ เด็กชาย เตชินท์ คือเจ้าลูกชิ้นน้อยๆ ของแม่ คือสิ่งเดียวที่แทนตัวคนไกล แม้เขาจะไม่รู้ว่ามีหนึ่งชีวิตเล็กๆ ที่เขาสร้างขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ แต่สำหรับเธอ ลูกชายคือเงาความรักที่เธอมีต่อเขาผู้นั้น
รัก...แม้จะถูกใครต่อใครตราหน้าว่าไม่รักดีก็ช่างหัวมัน แต่สิ่งที่สำคัญคือคนในครอบครัวของเธอเข้าใจกัน และไม่ทอดทิ้งให้เธอต้องสู้อยู่คนเดียว
“ไง...เจ้าลูกชิ้นเด้ง อ้อนอะไรแม่แตมแต่เช้า หืม...”
คนที่โผล่หน้ามาตรงประตูล้อสองแม่ลูก
“ป้าตาล!”
ตารกา หรือป้าตาลของหลานชาย ยิ้มหวานก่อนอ้าแขนรับเจ้าตัวกลมป้อมที่ตะเกียกตะกายลงจากเตียงถลาไปหา ตั้งแต่เดินคล่อง เจ้าตัวดีก็เดินให้จับทั้งวัน แต่คนทั้งบ้านก็ไม่มีใครบ่นให้ได้ยินสักแอะ โดยเฉพาะตากับยายที่ออกกำลังกายด้วยการตามเล่นไล่จับหลานรักทุกวัน
“ไหน เช้านี้มอนิ่งคิสป้าตาลยัง” คนพูดเอียงแก้มรับริมฝีปากแดงสดที่จูบแก้มเธอฟอดใหญ่ ก่อนที่จะจูบคืนที่แก้มยุ้ยๆ ทั้งสองข้างของแกอย่างมันเขี้ยว
“แหม พอป้าตาลมาก็ทิ้งแม่แตมเลยนะเจ้าแสบ”
เตชิตาแกล้งว่า หัวใจเต็มตื้นที่เห็นพี่สาวคนเดียวรักลูกชายของเธอมากขนาดนี้
“ทำไม แม่แตมอิชชี่ป้าตาลหรือไงจ๊ะ แล้วนี่ทำไมยังไม่ลุกแต่งตัวอีก วันนี้ไม่ไปทำงานหรือไง”
“เข้างานเก้าโมง นี่เพิ่งหกโมงเองน่าเจ้ ช่วยป๊ากับม้าเปิดร้านเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวก่อนก็ทันเหลือเฟือน่า”
“ป้าตาลๆ แม่แตมขี้แยอีกแย้ว...” เจ้าลูกชิ้นเด้งป้องปากทำหน้าทะเล้นกระซิบฟ้อง ทำให้คนฟังชะงักไปนิดๆ ตามองที่ใบหน้าใสๆ ของน้องสาวก็พบคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลือ สายตาที่มองคนตรงหน้าจึงอ่อนแสงลงอย่างเข้าใจ
“แล้วแม่แตมขี้แยเหมือนใครน้า...” พอถึงเรื่องของตัวเอง เด็กน้อยก็ยิ้มเขินๆ
“ไม่เหมือน ยูกชิ้นไม่ขี้แย ตาตาบอกว่ายูกชิ้นเป็นคนเก่ง ยูกผู้ชายไม่ย้องไห้” สองพี่น้องฟังแล้วส่ายหน้าขำๆ ความสปอยล์หลานของตาตา
นี่ถ้าไม่บอกว่านายวีระเคยเอามีดปังตอจี้คอหอยตัวเอง เพราะวีรกรรมงามหน้าของลูกสาวคนเล็กในวันนั้นก็คงไม่อยากเชื่อว่าเขาจะหลงหลานไม่มีพ่อได้
เตชินท์คือศูนย์รวมความรักของคนในบ้านตั้งแต่เกิดมา แม้จะเสียใจและผิดหวังที่ลูกสาวผู้เป็นความหวังต้องท้องไม่มีพ่อ แต่เมื่อตั้งหลักได้ นายวีระก็ไม่เคยตำหนิใดๆ หรือถามหาคำตอบให้ลูกสาวต้องเสียใจอีก
‘คิดเสียว่าอะไรที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอก็แค่ยอมรับมัน’
เตชิตารู้ดีว่ามันทำใจลำบากไม่น้อยเลยสำหรับคนที่รักศักดิ์ศรีอย่างพ่อที่ต้องตากหน้ารับเสียงนกเสียงกาที่คอยซุบซิบนินทา และหากได้ยินใครก็ตามมาพูดไม่ดี หรือตำหนิลูกหลานให้ได้ยิน เขาก็พร้อมกางปีกปกป้อง เช่นเดียวกับนางตวงพรผู้เป็นภรรยาที่เข้มแข็งเป็นหลักให้ลูกหลานได้ยึดเหนี่ยว
แต่สิ่งที่ช่วยทำให้ทุกอย่างในบ้านดีขึ้นก็คือเด็กชายหน้าเป็นที่คลอดออกมาเพื่อเป็นขวัญใจของคนทั้งบ้าน
“เจ้าลูกชิ้นคนเก่งของตาตาตื่นหรือยังน้า...”
สองสาวหันไปสบตากัน ก่อนอมยิ้มให้กันเมื่อได้ยินเสียงบิดาสุดที่รักทำเสียงสองกับหลานชายคนโปรด
“ตื่นแย้วคร้าบ ยูกชิ้นตื่นแย้ว”
“ตกกระป๋องตามเคยเราสองคน ทั้งพ่อทั้งหลาน” ตารกาเอ่ยยิ้มๆ
“ไปล้างหน้าล้างตากันเจ้าลูกชิ้นเด้ง แล้วค่อยไปหาตาตากับยายตวงกันเนอะลูกเนอะ เธอก็รีบลุกได้แล้วยัยแตม เดี๋ยวไปทำงานสาย วันนี้พี่มีสอนช่วงเช้าพอดี จะได้ไปส่งหลานแล้วเลยไปส่งเธอที่บริษัทด้วยพร้อมกันเลย”
“ขอบคุณนะเจ้ตาล”
“อืม...ไปครับคนเก่งของป้าตาล”
ดวงตาคู่สวยมองตามสองป้าหลานที่เดินออกไป ก่อนฉายรอยหมองหม่น
เกือบ 5 ปีแล้วที่เธอไม่ได้เคยได้พบเขาคนนั้น นานเท่าอายุลูกชายสุดที่รัก แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เคยลืมเขาได้ ยิ่งเห็นใบหน้าลูกน้อยที่มีเค้าโครงคมคายมีเค้าว่าจะรูปหล่อเหมือนเขาผู้นั้นด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้เจ้าหัวใจไม่รักดีของเธอเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาอีก
เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาบ้างไหมนะ...
บ้านของเตชิตาเป็นตึกแถวตั้งอยู่ใจกลางตลาดในชุมชนหน้าวัดแห่งหนึ่งแถบชานเมือง นายวีระเป็นคนทำอาหารเก่งโดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยว เขาและภรรยาจึงเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวหมูเด้งสูตรต้นตำรับที่ใครได้ชิมเป็นต้องติดใจและบอกกันไปปากต่อปาก ทุกวันจึงมีคนมารอต่อคิวกันซื้อก๋วยเตี๋ยวแต่เช้า ไม่กี่ชั่วโมงก็ขายหมด
เดิมทีนางตวงพรและลูกสาวทั้งสองคือหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่คอยช่วยหัวหน้าครอบครัวในร้านก๋วยเตี๋ยว จนกระทั่งมีลูกค้ามากขึ้นสองสามีภรรยาจึงตัดสินใจหาลูกจ้างมาช่วยงานในร้าน
แต่เมื่อสามปีก่อนตารกาสอบบรรจุครูประถมที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งได้ ก็เหลือเพียงเตชิตาที่ตอนนั้นกำลังตั้งครรภ์จึงดรอปเรียนไว้ แล้วมาคอยช่วยบิดามารดาทำงานจนกระทั่งคลอดแต่ต่อมาเธอก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยทั้งๆ ที่มีเกณฑ์การเรียนที่อยู่ในระดับดี แต่เพื่อทุ่นค่าเทอมค่าใช้จ่ายในบ้านรวมถึงค่าใช่จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะเจ้าตัวน้อย หญิงสาวจึงตัดสินใจสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิด เพื่อเอาเวลามาดูแลลูกชายและยังได้ช่วยพ่อแม่แบ่งเบาภาระทำงานที่ ‘ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเด้งเฮียวี’ หญิงสาวกัดฟันเรียนไป เลี้ยงลูกไปจนจบเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ก็ยังช่วยงานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่จนเด็กชายเตชินท์อายุครบเกณฑ์เข้าเรียนอนุบาลเมื่อไม่กี่เดือนก่อนแต่พอมานั่งคิดคำนวนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ลำพังเงินที่ได้มาจากการทำงานในร้านและงานกระจุกกระจิกของตัวเองเริ่มไม่พอ ไหนจะต้องเตรียมเก็บเงินไว้ให้ลูกในอนาคต ทำให้เตชิตาต้องมองหาลู่ทางหารายได้เพิ่ม โดยเธอไปยื่นใบสมัครงานไว้หลายแห่ง แต่งานสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ แม้ว่าผลการเรียนของเธอจะจบด้วยเกรดที่ดี ทว่ามันก็ไม่เพียงพอให้บริษัทอยากจ้างเด็กจบใหม่ที่มีสถานะม
“เย้ๆ กินติมๆ ยูกชิ้นไม่ดื้อไม่ซน แม่แตมต้องพายูกชิ้นไปกินติมกันนะครับ พาป้าตาลกับตาตาแล้วก็ยายตวงไปด้วย ไปให้หมดเลย” เด็กชายปรบมือชอบใจ ก่อนรีบไหว้แม่และป้าที่มองคนตัวเล็กที่เดินเข้าโรงเรียนไปพร้อมเพื่อนร่วมชั้นที่มายืนกวักมือเรียกหยอยๆ จนลับสายตาพอส่งหลานชายเสร็จสองพี่น้องก็ได้โอกาสอยู่ตามลำพังในรถ ตารกาชำเลืองมองหน้าซีดเซียวของน้องสาว“คิดอะไรอยู่เหรอ อย่าบอกนะว่ายังคิดมากเรื่องที่ยัยป้านั่นพูดเมื่อเช้า”“เปล่าหรอกค่ะ ปากคนเขาก็พูดไปเรื่อย แตมไม่สนใจหรอก”“นั่นสิ เจ้าลูกชิ้นของฉันหน้าตาดีจะตาย ยัยป้านั่นต่างหากปากไม่ดี สมควรโดนป๊าด่า”“จริงๆ จะว่าเขาก็ไม่ได้นะคะเจ้ตาล” เตชิตาหยุดพูดเพียงแค่นั้น เพราะคิดถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อเช้าไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินแบบนั้นอันที่จริงมันปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายิ่งโต เค้าโครงหน้าตาของลูกชายเธอก็เริ่มมีเค้าผู้เป็นพ่อเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งเธอก็รู้สึกกลัวว่าอาจมีใครสังเกตและพูดให้เข้าหูเด็กน้อยให้สงสัยได้ว่าตัวเองหน้าเหมือนใคร ทำไมไม่เหมือนทางฝั่งแม่“อย่าคิดมากเลยนะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราอยู่กับปัจจุบันดีกว่า”“ขอบคุณนะเจ้”“พอเลย อย่ามาอ้อนฉันเหม
ใบหน้าและรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนนั่นยังคงเหมือนที่เธอเคยเห็นในวันนั้นไม่เปลี่ยน แต่เขาไม่ใช่คนเดิมที่เธอเคยรู้จักอีกต่อไปไม่ใช่...พี่เจที่เธอเคยรู้จัก แต่วันนี้เขาคือ คุณเจษภัทร เจ้านายคนใหม่ของเธอเสียแล้ว แถมที่สำคัญคือหัวใจของเราก็มีคนเข้าไปจับจอง ไม่ว่าวันนั้นหรือวันนี้ พื้นที่ในหัวใจเขาก็ไม่ใช่ของเธอ มันไม่เคยเป็นของเธอ...“ผมขอฝากตัวกับพวกเราทุกคนด้วยนะครับ หากมีอะไรที่ต้องการเสนอแนะ หรือปรึกษาเรื่องงานก็บอกกันได้เลยนะครับ เพราะตอนนี้เราคือทีมเดียวกันแล้ว”นอกจากหน้าตาที่มีเสน่ห์แล้ว บุคลิกนิสัยใจคอของดอสคนใหม่ก็ดูจะเฟรนด์ลี่ผูกใจผู้ร่วมงานทั้งแผนกได้ไม่ยากเลย“ใกล้ได้เวลาเข้าประชุมกับหัวหน้าแผนกแล้วค่ะดอส นี่เป็นเอกสารที่ต้องใช้เข้าประชุม ยังพอมีเวลาอ่านอีกนิดหน่อยนะคะ”“ขอบคุณครับคุณรุ้ง” ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนนึกได้ “อ้อ! จริงสิ...หลังประชุมเสร็จผมอยากได้รายงานการขายย้อนหลังของสามไตรมาสล่าสุดรวมถึงแผนงานต่างๆ ในปีนี้ด้วยนะครับ แล้วก็ช่วงบ่ายสองฝากคุณรุ้งช่วยนัดประชุมทีมกับทุกคนในแผนกเรา ทุกคนเลยนะครับ รบกวนคุณช่วยจองห้องประชุมให้ด้วย”“ได้ค่ะ เดี๋ยวรุ้งจัดการให้ ส่วนเอกสารต่างๆ เดี๋ย
“เชิญครับ”เตชิตาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนดันประตูเข้าไปในห้องทำงาน ตั้งแต่เริ่มทำงานมา เธอได้เข้ามาในห้องนี้แทบนับครั้งได้ แต่เพราะรุ้งลาวัณย์ยังไม่กลับมา จะให้เขารอก็ใช่ที่“กาแฟของคุณค่ะ”“วางไว้ตรงนั้นก่อน” เจ้าของห้องเอ่ยโดยที่ไม่ได้เงยหน้าจากหน้าจอแทปเลต ทำให้เธอมีโอกาสลอบพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้าวันนี้เขาดูดีและภูมิฐานแปลกตาไปจากวันวานที่เธอเคยพบ ผิวคร้ามดูขาวขึ้นคงเพราะไปเรียนเมืองนอกมาหลายปี ใบหน้าคมคายเฉกเช่นบุรุษแท้ รับกับคิ้วเข้มดก และดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เรียวยาว ที่เวลาจ้องมองมานิ่งๆ ก็ทำให้ใจเธอสั่นไหวได้ทุกครั้งดูเหมือนคนถูกลอบมองจะรู้สึกตัวจึงเงยหน้าจากแทปเลตจ้องมองกลับมา พร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน“คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”“อะ...ปะเปล่าค่ะ ไม่มีอะไร งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” คนถูกจับได้ว่าแอบมองเป็นฝ่ายตกประหม่าทำอะไรไม่ถูกเสียเอง“เดี๋ยวก่อนครับ”“คะ” เตชิตาหันขวับ พอเห็นสายตาที่มองมา หัวใจเจ้ากรรมก็พลันเต้นโครมครามด้วยความหวัง“ขอบคุณสำหรับกาแฟนะครับ”หัวใจไม่รักดีปลิวตกไปที่พื้นอีกหนพร้อมกับความหวังที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะจำกันได้ หรือทักทายกันเหมือนคนที่เคยรู้จัก ไม่ใ
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่เคยรักเธอเลย ไม่เคยมองเป็นอย่างอื่นนอกจากลูกสาวเพื่อนพ่อที่อยู่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้าม เห็นกันมานานปี ตอนนั้นบ้านเจษภัทรเปิดเป็นอู่ซ่อมรถ เขาในฐานะลูกชายคนเดียวจึงต้องคอยเป็นลูกมือช่วยกิจการพ่อมาตลอดครั้งหนึ่งที่เธอเคยปั่นรถจักรยานกลับจากโรงเรียนและเหยียบตะปูจนยางแบนกลางทาง ก็ได้เขาที่ผ่านมาเห็นเลยช่วยจูงรถมาช่วยเปลี่ยนยางให้ที่ร้านโดยไม่คิดเงิน ตั้งแต่นั้นเตชิตาซึ่งกำลังอยู่ในวัยแรกสาวก็เกิดรู้สึกดีๆ กับพี่ชายข้างบ้านจนความรักเริ่มก่อตัวในหัวใจหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเธอก็คอยหาเหตุทำยางรถจักรยานตัวเองแบนเป็นประจำ เพื่อจะได้เอามันไปให้เขาช่วยซ่อมที่ร้าน แล้วแอบเฝ้ามองเขาตามประสาคนแอบรัก หรือแม้กระทั่งวันไหนที่เขามาสั่งก๋วยเตี๋ยวที่ร้านพ่อเธอให้ไปส่งที่อู่ ต่อให้มีงานล้นมือแค่ไหนเตชิตาก็จะคอยอาสาเป็นคนไปส่งให้เขาที่บ้านเองจนกระทั่งพลอยสนิทกับครอบครัวของอีกฝ่ายและสามารถเข้านอกออกในบ้านเขาได้โดยไม่มีใครสงสัย เพราะคิดว่าทั้งสองคบหาเป็นเพื่อนพี่น้องกันเหมือนที่พ่อของทั้งสองเองก็เป็นเกลอกันมานานหรือแม้แต่ตอนที่เจษภัทรเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็เป็นคนที่รู้ควา
เสียงหวานครางแผ่วระโหยหวังจะเรียกสติ แต่คนที่เมาทั้งเหล้าเมาทั้งรักหรือจะฟัง มือของเขาเคล้นคลึงดอกบัวตูมที่ชูช่ออย่างเมามัน ก่อนที่ริมฝีปากชุ่มชื้นจะครอบครองปลายยอดทรวงและดูดดื่มความหวานจนเธอผวาไปทั้งร่าง สมองขาวโพลนจนเผลอตัวแอ่นกายป้อนให้เขาชิมหูแว่วได้ยินเสียงห้าวครางกระเส่าอย่างพอใจ หัวใจไม่รักดีก็เต้นรัวแรงไม่ยั้ง‘วินนี่ สวยมาก สวยทั้งตัวเลย’ เตชิตากัดริมฝีปากแน่น อารมณ์รัญจวนเกือบหายเมื่อได้ยินชื่อหญิงอื่นจากปากเขา‘พี่เจ! นี่แตมค่ะ ไม่ใช่พี่วินนี่ แตมเอง อ๊ะ! อื้ม...”หญิงสาวเอ่ยไม่ทันจบก็ต้องผวาสะดุ้ง เมื่อมือใหญ่เคลื่อนต่ำลงไปที่จุดศูนย์กลางร่างสาว ก่อนที่จะกรีดกลีบกายอันบอบบางจากกันเพื่อสำรวจความพร้อม และเขาก็คลี่ยิ้ม ดวงตาฉ่ำเยิ้มมีเสน่ห์ทอประกายวาวอย่างพอใจ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายพรักพร้อมสำหรับเขาแล้ว‘พี่เจ...อย่า!” เตชิตากรีดร้องเบาๆ เมื่อถูกปลายนิ้วเรียวยาวสะกิดเบาๆ ที่เกสรสาวสะพรั่ง จนเธอสั่นสะท้านไปทั้งกาย เพราะเขาคลึงขยี้มันจนน้ำหวานในกายซึมออกมาล้นปรี่ เจษภัทรยิ้มร่าเมื่อเห็นภาพอันแสนรัญจวนตรงหน้า เขาไม่รอช้าหรือหยุดคิดที่จะลิ้มลองมันด้วยริมฝีปาก‘อร้ายยยย...’ เสียงหวาน
เสียงครวญครางหวานหูเคล้าเสียงหอบกระเส่าของสองหนุ่มสาวบ่งบอกถึงความหวานซ่านรัญจวนที่มอบให้แก่กันอย่างเร่าร้อนถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนกระทั่งหญิงสาวใกล้จะคว้าดวงดาวมาไว้ในมือ‘พี่เจ...แตมไม่ไหวแล้ว อ๊ะ...’ เตชิตากัดฟันบอก เธอรู้สึกดีระคนทรมานไปพร้อมกัน‘ไปพร้อมกันนะที่รัก’คำว่าที่รักของเขาช่างหวานหูเหลือเกิน หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนที่จะยกสะโพกขึ้นรับการบดขยี้อย่างดุดันปนเร่าร้อนของเขาอย่างเต็มใจจนร่างกายเธอกระตุกถี่ๆ เมื่อทุกอย่างระเบิดพร่างพราวจนเกิดแรงสั่นสะเทือนไปถึงดวงดาวเตชิตากอดร่างของเขาไว้ รู้สึกอุ่นวาบในท้องน้อยเมื่ออีกฝ่ายปลดปล่อยธารลาวาสวาทสาดเข้าใส่จนหยาดหยดสุดท้าย และซบใบหน้าลงที่ทรวงอกเธอ‘พี่รักเธอนะวินนี่ รักมากที่สุด...’อารมณ์วาบหวามรัญจวนของหญิงสาวแทบมอดมลายเมื่อได้ยินคำนั้นจากปากเขา น้ำตาอุ่นร้อนไหลรินอาบแก้ม อยากจะผลักร่างหนาหนักออกไปให้พ้น แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง จำต้องยอมให้เขาฝากตัวตนไว้ภายในตัวเธออยู่อย่างนั้นเธอรักเขา...แต่เขากลับบอกรักคนอื่นทั้งๆ ที่มีนอนกอดเธอแน่น เจ็บปวดใจเหลือเกิน...คืนนั้นแม้จะถูกปรนเปรอจนบรรลุความสุขซ่านแห่งปรารถนา แต่เตชิตากลับต้องหลับไปทั
คำขอโทษจากเขาคือคำตอบสุดท้ายที่ทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอจนแตกสลายลงในวินาทีนั้น ความสาวก็เสียไปแล้ว ส่วนคนที่รักสุดหัวใจก็ไม่อาจรักเธอได้เพราะหัวใจเขามีใครอีกคนเธอควรทำยังไง ดันทุรังต่อไป หรือควรถอยดี...‘งั้นก็ช่างมันเถอะค่ะ พี่ลืมทุกอย่างให้หมด เราจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน แบบนี้ดีไหม’ทุกคำที่ออกจากปากเธอมันช่างยากเย็นราวกับถูกใบมีดคมกรีดหัวใจขาดเป็นริ้วๆ เสี้ยวความหวังน้อยนิดที่อยากได้ยินเขาแย้งขึ้นว่าเขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของเธอได้ในฐานะสุภาพบุรุษที่กล้าทำกล้ารับผิดชอบแต่ทว่า...ชายหนุ่มกลับนิ่งเงียบ มีเพียงสายตาที่ฉายความรู้สึกสับสนในใจระหว่างความรู้สึกผิดชอบชั่วดี กับหัวใจที่มอบความรักให้ผู้หญิงคนอื่นไปแล้วทั้งดวง‘เธอไม่ได้แค่ประชดพี่หรอกใช่ไหม’‘เปล่าค่ะ แตมพูดจริง’เตชิตาในวันนั้นช่างอ่อนหัดและโลกสวยเกินไป เธอคิดเพียงว่าเวลาอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น บางทีเขาและเธออาจกลับมารู้สึกดังเดิมได้ หรือไม่ชายหนุ่มอาจจะมีใจเอนเอียงมาให้เธอสักนิดเมื่อคิดถึงสิ่งที่เธอมอบให้เขาทั้งตัวและใจ เหมือนในนิยายแสนโรแมนติกหลายเรื่องที่เคยอ่านว่าหากนางเอกมอบความสาวบริสุทธิ์ของตนให้พระเอกไป
“พ่อเจ...” ราวกับหัวใจที่แห้งแล้งได้น้ำชโลม เจษภัทรรู้สึกอุ่นวาบในอก หัวใจพองโต ก่อนอ้าแขนโอบร่างเล็กเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน“ครับคนเก่ง พ่อเจพ่อของลูกชิ้น พ่อขอโทษนะที่ทำงานเสร็จช้า แต่ต่อไปนี้พ่อสัญญาว่าจะไม่ทิ้งลูกกับแม่แตมไปไหนอีกแล้ว พ่อรักลูกนะครับ”เตชิตามองภาพนั้นอย่างตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดลูกของเธอก็ได้มีพ่อกับเขาเสียที“จริงๆ นะครับ พ่อเจห้ามโกหกนะ”“ไม่โกหกครับ”“เย้! ลูกชิ้นมีพ่อแล้ว ลูกชิ้นรักพ่อเจที่สุดเลย”“เดี๋ยวนะ แล้วแม่ล่ะครับ” หญิงสาวแกล้งแหย่ลูกชายตัวแสบ“ลูกชิ้นรักทั้งพ่อเจ รักทั้งแม่แตม รักมากที่สุดในโลกเลยครับ” เด็กน้อยยิ้มแป้น พลางยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่อและแม่อย่างมีความสุขสองปีต่อมา...ร้านก๋วยเตี๋ยวโกวีในวันหยุดมีลูกค้าคึกคักกว่าปกติ เจ้าของร้านแม้จะอายุเกือบหกสิบปีในอีกไม่กี่วัน แต่ดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แต่ที่ทำให้ขายดีเป็นพิเศษนั้นอาจเป็นเพราะวันนี้มีเด็กเสิร์ฟกิตติมศักดิ์มาช่วยงานก็เป็นได้“หมี่เหลืองแห้งโต๊ะสี่ได้แล้ว” พอขาดคำ ร่างสูงใหญ่ของเด็กเสิร์ฟที่ว่าก็เข้ามารับชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อไปเสิร์ฟให้ลูกค้าสาวใหญ่ที่นั่งส่งตาหวานให้วิ้งๆ“ดูสามีเธอสิยัย
“ตาภาส”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรหันไปมองตาม พลางคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้พบอดีตศัตรูหัวใจ“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ผมมารับวินนี่ไปทานข้าวครับ” คนพูดหันไปสบตาแขกที่นั่งอยู่ พลางพยักหน้าให้นิดๆ “ไม่พบกันนานนะคุณเจ สบายดีเหรอ”“ครับ” เจษภัทรรับคำ น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่ได้รู้สึกอะไรที่เห็นอีกฝ่าย กลับรู้สึกเหมือนโล่งราวยกหินออกอก“ใครไปตามยัยวินนี่มาที บอกว่าพี่ภาสมารับแล้ว” คุณวิมาดากระวีกระวาดต้อนรับแขกผู้มาใหม่ราวกับต้องการให้เห็นว่าเธอไม่ได้แยแสอดีตคนรักของลูกสาวแม้แต่น้อยรอเพียงไม่นานวินรดาก็เดินลงมา หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้ภาสกร แต่พอเห็นหันมาเห็นใครอีกคน ยิ้มหวานก็ลบเลือนหาย เหลือเพียงความเย็นชา“คุณมาที่นี่ทำไมอีก”“พี่มาขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ดูท่าคงไม่จำเป็นแล้ว” เจษภัทรยกยิ้ม น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรยามได้เห็นวินรดาเดินไปควงแขนชายหนุ่มอีกคนแสดงความสนิทสนมอย่างออกนอกหน้าผิดกับวินรดาที่หวังจะได้เห็นสีหน้าของผู้พ่ายแพ้เหมือนครั้งอดีตที่เธอเคยบอกเลิกกับเขาเพื่อคบกับภาสกร แต่ทว่าก็ต้องแอบผิดหวังและขัดใจนิดๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าผิดหวังเสียใจอย่างที่เธอต้องการเห็น ต
นายวีระหายใจฮึดฮัด ร่ำๆ อยากจะเอาเลือดหัวอีกฝ่ายออกให้สมอยาก ยิ่งเห็นลูกสาวสุดที่รักเข้าไปประคองและช่วยซับเลือดให้อีกฝ่าย ก็ยิ่งขัดตาขัดใจ“ยัยตาล พาน้องขึ้นห้องไปก่อน”“พ่อคะ...”เตชิตาร้องเรียกอย่างกลัวใจ ตาแลไปทางชายหนุ่มที่นั่งนิ่งยอมรับความผิด สภาพเขาตอนนี้อาจแค่ปากแตกสะบักสะบอม แต่หากเธอยอมขึ้นห้องไปตามที่พ่อสั่ง ไม่แน่ว่าตอนลงมาอาจพบเขานอนเป็นศพแล้วก็ได้“ถ้าพ่อจะลงโทษพี่เจ งั้นก็ลงโทษแตมด้วยอีกคนเถอะค่ะ หากเรื่องนี้จะมีใครผิด เราสองคนก็คงผิดเท่าๆ กัน หรือไม่แตมก็ผิดมากกว่า”เจษภัทรหันขวับไปมองหญิงสาวที่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างกายเขาด้วยสายตาห่วงใย“แตม อย่าทำแบบนี้”“พี่เจไม่เคยรู้ว่าแตมท้อง ตอนเกิดเรื่องเขาเคยขอรับผิดชอบแล้ว แต่เป็นหนูที่ปฏิเสธเขา”“แล้วทำไมตอนนั้นลูกไม่บอกพ่อสักคำ”“แตม...” เจษภัทรกดสายตามองหญิงสาวพลางส่ายหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปสบตาพ่อของเธอ“เพราะตอนนั้นผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองครับ”ทุกคนมองสองหนุ่มสาว พลางหายใจไม่ทั่วท้อง เกรงว่าระเบิดจะลง“คนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองงั้นเหรอ” นายวีระทวนคำเสียงเยาะ “แล้วตอนนี้เกิดฉลาดขึ้นมาแล้วหรือไง”“เปล่าครับ แค่เพิ่งรู้ใจ
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องไอซียูก็เปิดออก พร้อมกับคุณหมอที่ออกมาแจ้งผลด้วยสีหน้าอิดโรย“คุณหมอคะ ลูกชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ” เตชิตาพุ่งไปเป็นคนแรก“เด็กปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่น้องได้เลือดจากคุณพ่อที่มีกรุ๊ปเดียวกัน ไม่งั้นคงแย่ เพราะเลือดกรุ๊ปนี้หายากเสียด้วย” ทุกคนพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แล้วตอนนี้พ่อของเด็กเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”“กำลังนอนพักอยู่ในห้องบริจาคเลือดข้างๆ กันครับ เพราะให้เลือดไปเยอะ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อีกเดี๋ยวก็คงฟื้น”“งั้นฉันขอเข้าไปดูได้ไหมคะ” คุณหมอพยักหน้าอนุญาต แต่ให้เข้าไปได้เพียงคนเดียวภาพคนตัวเล็กนอนเหยียดบนเตียงโดยมีสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยชีวิตระโยงระยาง ทำให้คนเป็นแม่ใจแทบสลาย สีหน้าลูกแม้ซีดเผือด แต่เตชิตารู้ว่าลูกรักปลอดภัยแล้ว แม้จะมีบาดแผลตามร่างกายให้เห็น หญิงสาวปาดน้ำตาตัวเองเงียบๆในนาทีแห่งชีวิตที่เกิดขึ้นทำให้เธอรับรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด“แตม...ลูกเป็นยังไงบ้าง...”เสียงนั้นอ่อนระโหย แต่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจที่สุด เตชิตาหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ในหัวใจมาตลอดนิ่งค้าง มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อถูกเขาดึงตัวเข้าไปกอดแนบอกเสียงห
คุณวิมาดาหันไปถามกับสามี แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเพราะไม่รู้เช่นกัน“ว่าไงนะ ใครถูกรถชน เด็กที่ไหน...”เสียงซุบซิบเริ่มลามมาทางแถวหน้าอย่างรวดเร็ว และกระเด็นเข้าหูเจ้าภาพบนเวที พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินแกมวิ่งไปที่ข้างเวทีด้านที่นายชิษณุนั่งพร้อมกระซิบบอก“มีลูกของแขกที่มางานถูกรถชนหน้าโรงแรมค่ะ”“ตายจริง ลูกของแขกคนไหนกัน” คุณวิมาดาที่ได้ยินพลอยตกใจ“เห็นว่าเป็นแขกของคุณชิษณุ เด็กคนนั้นชื่อลูกชิ้นค่ะ!”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรสะดุ้ง ใจหายวาบ“ว่าไงนะ เด็กชื่ออะไรนะ”“ชื่อน้องลูกชิ้นค่ะ”“ลูกชิ้น!”ร่างสูงใหญ่ผุดลุกพรวดพราดขึ้นทันทีจนหญิงสาวที่นั่งพับเพียบข้างๆ พลอยตกใจ หันมาขึงตาใส่“พี่เจจะทำอะไรคะ ใกล้ได้ฤกษ์แล้ว จะไปไหน” วินรดากัดฟันถาม ตามองแขกเหรื่อที่เริ่มมองมาทางเวทีเป็นตาเดียว“ตาเจ ลูกอยู่ทางนี้ก่อน เดี๋ยวพ่อไปดูให้เอง” นายชิษณุที่เห็นท่าไม่ดีรีบอาสา“ไม่ครับพ่อ ผมจะไปดูลูกเอง”“ลูก!” วินรดาเผลอตัวรีบคว้าแขนว่าที่คู่หมั้นหนุ่มไว้ “ลูกใครคะ”“ลูกชิ้น! ลูกชายของพี่!”วินรดาอ้าปากค้าง ส่วนคนบนเวทีพลอยตกอกตกใจกับประโยคนั้น คุณวิมาดาลมแทบใส่“ละ...ลูกชายพี่งั้นเหรอคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ทุกอย่างตอนนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณกำลังจะได้สมหวังกับผู้หญิงที่คุณรักมาตลอด ส่วนฉันก็พอใจกับชีวิตตอนนี้แล้ว เราต่างก็มีทางเดินของตัวเอง งั้นอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายอีกเลยนะคะ ดึกแล้วคุณควรกลับไปพักผ่อน ส่วนฉันก็ควรต้องกลับเหมือนกัน”“แล้วพรุ่งนี้เธอจะไปที่งานหรือเปล่า” อะไรบางอย่างทำให้เขาหลุดปากถามออกไป“ฉันรับปากพี่วินนี่ไว้แล้วว่าจะไปค่ะ คุณเองก็อย่ากลับดึกนะคะ เดี๋ยวว่าที่คู่หมั้นจะเป็นห่วง ลา...อุ๊บ!” คำสุดท้ายถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับลงมาเสียก่อนจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายของเขาสะกดตรึงเธอไว้ ราวกับปลดชนวนระเบิดในหัวใจที่แสนอัดอั้น หากนี่คือจูบอำลา เธอก็ขอเห็นแก่ตัวทำตามที่หัวใจไม่รักดีต้องการเป็นครั้งสุดท้ายบ้างเจษภัทรเลิกคิ้ว เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มละมุนที่ตอบกลับมา ความรู้สึกหวานที่คละเคล้าความเศร้าอวลในรสจูบนี้ จนนึกอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มตัดใจถอนริมฝีปากออกเมื่อรับรู้ถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่รินอาบแก้มของอีกฝ่าย“แตม...พี่...”“ครั้งก่อนพี่ทิ้งกันไปโดยไม่ได้บอกลา งั้นครั้งนี้แตมขอเป็นฝ่ายบอกพี่เอง...ลาก่อนนะคะพี่เจ
พอคล้อยหลังผู้เป็นมารดา หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกพลางนึกสงสัยตัวเองคร้ามครัน นี่เธอกำลังคิดผิดอย่างที่มารดาบอกหรือเปล่านะที่เลือกเจษภัทรแทนที่จะเลือกผู้ชายอีกคนที่ระยะนี้กลับเข้ามาวนเวียนในชีวิตอีกครั้ง หลังจากเลิกรากันไปตั้งแต่สมัยเรียน เพราะต่างคนต่างงี่เง่าเอาแต่ใจเป็นที่ตั้งเพื่อกลบความรู้สึกไม่มั่นคงในหัวใจ วินรดาจึงคว้าโทรศัพท์มาลองกดโทรออกหาว่าที่คู่หมั้นอีกครั้ง หากทว่าก็เหมือนเดิมที่เขาไม่รับสายจึงกดวางอีกครั้ง แต่พอกำลังคิดจะถอดใจ จู่ๆ สัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อนหญิงสาวมองชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ตาวาว รอให้มันดังอีกสองสามครั้งจึงยอมกดรับสาย“ว่าไงคะพี่ภาส”“ทำไมทำเสียงหงุดหงิดจัง มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”“ก็นิดหน่อยค่ะ พี่ภาสมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ วินนี่ยุ่งๆ อยู่ ถ้าไม่มี...”“พี่คิดถึงวินนี่ พอดีพี่แวะมาร้านประจำที่เราเคยมาด้วยกันสมัยเรียน ถ้าเธอไม่มีนัดที่ไหน เราออกมาเจอกันหน่อยดีไหม”วินรดาคลี่ยิ้มอย่างลำพองใจ ความหงุดหงิดขุ่นมัวที่มีมาทั้งวันมลายหายไปทันที“ก็ได้ค่ะ แต่วินนี่อยู่ได้แป๊บเดียวนะคะ พี่ก็รู้ว่าวินนี่กำลังจะหมั้นแล้ว เดี๋ยวว่าที่คู่หมั้นจะเป็น
แล้วเธอก็คิดถูกจริงๆ“วินนี่ครับ พอดีพี่มีธุระด่วนเข้ามา จะเป็นไรไหมถ้าพี่ขอตัวกลับก่อน” สีหน้าเขารู้สึกผิด แต่ทว่าไม่ได้ทำให้หญิงสาวเห็นใจ ตรงข้ามเธอกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา“แต่วินนี่สั่งอาหารไปแล้ว นั่งทานให้เสร็จก่อนค่อยไปไม่ได้เหรอคะ”“ขอโทษจริงๆ นะวินนี่”“งั้นก็ตามใจเถอะค่ะ วินนี่ทานคนเดียวก็ได้” วินรดาประชดเสียงแข็ง คิดว่าอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดกลัวเธอโกรธ แล้วตามใจเธอเหมือนเช่นทุกครั้งที่ใช้ไม้นี้ แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่ได้ผล“งั้นเสร็จธุระแล้วพี่รีบโทรหานะ”ว่าแล้วชายหนุ่มก็ผละไปทันที“คนบ้า!”หญิงสาวทำหน้างอ อารมณ์เสียจนอยากจะลุกเดินออกจากร้านเสียเดี๋ยวนั้น แต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่ใจคิด ก็มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามาเสียก่อน ทำให้เธอยิ้มออกมาเพราะคิดว่าแฟนหนุ่มอาจเปลี่ยนใจกลับมาง้อเพราะกลัวเธอโกรธจึงรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา หากทว่าชื่อที่โชว์บนหน้าจอกลับทำให้รอยยิ้มของเธอจางลงเปลี่ยนเป็นความสงสัย“สวัสดีครับคนสวย” หญิงสาวค้อนใส่โทรศัพท์นิดๆ เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นหูนั่น“โทรมามีธุระอะไรคะ”“มีสิ พอดีพี่เห็นผู้หญิงหน้าคล้ายเธอนั่งในร้านอาหารคนเดียว ก็เลยลองโทรมาว่าใช่คนเดียวกันไ
“แตม...”“เอ่อ...ขึ้นมาข้างบนนานแล้ว เรารีบลงไปข้างล่างเสียทีดีไหมคะ” หญิงสาวรีบตัดบท หากทว่าตอนที่เธอหันหลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูนั้น กลับต้องชะงักเมื่อถูกดึงตัวเข้าไปกอดจากด้านหลังอย่างฉับพลัน“นี่คุณจะทำอะไรเนี่ย”“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวลูกตื่น...พี่ขออยู่แบบนี้สักพักได้ไหม”อยากจะปฏิเสธออกไปเพราะกลัวใจตัวเองหวั่นไหว หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ให้ความร่วมมือ แถมยังกดปลายคางลงมาวางบนไหล่มนเบาๆ ให้เธอใจสั่นอีกไออุ่นจากกายแกร่งของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวหายใจติดขัด ตัวแข็งทื่อ ยามที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขา“พี่เจ...” เจษภัทรเผลอยิ้มละมุนกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกเหมือนในวันวาน ไม่ใช่เรียกแต่คุณฉันอย่างห่างเหิน“ที่ผ่านมาพี่ใจร้ายกับเธอมากเลยใช่ไหม”ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบที่ข้างแก้มของเธอบ่งบอกถึงความรู้สึกภายในใจของเขา“เรื่องมันผ่านมาแล้ว อย่ารื้อฟื้นเลยนะคะ เราควรอยู่กับปัจจุบันแล้วเดินไปข้างหน้าดีกว่า” เจษภัทรระบายลมหายใจออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ“แล้วถ้าพี่ทำไม่ได้ล่ะ เธอจะว่ายังไง...”“คำถามนั้นคุณควรถามใจตัวเองดีกว่านะคะว่าควรทำยังไง...” ยังไม่ทันเอ่ยจบ หญิงสาวก็พลันสะดุ้งวาบเมื่อรู้สึกถึงความอุ