เยี่ยฟาง มีใจให้กับพี่ชายข้างบ้าน จางซีเหอ แต่กลับถูก อี้เฟิง เจ้านายของตนบังคับให้แต่งงาน เขาเทียบไม่ติดกับพี่ชายหน้าซื่อของเธอแม้แต่นิด คนหนึ่งก็รัก อีกคนก็ว่าที่สามี แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไร เมื่อความจริงปรากฏว่าทั้งสองคนเป็นคนคนเดียวกัน
Lihat lebih banyakเครื่องสำอางที่ถูกส่งมาพร้อมกับชุดแต่งกาย ถูกแต่งแต้มลงบนใบหน้าของเจ้าสาวอย่างประณีต เยี่ยฟางมองดูตัวเองในกระจกแล้วเผยรอยยิ้มออกมาให้แก่มารดาที่ช่วยจัดทรงผมให้เธออยู่“วันนี้เป็นวันดี เป็นวันมงคล ฉูฉู่ของแม่สวยที่สุด” กู่เหมยที่มองความงดงามของลูกสาว พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดี“แม่ยังเจ็บแผลอยู่ไหมคะ”“ก็ยังมีแปลบๆ อยู่บ้าง ไม่เป็นอะไรมากหรอก งานสำคัญของลูกสาวทั้งที ถึงจะเจ็บกว่านี้แม่ก็ไหว” น้ำตาของคนเป็นแม่แทบจะไหลด้วยความภูมิใจในขณะทั้งสองพูดคุยกันอยู่ เสียงรถยนต์ก็วิ่งมาจอดที่หน้าบ้านในยามเช้ามืดที่เงียบสงบนี้ เสียงรถยนต์ที่ดังขึ้นคงเรียกความสนใจจากเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ไม่น้อยเยี่ยฟางลุกขึ้นมองดูตัวเองในกระจก หลังจากวันนี้เป็นต้นไปเธอคงไม่สามารถมองหน้าจางซีเหอได้เหมือนเดิมแล้ว อยากเห็นหน้าเขาอีกสักครั้งก่อนจะไปแต่ก็รู้ว่าคงไม่มีหวัง“รถมาแล้วเราไปกันเถอะ” เยี่ยชงขึ้นมาเรียกทั้งสองสาว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความยินดี ก่อนที่จะมองมาที่ลูกสาวคนเดียวของตนแล้วยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“วันนี้ลูกสาวพ่อสวยที่สุด และกำลังจะกลายเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดในเซี่ยงไฮ้”“ค่ะพ่อ” เธอยิ้มใ
กู่เหมยนอนพักรักษาตัวจนบาดแผลเริ่มแห้ง ห้าวันที่ผ่านมาลูกสาวมาเยี่ยมเธอหลังเลิกงานแค่แป๊บเดียวก็ต้องรีบกลับไปที่บ้าน เหมือนกับว่ากำลังหลบหน้าเธออยู่ โดยใช้เหตุผลที่ว่ากลัวรถโดยสารประจำทางจะหมดก่อนเมื่อกลับมาถึงบ้านในเย็นวันศุกร์ กู่เหมยก็อยากลงมือเข้าครัวแต่ก็ถูกสามีและลูกสาวห้ามเอาไว้“คุณพักผ่อนเถอะ เก็บแรงเอาไว้”“เก็บแรงเอาไว้ทำอะไรหรือคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่งุนงง แล้วมองหน้าสามีและลูกสาวที่กำลังมองหน้ากันราวกับมีเรื่องปิดบังเธออยู่“งั้นลูกไปทำกับข้าวก่อนนะคะ พ่อกับแม่คุยกันไปก่อน” เยี่ยฟางบอกด้วยรอยยิ้มตั้งแต่วันที่เธอพยายามตัดใจจากจางซีเหอ หญิงสาวก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จากคนที่สดใสร่าเริงตอนนี้กลายเป็นคนเงียบขรึม และทำอะไรก็ระวังอยู่เสมอ“เกิดอะไรขึ้นคะคุณ” กู่เหมยหันไปถามสามีเยี่ยชงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะเล่าให้ภรรยาฟัง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากและภรรยาเองก็ไม่ใช่คนที่เก็บความลับอะไรอยู่ เขาจึงเปลี่ยนเรื่องราวเล็กน้อยเพื่อให้ภรรยาสบายใจ“คุณรู้จักอี้เฟิงใช่ไหม เจ้านายของลูกเราน่ะ”“ใช่ค่ะ เขาเป็นนักธุรกิจที่กำลังมีชื่อเสียงในแวดวงซื้อขายวัตถุโบราณ และประสบความสำเร็จตั้
“ฉันขอโทษที่กอดพี่” น้ำเสียงที่เจอสะอื้นเบาๆ พูดด้วยความรู้สึกผิด มือเรียวเล็กปล่อยมือจากลำตัวของเขา แล้วถอยห่างออกไปด้วยตนเองเธอกอดลาจางซีเหอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ตนจะมีพันธะ เป็นกอดแรกและอาจจะเป็นกอดสุดท้าย เธอจะจดจำความรู้สึกนี้เอาไว้ให้นานที่สุด“เลิกร้องได้แล้ว ตาบวมหมดแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ก็ยังทำเป็นพาซื่อไม่สงสัยเลยว่ากอดเขาด้วยเรื่องอะไรจางซีเหอพาหญิงสาวกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้ตะเกียบของเธอคีบอาหารแล้ววางใส่ถ้วยข้าวให้อย่างที่เคยทำตอนเด็กๆ พร้อมกับคิดหาคำพูดมาปลอบโยนอีกฝ่าย“ตอนเด็กๆ เธอบอกว่าเธอชอบกินผัก และกินผักอวดพี่อยู่เสมอ แต่จริงๆ แล้วพี่รู้ว่าเธอไม่ได้ชอบกินผักเลยสักนิด แต่เธอทำให้พี่รู้ว่าเธอเก่งและอยากได้รับคำชมจากพี่”หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของประโยคที่ฟังดูเป็นทางการกว่าแต่ก่อน ไม่เข้าใจว่าเขาจะสื่อความหมายว่าอย่างไรสักพักลู่จินหรงก็ยกอาหารที่อุ่นเข้ามาเพิ่ม พร้อมกับถ้วยข้าวของลูกชายวางให้แก่เขา“พี่ซีเหอจะบอกว่า อะไรที่มันฝืนใจแล้วไม่มีความสุขก็อย่าทำเพื่อคนอื่น ให้ทำอะไรเพื่อตนเองบ้าง อย่างนั้นหรือคะ” เธอถามตามความเข้าใจ“คิ
กระเป๋าเสื้อผ้าถูกนำไปวางเก็บเข้าในตู้เก็บของภายในห้องพักฟื้นของกู่เหมยเยี่ยชงเห็นดวงตาที่บอบช้ำไม่ต่างจากเมื่อวานก็รู้ได้ทันทีว่าลูกสาวผ่านการร้องไห้ก่อนจะมาที่นี่“เป็นอย่างไรบ้างฉูฉู่ เขาว่าอย่างไร”“เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะให้ลูกเอาเปรียบได้ค่ะ เขา..”“เขาทำไม”“เขาอยากหมั้นกับลูก งานจะถูกจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า” พูดจบเธอก็มองกู่เหมยที่ยังหลับอยู่ เพื่อมารดาแล้วให้ลำบากกว่านี้ตนก็ยินดีทำ เพราะมารดาเลี้ยงดูเธอมาอย่างยากลำบากตั้งแต่จำความได้“แม่น่าจะได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านในสัปดาห์หน้า ไม่รู้จะหายทันวันหมั้นหรือเปล่า” เยี่ยชงบอกบุตรสาวถึงแม้จะเป็นงานหมั้นที่บังหน้าหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผู้เป็นพ่อแม่จะไม่ไปร่วมงานก็คงไม่ได้“ลูกกลับก่อนนะคะ ไม่อยากให้แม่ตื่นมาเห็นแล้วเป็นห่วงจนอาการทรุด”“อืม กลับไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้พ่อจะดูแลเอง”“ค่ะ” หญิงสาววางกุญแจรถไว้คืนบิดา จากนั้นก็เดินกลับออกไปด้วยท่าทางที่ดูหม่นหมองในตอนนี้เยี่ยฟางเองที่กำลังตกอยู่ในความเศร้า เธอไม่อยากแสดงออกให้มารดาที่เจ็บป่วยรู้ว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไร เพราะอย่างไรกู่เหมยก็ดูออกและคงไม่สบายใจว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกสาวต้อ
“แต่สำหรับฉัน คุณเทียบเขาไม่ติดเลยสักนิด” ประโยคที่ออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่คู่หมั้น ทำให้อี้เฟิงรู้สึกไม่พอใจเขาคืออี้เฟิง คนที่ฉลาดในการปั่นราคา ผลักดันตัวเองจากคนธรรมดาที่ซื้อของในตลาดมืดนำมาปล่อยขาย จับทางธุรกิจค้าวัตถุโบราณ จนมีชื่อเสียงและก้าวมาสู่เศรษฐีคนหนึ่งในเขตเมืองใหม่อย่างผู่ตงทุกคนชื่นชมเขา และเขาก็ชื่นชมและภูมิใจในตัวเอง แต่เธอกลับบอกว่าเขาเทียบกับผู้ชายธรรมดา ที่ไม่มีอะไรดี นอกจากความขยันและกตัญญูอย่างที่เธอพูดมา แม้ว่าเขากับจางซีเหอจะเป็นคนคนเดียวกันก็เถอะ แต่ในฐานะอี้เฟิงเธอจะดูถูกเขาเกินไปแล้วเขาเกลียดตัวตนของจางซีเหอ เกลียดตัวเองที่อ่อนแอ เกลียดที่ให้จางเสิ่นหลอกให้เป็นผู้จัดการมรดกจนถูกโกงไป จางซีเหอคือคนที่ไร้ความสามารถแม้ในตอนที่สร้างเนื้อสร้างตัวได้ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะบอกมารดาของตน เพราะรอวันที่ตัวเองจะไปยืนในจุดสูงสุดก่อน เพื่อไม่ให้มารดาต้องพลอยเป็นกังวลกับแผนการของเขาที่จะเอาคืนจางเสิ่นจางซีเหอคนนั้นอ่อนแอ แต่อี้เฟิงคนนี้ต่างหากเล่าที่เป็นคนทำทุกอย่างจนมีวันนี้แววตาคมกริบและแข็งกร้าวมองน้องสาวข้างบ้าน เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาตนคอยช่ว
เสื้อผ้าของเยี่ยชงถูกจัดเก็บลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวังให้มีรอยยับน้อยที่สุด จากนั้นเยี่ยฟางก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อวานนี้ตอนที่มารดาของเธอเจ็บป่วยจนไม่กล้าที่จะไปรับการรักษา มันทำให้เธอรู้สึกได้ว่าชีวิตนั้นมันสั้นมากแค่ไหนโชคดีที่ได้รับเงินจากอี้เฟิงในการช่วยเหลือมารดาได้ทันท่วงที ไม่อย่างนั้นไม่อยากคิดเลยว่าเนื้อร้ายจะลุกลามไปถึงไหน และจะรักษาทันหรือไม่แม้ค่ารักษาจะแพงแสนแพง เพราะว่าแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการรักษานั้นเป็นหมอที่จบเฉพาะทางจากต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างรวมห้องพักและพยาบาลพิเศษไว้ ซึ่งไม่สามารถตัดรถส่วนใดออกไปได้การรักษาแผลผ่าตัดต้องทำอย่างระมัดระวังโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งราคาก็คงจะสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อยกับการบริการดูแลที่ดีอย่างนี้เธอลุกขึ้นมองตัวเองที่หน้ากระจก อี้เฟิงไม่ได้ต้องการแต่งงานกับเธอเพียงเพราะหน้าตาและความสวยงามนี้เขาเห็นแก่ตัวที่จะกู้ชื่อเสียงของตัวเอง ซึ่งนั่นก็โทษเขาไม่ได้หรอก มันเป็นเธอเองไม่ใช่หรือที่เมาแล้วขาดสติทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่เธอจะทำอย่างไรได้อี้เฟิงไม่เพียงแค่ชื่อเสียงเขาโด่งดังในแวดวงธุรกิจค้าของโบราณ แต่ก็ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับเข
เงินจำนวนสามพันหยวนไม่ใช่เงินน้อยๆ เลย แต่อี้เฟิงสามารถจัดหาให้เธอได้ และนำใส่ซองให้เธอถือเอาไว้ พร้อมกับให้รถไปส่งเธอเพื่อความปลอดภัย โดยไม่ได้ถามถึงเหตุผลและจุดหมายที่เธอกำลังจะไปเยี่ยฟางนำเงินจำนวนนั้นใส่กระเป๋าแล้วกอดเอาไว้แนบอก ระหว่างที่นั่งรถไปหญิงสาวก็ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น น้ำตาไหลรินไปตลอดทาง แม้แต่คนขับรถก็ยังไม่กล้าถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณผู้หญิงจะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ สายตาลอบสังเกตเธอผ่านกระจกมองหลังอยู่เป็นระยะ“โรงพยาบาลในเขตผู่ตงค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ยกชายเสื้อขึ้นปาดน้ำตาไม่อยากคิดเลยว่าเธอจะต้องขายศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อแลกกับเงินจำนวนเพียงสามพันหยวน ช่างน่าอดสูนักในความคิดเธอตอนนี้สุขภาพของมารดาต้องมาก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังเมื่อหญิงสาวชำระเงินค่าผ่าตัดเบื้องต้นจำนวน หนึ่งพันหยวนเสร็จแล้ว ก็เก็บส่วนที่เหลือเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำเคมีบำบัด หลังการผ่าตัดกู่เหมยยังต้องให้ยาต่อจนกว่าจะหายดี“ลูกไปเอาเงินมาจากไหน” เยี่ยชงถามบุตรสาวพร้อมกับมองดวงตาที่แดงช้ำของเธอ“เจ้านายของลูก อี้เฟิง” หญิงสาวตอบสั้นๆ สักพักน้ำต
เช้าวันเสาร์ เยี่ยฟางที่เพิ่งตื่นนอนในตอนเช้า เธอบิดตัวไปมาแล้วยืดแขนตรงเพื่อบิดขี้เกียจอีกที เมื่อวานนี้หลังจากกลับมาเธอก็หงุดหงิดและกังวลใจ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ดึกมากแล้วอี้เฟิง เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนาที่จะแต่งงานด้วย เขากลับขอแต่งงานกับเธอเพียงเพราะต้องการทำให้ภาพลักษณ์ของตนดูดีขึ้นมา“เห็นแก่ตัวที่สุด” หญิงสาวพึมพำออกมาเสียงเบา พาร่างเพรียวบางลุกเดินไปที่หน้าต่างแล้วชะเง้อมองบ้านข้างๆ แม้รู้ว่าจางซีเหอไม่ได้อยู่ที่บ้านในตอนนี้ แต่เธอก็ยังมองอย่างมีความหวัง ว่าเขาอาจจะทำธุระเสร็จเร็วก่อนกำหนดแล้วกลับมาก็ได้หญิงสาวเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลอง แล้วลงไปข้างล่าง เห็นว่าบิดากำลังพูดคุยกับมารดาด้วยท่าทางเครียด เพราะอีกฝ่ายปวดท้องอย่างรุนแรงตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ยังดื้อไม่ยอมไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล“แม่เป็นอะไรคะ” หญิงสาวถามเมื่อเห็นใบหน้านิ่ว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันของมารดา เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผากบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังอดกลั้นกับความเจ็บปวดอยู่“แม่ของลูกปวดท้องตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว พ่อบอกให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป ไม่รู้จะประหยัดเงินอะไรนักหนา เมื่อเช้าก็ลุกมาทำอาหารแต่เช้า ทำเสร็จก็มานั่
“วันนี้ประธานอี้มาทำงานแต่เช้า ปกติเขาต้องมาวันเสาร์อาทิตย์หรือไม่ก็ตอนที่พวกเราเลิกงานไปแล้วไม่ใช่เหรอ”“นั่นน่ะสิ นี่เพิ่งจะวันศุกร์เองทำไมเขามาได้ล่ะ หรือว่ามีแขกสำคัญ”การสนทนาของพนักงานสองคนที่พูดคุยกัน ดึงดูดความสนใจของเยี่ยฟางพี่กำลังทำงานอยู่สักพักก็มีคนเดินเข้ามาในห้องสำนักงานด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง “ใครคือเยี่ยฟาง”“ฉันค่ะ” หญิงสาวตอบรับแล้วมองดูคนที่ยืนตรงหน้า ถ้าจำไม่ผิดเขาคือที่ปรึกษาส่วนตัวของอี้เฟิง ซึ่งเป็นผู้ประสานงานและถ่ายทอดคำสั่งของอี้เฟิงเปรียบเสมือนตัวแทนของเขาการที่ถังจิ้งมาหาเธอด้วยตนเองแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่“ประธานอี้ให้คุณเข้าไปพบตอนนี้”“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันทำงานนี้เสร็จแล้วจะรีบขึ้นไป”“ผมขอย้ำอีกทีว่า ‘ตอนนี้’ ครับ” ถังจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแต่จริงจังเยี่ยฟางจึงวางมือจากงานในตอนนั้น แล้วรีบลุกขึ้นแทบจะทันที ท่ามกลางสายตาที่สงสัยของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่ตอนนี้ในหัวคงกำลังเกี่ยวโยงเรื่องที่อี้เฟิงเรียกพบ เข้ากับวีรกรรมที่เธอทำในงานเลี้ยงครั้งที่ผ่านมาเยี่ยฟางเดินตามถังจิ้งไปด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เดินจากห้องทำงานชั้นหนึ่งขึ้นชั้
อากาศที่หนาวเย็นกระทบผิวกาย ทำให้หญิงสาวที่นอนขดตัวในผ้าห่มดึงกระชับผ้าห่มนวมผืนหนาให้ขึ้นมาปิดถึงคอ วันหยุดแบบนี้เธออยากนอนต่ออีกนิดกลิ่นหอมของผ้าห่มไม่คุ้นเอาเสียเลย พลางคิดว่ามารดาของตนเปลี่ยนผงซักฟอกหรือไม่‘แต่ผ้าห่มบ้านเราไม่ใช้เนื้อผ้าแบบนี้นี่’ เมื่อนึกได้ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างเยี่ยฟางรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ภายในห้องสีควันบุหรี่ที่ไม่คุ้นตาความทรงจำสุดท้ายคือตอนที่เธออยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับลูกค้า ที่เข้ามาดูวัตถุโบราณที่เตรียมจะประมูลในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า และถูกลูกค้ากลุ่มนั้นคะยั้นคะยอให้ดื่มไวน์ไปหลายแก้ว เธอจึงดื่มเพื่อเอาใจพวกเศรษฐีเอาแต่ใจพวกนั้น จากนั้นภาพก็ตัดมาอยู่ที่นี่“ฟื้นแล้วเหรอ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความราบเรียบและหงุดหงิดนั้น ทำให้หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า อยู่ในชุดสูทราคาแพงในรูปแบบชาติตะวันตกที่กำลังเป็นที่นิยม ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก“ท่านประธานอี้” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจจากนั้นนึกได้ว่านี่อาจจะเป็นห้องของเขา และเธอกำลังนอนสุขสบายอย...
Komen