เสื้อผ้าของเยี่ยชงถูกจัดเก็บลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวังให้มีรอยยับน้อยที่สุด จากนั้นเยี่ยฟางก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อวานนี้ตอนที่มารดาของเธอเจ็บป่วยจนไม่กล้าที่จะไปรับการรักษา มันทำให้เธอรู้สึกได้ว่าชีวิตนั้นมันสั้นมากแค่ไหนโชคดีที่ได้รับเงินจากอี้เฟิงในการช่วยเหลือมารดาได้ทันท่วงที ไม่อย่างนั้นไม่อยากคิดเลยว่าเนื้อร้ายจะลุกลามไปถึงไหน และจะรักษาทันหรือไม่แม้ค่ารักษาจะแพงแสนแพง เพราะว่าแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการรักษานั้นเป็นหมอที่จบเฉพาะทางจากต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างรวมห้องพักและพยาบาลพิเศษไว้ ซึ่งไม่สามารถตัดรถส่วนใดออกไปได้การรักษาแผลผ่าตัดต้องทำอย่างระมัดระวังโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งราคาก็คงจะสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อยกับการบริการดูแลที่ดีอย่างนี้เธอลุกขึ้นมองตัวเองที่หน้ากระจก อี้เฟิงไม่ได้ต้องการแต่งงานกับเธอเพียงเพราะหน้าตาและความสวยงามนี้เขาเห็นแก่ตัวที่จะกู้ชื่อเสียงของตัวเอง ซึ่งนั่นก็โทษเขาไม่ได้หรอก มันเป็นเธอเองไม่ใช่หรือที่เมาแล้วขาดสติทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่เธอจะทำอย่างไรได้อี้เฟิงไม่เพียงแค่ชื่อเสียงเขาโด่งดังในแวดวงธุรกิจค้าของโบราณ แต่ก็ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับเข
“แต่สำหรับฉัน คุณเทียบเขาไม่ติดเลยสักนิด” ประโยคที่ออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่คู่หมั้น ทำให้อี้เฟิงรู้สึกไม่พอใจเขาคืออี้เฟิง คนที่ฉลาดในการปั่นราคา ผลักดันตัวเองจากคนธรรมดาที่ซื้อของในตลาดมืดนำมาปล่อยขาย จับทางธุรกิจค้าวัตถุโบราณ จนมีชื่อเสียงและก้าวมาสู่เศรษฐีคนหนึ่งในเขตเมืองใหม่อย่างผู่ตงทุกคนชื่นชมเขา และเขาก็ชื่นชมและภูมิใจในตัวเอง แต่เธอกลับบอกว่าเขาเทียบกับผู้ชายธรรมดา ที่ไม่มีอะไรดี นอกจากความขยันและกตัญญูอย่างที่เธอพูดมา แม้ว่าเขากับจางซีเหอจะเป็นคนคนเดียวกันก็เถอะ แต่ในฐานะอี้เฟิงเธอจะดูถูกเขาเกินไปแล้วเขาเกลียดตัวตนของจางซีเหอ เกลียดตัวเองที่อ่อนแอ เกลียดที่ให้จางเสิ่นหลอกให้เป็นผู้จัดการมรดกจนถูกโกงไป จางซีเหอคือคนที่ไร้ความสามารถแม้ในตอนที่สร้างเนื้อสร้างตัวได้ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะบอกมารดาของตน เพราะรอวันที่ตัวเองจะไปยืนในจุดสูงสุดก่อน เพื่อไม่ให้มารดาต้องพลอยเป็นกังวลกับแผนการของเขาที่จะเอาคืนจางเสิ่นจางซีเหอคนนั้นอ่อนแอ แต่อี้เฟิงคนนี้ต่างหากเล่าที่เป็นคนทำทุกอย่างจนมีวันนี้แววตาคมกริบและแข็งกร้าวมองน้องสาวข้างบ้าน เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาตนคอยช่ว
กระเป๋าเสื้อผ้าถูกนำไปวางเก็บเข้าในตู้เก็บของภายในห้องพักฟื้นของกู่เหมยเยี่ยชงเห็นดวงตาที่บอบช้ำไม่ต่างจากเมื่อวานก็รู้ได้ทันทีว่าลูกสาวผ่านการร้องไห้ก่อนจะมาที่นี่“เป็นอย่างไรบ้างฉูฉู่ เขาว่าอย่างไร”“เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะให้ลูกเอาเปรียบได้ค่ะ เขา..”“เขาทำไม”“เขาอยากหมั้นกับลูก งานจะถูกจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า” พูดจบเธอก็มองกู่เหมยที่ยังหลับอยู่ เพื่อมารดาแล้วให้ลำบากกว่านี้ตนก็ยินดีทำ เพราะมารดาเลี้ยงดูเธอมาอย่างยากลำบากตั้งแต่จำความได้“แม่น่าจะได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านในสัปดาห์หน้า ไม่รู้จะหายทันวันหมั้นหรือเปล่า” เยี่ยชงบอกบุตรสาวถึงแม้จะเป็นงานหมั้นที่บังหน้าหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผู้เป็นพ่อแม่จะไม่ไปร่วมงานก็คงไม่ได้“ลูกกลับก่อนนะคะ ไม่อยากให้แม่ตื่นมาเห็นแล้วเป็นห่วงจนอาการทรุด”“อืม กลับไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้พ่อจะดูแลเอง”“ค่ะ” หญิงสาววางกุญแจรถไว้คืนบิดา จากนั้นก็เดินกลับออกไปด้วยท่าทางที่ดูหม่นหมองในตอนนี้เยี่ยฟางเองที่กำลังตกอยู่ในความเศร้า เธอไม่อยากแสดงออกให้มารดาที่เจ็บป่วยรู้ว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไร เพราะอย่างไรกู่เหมยก็ดูออกและคงไม่สบายใจว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกสาวต้อ
“ฉันขอโทษที่กอดพี่” น้ำเสียงที่เจอสะอื้นเบาๆ พูดด้วยความรู้สึกผิด มือเรียวเล็กปล่อยมือจากลำตัวของเขา แล้วถอยห่างออกไปด้วยตนเองเธอกอดลาจางซีเหอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ตนจะมีพันธะ เป็นกอดแรกและอาจจะเป็นกอดสุดท้าย เธอจะจดจำความรู้สึกนี้เอาไว้ให้นานที่สุด“เลิกร้องได้แล้ว ตาบวมหมดแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ก็ยังทำเป็นพาซื่อไม่สงสัยเลยว่ากอดเขาด้วยเรื่องอะไรจางซีเหอพาหญิงสาวกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้ตะเกียบของเธอคีบอาหารแล้ววางใส่ถ้วยข้าวให้อย่างที่เคยทำตอนเด็กๆ พร้อมกับคิดหาคำพูดมาปลอบโยนอีกฝ่าย“ตอนเด็กๆ เธอบอกว่าเธอชอบกินผัก และกินผักอวดพี่อยู่เสมอ แต่จริงๆ แล้วพี่รู้ว่าเธอไม่ได้ชอบกินผักเลยสักนิด แต่เธอทำให้พี่รู้ว่าเธอเก่งและอยากได้รับคำชมจากพี่”หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของประโยคที่ฟังดูเป็นทางการกว่าแต่ก่อน ไม่เข้าใจว่าเขาจะสื่อความหมายว่าอย่างไรสักพักลู่จินหรงก็ยกอาหารที่อุ่นเข้ามาเพิ่ม พร้อมกับถ้วยข้าวของลูกชายวางให้แก่เขา“พี่ซีเหอจะบอกว่า อะไรที่มันฝืนใจแล้วไม่มีความสุขก็อย่าทำเพื่อคนอื่น ให้ทำอะไรเพื่อตนเองบ้าง อย่างนั้นหรือคะ” เธอถามตามความเข้าใจ“คิ
กู่เหมยนอนพักรักษาตัวจนบาดแผลเริ่มแห้ง ห้าวันที่ผ่านมาลูกสาวมาเยี่ยมเธอหลังเลิกงานแค่แป๊บเดียวก็ต้องรีบกลับไปที่บ้าน เหมือนกับว่ากำลังหลบหน้าเธออยู่ โดยใช้เหตุผลที่ว่ากลัวรถโดยสารประจำทางจะหมดก่อนเมื่อกลับมาถึงบ้านในเย็นวันศุกร์ กู่เหมยก็อยากลงมือเข้าครัวแต่ก็ถูกสามีและลูกสาวห้ามเอาไว้“คุณพักผ่อนเถอะ เก็บแรงเอาไว้”“เก็บแรงเอาไว้ทำอะไรหรือคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่งุนงง แล้วมองหน้าสามีและลูกสาวที่กำลังมองหน้ากันราวกับมีเรื่องปิดบังเธออยู่“งั้นลูกไปทำกับข้าวก่อนนะคะ พ่อกับแม่คุยกันไปก่อน” เยี่ยฟางบอกด้วยรอยยิ้มตั้งแต่วันที่เธอพยายามตัดใจจากจางซีเหอ หญิงสาวก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จากคนที่สดใสร่าเริงตอนนี้กลายเป็นคนเงียบขรึม และทำอะไรก็ระวังอยู่เสมอ“เกิดอะไรขึ้นคะคุณ” กู่เหมยหันไปถามสามีเยี่ยชงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะเล่าให้ภรรยาฟัง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากและภรรยาเองก็ไม่ใช่คนที่เก็บความลับอะไรอยู่ เขาจึงเปลี่ยนเรื่องราวเล็กน้อยเพื่อให้ภรรยาสบายใจ“คุณรู้จักอี้เฟิงใช่ไหม เจ้านายของลูกเราน่ะ”“ใช่ค่ะ เขาเป็นนักธุรกิจที่กำลังมีชื่อเสียงในแวดวงซื้อขายวัตถุโบราณ และประสบความสำเร็จตั้
เครื่องสำอางที่ถูกส่งมาพร้อมกับชุดแต่งกาย ถูกแต่งแต้มลงบนใบหน้าของเจ้าสาวอย่างประณีต เยี่ยฟางมองดูตัวเองในกระจกแล้วเผยรอยยิ้มออกมาให้แก่มารดาที่ช่วยจัดทรงผมให้เธออยู่“วันนี้เป็นวันดี เป็นวันมงคล ฉูฉู่ของแม่สวยที่สุด” กู่เหมยที่มองความงดงามของลูกสาว พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดี“แม่ยังเจ็บแผลอยู่ไหมคะ”“ก็ยังมีแปลบๆ อยู่บ้าง ไม่เป็นอะไรมากหรอก งานสำคัญของลูกสาวทั้งที ถึงจะเจ็บกว่านี้แม่ก็ไหว” น้ำตาของคนเป็นแม่แทบจะไหลด้วยความภูมิใจในขณะทั้งสองพูดคุยกันอยู่ เสียงรถยนต์ก็วิ่งมาจอดที่หน้าบ้านในยามเช้ามืดที่เงียบสงบนี้ เสียงรถยนต์ที่ดังขึ้นคงเรียกความสนใจจากเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ไม่น้อยเยี่ยฟางลุกขึ้นมองดูตัวเองในกระจก หลังจากวันนี้เป็นต้นไปเธอคงไม่สามารถมองหน้าจางซีเหอได้เหมือนเดิมแล้ว อยากเห็นหน้าเขาอีกสักครั้งก่อนจะไปแต่ก็รู้ว่าคงไม่มีหวัง“รถมาแล้วเราไปกันเถอะ” เยี่ยชงขึ้นมาเรียกทั้งสองสาว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความยินดี ก่อนที่จะมองมาที่ลูกสาวคนเดียวของตนแล้วยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“วันนี้ลูกสาวพ่อสวยที่สุด และกำลังจะกลายเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดในเซี่ยงไฮ้”“ค่ะพ่อ” เธอยิ้มใ
เยี่ยฟางหิวแต่รู้สึกกินอะไรไม่ลง ความรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียนออกมาอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเครียดที่สะสมมาหลายวันหญิงสาวเดินออกมานอกห้องจัดงาน หาที่ที่สงบเพื่ออยู่ตามลำพัง แล้วทอดสายตามองออกไปด้านนอกแม้อยากร้องไห้ออกมาแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เขาผูกมัดเธอไว้ด้วยสินสอดราคาแพงเหล่านั้น ทำให้หญิงสาวต้องเป็นหนี้ของเขาโดยไม่อาจปฏิเสธได้หากจะเอาไปคืนมารดาก็จะต้องสงสัยเรื่องการหมั้น เรื่องราวยิ่งจะบานปลายไปกันใหญ่ แล้วเมื่อไหร่เธอจะหาเงินมาคืนเขาได้สักทีในขณะที่คิดอย่างเป็นกังวลอยู่นั้น จู่ๆ เยี่ยฟางก็รู้สึกหน้ามืด มือเรียววางกุมศีรษะแล้วเซถอยไปด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นก็ทรงตัวไม่ไหว จังหวะที่กำลังจะล้มลงก็มีคนมารับตัวเธอเอาไว้ได้ทัน“เป็นอะไรไปคะ คุณ คุณ” เจ้าของเสียงนั้นคือหญิงสาวที่มีใบหน้างดงาม และมีเด็กชายหน้าตาน่ารักยืนอยู่ด้านหลังของเธอแต่ไม่ทันที่เธอจะขอบคุณที่รับร่างเธอเอาไว้ หญิงสาวก็หมดสติไปก่อนใบหน้าซีดเซียว ทว่าที่หน้าผากกลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทำให้หลิวชิงเฟยต้องรีบปฐมพยาบาลเป็นการด่วน“เธอเป็นอะไรไปครับน้า” เด็กน้อยถามด้วยความตกใจ“น่าจะเป็นลมน่ะ เร็วเข้าเสี่ยวซานช่วยน้าพาเธอไปน
เมื่อไปถึงที่โรงพยาบาล อี้เฟิงที่เดินนำหน้ากลุ่มบอดีการ์ดจำนวนสามคนก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้างชายใส่เสื้อถุงกวงสีแดงปักลายมังกร ใบหน้าสวมหน้ากากครึ่งใบปิดบังใบหน้าซีกขวาของตนเอาไว้ และมีบอดี้การ์ดเดินตามแบบนี้ไม่บอกก็รู้ว่าเขาต้องเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในระดับหนึ่ง จึงทำให้ทุกคนต่างหลีกทางให้ด้วยความยำเกรงอี้เฟิงเดินตรงไปที่ห้องฉุกเฉิน แต่ยังไม่ทันไปถึงก็พบว่าเจ้าสาวของตนนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องตรวจ จึงเดินเข้าไปหาแล้วยืนอยู่ต่อหน้าเธอเยี่ยฟางเงยขึ้นมอง พบว่าเป็นอี้เฟิงหญิงสาวก็เบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจที่เขามาตามหาเธอที่นี่ความคิดในหัวคืออีกฝ่ายจะมาหาเรื่องตนที่ออกมาจากงานหมั้นหรือไม่ แต่พิธีก็สิ้นสุดไปแล้ว เขาไม่หนักจะเสียหน้าอะไรมากมาย“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า” คำถามที่เต็มไปด้วยความร้อนใจนั้น ทำให้หญิงสาวจ้องมองเขาแล้วเหยียดยิ้มออกมา“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอกค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าฉันจะเป็นอะไรไปก่อนที่คุณจะได้เงินคืนจากฉัน”“เยี่ยฟาง ผมไม่เคยคิดจะเอาอะไรคืนจากคุณเลยด้วยซ้ำ บางอย่างที่ผมทำไปมันยากเกินกว่าจะอธิบายให้คุณเข้าใจได้”หญิงสาวไม่อยากรับฟังอะไร อาการวิงเวียนศีรษะท
หนึ่งปีต่อมามูลนิธิอี้เฟิงถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยใช้ที่ดินของสกุลจางที่อี้เฟิงได้คืนมาในการสร้างเป็นศูนย์ช่วยเหลือเด็กกำพร้าและผู้ยากไร้ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ตอนนี้อี้เฟิงเป็นผู้ทรงอำนาจในวงการค้าขายวัตถุโบราณและเป็นนักธุรกิจที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถบางคนรู้ตัวตนของเขาเพราะอี้เฟิงไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป แต่หลายคนก็ไม่รู้พื้นเพของนักธุรกิจคนนี้ รู้แค่เพียงว่าอี้เฟิงถอดหน้ากากออกแล้ว และไม่ได้อัปลักษณ์อย่างที่เขาเล่าลือกัน เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีและมีความสามารถที่อยากปิดบังตัวตนเท่านั้นเยี่ยฟางตอนนี้ใช้ความสามารถเข้ามาทำงานในแผนกประมูลงานได้สมดั่งความตั้งใจ เธอได้รับความไว้ใจให้เป็นคนวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า และศึกษาพฤติกรรมและความชอบของคนที่มีความเป็นไปได้ที่อยากได้วัตถุโบราณชิ้นสำคัญนอกจากนี้ยังได้เรียนรู้จากอาจารย์เฉิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณ เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและวิธีการตรวจสอบของแท้ด้วยวิธีดั้งเดิม ซึ่งเป็นคนที่สอนอี้เฟิงจนมายืนในจุดนี้“อาฟาง กลับบ้านเถอะ” อี้เฟิงลงมาเรียกภรรยาด้วยตัวเอง หากเป็นวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ พวกเขาจะกลับไปนอนที่บ้
พิธีแต่งงานของทั้งคู่ ถูกจัดขึ้นโดยประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังคงความเป็นอนุรักษนิยมอยู่ตามที่เยี่ยชงต้องการสินสอดถูกนำไปให้ที่บ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวในนามของอี้เฟิงที่เปิดใบหน้าของเขาให้คนอื่นรับรู้ตัวตน และไม่ได้ปิดบังตัวตนจริงอย่างที่เคยตั้งใจไว้ตู้เย็น หม้อหุงข้าว และชุดเครื่องนอน สามสิ่งนี้บ้านเจ้าสาวซื้อใหม่เป็นของขวัญวันแต่งงาน เพื่อเตรียมเอาไว้ให้ขนย้ายไปที่เรือนหอ ตามธรรมเนียมการแต่งงานที่เจ้าสาวต้องย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชาย สื่อถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของทั้งคู่ทุกคนมองเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วยความชื่นชม ทั้งคู่อยู่ในชุดแต่งงานแบบดั้งเดิม สีแดงมงคล และประดับด้วยเครื่องประดับที่มีมูลค่าอย่างสมเกียรติอี้เฟิงในชุดเจ้าบ่าวที่โดดเด่น นำขบวนรถมารับเจ้าสาวและพ่อตาแม่ยายที่บ้าน เพื่อไปจัดพิธีแต่งงานที่โรงแรมหรูใจกลางเมือง พร้อมกับรถบรรทุกคันเล็กที่จะขนของขวัญแต่งงานไปยังเรือนหอชั่วคราว นั่นคือห้องพักที่บริษัทหลี่โถว“จริงๆ พ่อจะเตรียมไว้แปดอย่าง แต่มันมากเกิน ฉันเลยให้เตรียมพอเป็นพิธีเท่านั้น” เธอกระซิบบอกเจ้าบ่าวของตน“เสียใจไหมที่แต่งงานกับผม แทนที่จะเป็นจางซีเหอ” เขาถ
เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในบริษัทด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏภายใต้หน้ากากของเขา ข้างกายคือเยี่ยฟางที่เดินควงแขนเข้ามาอย่างเปิดเผย และเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสสามเดือนแล้วที่หมั้นหมายกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนในบริษัทหลี่โถวก็เห็นภาพหวานนี้จนชินตาอี้เฟิงที่เข้ามาทำงานเต็มเวลา ล้มเลิกระบบทำงานตอนเย็นและวันหยุด ก็ทำให้หลายฝ่ายทำงานสะดวกขึ้น“วันนี้คุณยิ้มกว้างกว่าทุกวันเลยนะคะ”“วันนี้ครบสองเดือนที่โฉนดครบกำหนดน่ะ ตอนนี้ผมได้ที่ดินตรงนั้นคืนมาแล้ว” เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน โดยที่คู่หมั้นสาวนั่งเก้าอี้ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามโดยมีโต๊ะกั้นระหว่างทั้งคู่“แล้วคุณจะเปิดเผยตัวตนกับทุกคนตอนไหนคะ ในเมื่อทุกอย่างก็จบลงแล้ว คุณก็ประสบความสำเร็จ และได้ทุกอย่างกลับคืนมาแล้ว” หญิงสาวถามด้วยความใคร่รู้“พรุ่งนี้” เขายิ้มด้วยความสะใจเมื่อวานนี้ผลการตรวจสอบเอกสารเท็จทำให้หลายบริษัทถูกสั่งปรับค่าภาษีย้อนหลังจำนวนหลักแสนไปจนถึงหลักล้าน บางบริษัทถึงกับต้องปิดตัวลงเพราะข่าวฉาวทำให้ไม่มีคนเชื่อถือ แม้ปิงชางจะรอดมาได้ก็เจ็บหนักเอาการ“ให้ฉันไปด้วยไหมคะ” เยี่ยฟางถามด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
ที่บริษัทตรวจสอบบัญชีที่จางซีเหอทำงาน เขาได้ทำการตรวจสอบและให้เตียวหม่ารับรองบัญชีให้กับบริษัทปิงชางไปตั้งแต่เดือนที่แล้วตอนนี้เขาได้ส่งคืนเอกสารรับรองไปยังบริษัทปิงชาง เพื่อให้ทางนั้นยื่นเข้าสู่สำนักงานตรวจสอบภาษีของรัฐบาลต่อไปตามขั้นตอนจางซีเหอได้ทำเอกสารตรวจสอบบัญชี และยื่นให้เตียวหม่ารับรองให้อีกสองบริษัทให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าทิ้งงานกลางคันและตัดสินใจยื่นใบลาออกจากบริษัทนี้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนการแล้ว “นี่นายจะลาออกจริงๆ เหรอ ทำงานเสร็จตั้งสามงานแล้วนี่ ไม่รอเงินโบนัสก่อนเหรอ” เตียวหม่าถามด้วยความห่วงใย แต่ในใจนั้นคิดว่าโชคลาภได้ลอยมาถึงตนแล้วนอกจากจะได้งานและได้หน้าแล้ว ยังได้รับเงินในสิ่งที่ตนไม่ได้เป็นคนลงมือ ใครจะโชคดีไปกว่าเขาไม่มีอีกแล้ว“ครับ ผมจะต้องย้ายไปทำงานที่บริษัทใกล้บ้านเพราะต้องดูแลแม่ที่แก่ชรา ท่านไม่เหลือใครเลยนอกจากผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แสร้งเสียดาย เตียวหม่าได้แต่ตบไหล่ให้กำลังใจเขา“นายยังหนุ่มยังแน่น ไปทำงานที่ไหนก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ขอให้โชคดีก็แล้วกัน” เขาไม่ได้รั้งพนักงานที่เก่งและรอบคอบคนนี้เอาไว้ แต่กลับพูดให้กำล
สัญญาซื้อขายหยกจักรพรรดิถูกลงนามทั้งสองฝ่าย เหลือเพียงให้จางเสิ่นนำโฉนดมาวางในวันจันทร์ก็เป็นอันเสร็จสิ้นจางเฟยหรงเดินควงแขนอี้เฟิงออกมาจากห้องเซ็นสัญญา เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของพนักงานสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงที่กำลังจ้องมองมาที่ตน จึงชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจจนอี้เฟิงสังเกตเห็น“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณหนูจาง” อี้เฟิงรีบถามอย่างเอาใจ“พนักงานของคุณจ้องมองฉันอยู่ ไม่สุภาพเอาเสียเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง และเอาแต่ใจเขาหันไปมองตามสายตาของหญิงสาว พบว่าเป็นเยี่ยฟางที่กำลังจ้องมองมา“คุณมานี่” เขาเรียกให้เธอเดินเข้ามาหาเยี่ยฟางมองแขนที่เธอวางคล้องแขนของอี้เฟิงแล้วก็รู้สึกไม่พอใจลึกๆ เรียวขางามก้าวเดินเข้าไปพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อย เพื่อให้ความเคารพจางเสิ่นแหละจางเฟยหรงตามมารยาทของผู้ที่ต้องต้อนรับแขก“เธอคือเยี่ยฟาง เป็นคู่หมั้นของผม” อี้เฟิงแนะนำด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึกในตอนนั้นเยี่ยฟางรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย แม้รู้ว่าเป็นการเล่นละครของเขา แต่มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ‘คอยดูเถอะอี้เฟิง จบงานนี้เมื่อไหร่ฉันจะหยิกคุณให้หลังเขียวเลยเชียว’ หญิงสาวคิดในใจ“นี่คือประธานจางและคุณหนู
งานประมูลของบริษัทหลี่โถวได้ถูกจัดขึ้นในวันเสาร์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นตามที่ได้วางแผนเอาไว้วัตถุโบราณถูกนำออกมาประมูลขายทีละชิ้น เริ่มจากชิ้นที่ราคาถูกที่สุดไล่ไปจนถึงชิ้นสุดท้ายที่เป็นดาวเด่นของงาน นั่นก็คือคทามังกรซึ่งมีราคาประมูลขั้นต่ำที่ตั้งเอาไว้ที่สองล้านหยวนเป็นราคาที่สูงพอสมควรแต่กลับเป็นที่ต้องการของระดับมหาเศรษฐีนักธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งนำโชคที่จะทำให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ถึงเวลานำออกมาประมูลจางเสิ่นและลูกสาววัยยี่สิบสามปีของตน จางเฟยหรง ทั้งคู่มาร่วมงานนี้เพราะได้รับการ์ดเชิญจากบริษัทหลี่โถว และจางเฟยหรงก็อยากเข้าสังคมที่มีแต่เศรษฐีจึงรบเร้าบิดาให้พามาอี้เฟิงต้อนรับสองพ่อลูกด้วยตนเอง พาเดินชมวัตถุโบราณที่เป็นรูปถ่ายติดเอาไว้แทนของจริงที่รอการประมูลอยู่แววตาของเขามองจางเฟยหรงอย่างชื่นชม พร้อมทั้งชวนพูดคุยจนหญิงสาวนั้นรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีใจให้แก่ตนแขกที่มาร่วมงานเป็นระดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยทั้งนั้น แต่เขากลับเลือกที่จะมาต้อนรับแต่เธอกับบิดาเป็นการส่วนตัวหากจะบอกว่าคิดเข้าข้างตัวเองก็คงไม่ใช่“ประธานอี้ คุณฟู่อยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว” เล
นานเท่าไรแล้วไม่รู้ที่เขานอนหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เห็นคนที่บอกว่าจะเฝ้าไข้“อาฟาง ผมหิวน้ำ...อาฟาง” เขาเรียกหาเธอเสียงแหบ แต่ก็ไม่มีวี่แววของอีกฝ่ายอี้เฟิงลุกจากเตียงแล้วเดินออกไปนอกห้องนอน เห็นว่าเยี่ยฟางฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะอาหารด้านนอก เขายืนมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ตั้งแต่จูบครั้งนั้นมาจนถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นแนบ ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งหลงรักเธอมากขึ้นเรื่อยๆเขาเดินเข้าไปหาเธอแล้วโน้มใบหน้าลงไปข้างใบหู แล้วกระซิบเสียงพร่า “อาฟาง ตื่นได้แล้ว”หญิงสาวรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั่วแผ่นหลัง จากนั้นก็ลืมตาตื่นลุกขึ้น ยืนมองอี้เฟิงที่เปลือยท่อนบนด้วยแววตาที่ขัดเขินเล็กน้อย“มาเฝ้าไข้ผม หรือว่าให้ผมมาเฝ้าคุณนอนหลับกันแน่”“ฉันเผลอหลับไปนานมากเลยเหรอคะ” เธอเอามือแตะริมฝีปาก สำรวจดูว่าตัวเองนอนน้ำลายไหลให้ตัวเองขายหน้าหรือไม่ เมื่อพบว่าปกติดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก“ผมอยากดื่มน้ำ เรียกหาสองรอบแล้วคุณไม่ตื่น ก็เลยลุกเดินมาดู”“เดี๋ยวฉันหาน้ำให้นะคะ” หญิงสาวบอกอย่างเอาใจ แล้วเดินไปหยิบน้ำมาให้เขา จากนั้นก็ยื่นแก้วน้ำให้พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสอี้เฟิงรับไปดื่ม พร้อมทั้งอมยิ้มอย่า
ในตอนเช้าวันอาทิตย์ จางซีเหอมีอาการไข้อ่อนๆ จากพิษบาดแผล เขาตัดสินใจที่จะแต่งตัวไปทำงานและทำตัวให้เป็นปกติที่สุด เพราะหากอยู่ที่บ้านอย่างไรมารดาก็ต้องรู้แน่เมื่อคืนนี้เขากลับมาถึงบ้านในยามดึก เพราะไม่อยากให้มารดาสงสัยเพราะไม่ได้แจ้งเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะไม่กลับเขาหยุดยืนแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องของเยี่ยฟาง แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา เธอคงจะนอนหลับไปแล้ว เนื่องจากตอนนั้นก็เป็นเวลาค่อนข้างดึก แต่ก็ดีแล้วที่เธอไม่เห็น เพราะใบหน้าเขาเมื่อคืนนี้ซีดไร้สีเลือดและดูอิดโรยมากเขามองดูเสื้อผ้าของเมื่อคืนนี้ที่เปลี่ยนชุดกลับมาที่บ้าน โชคดีที่เลือดไม่ซึมออกมาด้านนอกไม่อย่างนั้นตอนซักผ้ามารดาคงได้ตกใจอย่างแน่นอน“วันอาทิตย์นี้ก็ยังทำงานอีกเหรอลูก”“ครับแม่”“ไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ” ลู่จินหรงเรียกลูกชายที่ถือกระเป๋าเดินผ่านไป ไม่มานั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเช่นทุกครั้ง“ไม่หรอกครับแม่ วันนี้ผมมีงานด่วน” พูดจบเขาก็รีบเดินออกจากประตูบ้านรถของบริษัทยังไม่มาจอดรับเยี่ยฟาง เธอคงกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ ดังนั้นเขาจึงฝืนขับรถออกไปได้สักพัก ก็จอดเรียกคนของตนที่ซุ่มดูอยู่บริเวณบ้านเพื่อปกป้องดูแลมารดาและคร
คทามังกร วัตถุโบราณชิ้นสำคัญที่อี้เฟิงได้มาจากต่างประเทศ เป็นวัตถุโบราณที่หายากของจีนที่มหาเศรษฐีของฝั่งยุโรปได้ซื้อไปสะสมไว้เขาสามารถติดต่อและนำกลับมาได้โดยการช่วยเหลือของตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้เปิดเผยสิ่งนี้ทำให้เหล่าจิ้ง ศัตรูสำคัญทางธุรกิจรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกเขาก็ต้องการวัตถุโบราณชิ้นนี้ มาขายให้แก่ลูกค้าที่จะจัดประมูลชนกันในสัปดาห์หน้าหากมีคนรู้ว่าอีกฝ่ายมีวัตถุโบราณชิ้นนั้นแล้ว เหล่าเศรษฐีก็จะแห่ไปลงทะเบียนร่วมประมูลงานของบริษัทหลี่โถวมากกว่าแน่นอน“ตั้งแต่เด็กนั่นก้าวขึ้นมาในวงการค้าขายวัตถุโบราณ ฉันก็สูญเสียลูกค้าไปมากมาย จนตอนนี้บริษัทของมันใหญ่โตแทบจะแซงบริษัทของเราไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้” น้ำเสียงนั้นแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาที่ปรึกษาวัยสามสิบสองยืนนิ่ง แล้วเสนอวิธีที่จะจัดการกับอี้เฟิง“ถ้าอย่างนั้นเราก็เล่นงานประธานอี้โดยตรง โดยใช้วิธีที่ต่างออกไป ศัตรูของเขาไม่ได้มีแค่เราอยู่กลุ่มเดียว อีกอย่างอีกฝ่ายคงไม่คิดว่าเราจะทำซึ่งหน้า คงไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ และคงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือของเราแน่”“ว่ามาสิ” เหล่าจิ้งเริ่มใจเย็นลง แล้วรับฟังวิธีการของที่ปรึกษา