บรรยากาศที่อึดอัดระหว่างเยี่ยฟางที่พยายามชวนพูดคุยรื้อฟื้นความหลัง กับลูกชายที่แสนซื้อของตน ทำให้ลู่จินหรงต้องรีบปลอบใจ เพราะตอนนี้หญิงสาวหน้าเสียจนซีดลงแล้ว
“อย่าสนใจเลยลูกชายของป้าเลย ซื่อบื้อขนาดนี้ดีนะที่เรียนจบ เขาเรียกเก่ง ฉลาด ทำงานบัญชีได้ แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องหัวใจถึงได้ไม่เข้าใจอะไรเลย” ลู่จินหรงกระซิบบอกแก่เด็กสาวข้างบ้าน ที่ตอนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งแล้ว
เธอพยักหน้าเบาๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกเหมือนถูกจางซีเหอตบหน้าด้วยท่าทางที่เหมือนจะซื่อแต่เป็นการปฏิเสธทางอ้อมของเขา
“จริงสิ ป้าได้ข่าวว่าทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ ดีจังเลยนะ พอเรียนจบมาก็ได้ทำงานเลย”
“ใช่ค่ะ ฉันทำงานที่บริษัทหลี่โถว เป็นกิจการซื้อขายวัตถุโบราณ เพิ่งเริ่มทำได้แค่สัปดาห์เดียวเองค่ะ” เยี่ยฟางตั้งใจพูดให้พี่ชายแสนซื่อได้ยิน หากเขารู้ว่าเธอทำงานแล้วอาจจะมองเธอเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
“ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว ได้งานทำก็ดีแล้ว” พูดจบลู่จินหรงก็ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายชวนลูกชายคนพูดคุยต่อ
เยี่ยฟางจึงกะพริบตาไล่น้ำตาออกไป เรื่องนี้ลู่จินหรงก็สนับสนุน พ่อแม่ฝ่ายเธอก็ไม่ได้ห้าม เหลือแค่จางซีเหอเท่านั้นที่เธอจะต้องพิชิตใจเขาให้ได้
“พี่ซีเหอคะ ฉันได้ทำงานที่บริษัทหลี่โถว เป็นบริษัทซื้อขายและจัดประมูลวัตถุโบราณชื่อดังเลยนะคะ พี่เคยได้ยินชื่อหรือเปล่า”
“อืม เคยสิ ได้ยินข่าวว่าผู้ที่ก่อตั้งขึ้นมาเป็นนักธุรกิจนิรนามที่ชอบทำตัวลึกลับ ไม่ค่อยออกหน้าทางสังคม และยังไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าของเขา เก่ง ฉลาด ไหวพริบเป็นเลิศ ชื่อของเขาคืออี้เฟิง” ริมฝีปากของจางซีเหอยกยิ้มขึ้นมาเมื่อพูดชื่อนั้น
“ค่ะ ประธานอี้เก่งและลึกลับมาก พี่ไม่ต้องชื่นชมเขาหรอกค่ะ เขาเก่งและลึกลับ แต่เย็นชาชะมัดเลย ฉันเคยเห็นเขาด้วยนะคะ เขาใส่หน้ากากไว้ครึ่งหน้า น้ำเสียงเขาฟังดูน่ากลัวดูเหมือนโกรธคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ที่ใส่หน้ากากก็เป็นเพราะว่าเขาอาจจะมีแผลเป็นที่อัปลักษณ์ก็ได้”
เยี่ยฟางเล่าถึงอี้เฟิงอย่างออกรส ไม่ได้สังเกตสีหน้าของจางซีเหอเลยสักนิด ว่าเขากำลังมองเธออย่างไม่ชอบใจอยู่
“คนสวมหน้ากากไม่จำเป็นต้องอัปลักษณ์เสมอไปหรอกนะ เขาอาจจะอยากสวมใส่แค่เพราะอยากปิดบังตัวตนก็ได้”
น้ำเสียงที่จริงจังและใบหน้าที่ดูไม่พอใจนั้น เยี่ยฟางก็เข้าใจได้ทันทีว่าพี่ชายแสนซื่อของตนคนนี้ คงชื่นชมนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างอี้เฟิงอยู่ เมื่อตนแตะต้องเข้าจึงแสดงอาการโกรธและไม่พอใจแบบนี้
เมื่อถึงนึกได้อย่างนั้นเธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย ไปเป็นเรื่องงานแทน
“เอ่อ ฉันทำงานกับบริษัทนี้รับหน้าที่ในการศึกษาข้อมูลวัตถุโบราณและอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจถึงประวัติความเป็นมา แต่ก็ต้องประสานงานกับฝ่ายบัญชีอยู่บ่อยครั้ง ฉันก็เลยอยากจะให้พี่สอนฉันให้เข้าใจความหมายทางด้านบัญชีหน่อยจะได้หรือไม่”
หญิงสาวโยงมาถึงเรื่องนี้เพื่อหาวิธีใกล้ชิดกับเขา แล้วจ้องมองอย่างมีความหวัง
แววตาของจางซีเหอสบตาเธอที่จ้องมาอย่างจริงจัง รู้ทันความคิดว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามสร้างเหตุผลในการใกล้ชิดกับตน อีกทั้งเมื่อครู่เผลอพูดจาไม่ดีตอนเธอพูดถึงอี้เฟิง จึงยอมลดท่าทีลง
“ฝ่ายประชาสัมพันธ์ต้องติดต่อกับฝ่ายบัญชีด้วยเหรอ” เขาถามแล้วมองใบหน้าที่ดูเลิ่กลั่กของอีกฝ่าย
เยี่ยฟางจึงรีบหาข้ออธิบายออกไป ไม่อยากให้เขาจับได้ว่าเธอกำลังหาทางใกล้ชิดเขา
“เอ่อ คือว่าบางครั้งก็ต้องประสานงานกันน่ะค่ะ พวกตัวเลขราคาที่เปลี่ยนแปลง ภาษีที่ต้องจ่ายหลังจากการที่ประมูลเสร็จต่างๆ ว่าแต่...พี่ซีเหอรู้ได้อย่างไรคะว่าฉันอยู่ในตำแหน่งประชาสัมพันธ์”
“ก็เธอพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าเธอต้องอธิบายรายละเอียดของวัตถุโบราณต่างๆ ให้ลูกค้าฟังหาก ไม่ใช่ฝ่ายขายก็คงเป็นประชาสัมพันธ์ แต่พี่จำได้ว่าตอนเด็กๆ เธอไม่ชอบการค้าขาย แต่เป็นคนที่ชอบให้ข้อมูลมากกว่า พี่ก็เลยเดาเอา พี่เดาถูกใช่ไหม” เขาถามแล้วยิ้มให้บางๆ ที่มุมปาก
การวิเคราะห์ที่ชาญฉลาด และน้ำเสียงที่นุ่มลง ทำให้เยี่ยฟางยิ้มออกมา ในที่สุดเธอก็มีเรื่องชวนเขาคุยได้มากขึ้นแล้ว
“ว่าแต่พี่จะสอนให้ฉันได้ไหมคะ” น้ำเสียงนั้นอ้อนวอน หากเธอไม่คิดเกินเลยกับเขาคงเป็นกิริยาที่น่าเอ็นดูไม่น้อย
จางซีเหอรู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่เธออยากใกล้ชิดกับเขา แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าอ้อนวอนขนาดนั้น อีกทั้งมารดาของเขาก็พยักพเยิดให้อย่างรู้เห็นเป็นใจ จึงต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้
“ได้สิ เอาไว้วันไหนที่ว่าง อยากรู้เรื่องอะไรก็มาถามพี่ได้นะ”
“ขอบคุณพี่ซีเหอ” เยี่ยฟางยิ้มออกมา มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ อย่างเปิดเผย
************************
พนักงานในบริษัทหลี่โถวล้วนแต่งกายด้วยดั้งเดิมตามแบบฟอร์มของบริษัท บุรุษสวมเสื้อถังจวง[1] และสตรีสวมชุดกี่เพ้า ให้เข้ากับงานซื้อขายวัตถุโบราณ
เยี่ยฟางในชุดกี่เพ้าสีแดง ลวดลายดอกโบตั๋นที่ชายกระโปรงที่แหวกขึ้นมาเหนือเข่า เกล้าผมมัดขึ้นไว้กลางศีรษะและปักปิ่นดอกไม้ เธอดูสวยงามและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่พบเห็น
สายตาของเพื่อนร่วมงานและเสียงซุบซิบนั้น ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไป มองไปทางไหนก็มีแต่คนจับกลุ่มคุยกัน และเธอจะไม่กังวลเลยหากสายตาเหล่านั้นไม่ได้จ้องมองมาที่เธอ
“อาหมิ่น เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีแต่คนมองมาทางฉันล่ะ” เยี่ยฟางกระซิบถามตู้หมิ่นเอ๋อร์ หลังจากที่ทั้งคู่อยู่ตามลำพัง
“นี่เธอจำไม่ได้หรืออาฟาง ว่าตัวเองทำอะไรลงไป” พนักงานฝึกหัดที่เข้ามาทำงานพร้อมกันถาม แล้วมองด้วยสายตาที่ลังเลว่าจะเล่าดีหรือไม่
เยี่ยฟางยืนตัวแข็ง มือน้อยๆ เริ่มสั่นเทาพอๆ กับก้อนเนื้อในอก เริ่มวิตกกังวลแล้วว่าคืนวันเสาร์ที่มีงานเลี้ยงต้อนรับลูกค้า เธอก่อเรื่องอะไรเอาไว้
“ฉันทำอะไรลงไป” เสียงนั้นถามด้วยความกังวล ปลายเสียงสั่นนิดๆ เปิดเผยความวิตกอย่างชัดเจน
“เธอเมา แล้วด่าลูกค้า เศรษฐีจากหนานโจว แต่ก็สมควรแหละเพราะพวกนั้นมอมเธอแล้วคิดจะลวนลาม” ตู้หมิ่นเอ๋อร์เล่าแล้วยิ้มเจื่อนเล็กน้อย เยี่ยฟางรู้ได้ทันทีว่ายังเล่าไม่หมดแน่
“แล้วอะไรอีก”
“เธอเดินไปจับแจกันของบริษัท แล้วทุ่มลงกับพื้น แต่โชคดีที่ใบนั้นเป็นแค่ของเลียนแบบที่บริษัทเอาไว้ให้ลูกค้าดูเป็นตัวอย่าง ของจริงปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง”
“นี่ฉันสร้างเรื่องใหญ่ไว้สองเรื่องเลยเหรอเนี่ย ให้ตายสิ” เยี่ยฟางเซถอยไปยืนเกาะขอบโต๊ะเอาไว้ แข้งขาแทบจะอ่อนแรง
“ไม่ใช่แค่สอง อีกเรื่องหนึ่งที่เธอทำเอาไว้...อาฟาง เธอคว้าประธานอี้มาจูบแล้วเรียกเขาว่า เหล่ากง”
จบประโยคนั้น ขาเรียวก็ทรุดลงกับพื้น ให้ตายสิ เธอทำเรื่องน่าอายลงไปได้อย่างไร
‘จูบแรกกับประธานผีดิบนั่น ไม่จริง ไม่จริง’
“ไม่จริง!” จากที่คิดในหัว สุดท้ายเยี่ยฟางก็ร้องออกมา เสียจูบแรกให้คนอื่นที่ไม่ใช่จางซีเหอ ตอนนี้เธอรู้สึกผิดกับตัวเอง และรู้สึกผิดต่อพี่ชายข้างบ้าน แม้เขาไม่รับรู้เลยก็ตาม
************************
[1] ถังจวง เสื้อคอจีน ปกเสื้อตั้งขึ้น ดัดแปลงมาจากเสื้อนอกของบุรุษสมัยปลายราชวงศ์ชิง หรือที่เรียกกันว่า ถังสูท
ในตอนเย็น จางซีเหอกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าปกติ ทันรับประทานมื้อเย็นร่วมกับมารดาของตน“กลับดึกทำงานล่วงเวลาแทบทุกวัน วันนี้กลับเร็วได้เสียทีนะ วันนี้แม่ทำบะหมี่เอาไว้ ไม่ได้ทำมาหลายเดือนแล้วไม่รู้จะยังรสชาติดีอยู่ไหม” ลู่จินหรงกล่าวด้วยความยินดี เมื่อเย็นนี้มีลูกชายมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยจางซีเหอยิ้มรับ ก่อนหน้านี้มารดาเป็นลูกมือคุณนายเยี่ยในการขายบะหมี่ที่แผงลอยข้างถนน ได้สูตรทำบะหมี่มาก็อยากจะเปิดร้านขายเองเพราะกู่เหมยมีปัญหาด้านสุขภาพจึงหยุดขายไปก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่อยากให้มารดาทำงานหนักจึงขอร้องเอาไว้“เงินที่ผมให้แม่ใช้เดือนละสี่สิบหยวน พอหรือไม่” เขาถามเมื่อเห็นว่ามารดายังใส่เสื้อผ้าเก่าอยู่ ไม่ยอมซื้อใหม่เสียที“เงินเดือนลูกก็เจ็ดสิบหยวน ให้แม่ใช้ตั้งสี่สิบหยวน ใครจะไปใช้หมด”“โธ่ แม่ครับ บริษัทที่ผมทำงานอยู่เป็นบริษัทต่างชาติที่มีเงินทุนหนาแน่น เงินเดือนผมก็เยอะกว่าทำที่อื่น สวัสดิการอาหารกลางวัน สวัสดิการน้ำมันรถในการเดินทาง สามสิบหยวนผมแทบไม่ได้ซื้ออะไรเลย” เขาบอกให้มารดาวางใจ“แม่ก็ใช้ไม่ถึงเดือนละยี่สิบหยวนด้วยซ้ำ แต่ก่อนช่วยคุณนายเยี่ย แม่ใช้แค่เดือนละสิบหยวนเอง ไหนลูกจะทำงานพิเ
หลังจากกลับมาถึงบ้านได้ไม่นานเยี่ยฟางก็รู้สึกว่ายังไม่สบายใจเกี่ยวกับวีรกรรมที่ตนได้ทำลงไปแม้เรื่องที่ด่าทอลูกค้าและทำลายข้าวของบริษัทเธอก็ได้รับใบเตือนจากฝ่ายบุคคลแล้ว แต่ว่าเรื่องที่เธอคว้าคอเสื้ออี้เฟิงมาจูบแล้วเรียกเขาว่าสามี มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอถูกมองว่ากำลังใฝ่สูงอยากเข้าหาเขา บางคนบอกว่าเธอเป็นภรรยาลับๆ ของอี้เฟิงด้วยซ้ำ“ไม่สิ ฉันต้องลืมมัน ฉันต้องลืมมัน เขายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเขาคงไม่สนใจเรื่องเล็กๆ แค่นี้หรอก”หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง เดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดม่านมองดูพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้า พร้อมกับชะเง้อมองที่หน้าบ้านหลังข้างๆ ป่านนี้แล้วจางซีเหอยังไม่กลับ ไม่รู้ว่าเขาจะขยันทำงานอะไรนักหนาสักพักรถที่คุ้นตาก็แล่นมาจอดที่ถนนหน้าบ้านตรงที่ประจำ เพราะในบ้านของเขาคับแคบเกินกว่าที่จะจอดรถเอาไว้ได้ จึงอาศัยจอดที่ข้างถนนมาตลอดเธอจ้องมองร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย สีหน้าของเขาวันนี้ราวกับมีเรื่องให้ต้องคิดหนักและมีความเคร่งเครียดชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองถูกจ้องมองก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของดวงตานั้นมาจากทิศไหน เขาเงยหน้าขึ้นมองยังชั้นสองของบ้านไม้สองชั้นที่อยู่ข้างๆ มอ
“วันนี้ประธานอี้มาทำงานแต่เช้า ปกติเขาต้องมาวันเสาร์อาทิตย์หรือไม่ก็ตอนที่พวกเราเลิกงานไปแล้วไม่ใช่เหรอ”“นั่นน่ะสิ นี่เพิ่งจะวันศุกร์เองทำไมเขามาได้ล่ะ หรือว่ามีแขกสำคัญ”การสนทนาของพนักงานสองคนที่พูดคุยกัน ดึงดูดความสนใจของเยี่ยฟางพี่กำลังทำงานอยู่สักพักก็มีคนเดินเข้ามาในห้องสำนักงานด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง “ใครคือเยี่ยฟาง”“ฉันค่ะ” หญิงสาวตอบรับแล้วมองดูคนที่ยืนตรงหน้า ถ้าจำไม่ผิดเขาคือที่ปรึกษาส่วนตัวของอี้เฟิง ซึ่งเป็นผู้ประสานงานและถ่ายทอดคำสั่งของอี้เฟิงเปรียบเสมือนตัวแทนของเขาการที่ถังจิ้งมาหาเธอด้วยตนเองแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่“ประธานอี้ให้คุณเข้าไปพบตอนนี้”“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันทำงานนี้เสร็จแล้วจะรีบขึ้นไป”“ผมขอย้ำอีกทีว่า ‘ตอนนี้’ ครับ” ถังจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแต่จริงจังเยี่ยฟางจึงวางมือจากงานในตอนนั้น แล้วรีบลุกขึ้นแทบจะทันที ท่ามกลางสายตาที่สงสัยของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่ตอนนี้ในหัวคงกำลังเกี่ยวโยงเรื่องที่อี้เฟิงเรียกพบ เข้ากับวีรกรรมที่เธอทำในงานเลี้ยงครั้งที่ผ่านมาเยี่ยฟางเดินตามถังจิ้งไปด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เดินจากห้องทำงานชั้นหนึ่งขึ้นชั้
เช้าวันเสาร์ เยี่ยฟางที่เพิ่งตื่นนอนในตอนเช้า เธอบิดตัวไปมาแล้วยืดแขนตรงเพื่อบิดขี้เกียจอีกที เมื่อวานนี้หลังจากกลับมาเธอก็หงุดหงิดและกังวลใจ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ดึกมากแล้วอี้เฟิง เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนาที่จะแต่งงานด้วย เขากลับขอแต่งงานกับเธอเพียงเพราะต้องการทำให้ภาพลักษณ์ของตนดูดีขึ้นมา“เห็นแก่ตัวที่สุด” หญิงสาวพึมพำออกมาเสียงเบา พาร่างเพรียวบางลุกเดินไปที่หน้าต่างแล้วชะเง้อมองบ้านข้างๆ แม้รู้ว่าจางซีเหอไม่ได้อยู่ที่บ้านในตอนนี้ แต่เธอก็ยังมองอย่างมีความหวัง ว่าเขาอาจจะทำธุระเสร็จเร็วก่อนกำหนดแล้วกลับมาก็ได้หญิงสาวเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลอง แล้วลงไปข้างล่าง เห็นว่าบิดากำลังพูดคุยกับมารดาด้วยท่าทางเครียด เพราะอีกฝ่ายปวดท้องอย่างรุนแรงตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ยังดื้อไม่ยอมไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล“แม่เป็นอะไรคะ” หญิงสาวถามเมื่อเห็นใบหน้านิ่ว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันของมารดา เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผากบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังอดกลั้นกับความเจ็บปวดอยู่“แม่ของลูกปวดท้องตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว พ่อบอกให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป ไม่รู้จะประหยัดเงินอะไรนักหนา เมื่อเช้าก็ลุกมาทำอาหารแต่เช้า ทำเสร็จก็มานั่
เงินจำนวนสามพันหยวนไม่ใช่เงินน้อยๆ เลย แต่อี้เฟิงสามารถจัดหาให้เธอได้ และนำใส่ซองให้เธอถือเอาไว้ พร้อมกับให้รถไปส่งเธอเพื่อความปลอดภัย โดยไม่ได้ถามถึงเหตุผลและจุดหมายที่เธอกำลังจะไปเยี่ยฟางนำเงินจำนวนนั้นใส่กระเป๋าแล้วกอดเอาไว้แนบอก ระหว่างที่นั่งรถไปหญิงสาวก็ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น น้ำตาไหลรินไปตลอดทาง แม้แต่คนขับรถก็ยังไม่กล้าถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณผู้หญิงจะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ สายตาลอบสังเกตเธอผ่านกระจกมองหลังอยู่เป็นระยะ“โรงพยาบาลในเขตผู่ตงค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ยกชายเสื้อขึ้นปาดน้ำตาไม่อยากคิดเลยว่าเธอจะต้องขายศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อแลกกับเงินจำนวนเพียงสามพันหยวน ช่างน่าอดสูนักในความคิดเธอตอนนี้สุขภาพของมารดาต้องมาก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังเมื่อหญิงสาวชำระเงินค่าผ่าตัดเบื้องต้นจำนวน หนึ่งพันหยวนเสร็จแล้ว ก็เก็บส่วนที่เหลือเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำเคมีบำบัด หลังการผ่าตัดกู่เหมยยังต้องให้ยาต่อจนกว่าจะหายดี“ลูกไปเอาเงินมาจากไหน” เยี่ยชงถามบุตรสาวพร้อมกับมองดวงตาที่แดงช้ำของเธอ“เจ้านายของลูก อี้เฟิง” หญิงสาวตอบสั้นๆ สักพักน้ำต
เสื้อผ้าของเยี่ยชงถูกจัดเก็บลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวังให้มีรอยยับน้อยที่สุด จากนั้นเยี่ยฟางก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อวานนี้ตอนที่มารดาของเธอเจ็บป่วยจนไม่กล้าที่จะไปรับการรักษา มันทำให้เธอรู้สึกได้ว่าชีวิตนั้นมันสั้นมากแค่ไหนโชคดีที่ได้รับเงินจากอี้เฟิงในการช่วยเหลือมารดาได้ทันท่วงที ไม่อย่างนั้นไม่อยากคิดเลยว่าเนื้อร้ายจะลุกลามไปถึงไหน และจะรักษาทันหรือไม่แม้ค่ารักษาจะแพงแสนแพง เพราะว่าแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการรักษานั้นเป็นหมอที่จบเฉพาะทางจากต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างรวมห้องพักและพยาบาลพิเศษไว้ ซึ่งไม่สามารถตัดรถส่วนใดออกไปได้การรักษาแผลผ่าตัดต้องทำอย่างระมัดระวังโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งราคาก็คงจะสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อยกับการบริการดูแลที่ดีอย่างนี้เธอลุกขึ้นมองตัวเองที่หน้ากระจก อี้เฟิงไม่ได้ต้องการแต่งงานกับเธอเพียงเพราะหน้าตาและความสวยงามนี้เขาเห็นแก่ตัวที่จะกู้ชื่อเสียงของตัวเอง ซึ่งนั่นก็โทษเขาไม่ได้หรอก มันเป็นเธอเองไม่ใช่หรือที่เมาแล้วขาดสติทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่เธอจะทำอย่างไรได้อี้เฟิงไม่เพียงแค่ชื่อเสียงเขาโด่งดังในแวดวงธุรกิจค้าของโบราณ แต่ก็ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับเข
“แต่สำหรับฉัน คุณเทียบเขาไม่ติดเลยสักนิด” ประโยคที่ออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่คู่หมั้น ทำให้อี้เฟิงรู้สึกไม่พอใจเขาคืออี้เฟิง คนที่ฉลาดในการปั่นราคา ผลักดันตัวเองจากคนธรรมดาที่ซื้อของในตลาดมืดนำมาปล่อยขาย จับทางธุรกิจค้าวัตถุโบราณ จนมีชื่อเสียงและก้าวมาสู่เศรษฐีคนหนึ่งในเขตเมืองใหม่อย่างผู่ตงทุกคนชื่นชมเขา และเขาก็ชื่นชมและภูมิใจในตัวเอง แต่เธอกลับบอกว่าเขาเทียบกับผู้ชายธรรมดา ที่ไม่มีอะไรดี นอกจากความขยันและกตัญญูอย่างที่เธอพูดมา แม้ว่าเขากับจางซีเหอจะเป็นคนคนเดียวกันก็เถอะ แต่ในฐานะอี้เฟิงเธอจะดูถูกเขาเกินไปแล้วเขาเกลียดตัวตนของจางซีเหอ เกลียดตัวเองที่อ่อนแอ เกลียดที่ให้จางเสิ่นหลอกให้เป็นผู้จัดการมรดกจนถูกโกงไป จางซีเหอคือคนที่ไร้ความสามารถแม้ในตอนที่สร้างเนื้อสร้างตัวได้ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะบอกมารดาของตน เพราะรอวันที่ตัวเองจะไปยืนในจุดสูงสุดก่อน เพื่อไม่ให้มารดาต้องพลอยเป็นกังวลกับแผนการของเขาที่จะเอาคืนจางเสิ่นจางซีเหอคนนั้นอ่อนแอ แต่อี้เฟิงคนนี้ต่างหากเล่าที่เป็นคนทำทุกอย่างจนมีวันนี้แววตาคมกริบและแข็งกร้าวมองน้องสาวข้างบ้าน เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาตนคอยช่ว
กระเป๋าเสื้อผ้าถูกนำไปวางเก็บเข้าในตู้เก็บของภายในห้องพักฟื้นของกู่เหมยเยี่ยชงเห็นดวงตาที่บอบช้ำไม่ต่างจากเมื่อวานก็รู้ได้ทันทีว่าลูกสาวผ่านการร้องไห้ก่อนจะมาที่นี่“เป็นอย่างไรบ้างฉูฉู่ เขาว่าอย่างไร”“เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะให้ลูกเอาเปรียบได้ค่ะ เขา..”“เขาทำไม”“เขาอยากหมั้นกับลูก งานจะถูกจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า” พูดจบเธอก็มองกู่เหมยที่ยังหลับอยู่ เพื่อมารดาแล้วให้ลำบากกว่านี้ตนก็ยินดีทำ เพราะมารดาเลี้ยงดูเธอมาอย่างยากลำบากตั้งแต่จำความได้“แม่น่าจะได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านในสัปดาห์หน้า ไม่รู้จะหายทันวันหมั้นหรือเปล่า” เยี่ยชงบอกบุตรสาวถึงแม้จะเป็นงานหมั้นที่บังหน้าหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผู้เป็นพ่อแม่จะไม่ไปร่วมงานก็คงไม่ได้“ลูกกลับก่อนนะคะ ไม่อยากให้แม่ตื่นมาเห็นแล้วเป็นห่วงจนอาการทรุด”“อืม กลับไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้พ่อจะดูแลเอง”“ค่ะ” หญิงสาววางกุญแจรถไว้คืนบิดา จากนั้นก็เดินกลับออกไปด้วยท่าทางที่ดูหม่นหมองในตอนนี้เยี่ยฟางเองที่กำลังตกอยู่ในความเศร้า เธอไม่อยากแสดงออกให้มารดาที่เจ็บป่วยรู้ว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไร เพราะอย่างไรกู่เหมยก็ดูออกและคงไม่สบายใจว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกสาวต้อ
หนึ่งปีต่อมามูลนิธิอี้เฟิงถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยใช้ที่ดินของสกุลจางที่อี้เฟิงได้คืนมาในการสร้างเป็นศูนย์ช่วยเหลือเด็กกำพร้าและผู้ยากไร้ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ตอนนี้อี้เฟิงเป็นผู้ทรงอำนาจในวงการค้าขายวัตถุโบราณและเป็นนักธุรกิจที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถบางคนรู้ตัวตนของเขาเพราะอี้เฟิงไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป แต่หลายคนก็ไม่รู้พื้นเพของนักธุรกิจคนนี้ รู้แค่เพียงว่าอี้เฟิงถอดหน้ากากออกแล้ว และไม่ได้อัปลักษณ์อย่างที่เขาเล่าลือกัน เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีและมีความสามารถที่อยากปิดบังตัวตนเท่านั้นเยี่ยฟางตอนนี้ใช้ความสามารถเข้ามาทำงานในแผนกประมูลงานได้สมดั่งความตั้งใจ เธอได้รับความไว้ใจให้เป็นคนวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า และศึกษาพฤติกรรมและความชอบของคนที่มีความเป็นไปได้ที่อยากได้วัตถุโบราณชิ้นสำคัญนอกจากนี้ยังได้เรียนรู้จากอาจารย์เฉิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณ เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและวิธีการตรวจสอบของแท้ด้วยวิธีดั้งเดิม ซึ่งเป็นคนที่สอนอี้เฟิงจนมายืนในจุดนี้“อาฟาง กลับบ้านเถอะ” อี้เฟิงลงมาเรียกภรรยาด้วยตัวเอง หากเป็นวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ พวกเขาจะกลับไปนอนที่บ้
พิธีแต่งงานของทั้งคู่ ถูกจัดขึ้นโดยประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังคงความเป็นอนุรักษนิยมอยู่ตามที่เยี่ยชงต้องการสินสอดถูกนำไปให้ที่บ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวในนามของอี้เฟิงที่เปิดใบหน้าของเขาให้คนอื่นรับรู้ตัวตน และไม่ได้ปิดบังตัวตนจริงอย่างที่เคยตั้งใจไว้ตู้เย็น หม้อหุงข้าว และชุดเครื่องนอน สามสิ่งนี้บ้านเจ้าสาวซื้อใหม่เป็นของขวัญวันแต่งงาน เพื่อเตรียมเอาไว้ให้ขนย้ายไปที่เรือนหอ ตามธรรมเนียมการแต่งงานที่เจ้าสาวต้องย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชาย สื่อถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของทั้งคู่ทุกคนมองเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วยความชื่นชม ทั้งคู่อยู่ในชุดแต่งงานแบบดั้งเดิม สีแดงมงคล และประดับด้วยเครื่องประดับที่มีมูลค่าอย่างสมเกียรติอี้เฟิงในชุดเจ้าบ่าวที่โดดเด่น นำขบวนรถมารับเจ้าสาวและพ่อตาแม่ยายที่บ้าน เพื่อไปจัดพิธีแต่งงานที่โรงแรมหรูใจกลางเมือง พร้อมกับรถบรรทุกคันเล็กที่จะขนของขวัญแต่งงานไปยังเรือนหอชั่วคราว นั่นคือห้องพักที่บริษัทหลี่โถว“จริงๆ พ่อจะเตรียมไว้แปดอย่าง แต่มันมากเกิน ฉันเลยให้เตรียมพอเป็นพิธีเท่านั้น” เธอกระซิบบอกเจ้าบ่าวของตน“เสียใจไหมที่แต่งงานกับผม แทนที่จะเป็นจางซีเหอ” เขาถ
เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในบริษัทด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏภายใต้หน้ากากของเขา ข้างกายคือเยี่ยฟางที่เดินควงแขนเข้ามาอย่างเปิดเผย และเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสสามเดือนแล้วที่หมั้นหมายกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนในบริษัทหลี่โถวก็เห็นภาพหวานนี้จนชินตาอี้เฟิงที่เข้ามาทำงานเต็มเวลา ล้มเลิกระบบทำงานตอนเย็นและวันหยุด ก็ทำให้หลายฝ่ายทำงานสะดวกขึ้น“วันนี้คุณยิ้มกว้างกว่าทุกวันเลยนะคะ”“วันนี้ครบสองเดือนที่โฉนดครบกำหนดน่ะ ตอนนี้ผมได้ที่ดินตรงนั้นคืนมาแล้ว” เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน โดยที่คู่หมั้นสาวนั่งเก้าอี้ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามโดยมีโต๊ะกั้นระหว่างทั้งคู่“แล้วคุณจะเปิดเผยตัวตนกับทุกคนตอนไหนคะ ในเมื่อทุกอย่างก็จบลงแล้ว คุณก็ประสบความสำเร็จ และได้ทุกอย่างกลับคืนมาแล้ว” หญิงสาวถามด้วยความใคร่รู้“พรุ่งนี้” เขายิ้มด้วยความสะใจเมื่อวานนี้ผลการตรวจสอบเอกสารเท็จทำให้หลายบริษัทถูกสั่งปรับค่าภาษีย้อนหลังจำนวนหลักแสนไปจนถึงหลักล้าน บางบริษัทถึงกับต้องปิดตัวลงเพราะข่าวฉาวทำให้ไม่มีคนเชื่อถือ แม้ปิงชางจะรอดมาได้ก็เจ็บหนักเอาการ“ให้ฉันไปด้วยไหมคะ” เยี่ยฟางถามด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
ที่บริษัทตรวจสอบบัญชีที่จางซีเหอทำงาน เขาได้ทำการตรวจสอบและให้เตียวหม่ารับรองบัญชีให้กับบริษัทปิงชางไปตั้งแต่เดือนที่แล้วตอนนี้เขาได้ส่งคืนเอกสารรับรองไปยังบริษัทปิงชาง เพื่อให้ทางนั้นยื่นเข้าสู่สำนักงานตรวจสอบภาษีของรัฐบาลต่อไปตามขั้นตอนจางซีเหอได้ทำเอกสารตรวจสอบบัญชี และยื่นให้เตียวหม่ารับรองให้อีกสองบริษัทให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าทิ้งงานกลางคันและตัดสินใจยื่นใบลาออกจากบริษัทนี้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนการแล้ว “นี่นายจะลาออกจริงๆ เหรอ ทำงานเสร็จตั้งสามงานแล้วนี่ ไม่รอเงินโบนัสก่อนเหรอ” เตียวหม่าถามด้วยความห่วงใย แต่ในใจนั้นคิดว่าโชคลาภได้ลอยมาถึงตนแล้วนอกจากจะได้งานและได้หน้าแล้ว ยังได้รับเงินในสิ่งที่ตนไม่ได้เป็นคนลงมือ ใครจะโชคดีไปกว่าเขาไม่มีอีกแล้ว“ครับ ผมจะต้องย้ายไปทำงานที่บริษัทใกล้บ้านเพราะต้องดูแลแม่ที่แก่ชรา ท่านไม่เหลือใครเลยนอกจากผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แสร้งเสียดาย เตียวหม่าได้แต่ตบไหล่ให้กำลังใจเขา“นายยังหนุ่มยังแน่น ไปทำงานที่ไหนก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ขอให้โชคดีก็แล้วกัน” เขาไม่ได้รั้งพนักงานที่เก่งและรอบคอบคนนี้เอาไว้ แต่กลับพูดให้กำล
สัญญาซื้อขายหยกจักรพรรดิถูกลงนามทั้งสองฝ่าย เหลือเพียงให้จางเสิ่นนำโฉนดมาวางในวันจันทร์ก็เป็นอันเสร็จสิ้นจางเฟยหรงเดินควงแขนอี้เฟิงออกมาจากห้องเซ็นสัญญา เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของพนักงานสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงที่กำลังจ้องมองมาที่ตน จึงชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจจนอี้เฟิงสังเกตเห็น“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณหนูจาง” อี้เฟิงรีบถามอย่างเอาใจ“พนักงานของคุณจ้องมองฉันอยู่ ไม่สุภาพเอาเสียเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง และเอาแต่ใจเขาหันไปมองตามสายตาของหญิงสาว พบว่าเป็นเยี่ยฟางที่กำลังจ้องมองมา“คุณมานี่” เขาเรียกให้เธอเดินเข้ามาหาเยี่ยฟางมองแขนที่เธอวางคล้องแขนของอี้เฟิงแล้วก็รู้สึกไม่พอใจลึกๆ เรียวขางามก้าวเดินเข้าไปพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อย เพื่อให้ความเคารพจางเสิ่นแหละจางเฟยหรงตามมารยาทของผู้ที่ต้องต้อนรับแขก“เธอคือเยี่ยฟาง เป็นคู่หมั้นของผม” อี้เฟิงแนะนำด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึกในตอนนั้นเยี่ยฟางรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย แม้รู้ว่าเป็นการเล่นละครของเขา แต่มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ‘คอยดูเถอะอี้เฟิง จบงานนี้เมื่อไหร่ฉันจะหยิกคุณให้หลังเขียวเลยเชียว’ หญิงสาวคิดในใจ“นี่คือประธานจางและคุณหนู
งานประมูลของบริษัทหลี่โถวได้ถูกจัดขึ้นในวันเสาร์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นตามที่ได้วางแผนเอาไว้วัตถุโบราณถูกนำออกมาประมูลขายทีละชิ้น เริ่มจากชิ้นที่ราคาถูกที่สุดไล่ไปจนถึงชิ้นสุดท้ายที่เป็นดาวเด่นของงาน นั่นก็คือคทามังกรซึ่งมีราคาประมูลขั้นต่ำที่ตั้งเอาไว้ที่สองล้านหยวนเป็นราคาที่สูงพอสมควรแต่กลับเป็นที่ต้องการของระดับมหาเศรษฐีนักธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งนำโชคที่จะทำให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ถึงเวลานำออกมาประมูลจางเสิ่นและลูกสาววัยยี่สิบสามปีของตน จางเฟยหรง ทั้งคู่มาร่วมงานนี้เพราะได้รับการ์ดเชิญจากบริษัทหลี่โถว และจางเฟยหรงก็อยากเข้าสังคมที่มีแต่เศรษฐีจึงรบเร้าบิดาให้พามาอี้เฟิงต้อนรับสองพ่อลูกด้วยตนเอง พาเดินชมวัตถุโบราณที่เป็นรูปถ่ายติดเอาไว้แทนของจริงที่รอการประมูลอยู่แววตาของเขามองจางเฟยหรงอย่างชื่นชม พร้อมทั้งชวนพูดคุยจนหญิงสาวนั้นรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีใจให้แก่ตนแขกที่มาร่วมงานเป็นระดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยทั้งนั้น แต่เขากลับเลือกที่จะมาต้อนรับแต่เธอกับบิดาเป็นการส่วนตัวหากจะบอกว่าคิดเข้าข้างตัวเองก็คงไม่ใช่“ประธานอี้ คุณฟู่อยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว” เล
นานเท่าไรแล้วไม่รู้ที่เขานอนหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เห็นคนที่บอกว่าจะเฝ้าไข้“อาฟาง ผมหิวน้ำ...อาฟาง” เขาเรียกหาเธอเสียงแหบ แต่ก็ไม่มีวี่แววของอีกฝ่ายอี้เฟิงลุกจากเตียงแล้วเดินออกไปนอกห้องนอน เห็นว่าเยี่ยฟางฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะอาหารด้านนอก เขายืนมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ตั้งแต่จูบครั้งนั้นมาจนถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นแนบ ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งหลงรักเธอมากขึ้นเรื่อยๆเขาเดินเข้าไปหาเธอแล้วโน้มใบหน้าลงไปข้างใบหู แล้วกระซิบเสียงพร่า “อาฟาง ตื่นได้แล้ว”หญิงสาวรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั่วแผ่นหลัง จากนั้นก็ลืมตาตื่นลุกขึ้น ยืนมองอี้เฟิงที่เปลือยท่อนบนด้วยแววตาที่ขัดเขินเล็กน้อย“มาเฝ้าไข้ผม หรือว่าให้ผมมาเฝ้าคุณนอนหลับกันแน่”“ฉันเผลอหลับไปนานมากเลยเหรอคะ” เธอเอามือแตะริมฝีปาก สำรวจดูว่าตัวเองนอนน้ำลายไหลให้ตัวเองขายหน้าหรือไม่ เมื่อพบว่าปกติดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก“ผมอยากดื่มน้ำ เรียกหาสองรอบแล้วคุณไม่ตื่น ก็เลยลุกเดินมาดู”“เดี๋ยวฉันหาน้ำให้นะคะ” หญิงสาวบอกอย่างเอาใจ แล้วเดินไปหยิบน้ำมาให้เขา จากนั้นก็ยื่นแก้วน้ำให้พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสอี้เฟิงรับไปดื่ม พร้อมทั้งอมยิ้มอย่า
ในตอนเช้าวันอาทิตย์ จางซีเหอมีอาการไข้อ่อนๆ จากพิษบาดแผล เขาตัดสินใจที่จะแต่งตัวไปทำงานและทำตัวให้เป็นปกติที่สุด เพราะหากอยู่ที่บ้านอย่างไรมารดาก็ต้องรู้แน่เมื่อคืนนี้เขากลับมาถึงบ้านในยามดึก เพราะไม่อยากให้มารดาสงสัยเพราะไม่ได้แจ้งเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะไม่กลับเขาหยุดยืนแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องของเยี่ยฟาง แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา เธอคงจะนอนหลับไปแล้ว เนื่องจากตอนนั้นก็เป็นเวลาค่อนข้างดึก แต่ก็ดีแล้วที่เธอไม่เห็น เพราะใบหน้าเขาเมื่อคืนนี้ซีดไร้สีเลือดและดูอิดโรยมากเขามองดูเสื้อผ้าของเมื่อคืนนี้ที่เปลี่ยนชุดกลับมาที่บ้าน โชคดีที่เลือดไม่ซึมออกมาด้านนอกไม่อย่างนั้นตอนซักผ้ามารดาคงได้ตกใจอย่างแน่นอน“วันอาทิตย์นี้ก็ยังทำงานอีกเหรอลูก”“ครับแม่”“ไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ” ลู่จินหรงเรียกลูกชายที่ถือกระเป๋าเดินผ่านไป ไม่มานั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเช่นทุกครั้ง“ไม่หรอกครับแม่ วันนี้ผมมีงานด่วน” พูดจบเขาก็รีบเดินออกจากประตูบ้านรถของบริษัทยังไม่มาจอดรับเยี่ยฟาง เธอคงกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ ดังนั้นเขาจึงฝืนขับรถออกไปได้สักพัก ก็จอดเรียกคนของตนที่ซุ่มดูอยู่บริเวณบ้านเพื่อปกป้องดูแลมารดาและคร
คทามังกร วัตถุโบราณชิ้นสำคัญที่อี้เฟิงได้มาจากต่างประเทศ เป็นวัตถุโบราณที่หายากของจีนที่มหาเศรษฐีของฝั่งยุโรปได้ซื้อไปสะสมไว้เขาสามารถติดต่อและนำกลับมาได้โดยการช่วยเหลือของตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้เปิดเผยสิ่งนี้ทำให้เหล่าจิ้ง ศัตรูสำคัญทางธุรกิจรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกเขาก็ต้องการวัตถุโบราณชิ้นนี้ มาขายให้แก่ลูกค้าที่จะจัดประมูลชนกันในสัปดาห์หน้าหากมีคนรู้ว่าอีกฝ่ายมีวัตถุโบราณชิ้นนั้นแล้ว เหล่าเศรษฐีก็จะแห่ไปลงทะเบียนร่วมประมูลงานของบริษัทหลี่โถวมากกว่าแน่นอน“ตั้งแต่เด็กนั่นก้าวขึ้นมาในวงการค้าขายวัตถุโบราณ ฉันก็สูญเสียลูกค้าไปมากมาย จนตอนนี้บริษัทของมันใหญ่โตแทบจะแซงบริษัทของเราไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้” น้ำเสียงนั้นแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาที่ปรึกษาวัยสามสิบสองยืนนิ่ง แล้วเสนอวิธีที่จะจัดการกับอี้เฟิง“ถ้าอย่างนั้นเราก็เล่นงานประธานอี้โดยตรง โดยใช้วิธีที่ต่างออกไป ศัตรูของเขาไม่ได้มีแค่เราอยู่กลุ่มเดียว อีกอย่างอีกฝ่ายคงไม่คิดว่าเราจะทำซึ่งหน้า คงไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ และคงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือของเราแน่”“ว่ามาสิ” เหล่าจิ้งเริ่มใจเย็นลง แล้วรับฟังวิธีการของที่ปรึกษา