“ลงรถไปก็รอผมด้วยนะ ไม่ใช่รีบเดินไปไหน เดี๋ยวจะหลงจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกซะ” ชายหนุ่มพุดไปหัวเราะไป เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของมินรญาที่เปิดประตูรถทันที่ที่รถจอดสนิท
“คนไม่เยอะเท่าไหร่นะคะ ถ้าเทียบกับด้านหน้าของที่นี่” มินรญารู้สึกว่าบรรยากาศต่างจากที่เธอคิดไว้ เมื่อบันไดเลื่อนพาเธอขึ้นมาชั้นหนึ่งของห้าง
“ถึงที่นี่จะดูคึกคักน้อยกว่าด้าน แต่เงินสะพัดกว่าแน่นอน สินค้าที่นี่ราคาค่อนข้างสูง ผู้คนที่มาเดินซื้อสินค้าในนี้ ส่วนใหญ่ก็มีกำลังทรัพย์มาก ”
คนที่เดินสวนไปสวนมา คงไม่คิดว่าหนุ่มสาวคู่นี้ จะเป็นคนที่ไม่ชอบขี้หน้ากันมาก่อน เพราะท่าทีที่พูดคุยดุสนิทสนมถูกคอกัน ของคนทั้งคู่ ดูเหมือนเป็นคู่รัก เป็นเพื่อนหรือเป็นพี่น้องกันเสียมากกว่า
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ภูวนนท์”
เสียงไพเราะแต่เหยือกเย็นที่แสนจะคุ้นหูภูวนนท์ยิ่งนัก ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน แต่คือเสียงของแม่อดีตคนรักของเขานั่นเอง
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้เพราะอย่างไร โฉมเฉลาก็เป็นผู้ใหญ่กว่า
“สบายดีครับ” ภูวนนท์ตอบตามมารยาท
“จะไม่แนะนำคนข้างๆให้ฉันรู้จักหน่อยหรือ” โฉมเฉลาส่งสายตามองหญิงงสาวข้างๆชายหนุ่มอย่างสนใจใคร่รู้
“คงไม่ต้องหรอกมั้งครับ ผมขอตัวไปทำธุระก่อน สวัสดีครับ” ถ้าเป็นเมื่อก่อน ภูวนนท์ไม่มีทางที่จะกล้าพูดจาแบบนี้กับแม่อดีตคนรักแน่นอน แต่วันนี้เขาไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว และที่สำคัญเขามั่นใจ ที่ชิดจันทร์ทิ้งเขาไปแบบนี้ต้องเป็นฝีมือของแม่ของเธอแน่นอน
“ทำไมคุณพูดจาไม่ดีกับเขาแบบนั้นค่ะ” มินรญาสงสัยที่อยู่ดีๆ ภูวนนท์ก็ไม่ยอมแนะนำเธอและพูดจาแย่ๆ ใส่ผู้หญิงคราวแม่แบบนั้น แถมรีบฉุดมือเธอเดินหนีออกมาอย่างดูไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ ผมจะทำอะไร หรือจะพูดจาแย่ๆใส่ใครมันก็เรื่องของผม แค่แม่คุณมาเป็นเมียพ่อผม ผมคงไม่ต้องรายงานคุณทุกเรื่องมั้ง”
อารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของภูวนนท์ สร้างความสับสนวุ่นวายในความรู้สึกของมินรญา เธอตั้งใจจะมาหาทำเลเปิดสาขา เดินเที่ยวให้มีความสุข แต่กลับถูกลากมาให้รองรับอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ของผู้ชายที่เธอไม่ชอบหน้าเอาเสียเลย
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ปล่อยมือฉันสักที ต่างคนต่างเดิน ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องของคุณหนักหนาหรอก และจริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้แปลกใจอะไรหรอกที่เห็นคุณแสดงอาการที่ไร้มารยาทแบบนั้น เพราะมันก็เหมาะกับหน้าตาของคุณแล้ว อย่าสำคัญตัวผิดไปค่ะ คุณ....ภูวนนท์”
ด้วยความลืมตัว เขาจับมือเธอเสียแน่น เพื่อพาเดินหนีคุณนายโฉมเฉลา กว่าจะมารู้สึกตัว ก็โดนวาจาที่เชือดเฉือน ตอบโต้เขาอย่างทันควันของมินรญา เขาจึงรีบปล่อยมือเธออย่างรู้สึกเสียหน้า
จากที่ลงรถมาคนทั้งคู่คุยกันสนุกสาน แต่ตอนนี้บรรยากาศกลับตรงข้าม ต่างต่างเดิน มินรญาเดินนำหน้าไม่สนใจคนที่เดินมาด้วย ส่วนภูวนนท์เดินตามหลังอยู่ใกล้ๆ เหมือนเป็นองครักษ์ที่คอยดูแลอยู่ห่างๆ
“นี่คุณเดินเหนื่อยหรือยัง ผมหิวแล้วนะ” เมื่อเช้าเขากินข้าวมาน้อยเพราะต้องการจะประท้วงบิดา พอถึงมื้อกลางวันความหิวเริ่มรุกรานเขาอย่างหนัก จนต้องยอมพุดกับหยิงสาวที่เดินอยู่ด้านหน้าโดยไม่สนใจเขา
“ฉันไม่หิว คุณหิวก็ไปกินเลย”
“ไปเถอะเดี๋ยวผมเลี้ยง กลัวไม่มีเงินจ่ายหรือไง”
ถึงแม้ท้องจะหิว แต่ปากของเขาก็ยังไม่หยุดประชดประชัน เหน็บแนมคู่สนทนา ปากก็จิกกัดแต่มือก็เอื้อมไปคว้าแขนขาวเล็กดูอรชรอ่อนแอ้นของมินรญาดึงเธอเข้าไปร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ
คำพูดที่ดูถูกว่าเธอคงกลัวไม่มีเงินจ่ายค่าอาหาร ยังทำมินรญาทั้งโมโหทั้งหมั่นไส้ พยายามคิดหาทางแก้เผ็ดเอาคืนให้ได้
“สั่งอาหารเลย ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”
เมื่อเขาเป็นคนบอกให้เธอสั่งอาหารได้เลย ไม่ต้องรอเขา มินรญาคิดหาทางเอาคืนได้ทันที เธอเรียกพนักงานมารับออเดอร์อาหาร ทุกเมนูที่เธอสั่งถูกบอกให้จัดมาสามชุด ทำเอาพนักงานมองหน้าเธอด้วยความตกใจ
“คุณสั่งอะไรไปบ้าง” ภูวนนท์ถามหลังจากที่กลับมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ
“สั่งไปไม่กี่อย่างหรอกค่ะ รออาหารมาเดี๋ยวคุณก็รู้” มินรญาส่งยิ้มหวานอย่างมีเลศนัย
เพียงไม่กี่นาทีอาหารหลายสิบจานถูกวางบนโต๊ะ จนอาหารจานสุดท้ายถูกวางลง พนักงานทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ เพราะบนโต๊ะแทบจะไม่เหลือที่ว่างให้วางแก้วน้ำเลย
“คุณสั่งอะไรของคุณแบบนี้เนี่ย ใครจะกินเข้าไปหมด”
“กลัวไม่มีเงินจ่ายเหรอคะ” หยิงสาวได้ที่ย้อนคำพุดที่เขาเคยพูดกับเธออย่างสะใจ
“คุณแกล้งผมใช่ไหม คุณนี่มันร้ายกาจ ผมดูคุณไม่ผิดจริงๆ” ภูวนนท์ก้มหน้าพูดอย่างแค้นใจที่โดนเอาคืนอย่างทันควัน
อาหารบนโต๊ะถูกนำไปใส่ถุง เพราะทั้งสองคนกินไปเพียงเล็กน้อยทั้งนั้น เมื่อบิลค่าอาหารมาถึง ราคาที่พนักงานแจ้งทำเอามินรญาหัวเราะด้วยความสุขที่เอาคืนผู้ชายตรงหน้าได้
ภาพชายหนุ่มถือถุงอาหารสองไม้สองมือ ดูพะรุงพะรังไม่เข้ากับชุดที่ดูภูมิฐานของเขา ทำเอาคนที่เดินสวนไปสวนมา มองเขาด้วยสายตาสงสัย มินรญาได้แต่แอบยิ้มอยู่ด้านหลังเขาอย่างมีความสุข
สภาพของภูวนนท์ตอนนี้ทำให้ทั้งคู่ต้องกลับบ้าน เพราะคงจะเดินเที่ยวต่อม่ไหว และมินรญาเองก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน ท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนแล้ว และยังปรับตัวกับเวลาที่ต่างกันของฝรั่งเศสกับที่เมืองไทยไม่ได้
บทที่9นักแสดง “พี่ภูคะ ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย”พราวพลอยถามพี่ชายด้วยความสงสัย ที่ถือถุงกับข้าวมาทั้งสองมือ “อาหารร้านนี้อร่อย พี่ซื้อมาฝาก” ภูวนนท์คิดคำโกหกอย่างไม่ทันตั้งตัว “พราวนึกว่าพี่ภูจะซื้อมาเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านนะคะนี่ จะกินกันหมดไหม สงสัยต้องอร่อยมากๆแน่เลย เดี๋ยวพราวเอาไปจัดการในครัวก่อนนะคะ” มินรญาเดินยิ้มเยาะตามพราวพลอยเข้าไปในครัว ทิ้งให้คนเสียหน้ายืนกำมือแน่นอยุ่คนเดียว “ไปไหนกันมาคะ” คนถามแอบเห็นมินรญาเดินลงจากรถของพี่ชาย “ไปไหนคะ เอ่อ...เราไม่ได้ไปด้วยกันค่ะ” เมื่อถูกถามอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงตอบก็ฟังตะกุกตะกัน เหมือนพูดอยู่ในคอ “แต่พราวเห็นคุณมิ้นกลับมากับพี่ภูนะคะ คุณคงไม่เห็นพราว เพราะพราวมองมาจากหน้าต่างด้านบนค่ะ” “คุณภูเจอฉันกำลังเดินมาจาหน้าปากซอยเลยจอดรถแวะรับ เราไม่ได้ไปด้วยกันจริง ๆ ค่ะ” ถึงแม้จะรู้ว่ากำลังโดนไล่ต้อนให้พูดความจริง แต่เธอก็เลือกที่จะโกหกต่อดีกว่า เพราะไม่อยากให้ใครคิดว่าเธอกับภูวนนท์ไปไหนมาไหนด้วยกัน มินรญาไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับผู้ชายปากร้ายแบบนี้
“คุณภูวนนท์คุณไม่ต้องไปหรอกค่ะ ฉันกับแม่จะกินข้าวกันในครัว คุณสบายใจได้ กินข้าวให้อร่อยนะคะ” มินรญามองหน้าลูกชายของเจ้าของบ้านด้วยสายตาที่สุดจะทนกับการแสดงท่าทางรังเกลียดเธอและแม่อย่างออกนอกหน้า“มิ้นขอตัวนะคะ คุณลุง คุณพราว” พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้าเดินเข้าไปในครัวเช้าวันนี้กฤษฎาไปทำงานที่บริษัทพร้อมกับลูกชาย เพราะเขานัดมินตรานางเอกชื่อดังที่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโครงการหมู่บ้านจัดสรรโครงการใหม่ให้ นอกจากอยากจะให้ภูวนนท์ได้รู้จักในฐานะที่ต้องทำงานร่วมกัน เขายังหวังว่ามินตราจะทำให้ภูวนนท์หายเสียใจจากเรื่องของชิดจันทร์ เพราะนางเอกคนนนี้ มีความสวยและเสน่ห์ที่ชวนน่าหลงใหล ผู้ชายคนไหนเห็นก็คงต้องหลงรักแน่นอน“สวัสดีค่ะคุณกฤษฎา สวัสดีค่ะคุณภูวนนท์” เสียงนุ่มหวานของมินตราทำเอาภูวนนท์ต้องเงยหน้าจากการตั้งหน้าตั้งตาเซ็นเอกสาร จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่สนใจพรีเซ็นเตอร์คนที่พอหามา แต่ความสวยของเธอทำเอาเขาถึงกับมองเธอไม่กระพริบตา“สวัสดีครับคุณมินตรา” กฤษฎากล่าวทักทายและเชิญนางเอกสาวให้นั่งลงโซฟาใกล้ๆกับภูวนนท์“ผิงขออนุญาตเรียกว่าคุณอานะคะ คุณอาก็เรียกผิงเฉยๆ ก็ได้ค่ะ เรียกชื่อจริง ผิงว่ามันให้ความ
บทที่10ชุดซีทรูกับหนุ่มขี้เมา“เหมเดี๋ยวนี้ไม่มาดื่มที่บ้านเป็นเพื่อนกันเลยนะ” ภูวนนท์ส่งเสียงตามสายไปถึงเพื่อนสนิท ที่อยู่ดี ๆ ก็หายตัวเงียบไปตั้งแต่เสร็จงานศพของอภิรดี เหมราชก็แวะเวียนมาหาภูวนนท์ ที่บ้านเพียงไม่กี่ครั้ง ซึ่งปกติแล้ว เขาไม่เคยหายหน้าไปเกินสัปดาห์“ไม่ว่างเลยช่วงนี้ งานยุ่งว่ะ ไว้ว่างๆ เดี๋ยวแวะเข้าไปหา แค่นี้ก่อนนะ” เหมราชทำเสียงเหมือนคนกำลังยุ่งอยู่ และรีบตัดสายไป“อ้าว..ตาภู มายืนอะไรตรงนี้ ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน” กฤษฎาแปลกใจที่เห็นลูกชายมานั่งเล่นที่สวนหน้าบ้าน ทั้งที่แดดกำลังส่องลงมาตรงที่ภูวนนท์นั่งพอดี“ผมไม่อยากเข้าไปในบ้าน เข้าไปที่ไรนึกถึงคุณแม่ทุกที แต่อีกหน่อยผมก็คงจะคิดถึงน้อยลง เพราะข้าวของคุณแม่ คุณพ่อก็เก็บไปหมดแล้ว ยังดีที่ยังเหลือรูปแต่งงาน ไว้เตือนใจ ว่าคุณแม่รักทุกคนและทุกคนก็รักท่าน”คำพูดของลูกชายอันเป็นสุดที่รักของกฤษฎา เหมือนมีดกรีดลงมาในหัวใจของเขา ถึงจะเจ็บปวดเพียงใด ก็ได้แต่เก็บมันไว้ให้ลึกที่สุด ได้แต่หวังว่าสักวันลูกชายจะเข้าใจหัวใจของพ่อแก่ๆ คนนี้“ถึงไม่มีข้าวของเครื่องใช้ของแม่ แต่ความรักของแม่ยังอยู่ในหัวใจพ่อเสมอ ถ้าการที่พ่อนำของของแม
“เดี๋ยวน้องก็คงกลับ ไปกินข้าวก่อนเถอะ ไว้วันไหนลูกว่าง ค่อยลองคุยกับน้องดู”บนโต๊ะอาหารมีแค่เพียงพ่อกับลูกที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ฟ้ารุ่งเองก็ให้เหตุผลว่า ยังไม่หิวจะรอกินพร้อมกับมินรญา เพราะตอนนี้ทั้งมินรญาและพราวพลอยยังไม่มีใครกลับบ้านเลย แต่แตกต่างตรงที่มินรญาโทรบอกมารดาของเธอแล้ว ว่าวันนี้จะกลับดึกหน่อย เพราะได้ทำเลที่คิดว่าชอบแล้ว อยากนั่งดูบรรยากาศทั้งวันว่าเป็นอย่างไร จะแน่ใจว่าจะตกลงเอาดีไหม เพราะค่าเช่าก็ราคาสูงพอตัว“ผมขอตัวก่อนนะครับพ่อ ถ้าน้องกลับมาให้โทรกลับหาผมด่วน”ความจริงแล้วภูวนนท์อยากนั่งรอพราวพลอยจนกว่าจะกลับมา แต่เขาไม่อยากเห็นหน้าฟ้ารุ่ง โดยเฉพาะตอนที่พ่อกับเธอมองตากัน มันทำให้ภาพของแม่สมัยที่ยังไม่ป่วยกำลังกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันลอยมา จึงเลือกที่กลับไปรอที่บ้านของตัวเองดีกว่า“ทำไมคุณภูรีบกลับเสียล่ะคะ” ฟ้ารุ่งสงสัยเพราะเห็นกฤษฎาเดินมาหาตนที่ในครัวหลังบ้าน“ช่วงนี้อารมณ์ตาภูดูฉุนเฉียว คำพุดคำจา อารมณ์ เหมือนไฟที่กำลังพร้อมจะลุกตลอดเวลา แต่ไฟนั้นมันไม่ได้เผาใคร มันเผาตัวเขาเอง ผมเป็นห่วงลูก แต่ไม่รู้จะเตือนเขายังไง” กฤษฎาถอนหายใจอย่างกังวล“แต่ก่อนคุณภูไม่เป็นแบ
บทที่11เสียตัว “คุณรู้ไหมวันนี้ฉันเจอใครเมื่อช่วงหัวค่ำ” มินรญาเริ่มเรื่อง “ผมจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าวันๆ คุณไปเจอใครมาบ้าง จะพูดอะไรก็ไม่พูดตรงๆ อ้อมค้อมอยู่ได้ อยากอยู่กับผมนานๆ เหรอครับคุณน้องสาวคนใหม่” เหล้าไม่รู้กี่แก้วที่ภูวนนท์ดื่มเข้าไป มันยิ่งทำให้สีหน้า ท่าทางของเขายียวนกวนอารมณ์มากไปกว่าเดิม ที่ก็กวนใช่เล่นอยู่แล้ว “เฮ้อ...” หญิงสาวรวบรวมความอดทน ที่จะพูดต่อไป “วันนี้ฉันเจอน้องสาวคุณกับคุณเหมราช เขาสองคนมาเดินเที่ยวด้วยกัน” “แล้วไง..” ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่ภูวนนท์ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร “เขาเดินโอบเอว ใกล้ชิด ดูสนิทสนมมากกว่าคนรู้จัก ฉันก็บอกคุณไม่ถูก แต่ฉันเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ และคิดว่าคุณคงไม่รู้ว่าคุณพราวพลอยกบเพื่อนคุณสนิทสนมกันขนาดนี้” “เธอคิดว่าสองคนนั้น มีอะไรลึกซึ้งกันใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดฮึมฮำในลำคอ ก่อนจะยกแก้วเหล้าเพรียวๆ ขึ้นกินแก้วแล้วแก้วเล่า ทำเอาคู่สนทนาตกใจกลัวเขาจะเมามากกว่านี้ “ฉันไม่รู้ แต่คุณพอได้แล้ว จะดื่มอะไรขนาดนี้ เดี๋ยวก็เมาเละเทะกันพอดี” “เม
“อย่า...อย่าทำฉันเลย” เสียงที่เคยตะโกนกึ่งตะคอก เปลี่ยนเสียงฮึมฮำ สั่นระรัว เมื่อถูกลิ้นของชายหนุ่มคลคงวนรอบยอดอกที่อิ่มจนเต็มปาก “อื่มมม..หื่อ” ไม่มีคำมีแต่เสียงคลางในลำคอจากผู้รุกราน ที่ครางอย่างมีความสุขอยู่ข้างหูของหญิงสาวที่เนื้อตัวอ่อนระทวยไปหมด “อุ๊ย!” มินรญาสะดุ้งเมื่อมือหนาจับมือของเธอ ให้ไปสัมผัสกับท่อนความเป็นชายของเขา มินรญาหลับตาทันที เพราะไม่กล้ามองกลัวจะเห็นสิ่งที่ตัวเองกำลังสัมผัสอยู่ “จับ ผมบอกให้คุณจับ คุณจะทำอะไรกับมันก็ได้” เสี่ยงสั่นฮึมฮำอยู่ข้างหูหยิงสาว ในขณะที่มือก็ไล่ต่ำลงมาถึงจุดที่แสนจะเบาะบางสำหรับหญิงสาว มินรญาหนีบขาทั้งสองข้างเขาหากัน เพื่อปกป้อง แต่มันก้ต้านทานแรงของชายหนุ่มที่กำลังเดือดพล่านด้วยความร้อนในกายที่พุ่งสู่ขึ้นทุกขณะ จมูกโด่งปัดป้าย พร้อมงับขย้ำยอดอกสีระเรื่อ จนผู้เป็นเจ้าของสะท้านตามแรงดึงดูดกลืนที่ฟัดนัวเนียอย่างมันเขี้ยว ร่างบางบิดเราทรมาน เมื่อเขาทำราวกับจะกลืนกินวิญญาณของเธอไปเสียด้วยกัน นาที่นี้มินรญาทำอะไรไม่ถูก เธอหูอื้อตาลาย ไร้แรงดึงดันต่อต้าน ระทดระทวยปล่อยให้ช
แผลเป็นที่ใจหรือแค่เพียงฝัน “ไปไหนมาลูก แม่โทรหาหนูก็ไม่รับสาย ทำไมไม่โทรมาบอกแม่ว่าจะกลับดึก” ฟ้ารุ่งนั่งรอลูกสาวด้วยความเป็นห่วง “มิ้นขอโทษค่ะแม่ พอดีมิ้นไปดูหนังมา ไม่ได้เปิดเสียง เลยไม่รู้ว่าแม่โทรมา” เสียงตอบราบเรียบจนคนฟังสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติ “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก หน้าตาทำไมแดงเหมือนคนร้องไห้มา มีอะไรบอกแม่นะ ” คนเป็นแม่มองใบหน้าลูกสาวด้วยความสงสัย “ไม่มีค่ะแม่ มิ้นดูหนังมันเศร้า เลยร้องไห้แทบทั้งเรื่อง มิ้นขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ฟ้ารุ่งไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ลูกสาวบอกจะเป็นความจริงหรือโกหด แต่เขาเชื่อว่ามินรญาคงไม่ทำอะไรที่ผิดหรือไม่ควร หากลูกมีปัญหาจริงๆ คงยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้เธอฟัง เมื่อถึงเวลาลูกคงเล่าให้เธอฟังเอง “แต่งตัวเสร็จแล้ว ออกไปกินข้าวนะ แม่จัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” “แม่ล่ะคะ กินข้าวหรือยัง” “แม่กินเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะรอกินพร้อมลูกแต่เห็นมืดแล้วแม่เลยกินก่อน แม่ไปอาบน้ำก่อนนะ อย่าลืมออกไปกินล่ะ” ข้าวแต่ละคำถูกตักเข้าปากอย่างช้าๆ น้ำใสจากดวงตาคู่สวย ไหลลง
ผู้ใหญ่สองคนมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ สงสัย อยู่ดีๆ วันนี้ชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งหน้าขรึม ไม่พูดไม่จาในวงข้าว กลับมาถามหาหญิงสาวที่เขาไม่เคยจะสนใจแถมไม่ค่อยชอบด้วยซ้ำ“มิ้นเขาจะเปิดห้องเสื้อ เมื่อวานเขาไปดูทำเลมาแล้ว วันนี้เลยตั้งใจจะไปติดต่อทำสัญญา” ฟ้ารุ่งตอบตามที่มินรญาบอกเธอไว้ก่อนออกจากบ้าน“ถามถึงหนูมิ้นทำไมล่ะ ปกติหน้ายังไม่เห็นอยากจะมอง” กฤษฎาพูดแซวลูกชาย“ผมก็ถามในฐานะเจ้าของบ้าน มาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ กลับก็ค่ำมืด เช้าก็รีบออกไป และน้องล่ะครับพ่อ ผมไม่เห็นลงมากินข้าวเลย” คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงสิ่งที่มินรญาบอกกับเขาเมื่อคืน“นั่นก็อีกคนที่กลับดึก ป่านนี้ยังไม่ตื่นเลย เดี๋ยวสายๆก็คงออกไปไหนอีก” ผู้เป้นพ่อส่ายหัวให้กับลูกสาวที่กำลังเริ่มเป็นวันรุ่นเต็มตัว“น้องบอกคุณพ่อไหม ว่าที่ออกๆไปทุกวัน ไปไหน ไปกับใคร”“พ่อเคยถาม ก็บอกไปดูหนัง ไปบ้านเพื่อน ไปเดินเล่นซื้อของ บอกเบื่ออยู่บ้าน นั่น...ลงมาแล้วถามกันเอาเองเลย” พราวพลอยเดินลงมาจากห้องนอนชั้นสองทั้งชุดนอนเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ“นินทาอะไรพราวอยู่คะ” พราวพลอยลากเก้าอี้มานั่งข้างบิดากอดแขนอย่างออดอ้อนฟ้ารุ่งค่อยๆลุกออกจ