“ฉันไม่ได้อยู่กรุงเทพมาหลายปี ก็เลยอยากทำความรู้จักว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง จอดข้างหน้าเลยค่ะ ฉันจะลงตรงนี้”
สิ้นเสียงคนพูดภูวนนท์กลับเลี้ยวขึ้นถนนใหญ่ แทนที่จะจอดหน้าปากซอย ตามคำบอกของมินรญา เขาทำเหมือนไม่ได้ยินที่เธอพูดเลย
“คุณไม่ได้ยินที่ฉันบอกเหรอ ฉันบอกให้จอด จอด!! จอดเดี๋ยวนี้” ปากก็พูดมือก็หันไปจับแขนคนขับเขย่าด้วยความโมโห
“คุณจะโวยวายอะไรนักหนา และมาจับแขนผมแบบนี้ เดี๋ยวก็รถชนตายกันพอดี ผมไม่พาคุณไปทำอะไรหรอก ผมไม่ได้พิศวาสอะไรคุณนักหนา”
“แล้วคุณทำไมไม่จอด คุณต้องการอะไร” มินรญาถลึงตากลมโตเหมือนแขกใส่คู่สนทนาอย่างไม่เกรงกลัว
“คุณไม่ได้อยู่เมืองไทยมานาน ผมก็กลัวคุณจะไปทำเซ่อ ๆ ซ่า สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น แล้วพาลทำให้คุณพ่อของผมอายไปด้วย คุณจะไปไหน เดี๋ยวผมพาไป นั่งเงียบ ๆ ก็พอ”
“ไม่รู้” ตอบเพียงสั้นๆ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนและก็แสนจะหงุดหงิดกับคำพูดของคนนั่งข้างๆ ที่ประชดประชัน เหน็บแนม อยู่ตลอดเวลา
“ผมจะยอมสงบศึกกับคุณชั่วคราว เอาดี ๆ คุณอยากไปที่ไหน ผมว่าง เบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ แต่! ผมแค่ยอมสงบศึกนะ ไม่ใช่ว่าผมยอมรับคุณสองคนแม่ลูก อย่าเพิ่งดีใจไป ” ไม่วายที่จะพูดจาร้ายๆส่งท้าย
“คุณจะสงบศึกหรือคุณจะไม่ยอมรับฉันสองคนแม่ลูก มันก็เรื่องของคุณ เอาที่คุณสบายใจ เพราะฉันไม่เคยเก็บการกระทำของคุณมาใส่ใจ มันไร้สาระ...” ถึงจะไม่ได้อยู่เมืองไทยมานาน แต่ฝีปากของมินรญาก็ยังใช้ได้ ถึงแม้บางคำจะฟังสำเนียงแปลกๆก็ตาม
“ฉันอยากไปแหล่งที่มีผู้คนมากๆ มีร้านค้าเยอะๆ เพื่อฉันจะหางานอะไรทำใด้บ้าง” เธอไม่อยากบอกความจริงกับเขาว่าเธอกำลังหาทำเลเปิดสาขาใหม่ให้บิดา เพราะเขาดูถูกเธอแบบนี้ คงไม่เชื่อหรอกว่าครอบครัวของเธอมีกิจการเป็นของตัวเอง และเป็นกิจการที่ใหญ่เสียด้วย
“คุณจบอะไรมา งานสมัยนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆนะ อย่าคิดว่าแค่เขาเห็นหน้าตาสวยๆแล้วเขาจะรับคุณเข้าทำงาน ต้องมีสมองด้วย” ก่อนหน้านี้เพิ่งบอกว่าขอสงบศึกชั่วคราว แต่ยังไม่ทันไร เขาก็หยุดพูดจาประชดประชันเธอไม่ได้
“เฮ้อ....” มินรญา เหนื่อยและเบื่อที่จะต่อคำกับเขา ได้แต่ถอนหายใจยาว มือกอดอกและมองไปนอกหน้าตา ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรต่อ
วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ตามทองถนนเต็มไปด้วยรถ กว่าจะถึงห้างสรรพสินค้าที่ความจริงแล้วอยู่ใกล้บ้านของภูวนนท์เพียงไม่กี่กิโล แต่กลับใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะถึง มินรญามองชีวิตผู้คนในเมืองหลวงอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ละคนดูเร่งรีบ เดินกันสับสนวุ่นวายไปหมด บนถนนก็มีแต่รถติด พ่อค้าแม่ค้านั่งขายของกันบนทางเท้า เธอเห็นแล้วรู้สึกร้อนแทน เป็นภาพที่แตกต่างจากที่เธอจากมาจริง ๆ
“คุณเหนื่อยไหม ฉันมองดูผู้คน ฉันรู้สึกเหนื่อยแทน พวกเขาดูเร่งรีบ ดูเหนื่อย น้อยคนนัก ที่ฉันจะเห็นรอยยิ้ม” มินรญาตั้งใจว่าจะนั่งเงียบแต่ก็เผลอพูดออกไป เพราะรู้สึกไม่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตของคนที่นี่
“แถวนี้เป็นแหล่งเศรษฐกิจ ผู้คนก็จะมารวมกันอยู่ที่นี่ มีทั้งคนรวย ชนชั้นกลาง คนจน มีทุกอย่าง แต่..พวกเขาไม่ยิ้มก้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความสุขนะ เขาอาจจะแค่เหนื่อย และเก็บรอยยิ้มไว้ไปฝากคนที่รอเขาอยู่ที่บ้านก็ได้”
มินรญาละสายตาจากภาพข้างนอกหน้าต่างรถและหันมาสบตาคนที่กำลังขับรถอยู่ เธอไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าคำพูดเมื่อกี้จะออกจากปากของคนที่เอาแต่พูดจาประชดประชันเธอ
“นอกจากปากที่เสีย คุณก็ยังมีความคิดบางส่วนที่ดีอยู่เหมือนกันนะ” มินรญารู้สึกแบบที่เธอพูดจริง ๆ
“แล้วคุณจะพาฉันไปไหน”
“อีกนิดเดียวก็จะถึงห้างสรรพสินค้าข้างหน้า คุณอยากมาที่ ที่คนเยอะ ๆ ร้านค้าเยอะ ๆ ผมก็เลยพาที่ห้างที่นี่แหละ ”
ตึกสูงที่อยู่ด้านหน้า เป็นแหล่งจับจ่ายของชนชั้นกลางจนถึงร่ำรวย ราคาสินค้าที่ถูกวางขายในสถานที่นี้ ถ้าฐานะไม่ดี หรือเงินเดือนไม่มาก แทบจะไม่มีโอกาสได้ซื้อเลย ราคาสินค้าจึงเป็นตัวคัดผู้คนที่จะมาเดินจับจ่ายในห้างแห่งนี้
“ความจริงผมคิดว่าจะพาคุณไปเดินตลาดสด เพราะมีทั้งผู้คนและร้านค้ามากแบบที่คุณต้องการ แต่ก็กลัวสาวสวยจากเมืองนอกจะเป็นลมไปเสียก่อน พามาเดินห้างแอร์เย็นคงจะเหมาะกว่า”เขาคงยังประชดประชันไม่เลิก
“เอาที่คุณสบายใจค่ะ” มินรญาไม่อยากต่อปากต่อคำ เพราะคงไม่จบแน่ๆถ้าเธอหันไปลับฝีปากกับเขา
“ลงรถไปก็รอผมด้วยนะ ไม่ใช่รีบเดินไปไหน เดี๋ยวจะหลงจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกซะ” ชายหนุ่มพุดไปหัวเราะไป เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของมินรญาที่เปิดประตูรถทันที่ที่รถจอดสนิท “คนไม่เยอะเท่าไหร่นะคะ ถ้าเทียบกับด้านหน้าของที่นี่” มินรญารู้สึกว่าบรรยากาศต่างจากที่เธอคิดไว้ เมื่อบันไดเลื่อนพาเธอขึ้นมาชั้นหนึ่งของห้าง “ถึงที่นี่จะดูคึกคักน้อยกว่าด้าน แต่เงินสะพัดกว่าแน่นอน สินค้าที่นี่ราคาค่อนข้างสูง ผู้คนที่มาเดินซื้อสินค้าในนี้ ส่วนใหญ่ก็มีกำลังทรัพย์มาก ” คนที่เดินสวนไปสวนมา คงไม่คิดว่าหนุ่มสาวคู่นี้ จะเป็นคนที่ไม่ชอบขี้หน้ากันมาก่อน เพราะท่าทีที่พูดคุยดุสนิทสนมถูกคอกัน ของคนทั้งคู่ ดูเหมือนเป็นคู่รัก เป็นเพื่อนหรือเป็นพี่น้องกันเสียมากกว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะ ภูวนนท์” เสียงไพเราะแต่เหยือกเย็นที่แสนจะคุ้นหูภูวนนท์ยิ่งนัก ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน แต่คือเสียงของแม่อดีตคนรักของเขานั่นเอง “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้เพราะอย่างไร โฉมเฉลาก็เป็นผู้ใหญ่กว่า “สบายดีครับ” ภูวนนท์ตอบตามมารยาท “จะไม่แนะนำ
บทที่9นักแสดง “พี่ภูคะ ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย”พราวพลอยถามพี่ชายด้วยความสงสัย ที่ถือถุงกับข้าวมาทั้งสองมือ “อาหารร้านนี้อร่อย พี่ซื้อมาฝาก” ภูวนนท์คิดคำโกหกอย่างไม่ทันตั้งตัว “พราวนึกว่าพี่ภูจะซื้อมาเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านนะคะนี่ จะกินกันหมดไหม สงสัยต้องอร่อยมากๆแน่เลย เดี๋ยวพราวเอาไปจัดการในครัวก่อนนะคะ” มินรญาเดินยิ้มเยาะตามพราวพลอยเข้าไปในครัว ทิ้งให้คนเสียหน้ายืนกำมือแน่นอยุ่คนเดียว “ไปไหนกันมาคะ” คนถามแอบเห็นมินรญาเดินลงจากรถของพี่ชาย “ไปไหนคะ เอ่อ...เราไม่ได้ไปด้วยกันค่ะ” เมื่อถูกถามอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงตอบก็ฟังตะกุกตะกัน เหมือนพูดอยู่ในคอ “แต่พราวเห็นคุณมิ้นกลับมากับพี่ภูนะคะ คุณคงไม่เห็นพราว เพราะพราวมองมาจากหน้าต่างด้านบนค่ะ” “คุณภูเจอฉันกำลังเดินมาจาหน้าปากซอยเลยจอดรถแวะรับ เราไม่ได้ไปด้วยกันจริง ๆ ค่ะ” ถึงแม้จะรู้ว่ากำลังโดนไล่ต้อนให้พูดความจริง แต่เธอก็เลือกที่จะโกหกต่อดีกว่า เพราะไม่อยากให้ใครคิดว่าเธอกับภูวนนท์ไปไหนมาไหนด้วยกัน มินรญาไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับผู้ชายปากร้ายแบบนี้
“คุณภูวนนท์คุณไม่ต้องไปหรอกค่ะ ฉันกับแม่จะกินข้าวกันในครัว คุณสบายใจได้ กินข้าวให้อร่อยนะคะ” มินรญามองหน้าลูกชายของเจ้าของบ้านด้วยสายตาที่สุดจะทนกับการแสดงท่าทางรังเกลียดเธอและแม่อย่างออกนอกหน้า“มิ้นขอตัวนะคะ คุณลุง คุณพราว” พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้าเดินเข้าไปในครัวเช้าวันนี้กฤษฎาไปทำงานที่บริษัทพร้อมกับลูกชาย เพราะเขานัดมินตรานางเอกชื่อดังที่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโครงการหมู่บ้านจัดสรรโครงการใหม่ให้ นอกจากอยากจะให้ภูวนนท์ได้รู้จักในฐานะที่ต้องทำงานร่วมกัน เขายังหวังว่ามินตราจะทำให้ภูวนนท์หายเสียใจจากเรื่องของชิดจันทร์ เพราะนางเอกคนนนี้ มีความสวยและเสน่ห์ที่ชวนน่าหลงใหล ผู้ชายคนไหนเห็นก็คงต้องหลงรักแน่นอน“สวัสดีค่ะคุณกฤษฎา สวัสดีค่ะคุณภูวนนท์” เสียงนุ่มหวานของมินตราทำเอาภูวนนท์ต้องเงยหน้าจากการตั้งหน้าตั้งตาเซ็นเอกสาร จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่สนใจพรีเซ็นเตอร์คนที่พอหามา แต่ความสวยของเธอทำเอาเขาถึงกับมองเธอไม่กระพริบตา“สวัสดีครับคุณมินตรา” กฤษฎากล่าวทักทายและเชิญนางเอกสาวให้นั่งลงโซฟาใกล้ๆกับภูวนนท์“ผิงขออนุญาตเรียกว่าคุณอานะคะ คุณอาก็เรียกผิงเฉยๆ ก็ได้ค่ะ เรียกชื่อจริง ผิงว่ามันให้ความ
บทที่10ชุดซีทรูกับหนุ่มขี้เมา“เหมเดี๋ยวนี้ไม่มาดื่มที่บ้านเป็นเพื่อนกันเลยนะ” ภูวนนท์ส่งเสียงตามสายไปถึงเพื่อนสนิท ที่อยู่ดี ๆ ก็หายตัวเงียบไปตั้งแต่เสร็จงานศพของอภิรดี เหมราชก็แวะเวียนมาหาภูวนนท์ ที่บ้านเพียงไม่กี่ครั้ง ซึ่งปกติแล้ว เขาไม่เคยหายหน้าไปเกินสัปดาห์“ไม่ว่างเลยช่วงนี้ งานยุ่งว่ะ ไว้ว่างๆ เดี๋ยวแวะเข้าไปหา แค่นี้ก่อนนะ” เหมราชทำเสียงเหมือนคนกำลังยุ่งอยู่ และรีบตัดสายไป“อ้าว..ตาภู มายืนอะไรตรงนี้ ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน” กฤษฎาแปลกใจที่เห็นลูกชายมานั่งเล่นที่สวนหน้าบ้าน ทั้งที่แดดกำลังส่องลงมาตรงที่ภูวนนท์นั่งพอดี“ผมไม่อยากเข้าไปในบ้าน เข้าไปที่ไรนึกถึงคุณแม่ทุกที แต่อีกหน่อยผมก็คงจะคิดถึงน้อยลง เพราะข้าวของคุณแม่ คุณพ่อก็เก็บไปหมดแล้ว ยังดีที่ยังเหลือรูปแต่งงาน ไว้เตือนใจ ว่าคุณแม่รักทุกคนและทุกคนก็รักท่าน”คำพูดของลูกชายอันเป็นสุดที่รักของกฤษฎา เหมือนมีดกรีดลงมาในหัวใจของเขา ถึงจะเจ็บปวดเพียงใด ก็ได้แต่เก็บมันไว้ให้ลึกที่สุด ได้แต่หวังว่าสักวันลูกชายจะเข้าใจหัวใจของพ่อแก่ๆ คนนี้“ถึงไม่มีข้าวของเครื่องใช้ของแม่ แต่ความรักของแม่ยังอยู่ในหัวใจพ่อเสมอ ถ้าการที่พ่อนำของของแม
“เดี๋ยวน้องก็คงกลับ ไปกินข้าวก่อนเถอะ ไว้วันไหนลูกว่าง ค่อยลองคุยกับน้องดู”บนโต๊ะอาหารมีแค่เพียงพ่อกับลูกที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ฟ้ารุ่งเองก็ให้เหตุผลว่า ยังไม่หิวจะรอกินพร้อมกับมินรญา เพราะตอนนี้ทั้งมินรญาและพราวพลอยยังไม่มีใครกลับบ้านเลย แต่แตกต่างตรงที่มินรญาโทรบอกมารดาของเธอแล้ว ว่าวันนี้จะกลับดึกหน่อย เพราะได้ทำเลที่คิดว่าชอบแล้ว อยากนั่งดูบรรยากาศทั้งวันว่าเป็นอย่างไร จะแน่ใจว่าจะตกลงเอาดีไหม เพราะค่าเช่าก็ราคาสูงพอตัว“ผมขอตัวก่อนนะครับพ่อ ถ้าน้องกลับมาให้โทรกลับหาผมด่วน”ความจริงแล้วภูวนนท์อยากนั่งรอพราวพลอยจนกว่าจะกลับมา แต่เขาไม่อยากเห็นหน้าฟ้ารุ่ง โดยเฉพาะตอนที่พ่อกับเธอมองตากัน มันทำให้ภาพของแม่สมัยที่ยังไม่ป่วยกำลังกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันลอยมา จึงเลือกที่กลับไปรอที่บ้านของตัวเองดีกว่า“ทำไมคุณภูรีบกลับเสียล่ะคะ” ฟ้ารุ่งสงสัยเพราะเห็นกฤษฎาเดินมาหาตนที่ในครัวหลังบ้าน“ช่วงนี้อารมณ์ตาภูดูฉุนเฉียว คำพุดคำจา อารมณ์ เหมือนไฟที่กำลังพร้อมจะลุกตลอดเวลา แต่ไฟนั้นมันไม่ได้เผาใคร มันเผาตัวเขาเอง ผมเป็นห่วงลูก แต่ไม่รู้จะเตือนเขายังไง” กฤษฎาถอนหายใจอย่างกังวล“แต่ก่อนคุณภูไม่เป็นแบ
บทที่11เสียตัว “คุณรู้ไหมวันนี้ฉันเจอใครเมื่อช่วงหัวค่ำ” มินรญาเริ่มเรื่อง “ผมจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าวันๆ คุณไปเจอใครมาบ้าง จะพูดอะไรก็ไม่พูดตรงๆ อ้อมค้อมอยู่ได้ อยากอยู่กับผมนานๆ เหรอครับคุณน้องสาวคนใหม่” เหล้าไม่รู้กี่แก้วที่ภูวนนท์ดื่มเข้าไป มันยิ่งทำให้สีหน้า ท่าทางของเขายียวนกวนอารมณ์มากไปกว่าเดิม ที่ก็กวนใช่เล่นอยู่แล้ว “เฮ้อ...” หญิงสาวรวบรวมความอดทน ที่จะพูดต่อไป “วันนี้ฉันเจอน้องสาวคุณกับคุณเหมราช เขาสองคนมาเดินเที่ยวด้วยกัน” “แล้วไง..” ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่ภูวนนท์ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร “เขาเดินโอบเอว ใกล้ชิด ดูสนิทสนมมากกว่าคนรู้จัก ฉันก็บอกคุณไม่ถูก แต่ฉันเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ และคิดว่าคุณคงไม่รู้ว่าคุณพราวพลอยกบเพื่อนคุณสนิทสนมกันขนาดนี้” “เธอคิดว่าสองคนนั้น มีอะไรลึกซึ้งกันใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดฮึมฮำในลำคอ ก่อนจะยกแก้วเหล้าเพรียวๆ ขึ้นกินแก้วแล้วแก้วเล่า ทำเอาคู่สนทนาตกใจกลัวเขาจะเมามากกว่านี้ “ฉันไม่รู้ แต่คุณพอได้แล้ว จะดื่มอะไรขนาดนี้ เดี๋ยวก็เมาเละเทะกันพอดี” “เม
“อย่า...อย่าทำฉันเลย” เสียงที่เคยตะโกนกึ่งตะคอก เปลี่ยนเสียงฮึมฮำ สั่นระรัว เมื่อถูกลิ้นของชายหนุ่มคลคงวนรอบยอดอกที่อิ่มจนเต็มปาก “อื่มมม..หื่อ” ไม่มีคำมีแต่เสียงคลางในลำคอจากผู้รุกราน ที่ครางอย่างมีความสุขอยู่ข้างหูของหญิงสาวที่เนื้อตัวอ่อนระทวยไปหมด “อุ๊ย!” มินรญาสะดุ้งเมื่อมือหนาจับมือของเธอ ให้ไปสัมผัสกับท่อนความเป็นชายของเขา มินรญาหลับตาทันที เพราะไม่กล้ามองกลัวจะเห็นสิ่งที่ตัวเองกำลังสัมผัสอยู่ “จับ ผมบอกให้คุณจับ คุณจะทำอะไรกับมันก็ได้” เสี่ยงสั่นฮึมฮำอยู่ข้างหูหยิงสาว ในขณะที่มือก็ไล่ต่ำลงมาถึงจุดที่แสนจะเบาะบางสำหรับหญิงสาว มินรญาหนีบขาทั้งสองข้างเขาหากัน เพื่อปกป้อง แต่มันก้ต้านทานแรงของชายหนุ่มที่กำลังเดือดพล่านด้วยความร้อนในกายที่พุ่งสู่ขึ้นทุกขณะ จมูกโด่งปัดป้าย พร้อมงับขย้ำยอดอกสีระเรื่อ จนผู้เป็นเจ้าของสะท้านตามแรงดึงดูดกลืนที่ฟัดนัวเนียอย่างมันเขี้ยว ร่างบางบิดเราทรมาน เมื่อเขาทำราวกับจะกลืนกินวิญญาณของเธอไปเสียด้วยกัน นาที่นี้มินรญาทำอะไรไม่ถูก เธอหูอื้อตาลาย ไร้แรงดึงดันต่อต้าน ระทดระทวยปล่อยให้ช
แผลเป็นที่ใจหรือแค่เพียงฝัน “ไปไหนมาลูก แม่โทรหาหนูก็ไม่รับสาย ทำไมไม่โทรมาบอกแม่ว่าจะกลับดึก” ฟ้ารุ่งนั่งรอลูกสาวด้วยความเป็นห่วง “มิ้นขอโทษค่ะแม่ พอดีมิ้นไปดูหนังมา ไม่ได้เปิดเสียง เลยไม่รู้ว่าแม่โทรมา” เสียงตอบราบเรียบจนคนฟังสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติ “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก หน้าตาทำไมแดงเหมือนคนร้องไห้มา มีอะไรบอกแม่นะ ” คนเป็นแม่มองใบหน้าลูกสาวด้วยความสงสัย “ไม่มีค่ะแม่ มิ้นดูหนังมันเศร้า เลยร้องไห้แทบทั้งเรื่อง มิ้นขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ฟ้ารุ่งไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ลูกสาวบอกจะเป็นความจริงหรือโกหด แต่เขาเชื่อว่ามินรญาคงไม่ทำอะไรที่ผิดหรือไม่ควร หากลูกมีปัญหาจริงๆ คงยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้เธอฟัง เมื่อถึงเวลาลูกคงเล่าให้เธอฟังเอง “แต่งตัวเสร็จแล้ว ออกไปกินข้าวนะ แม่จัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” “แม่ล่ะคะ กินข้าวหรือยัง” “แม่กินเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะรอกินพร้อมลูกแต่เห็นมืดแล้วแม่เลยกินก่อน แม่ไปอาบน้ำก่อนนะ อย่าลืมออกไปกินล่ะ” ข้าวแต่ละคำถูกตักเข้าปากอย่างช้าๆ น้ำใสจากดวงตาคู่สวย ไหลลง