การสนทนาระหว่างแม่ลูกบนโต๊ะอาหาร และท่าทางพุ้ยข้าวของลูกสาวดึงดูดสายตาของเยี่ยชงผู้เป็นบิดา เขากระแอมขึ้นเบาๆ
เยี่ยฟางจึงกินอย่างสุภาพขึ้น เพราะรู้ว่าบิดานั้นเคร่งในเรื่องมารยาทมากแค่ไหน การแต่งกายแบบดั้งเดิม มารยาทหญิง แม้แต่งานที่เธอทำ สาขาที่เธอเรียน ล้วนแต่เป็นเขาเลือกให้ทั้งสิ้น
“จริงสิ เมื่อเช้านี้ป้าลู่ทำซาลาเปาผักมาให้ แล้วยังมีเสี่ยวหลงเปาแต่เย็นแล้ว เดี๋ยวแม่อุ่นให้” กู่เหมยชวนเปลี่ยนเรื่องพูดคุย แล้วยิ้มให้ลูกสาวที่เธอเตือนแล้วว่าให้กินดีๆ แต่อีกฝ่ายไม่ฟังจนถูกเยี่ยชงส่งสัญญาณเตือนให้
“กินเสร็จแล้ว ต้องไปขอบคุณป้าลู่เสียหน่อย”
“อยากไปขอบคุณป้าลู่หรือว่าอยากไปหาซีเหอกันแน่ ฉูฉู่” เยี่ยชงเรียกชื่อเล่นของเธอ รู้ทันว่าบุตรสาวนั้นแอบมีใจให้กับลูกชายของเพื่อนบ้านมาตั้งแต่ที่อีกฝ่ายย้ายมาอยู่เมื่อสิบสองปีก่อน
“พ่อ ลูกก็ต้องไปหาป้าลู่สิคะ” เธอพูดอย่างเอียงอาย มีเรื่องนี้ที่บิดาไม่ต่อว่า เพราะจางซีเหอเป็นคนดี ขยันขันแข็ง และกตัญญู
เยี่ยชงยิ้มอย่างพอใจกับท่าทางที่เขินอายแล้วพุ้ยข้าวคำเล็กลงเพราะมัวแต่ยิ้มเขิน ตอนนั้นจำได้ว่าสองแม่ลูกย้ายมาอยู่บ้านข้างๆ ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ทั้งคู่เหลืออยู่ และภรรยาของเขาก็ไปผูกมิตรด้วย
จางซีเหอเป็นเด็กขยัน วัยเพียงสิบขวบก็รับจ้างแบกดินขนทรายทำงานก่อสร้าง เพื่อแลกกับเงินและคูปองจับจ่ายสินค้า ในการเลี้ยงดูมารดาที่ตอนนั้นเจ็บๆ แอดๆ ไม่สามารถทำงานหนักได้
เด็กทั้งสองสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว เพราะจางซีเหอฉลาดและหัวไว ช่วยสอนการบ้านให้แก่เยี่ยฟางแลกกับอาหารทั้งสามมื้อที่บ้านสกุลเยี่ยแบ่งให้
เมื่อจางซีเหอสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ปักกิ่ง เขาจะพาลู่จินหรงไปด้วย แต่เธอไม่อยากไปเป็นภาระลูกชาย เธอเป็นลูกมือของกู่เหมยในการทำบะหมี่ขายและมีรายได้เลี้ยงดูตัวเองได้
ดังนั้นเมื่อเขาไปเรียนต่อต่างเมือง จึงได้ฝากให้สกุลเยี่ยดูแลมารดาของเขาให้ เพราะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรมารดาก็ไม่ยอมย้ายตามไปอยู่ด้วย
บุญคุณที่สกุลเยี่ยมีต่อครอบครัวของเพื่อนบ้าน จึงทำให้จางซีเหอและมารดานั้นสำนึกอยู่เสมอ
“ให้ลูกไปเถอะค่ะ คุณก็น่าจะรู้ว่าลูกสาวเราห้ามได้เสียที่ไหน” กู่เหมยเดินออกมาพร้อมกับจานเสี่ยวหลงเปาที่ไปอุ่นมาเพิ่ม เยี่ยฟางยิ้มเอียงอายเมื่อมารดานั้นรู้เท่าทันความคิดของตน
หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดเธอมีใจให้จางซีเหอมาโดยตลอดก็จริง แต่เขาไม่เคยมีใจให้เธอเลยสักนิด แม้จะทำดีด้วยแต่ก็ทำตัวห่างเหิน แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการเป็นเพียงพี่ชายเท่านั้นไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น
ดังนั้นการเข้าหาเขาทางลู่จินหรง จึงเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เธอสมหวังในความรัก
ในตอนบ่ายรถเก๋งสภาพกลางใหม่กลางเก่า ที่จางซีเหอหาซื้อมือสองมาใช้ในการขับขี่ไปทำงานในตัวเมือง ก็ได้มาจอดที่หน้าบ้านของเขา
เยี่ยฟางเปิดผ้าม่านส่องออกไปเห็นเจ้าของร่างสูงโปร่ง ทรงผมที่ตกลงมาถึงหน้าผากพร้อมกับแว่นตาหนาเตอะที่เขาสวมใส่
เขากำลังเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปในบ้าน เธอก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยแววตาที่เป็นประกายสดใส
“พ่อคะ ลูกขอแบ่งลูกพลับกับส้มนี้นะคะ” หญิงสาวกล่าวเสียงสดใส แล้วนำผลไม้ที่มารดาซื้อมาจัดใส่ตะกร้าเตรียมนำไปให้แก่ลู่จินหรง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการพบหน้ากับพี่ชายที่เธอแอบรัก
เยี่ยชงส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันไปมองภรรยาที่ยิ้มอย่างรู้เท่าทันความคิดของหญิงสาว
ทำไมพวกตนจะไม่รู้ในเมื่อเยี่ยฟางเลี้ยงมากับมือ ลูกสาวคิดอย่างไรจะทำอะไรผู้เป็นพ่อแม่ย่อมรู้ทันหมด
“เดินดีๆ ล่ะ อย่าวิ่งให้ขายหน้าแล้วหกล้มเหมือนตอนเด็กๆ ล่ะ”
“ค่ะ แม่” หญิงสาวรับปากด้วยน้ำเสียงที่สดใส
จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เดินถือตะกร้าผลไม้ไปด้วยท่าทีที่เรียบร้อยและอ่อนหวานจนมารดายิ้มเอ็นดู
“ถ้าซีเหอมีคนรักที่ไม่ใช่ลูกเรา ฉูฉู่จะต้องเสียใจมากแน่” กู่เหมยไม่อยากคิดเลย หากจางซีเหอไม่ได้รักชอบเธอแล้วมีคนรัก ลูกสาวของตนจะทนได้อย่างไรไหว
แอบรักเขามาตั้งสิบกว่าปี ขนาดเรียนจบมัธยมปลายแล้วจะตามไปเรียนที่ปักกิ่งด้วยกัน แต่ว่าสอบไม่ติดจึงได้เรียนอยู่ที่เซี่ยงไฮ้แทน ความคลั่งรักนี้แม่แต่เยี่ยชงที่เคร่งครัดเองก็ไม่อาจห้ามบุตรสาวเรื่องนี้ได้
“ป้าลู่อยู่ไหมคะ ฉันเอาส้มมาให้” หญิงสาววัยยี่สิบสองในชุดดั้งเดิมที่สุภาพ ร้องเรียกอยู่ที่หน้าบ้านทั้งๆ ที่รู้ว่าลู่จินหรงไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน
เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ก็บอกให้ลูกชายไปเปิดประตูต้อนรับแขกประจำของบ้านตนเอง
“เปิดประตูให้อาฟางหน่อยสิอาเหอ เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ มีอะไรก็แบ่งปันตลอด ลูกว่าไหม” จึงหันไปถามบุตรชาย
เขาได้แต่ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป จากนั้นก็เดินออกไปเปิดประตูรั้วให้เธอเข้ามา แล้วยิ้มให้ตามมารยาท
“ฉันเห็นพี่ทำงานเจ็ดวันไม่เคยหยุด วันนี้หยุดได้เหรอคะ” เธอชวนเขาสนทนาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“เมื่อวานไปค้างต่างเมืองมาน่ะ วันนี้เลยหยุด” เขาตอบแล้วเดินนำหน้าไปตามทางเดินเข้าสู่ตัวบ้าน
หญิงสาวอมยิ้มเดิมตามหลังจางซีเหอไป จากนั้นเขาก็เปิดประตูบ้านอ้าออกกว้าง ต้อนรับให้เธอเข้าไปในบ้านของเขา
“ป้าลู่ ฉันได้ส้มสดๆ มาจากตลาด และลูกพลับนี่หวานกรอบมาก เลยแบ่งมาให้กินด้วยกันค่ะ” หญิงสาวประจบประแจงลู่จินหรง แล้วชายตามองไปยังบุรุษท่าทางจริงจัง ที่กำลังเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานใกล้ๆ
“ใจดี มีน้ำใจ เรียบร้อยอ่อนหวาน อายุขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีแฟน ไม่รู้บ้านไหนจะมีวาสนาได้อาฟางไปเป็นลูกสะใภ้” ลู่จินหรงพูดแล้วปรายตามองลูกชาย
จางซีเหอทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดาพูด เขายังไม่อยากมีพันธะกับใคร โดยเฉพาะเยี่ยฟางที่เห็นมาตั้งแต่เด็กและเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ อีกอย่างเขาไม่ชอบคนที่เป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อนด้วย
“นั่นสิครับ ไม่รู้ว่าบ้านไหนจะโชคดี นี่หากแม่มีน้องชายอีกคน ผมอาจได้อาฟางเป็นน้องสะใภ้แล้ว” เขาพูดด้วยท่าทางซื่อๆ จากนั้นก็หยิบเอกสารขึ้นมา ไม่ได้สนใจอะไร
เยี่ยฟางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ อีกทั้งจางซีเหอก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ทำตัวใสซื่อ ไร้พิษสง ชอบเก็บตัว พูดน้อย และพูดตรง
“ตั้งแต่พี่ซีเหอไปเรียนต่อ เราก็ไม่ได้เจอกันเลยตั้งสี่ปี พอกลับมาพี่ก็ออกไปทำงานแต่เช้า กลับมาก็ดึก เราไม่ค่อยได้เจอกันเลย ฉันยังจำได้ตอนเด็กๆ พี่ช่วยสอนการบ้าน ตอนนั้นเราสนิทกันมาก” หญิงสาวพยายามเปลี่ยนเรื่องชวนคุย ตั้งแต่เขาเรียนจบกลับมาทำงาน เธอพยายามจะหาเรื่องพูดคุยกับเขา แต่ตอนนั้นเรียนปีสุดท้ายจึงไม่มีโอกาสเลย
จนกระทั่งตอนนี้เธอเรียนจบและทำงานแล้ว แม้จะเป็นเพียงเป็นพนักงานฝึกหัดก็ตาม แต่เธอก็โตพอจะพูดคุยเรื่องความรักกับเขาได้แล้ว
“ใช่แล้วอาฟาง ตอนนั้นเราสนิทกันมากเลย แต่ว่าตอนนี้เราไม่ได้สนิทกันแล้ว น่าเสียดายนะ” เขาพูดแล้วยิ้มออกมา
ท่าทางการพูดที่ดูซื่อๆ และเข้าใจอะไรยากนั้น ทำให้เยี่ยฟางถอนหายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาแกล้งทำหรือว่าไม่รู้จริงๆ กันแน่ ว่าเธอกำลังให้มีใจให้เขาอยู่
************************
บรรยากาศที่อึดอัดระหว่างเยี่ยฟางที่พยายามชวนพูดคุยรื้อฟื้นความหลัง กับลูกชายที่แสนซื้อของตน ทำให้ลู่จินหรงต้องรีบปลอบใจ เพราะตอนนี้หญิงสาวหน้าเสียจนซีดลงแล้ว“อย่าสนใจเลยลูกชายของป้าเลย ซื่อบื้อขนาดนี้ดีนะที่เรียนจบ เขาเรียกเก่ง ฉลาด ทำงานบัญชีได้ แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องหัวใจถึงได้ไม่เข้าใจอะไรเลย” ลู่จินหรงกระซิบบอกแก่เด็กสาวข้างบ้าน ที่ตอนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งแล้วเธอพยักหน้าเบาๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกเหมือนถูกจางซีเหอตบหน้าด้วยท่าทางที่เหมือนจะซื่อแต่เป็นการปฏิเสธทางอ้อมของเขา“จริงสิ ป้าได้ข่าวว่าทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ ดีจังเลยนะ พอเรียนจบมาก็ได้ทำงานเลย”“ใช่ค่ะ ฉันทำงานที่บริษัทหลี่โถว เป็นกิจการซื้อขายวัตถุโบราณ เพิ่งเริ่มทำได้แค่สัปดาห์เดียวเองค่ะ” เยี่ยฟางตั้งใจพูดให้พี่ชายแสนซื่อได้ยิน หากเขารู้ว่าเธอทำงานแล้วอาจจะมองเธอเป็นผู้ใหญ่ขึ้น“ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว ได้งานทำก็ดีแล้ว” พูดจบลู่จินหรงก็ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายชวนลูกชายคนพูดคุยต่อเยี่ยฟางจึงกะพริบตาไล่น้ำตาออกไป เรื่องนี้ลู่จินหรงก็สนับสนุน พ่อแม่ฝ่ายเธอก็ไม่ได้ห้าม เหลือแค่จางซีเหอเท่านั้นที่เธอจะต้องพิชิตใจเขาให้ได้“พี่ซีเหอคะ ฉัน
ในตอนเย็น จางซีเหอกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าปกติ ทันรับประทานมื้อเย็นร่วมกับมารดาของตน“กลับดึกทำงานล่วงเวลาแทบทุกวัน วันนี้กลับเร็วได้เสียทีนะ วันนี้แม่ทำบะหมี่เอาไว้ ไม่ได้ทำมาหลายเดือนแล้วไม่รู้จะยังรสชาติดีอยู่ไหม” ลู่จินหรงกล่าวด้วยความยินดี เมื่อเย็นนี้มีลูกชายมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยจางซีเหอยิ้มรับ ก่อนหน้านี้มารดาเป็นลูกมือคุณนายเยี่ยในการขายบะหมี่ที่แผงลอยข้างถนน ได้สูตรทำบะหมี่มาก็อยากจะเปิดร้านขายเองเพราะกู่เหมยมีปัญหาด้านสุขภาพจึงหยุดขายไปก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่อยากให้มารดาทำงานหนักจึงขอร้องเอาไว้“เงินที่ผมให้แม่ใช้เดือนละสี่สิบหยวน พอหรือไม่” เขาถามเมื่อเห็นว่ามารดายังใส่เสื้อผ้าเก่าอยู่ ไม่ยอมซื้อใหม่เสียที“เงินเดือนลูกก็เจ็ดสิบหยวน ให้แม่ใช้ตั้งสี่สิบหยวน ใครจะไปใช้หมด”“โธ่ แม่ครับ บริษัทที่ผมทำงานอยู่เป็นบริษัทต่างชาติที่มีเงินทุนหนาแน่น เงินเดือนผมก็เยอะกว่าทำที่อื่น สวัสดิการอาหารกลางวัน สวัสดิการน้ำมันรถในการเดินทาง สามสิบหยวนผมแทบไม่ได้ซื้ออะไรเลย” เขาบอกให้มารดาวางใจ“แม่ก็ใช้ไม่ถึงเดือนละยี่สิบหยวนด้วยซ้ำ แต่ก่อนช่วยคุณนายเยี่ย แม่ใช้แค่เดือนละสิบหยวนเอง ไหนลูกจะทำงานพิเ
หลังจากกลับมาถึงบ้านได้ไม่นานเยี่ยฟางก็รู้สึกว่ายังไม่สบายใจเกี่ยวกับวีรกรรมที่ตนได้ทำลงไปแม้เรื่องที่ด่าทอลูกค้าและทำลายข้าวของบริษัทเธอก็ได้รับใบเตือนจากฝ่ายบุคคลแล้ว แต่ว่าเรื่องที่เธอคว้าคอเสื้ออี้เฟิงมาจูบแล้วเรียกเขาว่าสามี มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอถูกมองว่ากำลังใฝ่สูงอยากเข้าหาเขา บางคนบอกว่าเธอเป็นภรรยาลับๆ ของอี้เฟิงด้วยซ้ำ“ไม่สิ ฉันต้องลืมมัน ฉันต้องลืมมัน เขายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเขาคงไม่สนใจเรื่องเล็กๆ แค่นี้หรอก”หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง เดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดม่านมองดูพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้า พร้อมกับชะเง้อมองที่หน้าบ้านหลังข้างๆ ป่านนี้แล้วจางซีเหอยังไม่กลับ ไม่รู้ว่าเขาจะขยันทำงานอะไรนักหนาสักพักรถที่คุ้นตาก็แล่นมาจอดที่ถนนหน้าบ้านตรงที่ประจำ เพราะในบ้านของเขาคับแคบเกินกว่าที่จะจอดรถเอาไว้ได้ จึงอาศัยจอดที่ข้างถนนมาตลอดเธอจ้องมองร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย สีหน้าของเขาวันนี้ราวกับมีเรื่องให้ต้องคิดหนักและมีความเคร่งเครียดชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองถูกจ้องมองก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของดวงตานั้นมาจากทิศไหน เขาเงยหน้าขึ้นมองยังชั้นสองของบ้านไม้สองชั้นที่อยู่ข้างๆ มอ
“วันนี้ประธานอี้มาทำงานแต่เช้า ปกติเขาต้องมาวันเสาร์อาทิตย์หรือไม่ก็ตอนที่พวกเราเลิกงานไปแล้วไม่ใช่เหรอ”“นั่นน่ะสิ นี่เพิ่งจะวันศุกร์เองทำไมเขามาได้ล่ะ หรือว่ามีแขกสำคัญ”การสนทนาของพนักงานสองคนที่พูดคุยกัน ดึงดูดความสนใจของเยี่ยฟางพี่กำลังทำงานอยู่สักพักก็มีคนเดินเข้ามาในห้องสำนักงานด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง “ใครคือเยี่ยฟาง”“ฉันค่ะ” หญิงสาวตอบรับแล้วมองดูคนที่ยืนตรงหน้า ถ้าจำไม่ผิดเขาคือที่ปรึกษาส่วนตัวของอี้เฟิง ซึ่งเป็นผู้ประสานงานและถ่ายทอดคำสั่งของอี้เฟิงเปรียบเสมือนตัวแทนของเขาการที่ถังจิ้งมาหาเธอด้วยตนเองแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่“ประธานอี้ให้คุณเข้าไปพบตอนนี้”“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันทำงานนี้เสร็จแล้วจะรีบขึ้นไป”“ผมขอย้ำอีกทีว่า ‘ตอนนี้’ ครับ” ถังจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแต่จริงจังเยี่ยฟางจึงวางมือจากงานในตอนนั้น แล้วรีบลุกขึ้นแทบจะทันที ท่ามกลางสายตาที่สงสัยของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่ตอนนี้ในหัวคงกำลังเกี่ยวโยงเรื่องที่อี้เฟิงเรียกพบ เข้ากับวีรกรรมที่เธอทำในงานเลี้ยงครั้งที่ผ่านมาเยี่ยฟางเดินตามถังจิ้งไปด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เดินจากห้องทำงานชั้นหนึ่งขึ้นชั้
เช้าวันเสาร์ เยี่ยฟางที่เพิ่งตื่นนอนในตอนเช้า เธอบิดตัวไปมาแล้วยืดแขนตรงเพื่อบิดขี้เกียจอีกที เมื่อวานนี้หลังจากกลับมาเธอก็หงุดหงิดและกังวลใจ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ดึกมากแล้วอี้เฟิง เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนาที่จะแต่งงานด้วย เขากลับขอแต่งงานกับเธอเพียงเพราะต้องการทำให้ภาพลักษณ์ของตนดูดีขึ้นมา“เห็นแก่ตัวที่สุด” หญิงสาวพึมพำออกมาเสียงเบา พาร่างเพรียวบางลุกเดินไปที่หน้าต่างแล้วชะเง้อมองบ้านข้างๆ แม้รู้ว่าจางซีเหอไม่ได้อยู่ที่บ้านในตอนนี้ แต่เธอก็ยังมองอย่างมีความหวัง ว่าเขาอาจจะทำธุระเสร็จเร็วก่อนกำหนดแล้วกลับมาก็ได้หญิงสาวเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลอง แล้วลงไปข้างล่าง เห็นว่าบิดากำลังพูดคุยกับมารดาด้วยท่าทางเครียด เพราะอีกฝ่ายปวดท้องอย่างรุนแรงตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ยังดื้อไม่ยอมไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล“แม่เป็นอะไรคะ” หญิงสาวถามเมื่อเห็นใบหน้านิ่ว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันของมารดา เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผากบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังอดกลั้นกับความเจ็บปวดอยู่“แม่ของลูกปวดท้องตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว พ่อบอกให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป ไม่รู้จะประหยัดเงินอะไรนักหนา เมื่อเช้าก็ลุกมาทำอาหารแต่เช้า ทำเสร็จก็มานั่
เงินจำนวนสามพันหยวนไม่ใช่เงินน้อยๆ เลย แต่อี้เฟิงสามารถจัดหาให้เธอได้ และนำใส่ซองให้เธอถือเอาไว้ พร้อมกับให้รถไปส่งเธอเพื่อความปลอดภัย โดยไม่ได้ถามถึงเหตุผลและจุดหมายที่เธอกำลังจะไปเยี่ยฟางนำเงินจำนวนนั้นใส่กระเป๋าแล้วกอดเอาไว้แนบอก ระหว่างที่นั่งรถไปหญิงสาวก็ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น น้ำตาไหลรินไปตลอดทาง แม้แต่คนขับรถก็ยังไม่กล้าถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณผู้หญิงจะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ สายตาลอบสังเกตเธอผ่านกระจกมองหลังอยู่เป็นระยะ“โรงพยาบาลในเขตผู่ตงค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ยกชายเสื้อขึ้นปาดน้ำตาไม่อยากคิดเลยว่าเธอจะต้องขายศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อแลกกับเงินจำนวนเพียงสามพันหยวน ช่างน่าอดสูนักในความคิดเธอตอนนี้สุขภาพของมารดาต้องมาก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังเมื่อหญิงสาวชำระเงินค่าผ่าตัดเบื้องต้นจำนวน หนึ่งพันหยวนเสร็จแล้ว ก็เก็บส่วนที่เหลือเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำเคมีบำบัด หลังการผ่าตัดกู่เหมยยังต้องให้ยาต่อจนกว่าจะหายดี“ลูกไปเอาเงินมาจากไหน” เยี่ยชงถามบุตรสาวพร้อมกับมองดวงตาที่แดงช้ำของเธอ“เจ้านายของลูก อี้เฟิง” หญิงสาวตอบสั้นๆ สักพักน้ำต
เสื้อผ้าของเยี่ยชงถูกจัดเก็บลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวังให้มีรอยยับน้อยที่สุด จากนั้นเยี่ยฟางก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อวานนี้ตอนที่มารดาของเธอเจ็บป่วยจนไม่กล้าที่จะไปรับการรักษา มันทำให้เธอรู้สึกได้ว่าชีวิตนั้นมันสั้นมากแค่ไหนโชคดีที่ได้รับเงินจากอี้เฟิงในการช่วยเหลือมารดาได้ทันท่วงที ไม่อย่างนั้นไม่อยากคิดเลยว่าเนื้อร้ายจะลุกลามไปถึงไหน และจะรักษาทันหรือไม่แม้ค่ารักษาจะแพงแสนแพง เพราะว่าแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการรักษานั้นเป็นหมอที่จบเฉพาะทางจากต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างรวมห้องพักและพยาบาลพิเศษไว้ ซึ่งไม่สามารถตัดรถส่วนใดออกไปได้การรักษาแผลผ่าตัดต้องทำอย่างระมัดระวังโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งราคาก็คงจะสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อยกับการบริการดูแลที่ดีอย่างนี้เธอลุกขึ้นมองตัวเองที่หน้ากระจก อี้เฟิงไม่ได้ต้องการแต่งงานกับเธอเพียงเพราะหน้าตาและความสวยงามนี้เขาเห็นแก่ตัวที่จะกู้ชื่อเสียงของตัวเอง ซึ่งนั่นก็โทษเขาไม่ได้หรอก มันเป็นเธอเองไม่ใช่หรือที่เมาแล้วขาดสติทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่เธอจะทำอย่างไรได้อี้เฟิงไม่เพียงแค่ชื่อเสียงเขาโด่งดังในแวดวงธุรกิจค้าของโบราณ แต่ก็ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับเข
“แต่สำหรับฉัน คุณเทียบเขาไม่ติดเลยสักนิด” ประโยคที่ออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่คู่หมั้น ทำให้อี้เฟิงรู้สึกไม่พอใจเขาคืออี้เฟิง คนที่ฉลาดในการปั่นราคา ผลักดันตัวเองจากคนธรรมดาที่ซื้อของในตลาดมืดนำมาปล่อยขาย จับทางธุรกิจค้าวัตถุโบราณ จนมีชื่อเสียงและก้าวมาสู่เศรษฐีคนหนึ่งในเขตเมืองใหม่อย่างผู่ตงทุกคนชื่นชมเขา และเขาก็ชื่นชมและภูมิใจในตัวเอง แต่เธอกลับบอกว่าเขาเทียบกับผู้ชายธรรมดา ที่ไม่มีอะไรดี นอกจากความขยันและกตัญญูอย่างที่เธอพูดมา แม้ว่าเขากับจางซีเหอจะเป็นคนคนเดียวกันก็เถอะ แต่ในฐานะอี้เฟิงเธอจะดูถูกเขาเกินไปแล้วเขาเกลียดตัวตนของจางซีเหอ เกลียดตัวเองที่อ่อนแอ เกลียดที่ให้จางเสิ่นหลอกให้เป็นผู้จัดการมรดกจนถูกโกงไป จางซีเหอคือคนที่ไร้ความสามารถแม้ในตอนที่สร้างเนื้อสร้างตัวได้ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะบอกมารดาของตน เพราะรอวันที่ตัวเองจะไปยืนในจุดสูงสุดก่อน เพื่อไม่ให้มารดาต้องพลอยเป็นกังวลกับแผนการของเขาที่จะเอาคืนจางเสิ่นจางซีเหอคนนั้นอ่อนแอ แต่อี้เฟิงคนนี้ต่างหากเล่าที่เป็นคนทำทุกอย่างจนมีวันนี้แววตาคมกริบและแข็งกร้าวมองน้องสาวข้างบ้าน เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาตนคอยช่ว
หนึ่งปีต่อมามูลนิธิอี้เฟิงถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยใช้ที่ดินของสกุลจางที่อี้เฟิงได้คืนมาในการสร้างเป็นศูนย์ช่วยเหลือเด็กกำพร้าและผู้ยากไร้ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ตอนนี้อี้เฟิงเป็นผู้ทรงอำนาจในวงการค้าขายวัตถุโบราณและเป็นนักธุรกิจที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถบางคนรู้ตัวตนของเขาเพราะอี้เฟิงไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป แต่หลายคนก็ไม่รู้พื้นเพของนักธุรกิจคนนี้ รู้แค่เพียงว่าอี้เฟิงถอดหน้ากากออกแล้ว และไม่ได้อัปลักษณ์อย่างที่เขาเล่าลือกัน เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีและมีความสามารถที่อยากปิดบังตัวตนเท่านั้นเยี่ยฟางตอนนี้ใช้ความสามารถเข้ามาทำงานในแผนกประมูลงานได้สมดั่งความตั้งใจ เธอได้รับความไว้ใจให้เป็นคนวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า และศึกษาพฤติกรรมและความชอบของคนที่มีความเป็นไปได้ที่อยากได้วัตถุโบราณชิ้นสำคัญนอกจากนี้ยังได้เรียนรู้จากอาจารย์เฉิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณ เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและวิธีการตรวจสอบของแท้ด้วยวิธีดั้งเดิม ซึ่งเป็นคนที่สอนอี้เฟิงจนมายืนในจุดนี้“อาฟาง กลับบ้านเถอะ” อี้เฟิงลงมาเรียกภรรยาด้วยตัวเอง หากเป็นวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ พวกเขาจะกลับไปนอนที่บ้
พิธีแต่งงานของทั้งคู่ ถูกจัดขึ้นโดยประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังคงความเป็นอนุรักษนิยมอยู่ตามที่เยี่ยชงต้องการสินสอดถูกนำไปให้ที่บ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวในนามของอี้เฟิงที่เปิดใบหน้าของเขาให้คนอื่นรับรู้ตัวตน และไม่ได้ปิดบังตัวตนจริงอย่างที่เคยตั้งใจไว้ตู้เย็น หม้อหุงข้าว และชุดเครื่องนอน สามสิ่งนี้บ้านเจ้าสาวซื้อใหม่เป็นของขวัญวันแต่งงาน เพื่อเตรียมเอาไว้ให้ขนย้ายไปที่เรือนหอ ตามธรรมเนียมการแต่งงานที่เจ้าสาวต้องย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชาย สื่อถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของทั้งคู่ทุกคนมองเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วยความชื่นชม ทั้งคู่อยู่ในชุดแต่งงานแบบดั้งเดิม สีแดงมงคล และประดับด้วยเครื่องประดับที่มีมูลค่าอย่างสมเกียรติอี้เฟิงในชุดเจ้าบ่าวที่โดดเด่น นำขบวนรถมารับเจ้าสาวและพ่อตาแม่ยายที่บ้าน เพื่อไปจัดพิธีแต่งงานที่โรงแรมหรูใจกลางเมือง พร้อมกับรถบรรทุกคันเล็กที่จะขนของขวัญแต่งงานไปยังเรือนหอชั่วคราว นั่นคือห้องพักที่บริษัทหลี่โถว“จริงๆ พ่อจะเตรียมไว้แปดอย่าง แต่มันมากเกิน ฉันเลยให้เตรียมพอเป็นพิธีเท่านั้น” เธอกระซิบบอกเจ้าบ่าวของตน“เสียใจไหมที่แต่งงานกับผม แทนที่จะเป็นจางซีเหอ” เขาถ
เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในบริษัทด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏภายใต้หน้ากากของเขา ข้างกายคือเยี่ยฟางที่เดินควงแขนเข้ามาอย่างเปิดเผย และเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสสามเดือนแล้วที่หมั้นหมายกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนในบริษัทหลี่โถวก็เห็นภาพหวานนี้จนชินตาอี้เฟิงที่เข้ามาทำงานเต็มเวลา ล้มเลิกระบบทำงานตอนเย็นและวันหยุด ก็ทำให้หลายฝ่ายทำงานสะดวกขึ้น“วันนี้คุณยิ้มกว้างกว่าทุกวันเลยนะคะ”“วันนี้ครบสองเดือนที่โฉนดครบกำหนดน่ะ ตอนนี้ผมได้ที่ดินตรงนั้นคืนมาแล้ว” เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน โดยที่คู่หมั้นสาวนั่งเก้าอี้ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามโดยมีโต๊ะกั้นระหว่างทั้งคู่“แล้วคุณจะเปิดเผยตัวตนกับทุกคนตอนไหนคะ ในเมื่อทุกอย่างก็จบลงแล้ว คุณก็ประสบความสำเร็จ และได้ทุกอย่างกลับคืนมาแล้ว” หญิงสาวถามด้วยความใคร่รู้“พรุ่งนี้” เขายิ้มด้วยความสะใจเมื่อวานนี้ผลการตรวจสอบเอกสารเท็จทำให้หลายบริษัทถูกสั่งปรับค่าภาษีย้อนหลังจำนวนหลักแสนไปจนถึงหลักล้าน บางบริษัทถึงกับต้องปิดตัวลงเพราะข่าวฉาวทำให้ไม่มีคนเชื่อถือ แม้ปิงชางจะรอดมาได้ก็เจ็บหนักเอาการ“ให้ฉันไปด้วยไหมคะ” เยี่ยฟางถามด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
ที่บริษัทตรวจสอบบัญชีที่จางซีเหอทำงาน เขาได้ทำการตรวจสอบและให้เตียวหม่ารับรองบัญชีให้กับบริษัทปิงชางไปตั้งแต่เดือนที่แล้วตอนนี้เขาได้ส่งคืนเอกสารรับรองไปยังบริษัทปิงชาง เพื่อให้ทางนั้นยื่นเข้าสู่สำนักงานตรวจสอบภาษีของรัฐบาลต่อไปตามขั้นตอนจางซีเหอได้ทำเอกสารตรวจสอบบัญชี และยื่นให้เตียวหม่ารับรองให้อีกสองบริษัทให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าทิ้งงานกลางคันและตัดสินใจยื่นใบลาออกจากบริษัทนี้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนการแล้ว “นี่นายจะลาออกจริงๆ เหรอ ทำงานเสร็จตั้งสามงานแล้วนี่ ไม่รอเงินโบนัสก่อนเหรอ” เตียวหม่าถามด้วยความห่วงใย แต่ในใจนั้นคิดว่าโชคลาภได้ลอยมาถึงตนแล้วนอกจากจะได้งานและได้หน้าแล้ว ยังได้รับเงินในสิ่งที่ตนไม่ได้เป็นคนลงมือ ใครจะโชคดีไปกว่าเขาไม่มีอีกแล้ว“ครับ ผมจะต้องย้ายไปทำงานที่บริษัทใกล้บ้านเพราะต้องดูแลแม่ที่แก่ชรา ท่านไม่เหลือใครเลยนอกจากผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แสร้งเสียดาย เตียวหม่าได้แต่ตบไหล่ให้กำลังใจเขา“นายยังหนุ่มยังแน่น ไปทำงานที่ไหนก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ขอให้โชคดีก็แล้วกัน” เขาไม่ได้รั้งพนักงานที่เก่งและรอบคอบคนนี้เอาไว้ แต่กลับพูดให้กำล
สัญญาซื้อขายหยกจักรพรรดิถูกลงนามทั้งสองฝ่าย เหลือเพียงให้จางเสิ่นนำโฉนดมาวางในวันจันทร์ก็เป็นอันเสร็จสิ้นจางเฟยหรงเดินควงแขนอี้เฟิงออกมาจากห้องเซ็นสัญญา เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของพนักงานสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงที่กำลังจ้องมองมาที่ตน จึงชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจจนอี้เฟิงสังเกตเห็น“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณหนูจาง” อี้เฟิงรีบถามอย่างเอาใจ“พนักงานของคุณจ้องมองฉันอยู่ ไม่สุภาพเอาเสียเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง และเอาแต่ใจเขาหันไปมองตามสายตาของหญิงสาว พบว่าเป็นเยี่ยฟางที่กำลังจ้องมองมา“คุณมานี่” เขาเรียกให้เธอเดินเข้ามาหาเยี่ยฟางมองแขนที่เธอวางคล้องแขนของอี้เฟิงแล้วก็รู้สึกไม่พอใจลึกๆ เรียวขางามก้าวเดินเข้าไปพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อย เพื่อให้ความเคารพจางเสิ่นแหละจางเฟยหรงตามมารยาทของผู้ที่ต้องต้อนรับแขก“เธอคือเยี่ยฟาง เป็นคู่หมั้นของผม” อี้เฟิงแนะนำด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึกในตอนนั้นเยี่ยฟางรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย แม้รู้ว่าเป็นการเล่นละครของเขา แต่มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ‘คอยดูเถอะอี้เฟิง จบงานนี้เมื่อไหร่ฉันจะหยิกคุณให้หลังเขียวเลยเชียว’ หญิงสาวคิดในใจ“นี่คือประธานจางและคุณหนู
งานประมูลของบริษัทหลี่โถวได้ถูกจัดขึ้นในวันเสาร์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นตามที่ได้วางแผนเอาไว้วัตถุโบราณถูกนำออกมาประมูลขายทีละชิ้น เริ่มจากชิ้นที่ราคาถูกที่สุดไล่ไปจนถึงชิ้นสุดท้ายที่เป็นดาวเด่นของงาน นั่นก็คือคทามังกรซึ่งมีราคาประมูลขั้นต่ำที่ตั้งเอาไว้ที่สองล้านหยวนเป็นราคาที่สูงพอสมควรแต่กลับเป็นที่ต้องการของระดับมหาเศรษฐีนักธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งนำโชคที่จะทำให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ถึงเวลานำออกมาประมูลจางเสิ่นและลูกสาววัยยี่สิบสามปีของตน จางเฟยหรง ทั้งคู่มาร่วมงานนี้เพราะได้รับการ์ดเชิญจากบริษัทหลี่โถว และจางเฟยหรงก็อยากเข้าสังคมที่มีแต่เศรษฐีจึงรบเร้าบิดาให้พามาอี้เฟิงต้อนรับสองพ่อลูกด้วยตนเอง พาเดินชมวัตถุโบราณที่เป็นรูปถ่ายติดเอาไว้แทนของจริงที่รอการประมูลอยู่แววตาของเขามองจางเฟยหรงอย่างชื่นชม พร้อมทั้งชวนพูดคุยจนหญิงสาวนั้นรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีใจให้แก่ตนแขกที่มาร่วมงานเป็นระดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยทั้งนั้น แต่เขากลับเลือกที่จะมาต้อนรับแต่เธอกับบิดาเป็นการส่วนตัวหากจะบอกว่าคิดเข้าข้างตัวเองก็คงไม่ใช่“ประธานอี้ คุณฟู่อยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว” เล
นานเท่าไรแล้วไม่รู้ที่เขานอนหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เห็นคนที่บอกว่าจะเฝ้าไข้“อาฟาง ผมหิวน้ำ...อาฟาง” เขาเรียกหาเธอเสียงแหบ แต่ก็ไม่มีวี่แววของอีกฝ่ายอี้เฟิงลุกจากเตียงแล้วเดินออกไปนอกห้องนอน เห็นว่าเยี่ยฟางฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะอาหารด้านนอก เขายืนมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ตั้งแต่จูบครั้งนั้นมาจนถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นแนบ ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งหลงรักเธอมากขึ้นเรื่อยๆเขาเดินเข้าไปหาเธอแล้วโน้มใบหน้าลงไปข้างใบหู แล้วกระซิบเสียงพร่า “อาฟาง ตื่นได้แล้ว”หญิงสาวรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั่วแผ่นหลัง จากนั้นก็ลืมตาตื่นลุกขึ้น ยืนมองอี้เฟิงที่เปลือยท่อนบนด้วยแววตาที่ขัดเขินเล็กน้อย“มาเฝ้าไข้ผม หรือว่าให้ผมมาเฝ้าคุณนอนหลับกันแน่”“ฉันเผลอหลับไปนานมากเลยเหรอคะ” เธอเอามือแตะริมฝีปาก สำรวจดูว่าตัวเองนอนน้ำลายไหลให้ตัวเองขายหน้าหรือไม่ เมื่อพบว่าปกติดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก“ผมอยากดื่มน้ำ เรียกหาสองรอบแล้วคุณไม่ตื่น ก็เลยลุกเดินมาดู”“เดี๋ยวฉันหาน้ำให้นะคะ” หญิงสาวบอกอย่างเอาใจ แล้วเดินไปหยิบน้ำมาให้เขา จากนั้นก็ยื่นแก้วน้ำให้พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสอี้เฟิงรับไปดื่ม พร้อมทั้งอมยิ้มอย่า
ในตอนเช้าวันอาทิตย์ จางซีเหอมีอาการไข้อ่อนๆ จากพิษบาดแผล เขาตัดสินใจที่จะแต่งตัวไปทำงานและทำตัวให้เป็นปกติที่สุด เพราะหากอยู่ที่บ้านอย่างไรมารดาก็ต้องรู้แน่เมื่อคืนนี้เขากลับมาถึงบ้านในยามดึก เพราะไม่อยากให้มารดาสงสัยเพราะไม่ได้แจ้งเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะไม่กลับเขาหยุดยืนแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องของเยี่ยฟาง แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา เธอคงจะนอนหลับไปแล้ว เนื่องจากตอนนั้นก็เป็นเวลาค่อนข้างดึก แต่ก็ดีแล้วที่เธอไม่เห็น เพราะใบหน้าเขาเมื่อคืนนี้ซีดไร้สีเลือดและดูอิดโรยมากเขามองดูเสื้อผ้าของเมื่อคืนนี้ที่เปลี่ยนชุดกลับมาที่บ้าน โชคดีที่เลือดไม่ซึมออกมาด้านนอกไม่อย่างนั้นตอนซักผ้ามารดาคงได้ตกใจอย่างแน่นอน“วันอาทิตย์นี้ก็ยังทำงานอีกเหรอลูก”“ครับแม่”“ไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ” ลู่จินหรงเรียกลูกชายที่ถือกระเป๋าเดินผ่านไป ไม่มานั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเช่นทุกครั้ง“ไม่หรอกครับแม่ วันนี้ผมมีงานด่วน” พูดจบเขาก็รีบเดินออกจากประตูบ้านรถของบริษัทยังไม่มาจอดรับเยี่ยฟาง เธอคงกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ ดังนั้นเขาจึงฝืนขับรถออกไปได้สักพัก ก็จอดเรียกคนของตนที่ซุ่มดูอยู่บริเวณบ้านเพื่อปกป้องดูแลมารดาและคร
คทามังกร วัตถุโบราณชิ้นสำคัญที่อี้เฟิงได้มาจากต่างประเทศ เป็นวัตถุโบราณที่หายากของจีนที่มหาเศรษฐีของฝั่งยุโรปได้ซื้อไปสะสมไว้เขาสามารถติดต่อและนำกลับมาได้โดยการช่วยเหลือของตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้เปิดเผยสิ่งนี้ทำให้เหล่าจิ้ง ศัตรูสำคัญทางธุรกิจรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกเขาก็ต้องการวัตถุโบราณชิ้นนี้ มาขายให้แก่ลูกค้าที่จะจัดประมูลชนกันในสัปดาห์หน้าหากมีคนรู้ว่าอีกฝ่ายมีวัตถุโบราณชิ้นนั้นแล้ว เหล่าเศรษฐีก็จะแห่ไปลงทะเบียนร่วมประมูลงานของบริษัทหลี่โถวมากกว่าแน่นอน“ตั้งแต่เด็กนั่นก้าวขึ้นมาในวงการค้าขายวัตถุโบราณ ฉันก็สูญเสียลูกค้าไปมากมาย จนตอนนี้บริษัทของมันใหญ่โตแทบจะแซงบริษัทของเราไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้” น้ำเสียงนั้นแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาที่ปรึกษาวัยสามสิบสองยืนนิ่ง แล้วเสนอวิธีที่จะจัดการกับอี้เฟิง“ถ้าอย่างนั้นเราก็เล่นงานประธานอี้โดยตรง โดยใช้วิธีที่ต่างออกไป ศัตรูของเขาไม่ได้มีแค่เราอยู่กลุ่มเดียว อีกอย่างอีกฝ่ายคงไม่คิดว่าเราจะทำซึ่งหน้า คงไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ และคงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือของเราแน่”“ว่ามาสิ” เหล่าจิ้งเริ่มใจเย็นลง แล้วรับฟังวิธีการของที่ปรึกษา