“หรือท่านอยากตอบแทนบุญคุณข้า?”
ฟู่เซียงเซียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ว่ามือของเขาร้อนระอุจนแทบจะลวกนางได้แล้ว เขายื่นจอกสุราจ่อริมฝีปากของนาง คล้ายว่าถ้านางไม่ยอมดื่มเขาก็ไม่ยอมเลิกรา ทำให้นางจำใจจับรับจอกสุรามายกดื่มจนหมด ความร้อนวูบหนึ่งผ่านลำคอลงกระเพาะ แต่กระนั้นก็ทำให้ชีพจรเต้นแรงขึ้น “ท่านควรรู้ว่าข้าไม่ดื่มสุรา” นางผลักจอกสุราออก “เช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าฐานะของเจ้าตอนนี้คือเชลยของแคว้นฉิน” เขาเอ่ยดวงตาหรี่มองริมฝีปากที่ชุ่มด้วยหยาดสุรา อยากรู้ว่าสุราจากริมฝีปากนางจะรสชาติเดียวกับที่เขาดื่มหรือไม่ ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงง “ข้า...” “เจ้าเป็นแค่เชลยทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น” นางผู้ไม่ชอบถูกบ่งการถึงกับขึงตาใส่ “ท่านไม่มีสิทธิ์!” “ข้าเป็นไต๋อ๋องไม่ใช่อี้เฉินของเจ้าอีกแล้ว” เขายิ้มชั่วร้ายจนหญิงสาวผงะถอยห่าง เขาโอบรัดร่างนางเข้ามาใกล้จนลมหายใจรดผิวแก้มที่แดงระเรื่อ “ถ้าข้าไม่ยินยอม...” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ “เจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่งก็ย่อมทำได้ แต่เจ้าไม่เป็นห่วงเด็กกำพร้าเหล่านั้นหรือ? หรือแม้แต่ศพแม่เฒ่าผู้นั้น...” “ท่าน!” นางขึงตาใส่เขา “ท่านต้องการอะไรกันแน่!” ชายหนุ่มรินสุราแล้วส่งให้นางอีกจอก หญิงสาวเม้มปากแน่น นางไม่ชอบตัวเองยามเมามาย เพราะจำอะไรไม่ได้เลย ทำให้นางขยาดการดื่มสุรา แม้ในฤดูหนาวที่อากาศเย็นจัง นางยังไม่กล้าดื่ม “ได้...หากเจ้าไม่ดื่มจอกนี้ ข้าก็จะไม่ให้ใครเข้าไปจัดการศพแม่เฒ่าเด็ดขาด” ฟู่เซียงเซียงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเขาจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ไม่สิ ใครๆ ก็รู้ว่าไต๋อ๋องโหดเหี้ยมเพียงใด และเขาไม่ใช่อี้เฉินของนางที่จะทำอะไรตามที่นางสั่งได้ทุกเรื่อง ดวงตางามมองจอกสุราในมือของเขาแล้วตัดสินใจยื่นมือไปรับแล้วยกขึ้นดื่มจนหมด นางหลับตาข่มใจอยู่ครู่หนึ่ง ความร้อนไหลเวียนไปทั่วร่าง นางลืมตามองภาพเบื้องหน้าดูพร่าเลือนไปหมดพร้อมกับร่างที่อ่อนระทวย ศีรษะของนางเอนซบบ่าของเขาอย่างไม่รู้ตัว ปลายนิ้วของชายหนุ่มไล้ริมฝีปากนางเบาๆ ก่อนตัดสินใจผลักเสื้อคลุมออกจากร่าง ช้อนร่างอ่อนนุ่มขึ้นไปด้านใน วางนางลงบนเตียงกว้างแล้วขยับตัวถอยออกมาถอดเสื้อของตนออก ก่อนจะก้าวขึ้นไปนอนเคียงข้าง กลิ่นกายของนางหอมหวานเหมือนแสงแดดอุ่นในยามเช้า เขารั้งนางเข้ามาในวงแขน นางคออ่อน ...เขารู้...แต่รู้จากการรายงานขององครักษ์ลับที่เขาส่งมาคุ้มครองนาง เขาอยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเป็นด้วยตาของตัวเอง เมื่อเห็นว่านางเป็นเช่นนี้แล้วเขากลับยิ้มพอใจ รั้งร่างอ่อนนุ่มมากอดไว้แนบแน่น เขาจะไม่ปล่อยนางให้หลุดมือไปอีกแล้ว. ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้หญิงสาวต้องหลับตาตั้งสติอีกครั้ง แต่เมื่อลืมตาขึ้นภาพใบหน้าหลับใหลของบุรุษผู้หนึ่งก็ยังคงอยู่ตรงหน้า ทำไมเขามานอนอยู่ที่นี่ ไม่สิ นางต่างหากล่ะ มานอนหนุนแขนเขาได้อย่างไร เมื่อทบทวนความทรงจำสุดท้ายก่อนที่นางจะจำอะไรไม่ได้เลยก็คือถูกเขาป้อนสุรา นางยังรู้สึกมึนศีรษะอยู่บ้าง แต่กระหายน้ำมากกว่า และอยากหาทางหลบหนีแต่ไม่กล้าขยับตัวเพราะมือข้างหนึ่งพาดทับเอว เกรงว่าแค่หายใจแรงก็ทำให้เขารู้สึกตัว ชายผู้นี้บอกว่าเขาคือ ‘อี้เฉิน’ ทาสหนุ่มที่นางเคยซื้อตัวเมื่อสองปีก่อน และตอนนี้เขาคือ ‘ไต๋อ๋อง’แห่งแคว้นฉิน ที่กำลังทำสงครามเพื่อยึดแคว้นสือเจ้าที่มีปัญหาภายใน ซึ่งดูแล้วไม่มีหนทางเอาชนะแคว้นฉินที่แข็งแกร่งได้เลย ตั้งแต่ปฏิญาณตนว่าจะเป็นหมอรักษาคนไม่แบ่งแยกชายหญิง นางจึงสัมผัสทั้งชายและหญิง เด็ก คนแก่ คนหนุ่มและหญิงสาว นางจดจ่อเพียงอาการเจ็บป่วยหรือบาดแผลของคนเหล่านั้นเท่านั้น ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางได้มองบุรุษผู้หนึ่งเต็มตา หญิงสาวหวนคิดถึงวันนั้น...จางลี่ที่เคยหวาดกลัวและไม่ชอบอี้เฉิน แต่หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จางลี่ก็หน้าแดงไม่กล้าสบตา คราวนั้นมิใช่ว่านางไม่สังเกต แต่เพราะจดจ่อที่บาดแผลและส่วนหนึ่งคือรู้สึกได้ว่าชายผู้นี้มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา นางจึงไม่อยากข้องเกี่ยวจึงเลี่ยงที่จะไม่ใส่ใจ แต่ในเวลานี้เจ้าของใบหน้าที่สวมหน้ากากปกปิดนั้นคือใบหน้าเดียวกับ ‘อี้เฉิน’อย่างแน่นอน เขาไม่ใช่บุรุษผอมบางหน้าขาวเช่นบุรุษในเมืองหลวง แต่โครงหน้าคมคายหยิ่งผยอง ริมฝีปากบาง จมูกโด่งเป็นสัน นางไล่สายตาตั้งแต่ลำคอลงมา สาบเสื้อของเขาคลายออกเผยให้แผงอกกำยำและรอยแผลเป็น ชายผู้นี้ผ่านอะไรมาบ้างนะ ร่างกายแบกรับความเจ็บปวดเหล่านี้ได้อย่างไรกัน “หากเจ้ายังมองข้าเช่นนี้อีก ข้าจะถือว่าเจ้ายินยอมแล้ว” “อ๊ะ!” ฟู่เซียงเซียงได้ยินเสียงแหบพร่าพร้อมกับดวงตาที่ลืมขึ้นมองนาง สองมือรีบยันแผงอกของเขาทันที แต่มันก็ไร้ผลเมื่อเขารั้งเอวนางมาแนบชิดจนปลายจมูกแทบชนกัน “ท่าน...ท่านพูดเรื่องอะไรกัน...ยิน...ยอมอะไร” ดวงตาดุจบ่อน้ำลึกนั้นจ้องมองราวกับต้องมนตร์ ยิ่งใกล้ชิดกันยิ่งทำให้นางรู้ว่าร่างกายเขาแข็งแกร่งเพียงใด และนางนั้นตัวเล็กเหลือเกิน นึกถึงครั้งที่มือข้างหนึ่งบีบลำคอของนาง ออกแรงเพียงนิดก็หักคอได้อย่างง่ายดาย กลิ่นหอมละมุนจากกายนาง ทำให้เขาหลับอย่างผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาหลายปี เขาจำไม่ได้เลยว่าได้หลับเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน แม้คืนที่ผ่านมาต้องข่มใจไม่ล่วงเกินนาง แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของนาง มันกลับทำให้บางส่วนในกายแข็งขันขึ้นมาทันที “ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้” เขาถามแล้วรั้งนางมาแนบชิดยิ่งขึ้น กระต่ายน้อยแตกตื่นทำตาโตและสับสนทำอะไรไม่ถูก เมื่อส่วนที่แข็งขันดุนดันจุดอ่อนไหวของหญิงสาว ผิวกายของเขาร้อน ลมหายใจของเขาก็เช่นกัน ถูกกอดรัดจนมึนงงสับสนกว่าจะตั้งสติได้ก็ถูกเขาขมเม้มริมฝีปากนาง ร่างเล็กดิ้นขลุกขลักแต่ยิ่งทำให้วงแขนกอดกระชับแน่นขึ้น ริมฝีปากช่างอ่อนนุ่มเนียนละเอียด หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งและชวนให้มึนเมายิ่งกว่าสุรา เขาใช้ลิ้นเปิดปากนางออกเพื่อแทรกลิ้นเข้าไปชิมความหวานในโพรงปาก ฟู่เซียงเซียงพยายามเบือนหน้าหนี แต่มือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยทำหนีจุมพิตจากเขาไม่ได้ ร่างทั้งนางบดเบียดเสื้อผ้านางหลุดรุยเผยผิวกายดุจหยกใส หญิงสาวพยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่ไม่ได้ทำให้เขาสะเทือนเลยสักนิด เขาถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นางคิดว่าเขาจะปล่อย แต่เขาทำตรงข้าม พลิกตัวขึ้นคร่อมแล้วรวบข้อมือสองข้างไว้เหนือศีรษะก่อนก้มลงจูบนางอีกครั้ง “อื้อ!” นางได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคำในขณะที่ ลิ้นร้อนปล้นสติไปหมดสิ้น ยิ่งดิ้นรน จูบของเขาก็หนักหน่วงขึ้น มือกร้านปลดสายรัดเอวของนางออกอย่างเชี่ยวชาญ เสื้อผ้าที่บางเบาอยู่แล้วคลายออก นิ้วกร้านเกี่ยวสายเอี๊ยมบังทรงให้หลุดลง บัวคู่งามจึงเผยต่อสายตาของเขา สายตาราวกับมีลูกไฟทำให้ฟู่เซียงเซียงได้สติ แม้เสียงจะสั่นแต่ก็เอ่ยออกไป “ปล่อยนะ!” “เจ้าเอาสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า” เขายิ้มร้ายกาจ ชอบที่นางทำตัวขึงขังใส่ทั้งที่รู้ว่าสู้แรงเขาไม่ได้ นางอึกอึกครู่หนึ่งแล้วรีบพูดขึ้น “ข้า..ข้าเคยช่วยชีวิตท่าน!” ปกตินางไม่เคยทวงบุญคุณกับใคร แต่ยามนี้...เพื่อเอาตัวรอด นางต้องงัดทุกวิธีเอาออกมาใช้ “อ่อ เจ้ากำลังทวงบุญคุณกับข้า” “เอ่อ...ไม่....เอ่อ...พูด...พูดให้ถูก... ข้าคือผู้มีพระคุณของท่าน” “อย่างนั้นรึ” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ยังคงยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก ก้มมองคนใต้ร่างที่ร่างกายสั่นน้อยๆ ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง “แต่ข้าก็จำได้ว่า เจ้าใช้ร่างกายข้าฝึกเย็บแผล ซ้ำยังเอาข้าไปโอ้อวดฝีมือกับหมอจูมิใช่รึ หากไม่ใช่ข้าแล้ว หมอจูจะรับเจ้าเป็นศิษย์ได้อย่างไร”“เรื่องนั้นเพราะข้ามีฝีมือต่างหากละ!” นางโต้เถียงอย่างลืมตัวว่าสถานการณ์ตอนนี้ตกเป็นรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ข้าเดินลมปราณขับพิษเองมิใช่เพราะเจ้ารักษา” “แต่ถ้าไม่ใช่ข้ารักษาแผล เช็ดเนื้อตัวดูแลจนไข้ลด เจ้าจะรอดตายได้เองหรือไรกัน” นางขึงตาใส่ อุตส่าอดตาหลับขับตานอนดูแลขนาดไหนกว่าจะรอดตายมาได้ “ซ้ำข้ายังเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวท่านมาอีกด้วย!” “เจ้าเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวข้า แต่ข้าเสียเงินเท่าไรคุ้มครองเจ้ามาสองปี” มุมปากยกยิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา เพราะกระต่ายดิ้นรนสุดกำลัง เขากลัวนางจะเจ็บจึงปล่อยมือจากข้อมือของนาง หญิงสาวลนลานกระถดกายถอยหนีไปชิดหัวเตียง เพราะยันกายขึ้นนั่งเสื้อผ้าที่หลุดรุยจึงเลื่อนหล่น มือเรียวเล็กรีบคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทันที “ท่านต้องการสิ่งใด” คล้ายว่านางเคยถามเขามาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน “ให้เจ้าอยู่ข้างกายข้า” นางส่ายหน้าไปมา เส้นผมยาวสลวยเคลียใบหน้าทำให้ชายหนุ่มยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมทัดใบหูให้อย่างอ่อนโยน “เจ้าปฏิเสธได้รึ” เขาหัวเราะในลำคอ “หากไม่เป็นผู้หญิ
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ” คราวนี้นางหัวเราะออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่จางลี่กลับเข้ามาพร้อมของกล่องหนึ่ง นางรับไว้แล้วส่งให้หมอกู้เนี่ยนเจิน “สองปีมานี่ท่านอบรมสั่งสอนจนข้ามีความรู้รักษาผู้อื่นได้ วันนี้ต้องจากลา ข้ามีของเล็กน้อยมอบให้ท่าน เป็นใบชาและสมุนไพร หวังว่าท่านจะรับของเล็กน้อยนี้ไว้” กู้เนี่ยนเจินยื่นมือมารับไว้แล้วเอ่ย “เป็นข้าที่ควรมอบอะไรให้เจ้าบ้าง ข้ารีบร้อนมาพบเจ้าไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย” “แค่วิชาความรู้ที่ท่านสั่งสอนข้านั้นก็นับว่ามีค่าจนข้ามิอาจตอบแทนบุญคุณท่านได้แล้ว” แม้ใบหน้าจะแย้มยิ้มแต่ดวงตายังฉายแววเศร้าหมอง “เป็นข้าที่ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณท่าน ก็ต้องจากกันเสียแล้ว” “ช่างเถิด แค่เจ้าดูแลตัวเองให้ดีและใช้วิชาความรู้ที่ข้าสอนช่วยผู้อื่นก็เท่ากับตอบแทนคุณของข้าแล้ว” “ข้าจะจำใส่ใจไว้เจ้าค่ะ” พูดคุยอยู่ครู่หนึ่งแม่นมหวงก็เดินหน้าซีดเข้ามา ยังไม่ทันรายงานฟู่เซียงเซียง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้าก็เดินเข้ามาด้านในราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง “ไต๋อ๋อง” ฟู่เซียงเซียงมองอ
มุมปากบุรุษผู้สวมหน้ากากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาหันกลับแล้วพยักหน้าให้ชีอันฟานรับช่วงต่อ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วผงกศีรษะให้หญิงสาวบนรถม้าที่ผลุบหายไปหลังม่านหน้าต่างแล้ว มือเรียวเก็บตำราที่แพทย์ที่อ่านค้างไว้แล้วขยับตัวเข้าไปด้านใน รถม้าของไต๋อ๋องกว้างขวางทั้งสบายและอบอุ่น ไม่เหมือนรถม้าที่นางเคยนั่งเมื่อเดินทางออกจากเมืองหลวง ส่วนด้านแม่นมหวงและจางลี่นั้น ไต๋อ๋องให้แยกเดินทางไปต่างหาก นางไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแยกนางกับคนของนาง แต่นางไม่มีสิทธิ์โต้แย้งสิ่งใดได้ เขาให้นางเดินทางพร้อมเขา นางก็ต้องทำ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นเช่นกัน” ฉินตงหยางถอดหน้ากากออกแล้วจับปลายคางมนให้หันมาสบตา “รู้หรือไม่ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” “ข้าไม่รู้” นางตอบไปตามตรง “นอกจากวิชาแพทย์แล้ว ข้าก็โง่เขลาไม่รู้เรื่องใดเลย” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วปล่อยมือ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกโยนไปด้านหลังแล้วตามด้วยรองเท้าแล้วขึ้นไปบนพรมขนสัตว์หนานุ่มที่ร่างเล็กกระถดกายเข้าไปด้านใน ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยแล้วจ้องนางอย่างแปลกใจ “นี่ไม่ใช่
ฟู่ซินอี๋กวาดข้าวของบนโต๊ะลงพื้นด้วยความโมโห สาวใช้ต่างพากันก้มไม่แสดงความรู้สึกใด จางจิ้งโบกมือไล่สาวใช้ผู้อื่นออกไป จางจิ้งเป็นสาวใช้คนสนิทของฟู่ซินอี๋และติดตามนางมาอยู่ที่สกุลหลี่บัดนี้ฟู่ซินอี๋ได้เป็นฮูหยินของเสนาบดีกรมคลัง ภายนอกผู้คนล้วนอิจฉาที่นางมีวาสนาได้แต่งเข้าสกุลหลี่ แต่ความจริงฟู่ซินอี๋กล่ำกลืนฝืนทนตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในสกุลหลี่ สามีของนางหลี่ป๋อเหวินมีสตรีในดวงใจอยู่ก่อนแล้ว หลังจากแต่งนางเข้ามาไม่นานก็รับภรรยารอง และอนุอีกสามคน แต่ละวันนางต้องพยายามทำดีเพื่อเอาใจแม่สามีและต้องเอาชนะใจสามีที่มองนางด้วยหางตา แม้นางเป็นภรรยาเอกแต่การกระทำของเขาเหมือนนางเป็นเพียงอนุเท่านั้น “ฮูหยินโปรดสงบใจไว้ก่อนเจ้าค่ะ” “สงบใจ! ข้าจะสงบใจลงได้อย่างไร! เซียงเซียงกลับมาแล้ว ซ้ำยังได้เป็นคนโปรดของไต๋อ๋อง!” จางจิ้งที่นำข่าวจากที่บ้านมารายงานรีบเข้าไปลูบไหล่นายหญิงที่นั่งกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ “นั้นเป็นเพียงข่าวลือที่ผู้คนพูดกัน คนโปรดอะไรกันเป็นแค่นางบำเรอเสียกระมังเจ้าคะ” “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” ฟู่ซินอี๋เริ่มใจเย็น
ฟู่เซียงเซียงนั่งเขียนสิ่งที่ตนเองต้องทำ ลำดับขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ นางเขียนอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา รอบตัวมืดสนิทได้ยินเพียงเสียงแมลงกลางคืน นางเก็บพู่กันและเช็ดมือแล้วจึงเดินมานั่งที่เตียง มือจับที่กำไลหยกมันแพะที่สวมอยู่ ‘ข้านอนไม่หลับ’ น้ำเสียงเอาแต่ใจของฉินตงหยางดังแว่วในหู ฟู่เซียงเซียงยิ้มขำกับท่าทางเหมือนเด็กในบางคราวของเขา แล้วรอยยิ้มก็จางไป ในวังหลวงมีหญิงงามมากมาย ไม่มีนางเขาก็มีหญิงอื่นให้ตระกองกอดทั้งซ้ายขวา หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ดับเทียนในห้องแล้วปีนขึ้นเตียงมือเรียวยกขึ้นแตะหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจเหตุใดรู้สึกเจ็บแปลบพิกล หรือนางจะป่วยไข้เข้าให้แล้ว.หมอจูซีห่าวทั้งประหลาดใจและดีใจที่เห็นฟู่เซียงเซียงมาเยี่ยมเยือนถึงโรงหมอ นางยังคงแต่งกายด้วยชุดบุรุษแต่อย่างไรก็ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงงาม “ไม่พบกันสองปี เหตุใดยังดูซุกซนเป็นเด็กน้อยอยู่เล่า” “อาจารย์ ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว” ฟู่เซียงเซียงหัวเราะเสียงใสแล้วรอยยิ้มก็กว้างยิ่งขึ้น เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังห้องเก็บยา “พี่ลี่เฉี่ยว”
“ข้าไม่รู้” นางทำหน้ายุ่งล้างคราบเลือดออกจากมือจนหมด จางลี่ส่งผ้าแห้งให้เช็ดมือ “แสดงว่า ไต๋อ๋องให้ความสำคัญกับคุณหนูมากนะเจ้าค่ะ” เป็นเช่นนี้ก็ดี จะได้ไม่มีใครกล้ารังแกคุณหนูของนาง “มาคุ้มครองหรือคุมตัวข้ากันแน่”นางขยี้เท้าอย่างไม่พอใจ ปกตินางสำรวจกิริยาเสมอ แต่เวลานี้เหลืออดแล้วจริงๆ จางลี่รีบช่วยเกล้าผมให้ฟู่เซียงเซียง อย่างไรก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านตนเองจะปล่อยผมเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะ ฟู่เซียงเซียงที่โมโหอยู่ไม่มีจิตใจจะทำเรื่องใดแล้ว หลังจากจางลี่จัดแต่งผมให้แล้วจึงเดินออกมาเพื่อขอตัวกลับก่อน คุณชายผู้นั้นหายตัวไปราวกับไม่เคยมาเยือน มีเพียงเงินค่ารักษาที่มอบไว้ให้แล้ว นางกล่าวลาจูซีห่าวและจูลี่เฉี่ยวแล้วเดินออกมาด้านนอกพร้อมจางลี่ ชายฉกรรจ์หลายสิบคนยืนรออยู่“ท่านหมอฟู่จะไปที่ใดต่อหรือขอรับ”“ข้าจะกลับบ้าน” นางตอบเสียงแข็ง เพียงแค่นั้นก็ชายฉกรรจ์ก็หายวับไปราวกับภูติผี จางลี่ตกใจกระโดดเกาะแขนคุณหนูแน่น“หากเป็นกลางคืน ข้าต้องคิดว่าพวกเขาเป็นภูตผีแน่เลยเจ้าค่ะ”“เจ้ายังไม่เคยพบไต๋อ๋องสินะ” ฟู่เซียงเซียงถามอย่างนึกได้“เคยพบสิเจ้าคะ บุรุษสวมหน้ากา
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า