“ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ” คราวนี้นางหัวเราะออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่จางลี่กลับเข้ามาพร้อมของกล่องหนึ่ง นางรับไว้แล้วส่งให้หมอกู้เนี่ยนเจิน “สองปีมานี่ท่านอบรมสั่งสอนจนข้ามีความรู้รักษาผู้อื่นได้ วันนี้ต้องจากลา ข้ามีของเล็กน้อยมอบให้ท่าน เป็นใบชาและสมุนไพร หวังว่าท่านจะรับของเล็กน้อยนี้ไว้”
กู้เนี่ยนเจินยื่นมือมารับไว้แล้วเอ่ย “เป็นข้าที่ควรมอบอะไรให้เจ้าบ้าง ข้ารีบร้อนมาพบเจ้าไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย”
“แค่วิชาความรู้ที่ท่านสั่งสอนข้านั้นก็นับว่ามีค่าจนข้ามิอาจตอบแทนบุญคุณท่านได้แล้ว” แม้ใบหน้าจะแย้มยิ้มแต่ดวงตายังฉายแววเศร้าหมอง “เป็นข้าที่ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณท่าน ก็ต้องจากกันเสียแล้ว”
“ช่างเถิด แค่เจ้าดูแลตัวเองให้ดีและใช้วิชาความรู้ที่ข้าสอนช่วยผู้อื่นก็เท่ากับตอบแทนคุณของข้าแล้ว”
“ข้าจะจำใส่ใจไว้เจ้าค่ะ”
พูดคุยอยู่ครู่หนึ่งแม่นมหวงก็เดินหน้าซีดเข้ามา ยังไม่ทันรายงานฟู่เซียงเซียง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้าก็เดินเข้ามาด้านในราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง
“ไต๋อ๋อง” ฟู่เซียงเซียงมองอย่างประหลาดใจไม่คิดว่าเขาจะมาที่นี่ หรือเขาคิดว่านางจะเปลี่ยนใจจึงมาด้วยตนเอง แต่รอบกายนางก็มีแต่คนของเขา จะกลัวนางหลบหนีไปทำไมกัน
กู้เนี่ยนเจินลุกขึ้นคาวระ เขาเองเคยได้ยินชื่อเสียงแต่ไม่เคยพบหน้า ก็นับได้ว่าคนผู้นี้ไม่เกินจากคำร่ำลือที่ได้ยินนัก
“ไม่ต้องมากพิธี” ฉินตงหยางโบกมือไปมาไม่ใส่ใจ สายตามองเพียงหญิงสาวตรงหน้าเท่านั้น “ได้ยินว่าเจ้าปลูกกุกลาบได้งดงามมาก ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเอง”
หญิงสาวเลิกคิ้วประหลาดใจในถ้อยคำที่ได้ยิน มิใช่ว่าเข้าออกบ้านของนางจนคุ้นชินไปแล้วหรือ เหตุใดมาทำหน้าซื่อว่าอยากชมดอกไม้อีกเล่า กู้เนี่ยนเจินอึกอักเล็กน้อยรู้สึกว่าถูกขับไล่ทางอ้อม จึงขอตัวกลับพร้อมกล่องของขวัญที่ฟู่เซียงเซียงมอบให้ ดวงตาคมปรายตามองกล่องในมือแล้วสบตากับหญิงสาว
“ไต๋อ๋องอยากชมดอกไม้รึเพคะ” นางถามเหมือนไม่ถามมองเลยไปด้านหลังเห็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบางยืนยิ้มกลั้นหัวเราะอยู่ นางจึงลดน้ำเสียงลง
“ใต้เท้าชีอันฟาน”
ชีอันฟานเป็นคนสนิทข้างกายฉินตงหยาง แม้ชาติกำเนิดเป็นสามัญชนธรรมดาไม่ใช่คนจากตระกูลสูงส่ง แต่ฉลาดเฉลียวนับเป็น ปราชญ์หนุ่มผู้หนึ่งในแคว้นฉิน ที่สนิทสนมกับไต๋อ๋องได้เพราะเหตุบังเอิญได้พบกันและไม่รู้ว่าชายผู้นี้คือไต๋อ๋อง จนกระทั่งถูกเรียกเข้าวังจึงรู้ว่าเป็นใคร แต่กระนั้นไต๋อ๋องก็ช้ำอำนาจสั่งให้เขาพูดคุยกับไต๋อ๋องเช่นที่เคยเป็นมา ไม่แบ่งฐานะ จวบจนเมื่อสองปีก่อนไต๋อ๋องถูกลอบสังหารและหายตัวไป เขาออกตามหาแทบพลิกแผ่นดิน ตามร่องรอยที่หาได้จนพบไต๋อ๋องในสภาพร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแต่แววตายังคงเปี่ยมไปด้วยหยิ่งผยองเช่นเดิม
“มารบกวนแล้วท่านหมอฟู่แล้ว” ชีอันฟานกล่าวอย่างสุภาพ ในขณะที่ฉินตงหยางเค้นเสียงหึในลำคอ เดินนำไปยังแปลงกุหลาบด้านหลังเรือน เขามองหญิงสาวแล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น “ข้ามาเยี่ยมเยือนท่านผู้เฒ่า เชิญท่านหมอตามไต๋ต๋องเถิด”
ฟู่เซียงเซียงพยักหน้ารับแล้วเดินตามแผ่นหลังของชายหนุ่มไปยังแปลงกุหลาบ เพราะนางปลูกเพื่อนำมาใช้ประโยชน์จึงปลูกด้านหลังที่มีพื้นที่กว้าง มิได้ปลูกเพื่อความสวยประดับเรือน ราวกับล่วงรู้ว่าไม่มีผู้อื่นอยู่บริเวณนี้ เพียงร่างอรชรเข้ามาใกล้ เขาก็หมุนตัวมารวบร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดทันที หญิงสาวตัวแข็งทื่อเพราะไม่ทันตั้งตัว
“ไต๋อ๋อง!” มือเรียวเล็กรีบดันเขาออกทันที แต่ทำให้วงแขนกระชับแน่นขึ้น
“บ้านเจ้าซอมซ่อขนาดนี้มีอะไรต้องเก็บนักหนาหรือต้องร่ำลาใครอีก” เขาพึมพำชิดใบหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อเพราะความเขินอาย
“ท่านมาตามข้ารึ” นางถามทั้งที่ยังดิ้นรนอยู่ อดมองรอบข้างไม่ได้ แม้ไม่เห็นผู้อื่นแต่นางก็ยังเขินอายอยู่ดี “ท่านคิดว่าข้าจะหลบหนีหรือไร”
เขาคลายวงแขนแล้วเปลี่ยนมาเชยปลายคางของนางขึ้น “ข้านอนไม่หลับ”
หญิงสาวเลิกคิ้วประหลาดใจ “ท่านต้องการให้ข้าจัดยาให้รึ”
“ยาขมๆพวกนั้นเอาไว้คนป่วยกินเถอะ” เขาเบ้ปาก “ไม่มีเจ้าให้กอด ข้านอนไม่หลับ”
‘นี่มันเหตุผลอะไรกัน!’
“ที่ผ่านมาไต๋อ๋องก็นอนหลับปกติดีหรือไม่”
นางพยายามทำน้ำเสียงเป็นปกติ ไม่คิดถึงเหตุการณ์ที่ตื่นมาเห็นหน้าเขาในเช้านั้น หลังจากที่ตอบตกลงว่าจะเดินทางไปพร้อมกับเขาแล้ว เขาอนุญาตให้นางกลับมาเก็บข้าวของที่เรือนได้ นางกลับมาปรึกษากับแม่นมหวงและจางลี่ ทั้งสองเลือกจะติดตามนางกลับเมืองหลวง แต่ไม่คิดว่าผ่านมาแค่หนึ่งคืนเขาจะมาตามนางด้วยตนเองเช่นนี้
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าเรื่องง่ายดายเช่นการนอนหลับ สำหรับข้ามันยากลำบากเพียงใด” นึกถึงกลิ่นกายหอมละมุนของนางแล้ว เขาก็อยากกอดนางไว้เช่นนี้
“ไต๋อ๋องมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป หากให้ข้าฝังเข็ม อุ๊บ!”
ถ้อยคำของนางถูกริมฝีปากหยักได้รูปทาบทับลงทันที ร่างเล็กถูกกอดรัดแน่นขึ้นจนปลายเท้าลอยขึ้นเหนือพื้น เรียวลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปากเกี่ยวกระหวัดลิ้นน้อยๆของนาง ปล้นเอาสติปัญญาไปหมดสิ้น จนนางแทบเป็นลมเพราะขาดอากาศหายใจ เขาจึงยอมถอนริมฝีปากแล้วเอ่ยขึ้น
“รถม้าพร้อมเดินทางแล้ว”
“ประเดี๋ยวก่อน ไต๋อ๋องเคยพูดว่าอีกสองวันไม่ใช่รึ”
“จะหนึ่งวันหรือสองวันก็ต้องเดินทางอยู่ดี แล้วเดินทางตอนนี้จะต่างกันอย่างไร” แววตาบ่งบอกความไม่พอใจเต็มเปี่ยม “ขาดเหลืออะไรข้าจะให้คนเตรียมให้”
“ข้า...”
‘ข้าเพียงอยากเอาตำราแพทย์ที่สะสมไว้ไปด้วย’
ยังไม่ทันได้พูดในสิ่งที่คิด ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“หากเจ้าไม่เดินทางพร้อมข้าในวันนี้ เห็นทีว่าเมืองข้างหน้า ทหารของข้าคงทำลายไม่เหลือซากอย่างแน่นอน”
“ท่าน!”
ทำไมเขาชอบเอาชีวิตผู้อื่นมาต่อรองกับนางเช่นนี้นะ!
หญิงสาวได้แต่ขึงตาใส่ แต่ฉินตงหยางกลับยิ้มได้ใจ เขารู้ว่านางใจอ่อนทนเห็นผู้อื่นได้รับความลำบากไม่ได้ ผิดกับตัวเขาที่มือเปื้อนเลือดจนเคยชิน เสียงวิงวอนร้องขอชีวิตก็ไม่ต่างแมลงที่น่ารำคาญ เขานอนหลับไม่สนิทเป็นเรื่องจริง เพราะมักได้ยินเสียงแมลงน่ารำคาญเหล่านั้น
มีแค่ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับนาง ทำให้เขาหลับได้อย่างเป็นสุขแท้จริง.
ตั้งแต่มารดาตาย ฟู่เซียงเซียงสนใจเพียงการแพทย์ ตอนเด็กนางบอกตัวเองว่าเพื่อเอาตัวรอด มีรายได้เลี้ยงตนเอง มาตอนนี้นางยอมรับแล้วว่า นางต้องการเพียงหลบหนีปัญหาในจวน ลบปมด้อยที่บิดาไม่รัก แท้จริงแล้วนางช่างโง่เขลา ปกป้องสินเดิมของมารดาก็ไม่ได้ ช่างน่าละอายใจเสียจริง
เสียงร้องครวญครางขอชีวิต รบกวนโสตประสาทของหญิงสาว นางกัดริมฝีปากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจยื่นมือไปผลักม่านหน้าต่างบนรถม้าออกเล็กน้อย ยื่นใบหน้ามองออกไปด้านนอก เพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยทำให้บุรุษที่สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้าชะงักแล้วเอี้ยวตัวหันมามองนาง ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ มีเพียงลมหายใจรวยรินของคนกลุ่มหนึ่งอยู่เบื้องหน้าไต๋อ๋อง
“เหตุใดยังไม่หลับอีก” ฉินตงหยางเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ “เสียงดังรบกวนเจ้ารึ”
ฟู่เซียงเซียงมองข้ามแผ่นหลังของชายหนุ่ม นางไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นทำความผิดใดจึงรับการทรมานเช่นนี้ นางปรายตามองไปทางชีอันฟานที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ นางลอบถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเบาเหมือนเสียงกระซิบ ทว่าคนฝึกยุทธ์อย่างฉินตงหยางกลับได้ยินชัดเจน
“ไต๋อ๋องไม่อยู่ ข้างกายหนาวเหน็บจนข้าไม่อาจนอนหลับได้”
มุมปากบุรุษผู้สวมหน้ากากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาหันกลับแล้วพยักหน้าให้ชีอันฟานรับช่วงต่อ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วผงกศีรษะให้หญิงสาวบนรถม้าที่ผลุบหายไปหลังม่านหน้าต่างแล้ว มือเรียวเก็บตำราที่แพทย์ที่อ่านค้างไว้แล้วขยับตัวเข้าไปด้านใน รถม้าของไต๋อ๋องกว้างขวางทั้งสบายและอบอุ่น ไม่เหมือนรถม้าที่นางเคยนั่งเมื่อเดินทางออกจากเมืองหลวง ส่วนด้านแม่นมหวงและจางลี่นั้น ไต๋อ๋องให้แยกเดินทางไปต่างหาก นางไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแยกนางกับคนของนาง แต่นางไม่มีสิทธิ์โต้แย้งสิ่งใดได้ เขาให้นางเดินทางพร้อมเขา นางก็ต้องทำ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นเช่นกัน” ฉินตงหยางถอดหน้ากากออกแล้วจับปลายคางมนให้หันมาสบตา “รู้หรือไม่ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” “ข้าไม่รู้” นางตอบไปตามตรง “นอกจากวิชาแพทย์แล้ว ข้าก็โง่เขลาไม่รู้เรื่องใดเลย” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วปล่อยมือ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกโยนไปด้านหลังแล้วตามด้วยรองเท้าแล้วขึ้นไปบนพรมขนสัตว์หนานุ่มที่ร่างเล็กกระถดกายเข้าไปด้านใน ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยแล้วจ้องนางอย่างแปลกใจ “นี่ไม่ใช่
ฟู่ซินอี๋กวาดข้าวของบนโต๊ะลงพื้นด้วยความโมโห สาวใช้ต่างพากันก้มไม่แสดงความรู้สึกใด จางจิ้งโบกมือไล่สาวใช้ผู้อื่นออกไป จางจิ้งเป็นสาวใช้คนสนิทของฟู่ซินอี๋และติดตามนางมาอยู่ที่สกุลหลี่บัดนี้ฟู่ซินอี๋ได้เป็นฮูหยินของเสนาบดีกรมคลัง ภายนอกผู้คนล้วนอิจฉาที่นางมีวาสนาได้แต่งเข้าสกุลหลี่ แต่ความจริงฟู่ซินอี๋กล่ำกลืนฝืนทนตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในสกุลหลี่ สามีของนางหลี่ป๋อเหวินมีสตรีในดวงใจอยู่ก่อนแล้ว หลังจากแต่งนางเข้ามาไม่นานก็รับภรรยารอง และอนุอีกสามคน แต่ละวันนางต้องพยายามทำดีเพื่อเอาใจแม่สามีและต้องเอาชนะใจสามีที่มองนางด้วยหางตา แม้นางเป็นภรรยาเอกแต่การกระทำของเขาเหมือนนางเป็นเพียงอนุเท่านั้น “ฮูหยินโปรดสงบใจไว้ก่อนเจ้าค่ะ” “สงบใจ! ข้าจะสงบใจลงได้อย่างไร! เซียงเซียงกลับมาแล้ว ซ้ำยังได้เป็นคนโปรดของไต๋อ๋อง!” จางจิ้งที่นำข่าวจากที่บ้านมารายงานรีบเข้าไปลูบไหล่นายหญิงที่นั่งกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ “นั้นเป็นเพียงข่าวลือที่ผู้คนพูดกัน คนโปรดอะไรกันเป็นแค่นางบำเรอเสียกระมังเจ้าคะ” “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” ฟู่ซินอี๋เริ่มใจเย็น
ฟู่เซียงเซียงนั่งเขียนสิ่งที่ตนเองต้องทำ ลำดับขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ นางเขียนอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา รอบตัวมืดสนิทได้ยินเพียงเสียงแมลงกลางคืน นางเก็บพู่กันและเช็ดมือแล้วจึงเดินมานั่งที่เตียง มือจับที่กำไลหยกมันแพะที่สวมอยู่ ‘ข้านอนไม่หลับ’ น้ำเสียงเอาแต่ใจของฉินตงหยางดังแว่วในหู ฟู่เซียงเซียงยิ้มขำกับท่าทางเหมือนเด็กในบางคราวของเขา แล้วรอยยิ้มก็จางไป ในวังหลวงมีหญิงงามมากมาย ไม่มีนางเขาก็มีหญิงอื่นให้ตระกองกอดทั้งซ้ายขวา หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ดับเทียนในห้องแล้วปีนขึ้นเตียงมือเรียวยกขึ้นแตะหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจเหตุใดรู้สึกเจ็บแปลบพิกล หรือนางจะป่วยไข้เข้าให้แล้ว.หมอจูซีห่าวทั้งประหลาดใจและดีใจที่เห็นฟู่เซียงเซียงมาเยี่ยมเยือนถึงโรงหมอ นางยังคงแต่งกายด้วยชุดบุรุษแต่อย่างไรก็ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงงาม “ไม่พบกันสองปี เหตุใดยังดูซุกซนเป็นเด็กน้อยอยู่เล่า” “อาจารย์ ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว” ฟู่เซียงเซียงหัวเราะเสียงใสแล้วรอยยิ้มก็กว้างยิ่งขึ้น เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังห้องเก็บยา “พี่ลี่เฉี่ยว”
“ข้าไม่รู้” นางทำหน้ายุ่งล้างคราบเลือดออกจากมือจนหมด จางลี่ส่งผ้าแห้งให้เช็ดมือ “แสดงว่า ไต๋อ๋องให้ความสำคัญกับคุณหนูมากนะเจ้าค่ะ” เป็นเช่นนี้ก็ดี จะได้ไม่มีใครกล้ารังแกคุณหนูของนาง “มาคุ้มครองหรือคุมตัวข้ากันแน่”นางขยี้เท้าอย่างไม่พอใจ ปกตินางสำรวจกิริยาเสมอ แต่เวลานี้เหลืออดแล้วจริงๆ จางลี่รีบช่วยเกล้าผมให้ฟู่เซียงเซียง อย่างไรก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านตนเองจะปล่อยผมเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะ ฟู่เซียงเซียงที่โมโหอยู่ไม่มีจิตใจจะทำเรื่องใดแล้ว หลังจากจางลี่จัดแต่งผมให้แล้วจึงเดินออกมาเพื่อขอตัวกลับก่อน คุณชายผู้นั้นหายตัวไปราวกับไม่เคยมาเยือน มีเพียงเงินค่ารักษาที่มอบไว้ให้แล้ว นางกล่าวลาจูซีห่าวและจูลี่เฉี่ยวแล้วเดินออกมาด้านนอกพร้อมจางลี่ ชายฉกรรจ์หลายสิบคนยืนรออยู่“ท่านหมอฟู่จะไปที่ใดต่อหรือขอรับ”“ข้าจะกลับบ้าน” นางตอบเสียงแข็ง เพียงแค่นั้นก็ชายฉกรรจ์ก็หายวับไปราวกับภูติผี จางลี่ตกใจกระโดดเกาะแขนคุณหนูแน่น“หากเป็นกลางคืน ข้าต้องคิดว่าพวกเขาเป็นภูตผีแน่เลยเจ้าค่ะ”“เจ้ายังไม่เคยพบไต๋อ๋องสินะ” ฟู่เซียงเซียงถามอย่างนึกได้“เคยพบสิเจ้าคะ บุรุษสวมหน้ากา
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า