พูดจบร่างเล็กในชุดสีแดงสดก็หมุนตัวเดินเร็วๆ จากไปพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมาด้วย ฟู่เซียงเซียงโคลงศีรษะไปมา สองมือปลดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปล้างมือ
“คุณหนู” แม่นมหวงอดเป็นกังวลไม่ได้ นายท่านเรียกพบแต่ละครั้งมีแต่เรื่องให้คุณหนูของนางต้องลำบากใจ
“จางลี่ช่วยงานแม่นมที่นี่ไม่ต้องตามข้าไปหรอก” นางแย้มยิ้ม “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มาแล้ว”
ฟู่เซียงเซียงก้าวเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง บ่าวไพร่ไม่เคยให้ความเคารพ แต่นั้นยิ่งทำให้นางต้องเชิดใบหน้าขึ้น ไม่เอาแต่เดินก้มหน้าเหมือนหนูกลัวแมว เด็กสาวในเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ของเรือน บิดานั่งดื่มชาโดยมีจือรั่ว-มารดาของฟู่ซินอี๋ปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ในห้องไม่มีเงาร่างของลูกสาวคนโปรด แต่นางรู้ว่าคงแอบฟังอยู่ไม่ไกลนัก
“คารวะท่านพ่อ”
“นี่เจ้าแต่งตัวอะไรกัน” บิดาส่ายหน้าระอาใจ “ข้าให้เจ้าอยู่ในเรือนสบายๆ ก็มิใช่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ได้”
“อยู่ในจวนสบายๆ” ฟู่เซียงเซียงถึงกับทวนประโยคที่ได้ยิน นางอ้าปากจะโต้เถียงแต่บิดาโบกมือห้ามไว้ก่อน
“ข้าอยากให้เจ้าไปพบ...”
“ข้าไม่พบใครทั้งนั้น!” นางชิงพูดขึ้นก่อน
“ไร้มารยาท”
เด็กสาวสูดลมหายใจลึก มือกำแน่นข่มโทสะที่มีแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ลูกรู้ว่าเงินของจวนร่อยหรอลงไปทุกวัน สินเดิมของท่านแม่ถูกโยกย้ายไปหมดแล้ว”
“เซียงเซียง!” บิดาตบโต๊ะอย่างแรงจนถ้วยน้ำชาล้ม “เจ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“ไร้สาระหรือไม่ท่านพ่อรู้ดีแก่ใจ มิเช่นนั้นท่านไม่พยายามยัดเหยียดลูกให้บุรุษอื่นโดยไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะอายุแก่กว่ากี่รอบ หรือส่งไปอยู่ในฐานะเมียรอง ถ้าท่านพ่อไม่อยากให้ลูกฟื้นฝอยหาตะเข็บเรื่องสินเดิมของท่านแม่ ก็เลิกวุ่นวายหาสามีให้ข้า”
“เจ้านี่มัน!” คนเป็นพ่อถึงกับมือไม้สั่นไม่คิดว่าลูกสาวจะกล้าโต้เถียงถึงเพียงนี้ “ได้! ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่บ้านบรรพชน! ดูสิว่าเจ้าจะทนได้สักแค่ไหน”
“ท่านพี่ใจเย็นๆ เซียงเอ๋อร์ยังเด็ก พูดจาไม่ยั้งคิด...”
“เจ้าค่ะ! ลูกทราบแล้ว!” ฟู่เซียงเซียงรับคำแล้วหมุนตัวเดินจากไปด้วยท่าทางสงบ มีเพียงบิดาที่ยังโมโหจนมือไม้สั่น
“ท่านพี่”
“ดูนางทำ! ข้าหวังดีกับนางขนาดไหน! ที่ส่งให้ไปอยู่ที่อื่นเพราะจะได้ไม่ทำเรื่องงามหน้า! มีอย่างที่ไหนไปเป็นหมอหญิง เสื่อมเสียชื่อเสียงตระกูลฟู่ของเราหมด!”
“ใจเย็นเจ้าค่ะ ดื่มน้ำชาก่อน ท่านพี่ทำถูกแล้ว อย่างไรยังมีลูกซินอี๋อยู่จะไม่ทำให้ท่านพี่ผิดหวังแน่นอน”
“ดีจริงที่มีเจ้าอยู่เคียงและเข้าใจข้า ไม่เช่นนั้นข้าคงอกแตกตายเพราะเซียงเซียงเป็นแน่”
ผู้นำตระกูลฟู่ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง หวังว่าส่งลูกสาวคนโตไปครั้งนี้จะทำให้นางสำนึกได้บ้าง และเลิกเป็นหมอหญิงอะไรนั้นเสียที.
สองปีผ่านมา
สองปีผ่านมาความงามบนใบหน้าของหญิงสาวเด่นชัดขึ้น แม้นางสวมเสื้อผ้าชุดบุรุษอยู่เป็นนิจ ริมฝีปากสีชาดเม้มแน่นจนเรียบตึงนั่งฟังข่าวจากเมืองหลวง
“แต่งงานกับข้า” จูลี่เฉี่ยวเอ่ยย้ำอีกครั้ง “การแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าไม่ติดร่างแหของคนในตระกูลฟู่ไปด้วย”
“ข้า...” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาจริงจังที่จ้องมองอยู่
“หรือเพราะเจ้าไม่ต้องการแต่งเข้าสกุลจูที่ต่ำต้อยของข้า”
จูลี่เฉี่ยวใช้เสียงน้อยใจทำให้หญิงสาวรีบส่ายหน้าไปมา
“มิใช่เช่นนั้น” ฟู่เซียงเซียงรีบพูดขึ้น ตั้งสติครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบ “ข้าต้องขอบคุณพี่ลี่เฉี่ยวที่ค่อยดูแลมาตลอดสองปีนี้ และยังลำบากเดินทางไกลมาส่งข่าวเรื่องในเมืองให้รู้ด้วยตนเอง เรื่องที่บิดาเข้าร่วมกับองค์ชายสามนั้น ข้าพอรู้มาบ้าง หากเรื่องนี้เป็นจริง ข้ายิ่งไม่สมควรแต่งงานกับพี่ลี่เฉี่ยว เพราะจะทำให้ท่านต้องมาลำบากเพราะข้า ชื่อเสียงของท่านก็จะหมองหม่น ทั้งที่เวลานี้ท่านก้าวหน้าได้เป็นแพทย์หลวงแล้ว”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร น้องสาวของเจ้าก็แต่งงานออกเรือนไปก่อนแล้ว พวกเขาไม่ได้ไยดีกับเจ้าเลยสักนิด และที่สำคัญข้าเต็มใจรับเจ้าเป็นภรรยา”
“แต่...” ปกติจูลี่เฉี่ยวสุภาพอ่อนโยนกับนางมาก แต่วันนี้เขาพูดจาดุดันจนน่ากลัว นางขยับตัวถอยห่างอย่างไม่รู้ตัว แต่อีกฝ่ายมองเห็นรีบยื่นมือไปหมายจับมือเรียวงามคู่นั้น จู่ๆ หินก้อนหนึ่งปลิวมากระแทกหลังมืออย่างแรงจนหลุดปากร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย! ใครบังอาจปาหินใส่ข้า!”
ฟู่เซียงเซียงลอบมองรอบกายแล้วย้ายสายตามาที่หลังมือของจูลี่เฉี่ยวที่เป็นรอยแดง
“คงเป็นเด็กแถวนี้เล่นซุกซน พี่ลี่เฉี่ยวอย่าได้ถือสาเลย ประเดี๋ยวข้าหยิบยามาทาให้นะเจ้าคะ”
“ช่างเถอะ เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น” จูลี่เฉียวไม่อยากให้หญิงสาวเห็นว่าเขาอ่อนแอหรือเรื่องมากเกินไปนัก “เจ้าทบทวนเรื่องที่ข้าพูดอีกครั้งเถิด และรีบตัดสินใจก่อนที่...”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางคลี่ยิ้มกระจ่างใส “แต่ข้าก็ยังยืนยันคำเดิม”
“เซียงเซียง”
“ข้าออกมานานแล้ว ขอตัวกลับไปดูคนเจ็บก่อนนะเจ้าค่ะ”
ร่างอรชรในชุดบุรุษหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในกระโจม ความจริงนางไม่มีคนเจ็บต้องดูแลแต่ต้องการตัดบทสนทนาจากจูลี่เฉียว หญิงสาวเดินไปนั่งบนตั่ง หยิบผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตามาพับให้เป็นระเบียบ
สองปีแล้ว
สองปีที่ถูกบิดาขับไล่จากจวนมาอยู่บ้านบรรพชนซึ่งอยู่ชายแดน ผู้อื่นเข้าใจว่าร่างกายนางอ่อนแอจึงต้องมาอยู่ไกลถึงเพียงนี้ แม้ห่างไกลเมืองหลวง แต่สำหรับนางแล้วไม่ถือว่าลำบากอันใด ซ้ำยังได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาเต็มที่อีกด้วย แท้จริงนางตั้งใจยั่วยุให้บิดาโมโหขับไล่มาที่นี่ นางพอรู้อยู่บ้างว่าท่านหมอจูซีห่าวมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นี่และยินดีรับสอนวิชาแพทย์ให้นาง เพียงแต่หมอกู้เนี่ยนเจินเป็นหมอประจำการอยู่ค่ายทหาร นางจึงได้เรียนรู้รักษาคนเจ็บจากการสู้รบมากกว่าอาการป่วยทั่วไป แต่ก็ได้รักษาชาวบ้านด้วยเช่นกัน ปกติไม่ใช่ทุกคนจะเข้ามาทำงานในค่ายทหารได้ แต่ด้วยคนไม่พอ หมอกู้จึงซึ่งเป็นหัวหน้าหมอจึงเรียกตัวนางไว้ใช้งานข้างกาย แม้นางแต่งกายเป็นชายแต่ทุกคนก็มองออกว่าเป็นหญิง เพียงแค่เกรงใจท่านหมอกู้จึงไม่มีใครกล้ารังแกนาง
แต่จะว่าไป...ก็เหมือนคนคอยปกป้องดูแลนางอยู่เสมอ
แรกทีเดียวนางคิดว่าเป็นความโชคดี ครั้งต่อมาเป็นความบังเอิญ และหลายครั้งต่อๆ มา เริ่มรู้สึกผิดปกติ แต่ไม่อาจค้นหาความจริงได้ เช่นครั้งหนึ่งมีคนเป็นลมต่อหน้านาง นางช่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่คนผู้นั้นถือเป็นน้ำใจใหญ่หลวง ช่วยเอาฟืนมาส่งให้นางจนเต็มห้องเก็บฟืน มีคนเอาถ่านมาขายในราคาถูกแสนถูกอ้างว่าต้องรีบใช้เงิน นางเคยพบอันธพาลมาก่อกวนหมายหาเรื่องแต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางแม้คนกลุ่มนั้นไม่ได้สนใจนาง แต่ก็กันนางออกมาจากเหตุการณ์นั้น นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในสองปีนี้ นางเล่าให้แม่นมหวงและจางลี่ที่ติดตามนางมาด้วยฟัง ทั้งสองกลับไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติอันใด กลับยิ่งชอบพูดว่า ‘สวรรค์มีตาส่งคนมาค่อยช่วยเหลือคุณหนู’
“เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่ ลี่เฉี่ยวมามิใช่รึ” หมอกู้เนี่ยนเจินถามอย่างแปลกใจ ได้ยินว่าจูลี่เฉี่ยวมาจากเมืองหลวง แต่เหตุใดฟู่เซียงเซียงมานั่งในกระโจมเพียงลำพัง
“ข้าพบพี่ลี่เฉี่ยวแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงเบา
“นานๆ ทีลี่เฉี่ยวมาจากเมืองหลวง เจ้าไม่อยู่สนทนากับเขาให้นานหน่อยเล่า” หมอกู้อดถามไม่ได้ เขาเองก็เอ็นดูนางเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง และเขาก็เห็นจูลี่เฉี่ยวมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นคนหนุ่มนิสัยดีและก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ตอนนี้ได้ทำงานในสำนักหมอหลวงแล้ว การปลีกตัวมาหาฟู่เซียงเซียงได้นั้นนับว่าไม่ง่ายเลย เห็นได้ชัดว่ามีใจให้หญิงสาวไม่น้อย
“ข้า...” เรื่องในบ้านของนางคนนอกย่อมไม่รู้ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ จูลี่เฉี่ยวคงไม่เดินทางมาพบนางด้วยตนเอง นางซาบซึ้งในความหวังดีของเขา แต่เรื่องแต่งงานนั้น...นางไม่สามารถทำได้จริงๆ นางเองปรารถนาจะแต่งงานใช้ชีวิตกับคนที่ตนรัก สำหรับจูลี่เฉี่ยวแล้ว มีเพียงความเคารพนับถืออย่างพี่ชาย-น้องสาว “ช่างเถอะ” ถึงนางจะแต่งกายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง คงเขินอายอยู่บ้าง แม้เวลานางรักษาคนจะไม่เคยเห็นสีหน้าเขินอายแต่อย่างใด “วันนี้ไม่มีอะไรก็กลับบ้านไปเสีย” “แต่...” นี่เพิ่งครึ่งวันจะให้นางกลับแล้ว ผู้อื่นจะคิดว่านางเป็นคนอย่างไรกัน “ข้าให้เจ้าไปก็ไป” หมอกู้โบกมือไปมาคล้ายรำคาญ “เจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงรับคำอย่างขัดไม่ได้ นางพับผ้าสำหรับทำแผลเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้น หยิบล่วมยาแล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ บิดาแทบไม่สนใจความเป็นอยู่ของนางเลย ซึ่งนางก็คาดไว้อยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องที่นางระแคะระคายมาก่อนหน้านี้คือการที่บิดาแอบร่วมมือกับองค์ชายสามเพื่อขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร เรื่องชิงอำนาจในวังหลวงก็เรื่องหนึ่ง
มีแต่การแต่งงานเท่านั้นหรือ? ที่จะทำให้นางหนีจากปัญหานี้ได้ “คุณหนู” แม่นมหวงเข้ามาตาม “มีเรื่องกังวลใจรึเจ้าคะ” “ข้าพบพี่ลี่เฉี่ยวแล้ว” นางพูดเสียงเบาแล้วเค้นหัวเราะออกมา “ผู้อื่นชื่นชมว่าข้าเป็นหมอที่เก่งกาจไม่น้อยไปกว่าผู้ใด แต่ปัญหาของตัวเองกลับแก้ไขเองไม่ได้” “คุณหนูไม่ชอบลี่เฉี่ยวหรือเจ้าคะ” อยู่กันมาขนาดนี้แล้ว นางก็รักคุณหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตนคนหนึ่ง “แต่ถ้าคุณหนูยังเป็นคนของสกุลฟู่อยู่ หากที่บ้านเกิดเรื่อง คุณหนูก็ต้อง...” นางไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้นเลย นางเป็นเพียงคนรับใช้ก็ถูกขายเป็นทาส แต่คุณหนูเป็นบุตรสาวสายตรง เกรงว่าจะถูกส่งตัวไปเป็นหญิงนางโลม “ไม่ใช่ไม่ชอบ...แต่ข้าเห็นเขาเป็นพี่ชายมาตลอด” นางถอนหายใจแรงๆ แต่ก็ยังไม่หายกลุ้มใจ “แต่เท่าที่เห็น เขาจริงใจกับคุณหนูมากนะเจ้าคะ สองปีนี้เขาช่วยเหลือคุณหนูมาตลอด หรือจะพูดให้ถูกก่อนหน้านี้ก็ช่วยคุณหนูเสมอ” ฟู่เซียงเซียงมองแม่นมแล้วทำท่ากระเง้ากระงอด “แม่นมไม่รักข้าแล้วรึถึงผลักไสข้าให้ผู้อื่นเช่นนี้ หรือเขาจ่ายเงินให้ท่านมาพูดเอาใจข้า”
บ่าวชราที่เคยทำตัวงกๆเงิ่นๆ มาบัดนี้ค่อมเอวคารวะบุรุษในชุดดำที่สวมหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับแล้วกวาดตามองไปทั่วเรือนหลังน้อย ที่เวลานี้ซ่อมแซมไปได้หลายส่วนแล้ว หากไม่เกรงว่าเจ้าของบ้านจะแตกตื่น เขาคงจัดการสั่งรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ไปนานแล้ว ไม่ต้องเปลืองสมองหาวิธีทำให้นางที่ละนิดละหน่อยเช่นนี้ “นางเป็นอย่างไรบ้าง” “คุณหนูฟู่สุขสบายดีขอรับ” “ลำบากเจ้าแล้ว” “คุณหนูฟู่มีจิตใจเมตตา กับบ่าวไพร่ก็ใส่ใจดูแลอย่างดี จะว่าไปแล้วงานนี้นับว่าเป็นงานสบายที่สุดที่นายท่านมอบหมายให้พวกเราทำขอรับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างยากที่จะได้เห็นนัก ‘ผู้หญิงของเขา’ ก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว บุรุษหนุ่มยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าคนในชุดดำรวมทั้งบ่าวชราพลันหายวับไปราวกับไร้ตัวตน เขาหมุนตัวก้าวเท้าเข้ามาในเรือน ตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาว ปลดหน้ากากที่ปิดบังครึ่งใบหน้าออกแล้ววางบนโต๊ะ แม้อยู่ในความมืดแต่เขาจดจำทุกตำแหน่งในห้องของนางได้อย่างแม่นยำ มือแกร่งยื่นไปปัดม่านมุ้งออกแล้วนั่งลงริมเตียง มองใบหน้าหลับใหลด้วยดวงตาอ่อนโยน เป
“ทหารแคว้นฉินมีการเคลื่อนไหวแล้ว” หมอกู้เนี่ยนเจินสีหน้าวิตกกังวล ไม่ใช่แค่ความน่าเกรงขามของทหารแคว้นฉินเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือแม่ทัพประจำชายแดนรวมทั้งเจ้าเมืองก็ไม่ได้มีความสามารถนัก ในเมืองหลวงแย่งชิงอำนาจแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ชายแดนก็อ่อนแอ เห็นว่าศึกครั้งนี้จะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ“ท่านหมอกู้คิดเห็นอย่างไรก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ”หมอกู้สูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นหญิงอยู่ที่นี่จะลำบาก หากมีหนทางอื่นก็ไปเถิด” “ไป...จะให้ข้าไปไหนเจ้าคะ” นางส่ายหน้าอย่างงุนงง “หากเกิดสงครามจริง ข้าจะไม่ไปไหนจะอยู่ช่วยท่านหมอกู้ที่นี่เจ้าค่ะ”“สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงการปะทะกันเล็กๆน้อยๆ ของทหารชายแดน หากเกิดสงครามขึ้นจริง เจ้าจะรับมือไม่ไหว!”“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องอยู่ที่นี่ หน้าที่ของหมอคือช่วยชีวิตคน ถ้าข้าหนีเอาตัวรอดแล้วจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมอได้อย่างไร”หมอกู้เห็นความตั้งใจของนางแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวให้ดี หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้”“ท่านหมอกู้โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำตัวเป็นภาระให้ผู้ใด และหากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับข้า ข้าก็จะไม่โทษผู้อื่นเช่นกัน”แววตาของนางเปี่ยม
“ไปตรอกทางทิศตะวันตก” นางตอบแล้วอดกวาดตามองไม่ได้ “มีเรื่องใดรึ” “หมอฟู่ไม่รู้หรือ? ตอนนี้ทหารแคว้นฉินเข้ามาในเมืองของเราแล้ว” “เป็นไปได้อย่างไร!” ดวงตากลมเบิกกว้าง “เจ้าเมืองเปิดประตูให้ก็เดินเข้ามากันอย่างกับมาเดินตลาด!” “เขาพูดกันว่าทั้งแม่ทัพและเจ้าเมืองรู้เห็นเป็นใจกับการเปิดประตูเมือง เห็นว่าเพื่อไม่ใช่ชาวบ้านเดือดร้อน เหอะ! ข้าว่าเพราะต้องการเลือกอยู่ฝ่ายแคว้นฉินเสียมากกว่า” “ทำอย่างไรได้ ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยเรื่องชายแดนมานาน” “ชายแดนถูกยึดเช่นนี้ ทัพแคว้นฉินก็บุกไปเมืองหลวงโดยง่ายแล้ว” ฟู่เซียงเซียงยืนฟังแล้วเผลอกัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่รู้ท่านหมอกู้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้นางต้องรีบไปรับคนก่อน “อันตรายเช่นนี้ คุณหนูอย่าเพิ่งออกไปเลยขอรับ” บ่าวชราเอ่ยเตือน แต่ฟู่เซียงเซียงส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ ที่นั้นมีเด็กและคนแก่ ข้าต้องรีบไปพาพวกเขามา” นางพูดแล้วรีบขึ้นรถม้า สารถีสบตากับบ่าวชราเล็กน้อยแล้วบังคับม้าให้เดินไป บ่าวชราเดินหลบมาด้านหลังเรือนแล้วหยิบนกหวีดออก
หญิงสาวยืนตัวเกร็งอยู่กลางห้อง หลังจากบรรดาหญิงรับใช้หลายคนเข้ามาช่วยกันจับนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและแปรงผม ในเวลานั้นนางพยายามขัดขืน แต่ทุกคนต่างขอร้องเพราะเกรงว่าหากทำให้ ‘ไต๋อ๋อง’ ไม่พอใจจะได้รับโทษทัณฑ์ นางจึงจำใจยอมให้หญิงรับใช้แต่งกายให้ใหม่ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เหลือเพียงนางในห้องนี้คนเดียว ถูกชายที่เรียกตัวเองว่าอี้เฉินแบกขึ้นรถม้า ยังไม่ทันได้ซักถามอะไรก็ถูกเขาจี้สกัดจุดให้หมดสติ ฟื้นอีกครั้งก็อยู่ในห้องนี้กับบรรดาหญิงรับใช้ ปกติแต่งกายด้วยชุดบุรุษจนเคยชิน ยามนี้ถูกจับแต่งกายเป็นหญิง ซ้ำยังเป็นชุดนางรำเนื้อผ้าบางเบา ปกปิดก็เหมือนเปิดเผย ฟู่เซียงเซียงกัดริมฝีปากจนเจ็บเมื่อได้สติจึงเดินดูรอบๆ เผื่อหาทางหลบหนี ตอนเข้ามานางหมดสติจึงไม่รู้ว่าที่นี่ที่ใด แต่ดูจากหญิงรับใช้แล้วคงเป็นห้องๆ หนึ่งของจวนเจ้าเมืองแม้อยากรู้ความหมายในสิ่งที่เขาพูด แต่นางก็หวาดกลัวท่าทางคุกคามนั้น ทว่ายังไม่ทันหาทางออกให้กับตัวเองได้ บานประตูเปิดออกก็ขึ้นเสียก่อน นางยืนนิ่งอยู่กลางห้องประสานตากับบุรุษผู้สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้า เมื่อพิจารณาดูนางจึงเข้าใจว่าเป็นหน้ากากใบหน้าของห
“หรือท่านอยากตอบแทนบุญคุณข้า?” ฟู่เซียงเซียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ว่ามือของเขาร้อนระอุจนแทบจะลวกนางได้แล้ว เขายื่นจอกสุราจ่อริมฝีปากของนาง คล้ายว่าถ้านางไม่ยอมดื่มเขาก็ไม่ยอมเลิกรา ทำให้นางจำใจจับรับจอกสุรามายกดื่มจนหมด ความร้อนวูบหนึ่งผ่านลำคอลงกระเพาะ แต่กระนั้นก็ทำให้ชีพจรเต้นแรงขึ้น “ท่านควรรู้ว่าข้าไม่ดื่มสุรา” นางผลักจอกสุราออก “เช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าฐานะของเจ้าตอนนี้คือเชลยของแคว้นฉิน” เขาเอ่ยดวงตาหรี่มองริมฝีปากที่ชุ่มด้วยหยาดสุรา อยากรู้ว่าสุราจากริมฝีปากนางจะรสชาติเดียวกับที่เขาดื่มหรือไม่ ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงง “ข้า...” “เจ้าเป็นแค่เชลยทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น”นางผู้ไม่ชอบถูกบ่งการถึงกับขึงตาใส่ “ท่านไม่มีสิทธิ์!”“ข้าเป็นไต๋อ๋องไม่ใช่อี้เฉินของเจ้าอีกแล้ว” เขายิ้มชั่วร้ายจนหญิงสาวผงะถอยห่าง เขาโอบรัดร่างนางเข้ามาใกล้จนลมหายใจรดผิวแก้มที่แดงระเรื่อ“ถ้าข้าไม่ยินยอม...” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ “เจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่งก็ย่อมทำได้ แต่เจ้าไม่เป็นห่วงเด็กกำพร้าเหล่านั้นหรือ? หรือแม้แต่ศพแม่เฒ่าผู้นั้น...” “ท่าน!” นางขึงตาใส่เขา
“เรื่องนั้นเพราะข้ามีฝีมือต่างหากละ!” นางโต้เถียงอย่างลืมตัวว่าสถานการณ์ตอนนี้ตกเป็นรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ข้าเดินลมปราณขับพิษเองมิใช่เพราะเจ้ารักษา” “แต่ถ้าไม่ใช่ข้ารักษาแผล เช็ดเนื้อตัวดูแลจนไข้ลด เจ้าจะรอดตายได้เองหรือไรกัน” นางขึงตาใส่ อุตส่าอดตาหลับขับตานอนดูแลขนาดไหนกว่าจะรอดตายมาได้ “ซ้ำข้ายังเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวท่านมาอีกด้วย!” “เจ้าเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวข้า แต่ข้าเสียเงินเท่าไรคุ้มครองเจ้ามาสองปี” มุมปากยกยิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา เพราะกระต่ายดิ้นรนสุดกำลัง เขากลัวนางจะเจ็บจึงปล่อยมือจากข้อมือของนาง หญิงสาวลนลานกระถดกายถอยหนีไปชิดหัวเตียง เพราะยันกายขึ้นนั่งเสื้อผ้าที่หลุดรุยจึงเลื่อนหล่น มือเรียวเล็กรีบคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทันที “ท่านต้องการสิ่งใด” คล้ายว่านางเคยถามเขามาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน “ให้เจ้าอยู่ข้างกายข้า” นางส่ายหน้าไปมา เส้นผมยาวสลวยเคลียใบหน้าทำให้ชายหนุ่มยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมทัดใบหูให้อย่างอ่อนโยน “เจ้าปฏิเสธได้รึ” เขาหัวเราะในลำคอ “หากไม่เป็นผู้หญิ
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า