บทที่10
ชุดซีทรูกับหนุ่มขี้เมา
“เหมเดี๋ยวนี้ไม่มาดื่มที่บ้านเป็นเพื่อนกันเลยนะ” ภูวนนท์ส่งเสียงตามสายไปถึงเพื่อนสนิท ที่อยู่ดี ๆ ก็หายตัวเงียบไป
ตั้งแต่เสร็จงานศพของอภิรดี เหมราชก็แวะเวียนมาหาภูวนนท์ ที่บ้านเพียงไม่กี่ครั้ง ซึ่งปกติแล้ว เขาไม่เคยหายหน้าไปเกินสัปดาห์
“ไม่ว่างเลยช่วงนี้ งานยุ่งว่ะ ไว้ว่างๆ เดี๋ยวแวะเข้าไปหา แค่นี้ก่อนนะ” เหมราชทำเสียงเหมือนคนกำลังยุ่งอยู่ และรีบตัดสายไป
“อ้าว..ตาภู มายืนอะไรตรงนี้ ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน” กฤษฎาแปลกใจที่เห็นลูกชายมานั่งเล่นที่สวนหน้าบ้าน ทั้งที่แดดกำลังส่องลงมาตรงที่ภูวนนท์นั่งพอดี
“ผมไม่อยากเข้าไปในบ้าน เข้าไปที่ไรนึกถึงคุณแม่ทุกที แต่อีกหน่อยผมก็คงจะคิดถึงน้อยลง เพราะข้าวของคุณแม่ คุณพ่อก็เก็บไปหมดแล้ว ยังดีที่ยังเหลือรูปแต่งงาน ไว้เตือนใจ ว่าคุณแม่รักทุกคนและทุกคนก็รักท่าน”
คำพูดของลูกชายอันเป็นสุดที่รักของกฤษฎา เหมือนมีดกรีดลงมาในหัวใจของเขา ถึงจะเจ็บปวดเพียงใด ก็ได้แต่เก็บมันไว้ให้ลึกที่สุด ได้แต่หวังว่าสักวันลูกชายจะเข้าใจหัวใจของพ่อแก่ๆ คนนี้
“ถึงไม่มีข้าวของเครื่องใช้ของแม่ แต่ความรักของแม่ยังอยู่ในหัวใจพ่อเสมอ ถ้าการที่พ่อนำของของแม่ไปบริจาค ทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายใจ พ่อก็ขอโทษลูกด้วย แต่พ่อทำเพราะต้องการให้แม่ได้รับในผลบุญของการให้ทานในครั้งนี้ พ่อรู้ว่าลูกไม่พอใจเรื่องพ่อกับฟ้ารุ่ง แต่พอขอบอกลูกสักเรื่องนะ คนเราเมื่อมีพบก็ต้องมีจาก ถ้าเรามัวแต่ติดอยู่กับการสูญเสีย มันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่มันทำให้ตัวเรามีแต่ความทุกข์ เหมือนที่ลูกกำลังเป็นอยู่ หนูเอยเขาไม่ได้ทำให้ลูกแย่ แต่ลูกต่างหากที่กำลังทำร้ายตัวเอง”
ตั้งแต่ชิดจันทร์ตัดความสัมพันธ์กับภูวนนท์ กฤษฎาอยากให้กำลังใจ ให้ข้อคิดกับลูกชาย แต่ด้วยที่ภูวนนท์เอง ยังแสดงท่าทีไม่พอใจในตัวเขาอยู่ เขาจึงได้แต่มองดูด้วยความเป็นห่วงอยู่ห่างๆ และวันนี้เขารู้สึกโล่งใจ ที่ได้พูดในสิ่งที่อยากเตือนสติลูกมานาน
“น้องไปไหนครับ ผมไม่เห็นน้องเลย รถก็ไม่อยู่” ภูวนนท์เปลี่ยนเรื่องพูด เพราะทุกครั้งที่มีใครพูดถึงชิดจันทร์หัวใจของเขามันเหมือนจะแหลกแตกออกเป้นเสี่ยงๆ
“ตั้งแต่เสร็จงานศพ น้องก็ออกไปข้างนอกทุกวัน ก็คงไปเที่ยวเล่นพักผ่อนจิตใจ หาความสุขชดเชยความเศร้าที่เข้ามา” กฤษฎาเองก็สังเกตว่าพราวพลอยออกจากบ้านทุกวัน แต่ไม่อยากถามเพราะเห็นลูกสาวโตแล้ว คงดูแลตัวเองได้
“อยู่แต่โรงเรียนประจำ ไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยได้ไปคนเดียว ดื้อใหญ่แล้ว” พี่ชายเริ่มเป็นห่วงน้องสาวขึ้นมา
หลายสัปดาห์มานี้ ภูวนนท์เองก็ไม่ค่อยได้สังเกตว่าพราวพลอยไม่ได้อยุ่บ้านในช่วงกลางวัน เพราะตัวเขาเองเอาแต่ทำงานทั้งวัน เพื่อไม่ให้ว่าง จะได้ไม่มีเวลาคิดเรื่องที่โดนคนรักทิ้งไป
“แล้วคุณพ่ออยู่กับใครครับ บ้านดูเงียบๆ”
“ก็อยู่กับฟ้ารุ่ง ยิ้ม เขาสองคนก็งวนอยู่ในครัวกัน พ่อก็ว่าจะออกมาดูต้นไม้ ดอกไม้ พากันเหี่ยวแห้งไปหมดแล้วมั้ง”
“แล้วลูกสาวคนใหม่ ของคุณพ่อล่ะครับ ไปไหนเสียล่ะ” ภูวนนท์คิดว่ามินรญาคงอยู่ในบ้านกับฟ้ารุ่ง แต่จากที่บิดาบอกไม่มีชื่อของคนที่เขาถามหาเลย
“คนนั้นก็ออกจากบ้านทุกวัน สงสัยจะไปหางานทำ เห็นบ่นอยู่” มินรญาไม่ได้บอกกฤษฎาเรื่องที่พ่อของเธอจะเปิดสาขาที่ไทย
“คุณพ่อไม่รับเข้ามาทำงานที่บริษัทเสียล่ะครับ น้าฟ้ารุ่งจะไม่ว่าพ่อใจดำเหรอ ที่ปล่อยให้ลูกสาวเขา ต้องออกไปหางานทำข้างนอกแบบนี้ อย่างไรเสียแม่เขาก็เป็นภรรยาของพ่อ”
“ทำไมพ่อจะไม่ทำล่ะ แต่หนูมิ้นเธอไม่ยอม เธอต้องการจะออกไปทำงานที่อื่น เพราะไม่อยากได้ชื่อว่า มารบกวนพ่อ”
ภูวนนท์ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่บิดาเล่าให้ฟัง มีที่ไหนมีคนมาเสนองานให้และรับรองว่าพ่อของเขาต้องให้ค่าตอบแทนนไม่ธรรมดาแน่ แต่กลับปฏิเสธ แล้วออกไปลำบากหางานทำข้างนอก
“สงสัยอยากจะโก่งราคา” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
ใกล้เวลาอาหารเย็น แต่พราวพลอยก็ยังไม่กลับ ภูวนนท์นั่งรอน้องสาวอยู่ในสวนหน้าบ้าน โทรไปก็ไม่มีใครรับสาย จากที่รู้สึกโมโหว่าน้องสาวตัวดีหัดเที่ยวเสียแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นความเป็นห่วงแทน
“เข้าไปกินกันเถอะลูก” กฤษฎาออกมาตามลูกชาย
“คุณพ่อรู้ไหมครับ ว่าน้องจะกลับตอนไหน นี่มันจะมืดแล้ว ผมมัวยุ่งแต่กลับงานและคิดแต่เรื่องของตัวเอง จนไม่ได้สนใจน้องเลย” ภูวนนท์รู้สึกเป็นความผิดของตัวเองที่ละเลยน้องสาว
“เดี๋ยวน้องก็คงกลับ ไปกินข้าวก่อนเถอะ ไว้วันไหนลูกว่าง ค่อยลองคุยกับน้องดู”บนโต๊ะอาหารมีแค่เพียงพ่อกับลูกที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ฟ้ารุ่งเองก็ให้เหตุผลว่า ยังไม่หิวจะรอกินพร้อมกับมินรญา เพราะตอนนี้ทั้งมินรญาและพราวพลอยยังไม่มีใครกลับบ้านเลย แต่แตกต่างตรงที่มินรญาโทรบอกมารดาของเธอแล้ว ว่าวันนี้จะกลับดึกหน่อย เพราะได้ทำเลที่คิดว่าชอบแล้ว อยากนั่งดูบรรยากาศทั้งวันว่าเป็นอย่างไร จะแน่ใจว่าจะตกลงเอาดีไหม เพราะค่าเช่าก็ราคาสูงพอตัว“ผมขอตัวก่อนนะครับพ่อ ถ้าน้องกลับมาให้โทรกลับหาผมด่วน”ความจริงแล้วภูวนนท์อยากนั่งรอพราวพลอยจนกว่าจะกลับมา แต่เขาไม่อยากเห็นหน้าฟ้ารุ่ง โดยเฉพาะตอนที่พ่อกับเธอมองตากัน มันทำให้ภาพของแม่สมัยที่ยังไม่ป่วยกำลังกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันลอยมา จึงเลือกที่กลับไปรอที่บ้านของตัวเองดีกว่า“ทำไมคุณภูรีบกลับเสียล่ะคะ” ฟ้ารุ่งสงสัยเพราะเห็นกฤษฎาเดินมาหาตนที่ในครัวหลังบ้าน“ช่วงนี้อารมณ์ตาภูดูฉุนเฉียว คำพุดคำจา อารมณ์ เหมือนไฟที่กำลังพร้อมจะลุกตลอดเวลา แต่ไฟนั้นมันไม่ได้เผาใคร มันเผาตัวเขาเอง ผมเป็นห่วงลูก แต่ไม่รู้จะเตือนเขายังไง” กฤษฎาถอนหายใจอย่างกังวล“แต่ก่อนคุณภูไม่เป็นแบ
บทที่11เสียตัว “คุณรู้ไหมวันนี้ฉันเจอใครเมื่อช่วงหัวค่ำ” มินรญาเริ่มเรื่อง “ผมจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าวันๆ คุณไปเจอใครมาบ้าง จะพูดอะไรก็ไม่พูดตรงๆ อ้อมค้อมอยู่ได้ อยากอยู่กับผมนานๆ เหรอครับคุณน้องสาวคนใหม่” เหล้าไม่รู้กี่แก้วที่ภูวนนท์ดื่มเข้าไป มันยิ่งทำให้สีหน้า ท่าทางของเขายียวนกวนอารมณ์มากไปกว่าเดิม ที่ก็กวนใช่เล่นอยู่แล้ว “เฮ้อ...” หญิงสาวรวบรวมความอดทน ที่จะพูดต่อไป “วันนี้ฉันเจอน้องสาวคุณกับคุณเหมราช เขาสองคนมาเดินเที่ยวด้วยกัน” “แล้วไง..” ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่ภูวนนท์ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร “เขาเดินโอบเอว ใกล้ชิด ดูสนิทสนมมากกว่าคนรู้จัก ฉันก็บอกคุณไม่ถูก แต่ฉันเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ และคิดว่าคุณคงไม่รู้ว่าคุณพราวพลอยกบเพื่อนคุณสนิทสนมกันขนาดนี้” “เธอคิดว่าสองคนนั้น มีอะไรลึกซึ้งกันใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดฮึมฮำในลำคอ ก่อนจะยกแก้วเหล้าเพรียวๆ ขึ้นกินแก้วแล้วแก้วเล่า ทำเอาคู่สนทนาตกใจกลัวเขาจะเมามากกว่านี้ “ฉันไม่รู้ แต่คุณพอได้แล้ว จะดื่มอะไรขนาดนี้ เดี๋ยวก็เมาเละเทะกันพอดี” “เม
“อย่า...อย่าทำฉันเลย” เสียงที่เคยตะโกนกึ่งตะคอก เปลี่ยนเสียงฮึมฮำ สั่นระรัว เมื่อถูกลิ้นของชายหนุ่มคลคงวนรอบยอดอกที่อิ่มจนเต็มปาก “อื่มมม..หื่อ” ไม่มีคำมีแต่เสียงคลางในลำคอจากผู้รุกราน ที่ครางอย่างมีความสุขอยู่ข้างหูของหญิงสาวที่เนื้อตัวอ่อนระทวยไปหมด “อุ๊ย!” มินรญาสะดุ้งเมื่อมือหนาจับมือของเธอ ให้ไปสัมผัสกับท่อนความเป็นชายของเขา มินรญาหลับตาทันที เพราะไม่กล้ามองกลัวจะเห็นสิ่งที่ตัวเองกำลังสัมผัสอยู่ “จับ ผมบอกให้คุณจับ คุณจะทำอะไรกับมันก็ได้” เสี่ยงสั่นฮึมฮำอยู่ข้างหูหยิงสาว ในขณะที่มือก็ไล่ต่ำลงมาถึงจุดที่แสนจะเบาะบางสำหรับหญิงสาว มินรญาหนีบขาทั้งสองข้างเขาหากัน เพื่อปกป้อง แต่มันก้ต้านทานแรงของชายหนุ่มที่กำลังเดือดพล่านด้วยความร้อนในกายที่พุ่งสู่ขึ้นทุกขณะ จมูกโด่งปัดป้าย พร้อมงับขย้ำยอดอกสีระเรื่อ จนผู้เป็นเจ้าของสะท้านตามแรงดึงดูดกลืนที่ฟัดนัวเนียอย่างมันเขี้ยว ร่างบางบิดเราทรมาน เมื่อเขาทำราวกับจะกลืนกินวิญญาณของเธอไปเสียด้วยกัน นาที่นี้มินรญาทำอะไรไม่ถูก เธอหูอื้อตาลาย ไร้แรงดึงดันต่อต้าน ระทดระทวยปล่อยให้ช
แผลเป็นที่ใจหรือแค่เพียงฝัน “ไปไหนมาลูก แม่โทรหาหนูก็ไม่รับสาย ทำไมไม่โทรมาบอกแม่ว่าจะกลับดึก” ฟ้ารุ่งนั่งรอลูกสาวด้วยความเป็นห่วง “มิ้นขอโทษค่ะแม่ พอดีมิ้นไปดูหนังมา ไม่ได้เปิดเสียง เลยไม่รู้ว่าแม่โทรมา” เสียงตอบราบเรียบจนคนฟังสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติ “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก หน้าตาทำไมแดงเหมือนคนร้องไห้มา มีอะไรบอกแม่นะ ” คนเป็นแม่มองใบหน้าลูกสาวด้วยความสงสัย “ไม่มีค่ะแม่ มิ้นดูหนังมันเศร้า เลยร้องไห้แทบทั้งเรื่อง มิ้นขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ฟ้ารุ่งไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ลูกสาวบอกจะเป็นความจริงหรือโกหด แต่เขาเชื่อว่ามินรญาคงไม่ทำอะไรที่ผิดหรือไม่ควร หากลูกมีปัญหาจริงๆ คงยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้เธอฟัง เมื่อถึงเวลาลูกคงเล่าให้เธอฟังเอง “แต่งตัวเสร็จแล้ว ออกไปกินข้าวนะ แม่จัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” “แม่ล่ะคะ กินข้าวหรือยัง” “แม่กินเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะรอกินพร้อมลูกแต่เห็นมืดแล้วแม่เลยกินก่อน แม่ไปอาบน้ำก่อนนะ อย่าลืมออกไปกินล่ะ” ข้าวแต่ละคำถูกตักเข้าปากอย่างช้าๆ น้ำใสจากดวงตาคู่สวย ไหลลง
ผู้ใหญ่สองคนมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ สงสัย อยู่ดีๆ วันนี้ชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งหน้าขรึม ไม่พูดไม่จาในวงข้าว กลับมาถามหาหญิงสาวที่เขาไม่เคยจะสนใจแถมไม่ค่อยชอบด้วยซ้ำ“มิ้นเขาจะเปิดห้องเสื้อ เมื่อวานเขาไปดูทำเลมาแล้ว วันนี้เลยตั้งใจจะไปติดต่อทำสัญญา” ฟ้ารุ่งตอบตามที่มินรญาบอกเธอไว้ก่อนออกจากบ้าน“ถามถึงหนูมิ้นทำไมล่ะ ปกติหน้ายังไม่เห็นอยากจะมอง” กฤษฎาพูดแซวลูกชาย“ผมก็ถามในฐานะเจ้าของบ้าน มาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ กลับก็ค่ำมืด เช้าก็รีบออกไป และน้องล่ะครับพ่อ ผมไม่เห็นลงมากินข้าวเลย” คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงสิ่งที่มินรญาบอกกับเขาเมื่อคืน“นั่นก็อีกคนที่กลับดึก ป่านนี้ยังไม่ตื่นเลย เดี๋ยวสายๆก็คงออกไปไหนอีก” ผู้เป้นพ่อส่ายหัวให้กับลูกสาวที่กำลังเริ่มเป็นวันรุ่นเต็มตัว“น้องบอกคุณพ่อไหม ว่าที่ออกๆไปทุกวัน ไปไหน ไปกับใคร”“พ่อเคยถาม ก็บอกไปดูหนัง ไปบ้านเพื่อน ไปเดินเล่นซื้อของ บอกเบื่ออยู่บ้าน นั่น...ลงมาแล้วถามกันเอาเองเลย” พราวพลอยเดินลงมาจากห้องนอนชั้นสองทั้งชุดนอนเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ“นินทาอะไรพราวอยู่คะ” พราวพลอยลากเก้าอี้มานั่งข้างบิดากอดแขนอย่างออดอ้อนฟ้ารุ่งค่อยๆลุกออกจ
บทที่13รักหรือของเล่น “คงไม่อร่อยเท่าฝีมือแม่คุณนะ แต่รับรองว่ากินได้แน่นอน” มินรญาเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน กลิ่นบะหมี่ลอยคลุ้งหอมจนเธอเริ่มหิว ชุดนอนที่เธอใส่อยู่ถูกผูกเอวไว้ข้างๆ เพื่อกันไม่ให้มันหลุดลงไปกองกับพื้น เจ้าของชุดยืนมองอย่างขำๆ ที่หญิงสาวแต่งตัวแบบนี้ “แต่งตัวแบบนี้ก็น่ารักดีนะ ผมเห็นแต่คุณแต่งชุดอะไรก็ไม่รู้ รู้แล้วว่าหุ่นดี ไม่ต้องโชว์มากก็ได้ มันดูไม่มีราคา” ภูวนนท์ไม่ชอบชุดที่มินรญาใส่ในแต่ละวัน เพราะมันจะดูโชว์รูปร่างและผิวขาวเปล่งประกายของหญิงสาว “ถ้าฉันแต่งตัวเรียบร้อย ฉันมีราคาใช่ไหม เพราะตอนนี้ฉันเหมือนของฟรี....” คำถามที่แทงใจคนฟัง ทำเอาภูวนนท์ไม่กล้าเงยหน้าจากชาวบะหมี่ เพราะไม่อยากสบตาคนถาม เขารู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำกับเธอมันผิด แต่ไม่รู้ทำไม เขาหยุดมันไม่ได้ รู้แต่ว่าร่างกายมันต้องการเธอ ส่วนหัวใจของเขาคงมีแต่ชิดจันทร์ยังไม่เปลี่ยนแปลง “พูดอะไรจัง มากิน เดี๋ยวหายร้อนก็ไม่อร่อย” เจ้าของบ้านเปลี่ยนเรื่องพูด ด้วยความหิวมินรญากินบะหมี่จนหมดถ้วย แต่หัวใจของเธอไม่อิ่มเลย เขาทำให้เธอ
มินรญา รีบควานหาผ้านวมมาคลุมกายแต่เขาก็กระชากผ้านวมผืนใหญ่ที่ดูจะเกะกะมากตอนนี้ ทิ้งลงข้างเตียง และใช้ร่างกายของเขาทับแนบลงบนร่างขาวใสนั้นแทนผ้านวมที่เพิ่งทิ้งลงไป มือหนาซุกซนบีบเคล้นยอดอกที่ชูชันตอบรับสัมผัส ปากหนาไล่จูบตั้งแต่หน้าผากสวยได้รูป ลงมาหยุดที่ยอดอกชูชัน ปากหนาใช้ลิ้นตวัดรัดเลาะรอบๆยอดชมพูก่อนจะดูดคลึงอย่างผ่อนหนักผ่อนเบา จนมินรญากลั่นเสียงครางไว้ไม่ไหว ร่างใหญ่ซุกไซร้ลงมาถึงจุดสุดท้ายของความเสียวซ่าน เขาพาความเป็นชายของเขา รุกเร้าเข้าสู่ส่วนสงวนของหญิงสาวที่เริ่มบิดเกร็ง “เจ็บ เจ็บค่ะ” เมื่อร่างกายของทั้งคู่รวมเป็นคนเดียวกันหญิงสาวยังคงหลงเหลือความเจ็บเพราะมันคือครั้งที่สองในชีวิตเธอ “อย่าเกร็ง ปล่อยตามสบาย อีกนิดนะ เดี๋ยวมันจะค่อยๆดีขึ้น” ภูวนนท์กระซิบตอบพร้อมเล้าโลมเพิ่มอารมณ์ให้สาวน้อยที่กำลังกัดฟันเพราะทั้งเสียวและเจ็บ ลมแห่งความเสน่หาลุกโชติช่วงจนถึงขีดสุด เสียงครางสุดท้ายของทั้งคู่กรีดเสียงออกมาพร้อมกัน ก่อนพากันขึ้นสวรรค์ชั้นสูงสุด “ชอบไหม” ร่างหนาหมดแรงปล่อยตัวทับลงบนร่างบางที่นอนหมดแรงอยู่บนเ
บทที่14หนีหัวใจตัวเอง “เสร็จภายในสองสัปดาห์แน่นอนครับ” ช่างที่ทางห้างติดต่อให้มาปรับปรุงตกแต่งร้านให้ รับรองว่าอีกสองสัปดาห์สามารถนำสินค้ามาวางขายได้แน่นอน ร้านเสื้อผ้าที่หญิงสาวกำลังจะเปิด เป็นร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่พ่อของเธอเป็นหุ้นส่วนใหญ่ มินรญาเองก็ถือหุ้นอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เงินรายได้ พ่อของเธอกับแคโรรีนจัดการเก็บไว้ให้ เพราะรู้จักนิสัยลูกสาว ว่าเป็นใจอ่อน ขี้สงสาร กลัวเธอจะส่งมาให้มารดาหมด เสื้อผ้าที่จะนำมาขายในร้านส่วนหนึ่งก็เป็นการออกแบบของมินรญาเอง เพราะเธอเรียนจบทางนี้มาโดยตรง และเป็นงานที่ถนัดและรักมากด้วย เสร็จจากธุระเรื่องร้าน หญิงสาวก็ตระเวนหาเช่าคอนโดใกล้กับห้างที่เปิดร้าน โชคดีมีคอนโดอยู่หนึ่งห้อง คนเช้าเก่าออกไปเมื่อเดือนที่แล้ว เธอสามารถเข้าอยู่ได้เลย เป็นคอนโดขนาดเล็ก พื้นที่ใช้สอยน้อย ขนาดห้องแค่พอนอนและมีมุมทำคนัวเล็กน้อย ค่าเช่าที่ค่อยข้างถูกและอยู่ใกล้กับร้านของเธอโดยที่ใช้เดินเพียงไม่กี่นาที ทำให้มินรญาตัดสินใจเช่าที่นี่ และจะย้ายมาอยู่ให้เร็วที่สุด ข้าวของเครื่องใช้ของเธอมีไม่มากนัก เพราะเพิ่งกลับมาอยู่เมืองไทยไ