“เดี๋ยวน้องก็คงกลับ ไปกินข้าวก่อนเถอะ ไว้วันไหนลูกว่าง ค่อยลองคุยกับน้องดู”
บนโต๊ะอาหารมีแค่เพียงพ่อกับลูกที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ฟ้ารุ่งเองก็ให้เหตุผลว่า ยังไม่หิวจะรอกินพร้อมกับมินรญา เพราะตอนนี้ทั้งมินรญาและพราวพลอยยังไม่มีใครกลับบ้านเลย แต่แตกต่างตรงที่มินรญาโทรบอกมารดาของเธอแล้ว ว่าวันนี้จะกลับดึกหน่อย เพราะได้ทำเลที่คิดว่าชอบแล้ว อยากนั่งดูบรรยากาศทั้งวันว่าเป็นอย่างไร จะแน่ใจว่าจะตกลงเอาดีไหม เพราะค่าเช่าก็ราคาสูงพอตัว
“ผมขอตัวก่อนนะครับพ่อ ถ้าน้องกลับมาให้โทรกลับหาผมด่วน”
ความจริงแล้วภูวนนท์อยากนั่งรอพราวพลอยจนกว่าจะกลับมา แต่เขาไม่อยากเห็นหน้าฟ้ารุ่ง โดยเฉพาะตอนที่พ่อกับเธอมองตากัน มันทำให้ภาพของแม่สมัยที่ยังไม่ป่วยกำลังกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันลอยมา จึงเลือกที่กลับไปรอที่บ้านของตัวเองดีกว่า
“ทำไมคุณภูรีบกลับเสียล่ะคะ” ฟ้ารุ่งสงสัยเพราะเห็นกฤษฎาเดินมาหาตนที่ในครัวหลังบ้าน
“ช่วงนี้อารมณ์ตาภูดูฉุนเฉียว คำพุดคำจา อารมณ์ เหมือนไฟที่กำลังพร้อมจะลุกตลอดเวลา แต่ไฟนั้นมันไม่ได้เผาใคร มันเผาตัวเขาเอง ผมเป็นห่วงลูก แต่ไม่รู้จะเตือนเขายังไง” กฤษฎาถอนหายใจอย่างกังวล
“แต่ก่อนคุณภูไม่เป็นแบบนี้เหรอคะ” ฟ้ารุ่งถามด้วยความสงสัย เพราะเธอเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน อภรดีก็มาจากไป เธอก็เห็นภูวนนท์อารมณ์ขึ้นลงตั้งแต่เสียแม่และมารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อของเขา
“ถ้าเปรียบอารมณ์ตาภูตอนนี้เหมือนไฟ เมื่อก่อนก็เหมือนสายน้ำเลย เย็น สุขุม ใครอยู่ด้วยก็รู้สึกอบอุ่น ยิ่งเวลาเขาอยู่กับแม่ของเขา ต่างคนต่างพากันเย็นเลย”
“คุณภูกำลังเจอกับความสูญเสีย เสียทั้งแม่ เสียทั้งคนรัก และยังต้องมาผิดหวังเรื่องของเราอีก” ฟ้ารุ่งคิดว่าตัวเองก็มีส่วนทำให้ภูวนนท์เป็นแบบนี้
“คุณอย่าคิดแบบนั้น ถ้ามีใครผิด ผมคือคนผิด” กฤษฎาโอบไหล่ภรรยาคนใหม่อย่างปลอบใจ
“ถ้าการไปของฉัน ทำให้ครอบครัวคุณกลับมามีความสุขอีกครั้ง บอกฉันนะคะ ฉันพร้อมเสมอ”
“อย่าพูดและที่สำคัญอย่าคิดแบบนั้นอีก คุณเป็นภรรยาผม คุณคือคนในครอบครัว ผมไม่คุยกับคุณแล้ว ผมขึ้นไปรอที่ห้องนะ วันนี้เมื่อยอยากได้คนนวด” กฤษฎาส่งสายตาเจ้าเล่ห์แฝงด้วยความแวววาวเหมือนกวางหนุ่มที่กำลังรู้สึกคึกคัก ทำเอาฟ้ารุ่งต้องหลบตาเพราะความอาย
ตลอดทางที่นั่งรถกลับบ้าน มินรญากำลังลังตัดสินใจกับสิ่งที่เธอเห็นเมื่อช่วงหัวค่ำ เธอเห็นพราวพลอยเดินกอดเอวมากับเหมราช ดูท่าทางสนิสนมเกินกว่าเพื่อนของพี่ชายกับน้องสาวเพื่อน ถ้าความสนิทสนมนี้ไม่ได้ถูกปิดบัง ทำไมเธอไม่เคยเห็นเหมราชมาที่บ้านของภูวนนท์นานแล้ว และมีอะไรในตัวของเหมราชบางอย่างที่ทำให้มินรญารู้สึกไม่ไว้วางใจในตัวผู้ชายคนนี้
เมื่อถึงบ้านมินรญามองเห็นไฟชั้นล่างของบ้านภูวนนท์เปิดอยู่ เธอยืนครุ่นคิดตัดสินใจว่าจะไปพูดเรื่องนี้กับเขาดีไหม เพราะเธอไม่รู้จะปรึกษาใคร แต่ก็กลัวเขาจะไม่เชื่อที่เธอพูด เพราะอีกคนก็น้องสาวเขา อีกคนก็เพื่อนสนิท
“เอาวะไม่ลองไม่รู้” หญิงสาวรวบรวมความกล้าก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปบ้านภูวนนท์
“เอ้า!...จะไปไหนล่ะ น้องสาวคนใหม่”
ภูวนนท์ตะโกนตามหลัง เพราะเขาหันมาเห็นมินรญาที่เดินมาที่บ้านของเขาแล้วอยู่ดีๆ ก็หันหลังกลับไม่เข้ามา เขาจึงวิ่งตามหลังมา
“มาถึงที่นี่ แล้วอยู่ดีๆ ทำไมเปลี่ยนใจไม่เข้ามาล่ะ”
สองตาของภูวนนท์ไม่ได้มองสบตาคนที่เขากำลังคุยด้วยเลย แต่กลับมองสำรวจเรือนร่างของหญิงสาวตรงหน้า เพราะวันนี้ชุดที่เธอใส่เป็นชุดซีทรูเกือบทั้งตัว เผยให้เห็นผิวขาว และสัดส่วนที่ได้รูปไปหมด ยิ่งเจอแสงไฟสาดมากระทบ ยิ่งชวนมองยิ่งนัก
“ไว้วันหลังค่อยคุยกันก็ได้ค่ะ วันนี้คุณเมาแล้ว” ภาพชายหนุ่มกำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียว บวกกับดวงตาที่แดงกร่ำ ก็เดาได้ไม่ยากว่าเขากำลังเมาได้ที่เลย
“ใครว่าผมเมา ไหนๆก็มาแล้ว ก็เข้ามาคุยเป็นเพื่อนกันหน่อย หรือรังเกลียดคนอย่างผม เดี๋ยวนี้เจ้าเหมก็ไม่ยอมมาเมาด้วย พราวพลอยป่านนี้ก็ยังไม่กลับบ้าน ส่วนคุณพ่อก็คงมีความสุขอยู่กับแม่ของคุณ ก็เหลือคุณคนเดียวที่น่าจะว่างมาดื่มเป็นเพื่อนคนไม่มีใครอย่างผม”
จากที่ตั้งใจจะเดินกลับบ้าน แต่เห็นท่าทางของคนชวน ที่ดูจะเหงาจริงๆ มินรญาก็อดสงสารไม่ได้ ถึงแม้ประโยคหลังเขาจะพาดพิงถึงแม่ของเธอก็ตาม แต่มันก็จริงอย่างที่เขาพุด บ่อยครั้งที่มินรญาเอง สะดุ้งตื่นกลางดึกและมองไม่เห็นแม่นอนอยู่ข้างๆ เธอก็พอจะเดาออกว่าแม่ของเธอไปไหน ความจริงแล้ว เธอก็รู้สึกเหงาไม่ต่างจากเขา เธอกลับมาเมืองไทยเพราะตั้งใจจะมาอยู่กับแม่แค่สองคน แต่เมื่อมาถึง เธอถึงเพิ่งรู้ความสัมพันธ์ของแม่เธอกับกฤษฎา แต่มันคือความสุขของแม่ คนเป็นลูกต้องยอมเข้าใจ
“อ่ะ...ดื่มด้วยกัน” ชายหนุ่มยื่นแก้วเหล้าส่งให้เธอ
หญิงสาวเอื้อมือไปรับแก้วเหล้ามาไว้ตรงหน้า ก่อนยกขึ้นดื่มแบบธรรมดา ทำเอาคนส่งให้มองด้วยความแปลกใจ เพราะคิดว่าเธอจะปฏิเสธ
“แปลกใจเหรอคะ ปกติตอนอยุ่ที่เมืองนอก ฉันก็ดื่มบ่อยค่ะ ที่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่เมืองไทยคงไม่ใช่” ไม่รอให้คนตรงหน้าพูดหญิงสาวก็บอกเอง
“ไม่ใช่แค่เรื่องดื่ม เรื่องการแต่งตัวด้วย” ภูวนนท์มองชุดของมินรญาอย่างสำรวจก่อนพูดออกไป
“ถึงว่า วันนี้มีแต่คนมอง ฉันก็นึกว่าเขามองความสวยของฉัน ที่แท้ มองความวาบหวิวของชุดนี่เอง” มินรญาส่ายหัวให้กลับความไม่ทันสมัยของคนที่นี่
“ว่าแต่คุณมาที่นี่ มาแอบดูผมเหรอหรือมีเรื่องอะไรจะคุยกับผม อย่าบอกนะ....ว่าคุณกะจะใส่ชุดนี้มาปลุกอารมณ์เสืออกหัก ไม่มีทาง ผมชอบผู้หญิงเรียบร้อย แบบคุณนี่ต่อให้สวยแค่ไหนผมก็ไม่มอง”
“เหรอคะ แต่เท่าที่สังเกต ตั้งแต่ฉันเข้ามานั่งที่บ้านคุณ สายตาคุณยังไม่หยุดสำรวจทุกส่วนในตัวฉันเลยนะ แต่ช่างเถอะ ฉันไม่อยากเถียงกับคุณ จะมองไม่มองก็แล้วแต่คุณเถอะ” มินรญาตัดสินใจจะเข้าเรื่องเลยไม่อยากเสียเวลาเถียงกับเขาต่อ
“ผมรอฟังอยู่” มือกอดอกหลังพิงโซฟา ภูวนนท์ทำท่าตั้งใจฟังในสิ่งที่มินรญากำลังจะพูด
บทที่11เสียตัว “คุณรู้ไหมวันนี้ฉันเจอใครเมื่อช่วงหัวค่ำ” มินรญาเริ่มเรื่อง “ผมจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าวันๆ คุณไปเจอใครมาบ้าง จะพูดอะไรก็ไม่พูดตรงๆ อ้อมค้อมอยู่ได้ อยากอยู่กับผมนานๆ เหรอครับคุณน้องสาวคนใหม่” เหล้าไม่รู้กี่แก้วที่ภูวนนท์ดื่มเข้าไป มันยิ่งทำให้สีหน้า ท่าทางของเขายียวนกวนอารมณ์มากไปกว่าเดิม ที่ก็กวนใช่เล่นอยู่แล้ว “เฮ้อ...” หญิงสาวรวบรวมความอดทน ที่จะพูดต่อไป “วันนี้ฉันเจอน้องสาวคุณกับคุณเหมราช เขาสองคนมาเดินเที่ยวด้วยกัน” “แล้วไง..” ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่ภูวนนท์ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร “เขาเดินโอบเอว ใกล้ชิด ดูสนิทสนมมากกว่าคนรู้จัก ฉันก็บอกคุณไม่ถูก แต่ฉันเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ และคิดว่าคุณคงไม่รู้ว่าคุณพราวพลอยกบเพื่อนคุณสนิทสนมกันขนาดนี้” “เธอคิดว่าสองคนนั้น มีอะไรลึกซึ้งกันใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดฮึมฮำในลำคอ ก่อนจะยกแก้วเหล้าเพรียวๆ ขึ้นกินแก้วแล้วแก้วเล่า ทำเอาคู่สนทนาตกใจกลัวเขาจะเมามากกว่านี้ “ฉันไม่รู้ แต่คุณพอได้แล้ว จะดื่มอะไรขนาดนี้ เดี๋ยวก็เมาเละเทะกันพอดี” “เม
“อย่า...อย่าทำฉันเลย” เสียงที่เคยตะโกนกึ่งตะคอก เปลี่ยนเสียงฮึมฮำ สั่นระรัว เมื่อถูกลิ้นของชายหนุ่มคลคงวนรอบยอดอกที่อิ่มจนเต็มปาก “อื่มมม..หื่อ” ไม่มีคำมีแต่เสียงคลางในลำคอจากผู้รุกราน ที่ครางอย่างมีความสุขอยู่ข้างหูของหญิงสาวที่เนื้อตัวอ่อนระทวยไปหมด “อุ๊ย!” มินรญาสะดุ้งเมื่อมือหนาจับมือของเธอ ให้ไปสัมผัสกับท่อนความเป็นชายของเขา มินรญาหลับตาทันที เพราะไม่กล้ามองกลัวจะเห็นสิ่งที่ตัวเองกำลังสัมผัสอยู่ “จับ ผมบอกให้คุณจับ คุณจะทำอะไรกับมันก็ได้” เสี่ยงสั่นฮึมฮำอยู่ข้างหูหยิงสาว ในขณะที่มือก็ไล่ต่ำลงมาถึงจุดที่แสนจะเบาะบางสำหรับหญิงสาว มินรญาหนีบขาทั้งสองข้างเขาหากัน เพื่อปกป้อง แต่มันก้ต้านทานแรงของชายหนุ่มที่กำลังเดือดพล่านด้วยความร้อนในกายที่พุ่งสู่ขึ้นทุกขณะ จมูกโด่งปัดป้าย พร้อมงับขย้ำยอดอกสีระเรื่อ จนผู้เป็นเจ้าของสะท้านตามแรงดึงดูดกลืนที่ฟัดนัวเนียอย่างมันเขี้ยว ร่างบางบิดเราทรมาน เมื่อเขาทำราวกับจะกลืนกินวิญญาณของเธอไปเสียด้วยกัน นาที่นี้มินรญาทำอะไรไม่ถูก เธอหูอื้อตาลาย ไร้แรงดึงดันต่อต้าน ระทดระทวยปล่อยให้ช
แผลเป็นที่ใจหรือแค่เพียงฝัน “ไปไหนมาลูก แม่โทรหาหนูก็ไม่รับสาย ทำไมไม่โทรมาบอกแม่ว่าจะกลับดึก” ฟ้ารุ่งนั่งรอลูกสาวด้วยความเป็นห่วง “มิ้นขอโทษค่ะแม่ พอดีมิ้นไปดูหนังมา ไม่ได้เปิดเสียง เลยไม่รู้ว่าแม่โทรมา” เสียงตอบราบเรียบจนคนฟังสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติ “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก หน้าตาทำไมแดงเหมือนคนร้องไห้มา มีอะไรบอกแม่นะ ” คนเป็นแม่มองใบหน้าลูกสาวด้วยความสงสัย “ไม่มีค่ะแม่ มิ้นดูหนังมันเศร้า เลยร้องไห้แทบทั้งเรื่อง มิ้นขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ฟ้ารุ่งไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ลูกสาวบอกจะเป็นความจริงหรือโกหด แต่เขาเชื่อว่ามินรญาคงไม่ทำอะไรที่ผิดหรือไม่ควร หากลูกมีปัญหาจริงๆ คงยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้เธอฟัง เมื่อถึงเวลาลูกคงเล่าให้เธอฟังเอง “แต่งตัวเสร็จแล้ว ออกไปกินข้าวนะ แม่จัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” “แม่ล่ะคะ กินข้าวหรือยัง” “แม่กินเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะรอกินพร้อมลูกแต่เห็นมืดแล้วแม่เลยกินก่อน แม่ไปอาบน้ำก่อนนะ อย่าลืมออกไปกินล่ะ” ข้าวแต่ละคำถูกตักเข้าปากอย่างช้าๆ น้ำใสจากดวงตาคู่สวย ไหลลง
ผู้ใหญ่สองคนมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ สงสัย อยู่ดีๆ วันนี้ชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งหน้าขรึม ไม่พูดไม่จาในวงข้าว กลับมาถามหาหญิงสาวที่เขาไม่เคยจะสนใจแถมไม่ค่อยชอบด้วยซ้ำ“มิ้นเขาจะเปิดห้องเสื้อ เมื่อวานเขาไปดูทำเลมาแล้ว วันนี้เลยตั้งใจจะไปติดต่อทำสัญญา” ฟ้ารุ่งตอบตามที่มินรญาบอกเธอไว้ก่อนออกจากบ้าน“ถามถึงหนูมิ้นทำไมล่ะ ปกติหน้ายังไม่เห็นอยากจะมอง” กฤษฎาพูดแซวลูกชาย“ผมก็ถามในฐานะเจ้าของบ้าน มาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ กลับก็ค่ำมืด เช้าก็รีบออกไป และน้องล่ะครับพ่อ ผมไม่เห็นลงมากินข้าวเลย” คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงสิ่งที่มินรญาบอกกับเขาเมื่อคืน“นั่นก็อีกคนที่กลับดึก ป่านนี้ยังไม่ตื่นเลย เดี๋ยวสายๆก็คงออกไปไหนอีก” ผู้เป้นพ่อส่ายหัวให้กับลูกสาวที่กำลังเริ่มเป็นวันรุ่นเต็มตัว“น้องบอกคุณพ่อไหม ว่าที่ออกๆไปทุกวัน ไปไหน ไปกับใคร”“พ่อเคยถาม ก็บอกไปดูหนัง ไปบ้านเพื่อน ไปเดินเล่นซื้อของ บอกเบื่ออยู่บ้าน นั่น...ลงมาแล้วถามกันเอาเองเลย” พราวพลอยเดินลงมาจากห้องนอนชั้นสองทั้งชุดนอนเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ“นินทาอะไรพราวอยู่คะ” พราวพลอยลากเก้าอี้มานั่งข้างบิดากอดแขนอย่างออดอ้อนฟ้ารุ่งค่อยๆลุกออกจ
บทที่13รักหรือของเล่น “คงไม่อร่อยเท่าฝีมือแม่คุณนะ แต่รับรองว่ากินได้แน่นอน” มินรญาเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน กลิ่นบะหมี่ลอยคลุ้งหอมจนเธอเริ่มหิว ชุดนอนที่เธอใส่อยู่ถูกผูกเอวไว้ข้างๆ เพื่อกันไม่ให้มันหลุดลงไปกองกับพื้น เจ้าของชุดยืนมองอย่างขำๆ ที่หญิงสาวแต่งตัวแบบนี้ “แต่งตัวแบบนี้ก็น่ารักดีนะ ผมเห็นแต่คุณแต่งชุดอะไรก็ไม่รู้ รู้แล้วว่าหุ่นดี ไม่ต้องโชว์มากก็ได้ มันดูไม่มีราคา” ภูวนนท์ไม่ชอบชุดที่มินรญาใส่ในแต่ละวัน เพราะมันจะดูโชว์รูปร่างและผิวขาวเปล่งประกายของหญิงสาว “ถ้าฉันแต่งตัวเรียบร้อย ฉันมีราคาใช่ไหม เพราะตอนนี้ฉันเหมือนของฟรี....” คำถามที่แทงใจคนฟัง ทำเอาภูวนนท์ไม่กล้าเงยหน้าจากชาวบะหมี่ เพราะไม่อยากสบตาคนถาม เขารู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำกับเธอมันผิด แต่ไม่รู้ทำไม เขาหยุดมันไม่ได้ รู้แต่ว่าร่างกายมันต้องการเธอ ส่วนหัวใจของเขาคงมีแต่ชิดจันทร์ยังไม่เปลี่ยนแปลง “พูดอะไรจัง มากิน เดี๋ยวหายร้อนก็ไม่อร่อย” เจ้าของบ้านเปลี่ยนเรื่องพูด ด้วยความหิวมินรญากินบะหมี่จนหมดถ้วย แต่หัวใจของเธอไม่อิ่มเลย เขาทำให้เธอ
มินรญา รีบควานหาผ้านวมมาคลุมกายแต่เขาก็กระชากผ้านวมผืนใหญ่ที่ดูจะเกะกะมากตอนนี้ ทิ้งลงข้างเตียง และใช้ร่างกายของเขาทับแนบลงบนร่างขาวใสนั้นแทนผ้านวมที่เพิ่งทิ้งลงไป มือหนาซุกซนบีบเคล้นยอดอกที่ชูชันตอบรับสัมผัส ปากหนาไล่จูบตั้งแต่หน้าผากสวยได้รูป ลงมาหยุดที่ยอดอกชูชัน ปากหนาใช้ลิ้นตวัดรัดเลาะรอบๆยอดชมพูก่อนจะดูดคลึงอย่างผ่อนหนักผ่อนเบา จนมินรญากลั่นเสียงครางไว้ไม่ไหว ร่างใหญ่ซุกไซร้ลงมาถึงจุดสุดท้ายของความเสียวซ่าน เขาพาความเป็นชายของเขา รุกเร้าเข้าสู่ส่วนสงวนของหญิงสาวที่เริ่มบิดเกร็ง “เจ็บ เจ็บค่ะ” เมื่อร่างกายของทั้งคู่รวมเป็นคนเดียวกันหญิงสาวยังคงหลงเหลือความเจ็บเพราะมันคือครั้งที่สองในชีวิตเธอ “อย่าเกร็ง ปล่อยตามสบาย อีกนิดนะ เดี๋ยวมันจะค่อยๆดีขึ้น” ภูวนนท์กระซิบตอบพร้อมเล้าโลมเพิ่มอารมณ์ให้สาวน้อยที่กำลังกัดฟันเพราะทั้งเสียวและเจ็บ ลมแห่งความเสน่หาลุกโชติช่วงจนถึงขีดสุด เสียงครางสุดท้ายของทั้งคู่กรีดเสียงออกมาพร้อมกัน ก่อนพากันขึ้นสวรรค์ชั้นสูงสุด “ชอบไหม” ร่างหนาหมดแรงปล่อยตัวทับลงบนร่างบางที่นอนหมดแรงอยู่บนเ
บทที่14หนีหัวใจตัวเอง “เสร็จภายในสองสัปดาห์แน่นอนครับ” ช่างที่ทางห้างติดต่อให้มาปรับปรุงตกแต่งร้านให้ รับรองว่าอีกสองสัปดาห์สามารถนำสินค้ามาวางขายได้แน่นอน ร้านเสื้อผ้าที่หญิงสาวกำลังจะเปิด เป็นร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่พ่อของเธอเป็นหุ้นส่วนใหญ่ มินรญาเองก็ถือหุ้นอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เงินรายได้ พ่อของเธอกับแคโรรีนจัดการเก็บไว้ให้ เพราะรู้จักนิสัยลูกสาว ว่าเป็นใจอ่อน ขี้สงสาร กลัวเธอจะส่งมาให้มารดาหมด เสื้อผ้าที่จะนำมาขายในร้านส่วนหนึ่งก็เป็นการออกแบบของมินรญาเอง เพราะเธอเรียนจบทางนี้มาโดยตรง และเป็นงานที่ถนัดและรักมากด้วย เสร็จจากธุระเรื่องร้าน หญิงสาวก็ตระเวนหาเช่าคอนโดใกล้กับห้างที่เปิดร้าน โชคดีมีคอนโดอยู่หนึ่งห้อง คนเช้าเก่าออกไปเมื่อเดือนที่แล้ว เธอสามารถเข้าอยู่ได้เลย เป็นคอนโดขนาดเล็ก พื้นที่ใช้สอยน้อย ขนาดห้องแค่พอนอนและมีมุมทำคนัวเล็กน้อย ค่าเช่าที่ค่อยข้างถูกและอยู่ใกล้กับร้านของเธอโดยที่ใช้เดินเพียงไม่กี่นาที ทำให้มินรญาตัดสินใจเช่าที่นี่ และจะย้ายมาอยู่ให้เร็วที่สุด ข้าวของเครื่องใช้ของเธอมีไม่มากนัก เพราะเพิ่งกลับมาอยู่เมืองไทยไ
ถ้านาธานเป็นผู้หญิงมิรญาจะบังคับให้เขามานอนอยู่กับเธอที่นี่เสียเลย เพราะตอนนี้เธอกำลังต้องการใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน ยิ่งมาอยู่คนเดียวแบบนี้ หัวใจของเธอมันคิดถึงแต่หน้าขอวภูวนนท์ คิดถึงอ้อมกอด คิดถึงรสรักที่เขามอบให้ แต่อีกใจมันก็คิดถึงคำดูถูกและรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ เธอมันก็แค่ของเล่น“พราววันนี้ไปไหนมาบ้าง เล่าให้พี่ฟังสิ” พี่ชายถามน้องสาวเพราะเธอออกจากบ้านทุกวัน“ไปหาอ่านหนังสือตามร้านหนังสือมาค่ะ” พราวพลอยปดคำโต“นึกว่าแอบไปหาแฟน ถ้ามีแฟนก็พามาแนะนำให้พี่รู้จักบ้างแล้วกัน นี่ก็อีกไม่กี่วันจะเปิดเทอมแล้วเตรียมตัวให้พร้อมนะ อย่ามัวแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ ” ภูวนนท์พูดเปิดทางให้น้องสาวเผื่อเธอจะหลุดปากบอกอะไร“ค่ะพี่ชายสุดที่รัก พราวอยู่บ้านก็เหงา พี่ภูไปทำงานมาตอนนี้พี่มิ้นก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น พราวเลยออกไปหาอะไรทำแก้เหงา”“มิ้นไปไหน ทำไมเขาไม่บอกพี่ ทำไมไม่มีใครบอกพี่เลย ” ชายหนุ่มลืมตัวโวยวายเสียงดังกลางโต๊ะอาหาร“น้าต้องขอโทษแทนมิ้นด้วยนะคะ พอดีต้องรีบไปจัดคอนโดเพราะร้านใกล้จะเปิดแล้ว เลยไม่ได้อยู่รอบอกคุณภู ไว้วันหลังน้าจะให้มิ้นเข้ามาบอกลานะคะ” ฟ้ารุ่งขอโทษแทนลูกสาว