แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า
“ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง
ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า”
“ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ”
“ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก
“ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ”
“ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้
“แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่
“ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ”
แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของมีค่าหลายหีบที่ส่งมาให้ฟู่เซียงเซียง
หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉินตงหยางทำเช่นนี้ เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับนางเลยสักครึ่งคำ หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สาวใช้มาเชิญฟู่เซียงเซียงไปพบฟู่เจี้ยนกั๋วที่ห้องหนังสือตามลำพัง แม่นมหวงและจางลี่เดินกลับเรือนไปก่อน เมื่อมาถึงในมีเพียงบิดานั่งอยู่ลำพังไม่มีผู้อื่น นางจำไม่ได้แล้วว่าเคยเข้าในห้องหนังสือเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน
“ท่านพ่อ”
ฟู่เจี้ยนกั๋วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้บุตรสาวนั่งลง หญิงสาวนั่งใกล้ๆ รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่รอคอยให้นางเผชิญอยู่เบื้องหน้า
“ไม่รู้ว่าเจ้าสนิทสนมกับไต๋อ๋องตั้งแต่เมื่อใด” บิดาพูดแล้วถอนหายใจเบาๆ “ไต๋อ๋องต้องการแต่งเจ้าเป็นชายาเอก”
“ชายาเอก” นางอุทาน ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ เรื่องเหล่านี้ฉินตงหยางไม่เคยพูดเลยสักครั้ง
“เมื่อเจ้าอภิเษกกับไต๋อ๋องแล้วก็ต้องติดตามไปอยู่แคว้นฉิน ถึงเวลานั้น เจ้าก็ต้องรับมือทุกอย่างเพียงลำพัง”
“ลูก...”
ฟู่เซียงเซียงกัดริมฝีปากแน่น ถูกแล้ว นางรู้แค่ว่าฉินตงหยางยังไม่ได้แต่งงาน แต่ไม่เคยรู้ว่าเขามีสตรีอื่นอีกหรือไม่ อายุยี่สิบเจ็ดจะไม่มีใครเลยคงเป็นไปไม่ได้ และที่สำคัญนางไม่เคยหวังตำแหน่งชายาเอกจากเขา
“แม่ของเจ้ามาจากตระกูลวานิช เรื่องนี้เจ้าคงรู้ดีอยู่แล้ว ก่อนแต่งงานกับแม่เจ้า พ่อก็มีจื่อรั่วแม่ของซินอี๋ ซึ่งนางก็ยินยอมเป็นภรรยารอง ตอนที่แม่เจ้ายังอยู่ พ่อก็ไม่เคยละเลยเจ้ากับแม่ เมื่อแม่เจ้าตายพ่อจึงยกจื่อรั่วขึ้นเป็นภรรยาเอก เจ้าคงโกรธที่พ่อทำเช่นนี้ แต่เจ้าควรรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่จื่อรั่วควรได้รับแต่แรก”
“ท่านพ่อมีอะไรจะตักเตือนลูกหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยปากถาม มือที่อยู่ใต้ชายเสื้อกำแน่นจนเหงื่อซึม
“อย่าคิดว่าได้เป็นชายาเอกจะลำพองใจไป เจ้าต้องเตรียมใจรับมือกับชายารองและนางสนมของไต๋อ๋องอีก พ่อไม่ใช่พ่อที่ดีนักคงปกป้องเจ้าไม่ได้ แต่อยากย้ำเตือนว่าบุรุษที่เจ้าแต่งงานด้วยน้ำคือคนที่ยึดครองแผ่นดินแคว้นสือเจ้าของเรา!”
“ท่านพ่อ!” ใบหน้างามซีดเผือดราวไร้เลือด “ท่านพ่อไม่รู้หรือว่าลูกไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก และการที่ลูกอยู่ข้างกายไต๋อ๋องก็เป็นเพียงเชลยคนหนึ่ง ส่วนที่เขาแต่งลูกเป็นชายาเอกนั้น ลูกหาได้รู้เรื่องเหล่านี้เลยสักนิด ...”
‘ถ้านางรู้ล่วงหน้าว่าการซื้อตัวทาสผู้นั้นมาจะสร้างปัญหาในนางในวันนี้ นางจะไม่ทำเด็ดขาด!’
ฟู่เจี้ยนกั๋วยกมือห้ามไม่ให้นางพูดอีก “หากเจ้าไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนเนรคุณแผ่นดิน จงทำตามที่พ่อสั่ง”
“ท่านพ่อจะให้ลูกทำสิ่งใด”
“กำจัดไต๋อ๋องเสีย”
“ท่านพ่อ!”
“หรือเจ้ารักคนผู้นั้น” ฟู่เจี้ยนกั๋วหัวเราะในลำคอ “คิดว่าไปอยู่แคว้นฉินแล้วจะสุขสบายรึ! เจ้าฝันไปแล้ว เจ้าไม่มีกำลังใดจะหนุนไต๋อ๋องได้ เขาแต่งเจ้าไปก็เผื่อให้ผู้คนเห็นว่าแคว้นฉินเป็นมิตรกับแคว้นสือเจ้าของเรา
“แต่ลูกเป็นแค่สตรีบอบบางจะไปทำอะไรได้” นางพยายามหาทางออกให้ตัวเอง
“เจ้ามีวิชาแพทย์มิใช่รึ แค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้”
“วิชาแพทย์มีไว้เพื่อช่วยชีวิตคนไม่ใช่คร่าชีวิตใคร!”
“พ่อรู้ๆ” ฟู่เจี้ยนกั๋วกระตุกยิ้มที่มุมปาก “พ่อถึงได้เตรียมยาพิษให้เจ้า”
“ท่านพ่อ!” นางลุกพรวดขึ้นยืน “ลูกทำเรื่องนี้ไม่ได้!”
ฟู่เจี้ยนกั๋วลุกขึ้นยืน ยกฝ่ามือฟาดใบหน้าบุตรสาวด้วยความโมโห ร่างเล็กเซถลาไปชนกับชั้นหนังสือ มือเรียวสั่นระริกยกขึ้นสัมผัสแก้มตนเอง ตั้งแต่เล็กจนโต นางรู้ว่าบิดาไม่รักนาง แต่ไม่เคยลงมือทำร้าย แต่วันนี้...
“เจ้าลูกอกตัญญู! เจ้าเนรคุณแผ่นดิน! เจ้าไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข!”
“ความสุขของนางข้ารับผิดชอบเอง”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมบานประตูที่เปิดออก ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เรียบหรูก้าวเข้ามา สายตาคมกริบตวัดมอง ทว่าเมื่อเห็นหญิงสาวยืนตัวสั่นอยู่ เขาก็ก้าวเท้าเข้าไปหา ยกมือขึ้นแตะมือที่กุมแก้มอยู่เบาๆ เพื่อดูรอยช้ำของนาง ฟู่เซียงเซียงช้อนตาขึ้นมอง ความอ่อนโยนที่ได้รับทำให้นางได้สติ
เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร แล้ว...แล้วที่บิดาพูดกับนาง...เขาได้ยินหรือไม่...
ดูจากสายตาแล้ว คงได้ยินหมดแล้วสินะ
“ถือดีอย่างไรเข้ามาในบ้านของข้า!” แม้กลัวจนเสียงสั่นแต่ฟู่เจี้ยนกั๋วยังคงสีหน้าดุดันกลบเกลื่อนความกลัวที่เกิดขึ้น
ฉินตงหยางมองรอยแดงบนแก้มเนียนแล้วกัดฟันกรอด เขารั้งนางเข้ามาไว้ในอ้อมอกอย่างปกป้อง แล้วเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“เดิมทีคิดว่าต้องมาคารวะว่าที่พ่อตาสักครั้งก่อนวันแต่งงาน แต่ไม่คิดว่าจะมาได้ยินความในใจของท่านพ่อตา” ฉินตงหยางยิ้มเหี้ยมที่มุมปาก แต่ฟู่เซียงเซียงกระตุกเสื้อของเขาแล้วแหงนหน้ามองด้วยสายตาอ้อนวอน
“ข้าขอร้อง อย่าทำอะไรบิดาข้าเลยนะ”
“แต่เขาก็ไม่ได้ทำดีกับเจ้านักมิใช่หรือ มิเช่นนั้นจะส่งเจ้าไปอยู่ไกลถึงชายแดนได้อย่างไร แล้วไหนจะสินเดิมของมารดาเจ้าอีก”
“แต่อย่างไรเขาก็เป็นบิดาของข้า” นางพูดเสียงเบา “ข้าทนเห็นเขาเป็นอะไรไม่ได้”
ฉินตงหยางอยากจะหัวเราะเยาะนางเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะเขาส่งคนคอยคุ้มครองนาง นางจะเผชิญชีวิตได้สงบราบรื่นได้อย่างไรกัน
“ถือว่าข้าขอร้องท่านเถิดนะ” แววตามีน้ำตาเอ่อคลอ นานเพียงใดแล้วที่นางไม่ได้หลั่งน้ำตาเพราะบิดาเช่นนี้ แม้บิดาไม่ได้รักนางแต่อย่างไร บิดามารดาก็ผู้ให้กำเนิด นางจะเห็นบิดาตนเองได้รับอันตรายได้อย่างไรกัน
“ท่านเสนาบดีฟู่ ท่านได้ยินหรือไม่ บุตรสาวที่ท่านละเลยขอร้องให้ข้าไว้ชีวิตท่าน” ฉินตงหยางหัวเราะเสียงเย็น “ข้ารู้ว่าท่านทำสิ่งใดไว้ การแต่งงานครั้งนี้เพื่อช่วยล้างมลทินสกุลฟู่ นางเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของเสนาบดีกรมพิธีการมิได้น้อยหน้าผู้ใด ข้าต้องการให้นางออกจากบ้านท่านอย่างสง่าผ่าเผย มิใช่หญิงสาวที่ถูกฉุดคร่ามา ข้าให้เกียรติสกุลฟู่ของท่านเช่นนี้ ท่านอยากจะรับไว้หรืออยากให้ข้าลงมือขุดรากถอนโคนพวกที่เข้าข้างองค์ชายสามที่หายสาปสูญไป!”
“ข้า...” ฟู่เจี้ยนกั๋วในวัยห้าสิบถึงกับเข่าอ่อนทรุดไปนั่งกับพื้น เขาพยายามใช้ทั้งชีวิตเพื่อฟื้นฟูสกุลฟู่ แม้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการ แต่ตนเองไร้บารมี ที่แต่งงานกับมารดาของฟู่เซียงเซียงก็เพื่อต้องการใช้เงินรวมถึงสินเดิมของนางมาบำรุงวงศ์ตระกูล เขาเข้าร่วมกับองค์ชายสามเพื่อหวังว่า หากองค์ชายสามได้เป็นฮ่องเต้ อำนาจและความยิ่งใหญ่ของสกุลฟู่จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้ไปถึงที่หมาย ฝันนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าธุลี
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แนะนำตัวละครฟู่เซียงเซียง : บุตรสาวภรรยาเอกของเสนาบดีกรมพิธีการฟู่เจี้ยนกั๋ว อาศัยในแคว้นสือเจ้า สนใจวิชาแพทย์ปรารถนาจะเป็นหมอหญิงฟู่ซินอี๋ : บุตรสาวภรรยารองของเสนาบดีกรมพิธีการฟู่เจี้ยนกั๋ว มีศักดิ์เป็นน้องสาวฟู่เซียงเซียงแม่นมหวงเจียอี : แม่นมที่เลี้ยงดูฟู่เซียงเซียงตั้งแต่แบะเบาะ รักและเอ็นดูฟู่เซียงเซียงดุจลูกในไส้จางลี่ : สาวใช้ขาพิการ ที่ฟู่เซียงเซียงซื้อตัวมาอี้เฉิน : ทาสหนุ่มที่ฟู๋เซียงเซียงซื้อตัวมาฉินตงหยาง : ไต๋อ๋องแห่งแคว้นฉินชีอันฟาน : คนสนิทของไต๋อ๋อง ราวกับถูกสายตาคู่หนึ่งดึงดูดไว้ทำให้เด็กสาวที่แต่งกายด้วยชุดของเด็กชายที่ใหญ่เกินตัว ดวงตาเป็นประกายจ้องมองชายหนุ่มที่สภาพสะบักสะบอม เสื้อผ้าดูไม่ออกว่าสีเดิมเป็นสีอะไร ผมเผ้ารุงรังเกรอะกรังไม่น่ามอง ตามเนื้อตัวดูท่าจะมีแผลฟกช้ำห้อเลือดอยู่ไม่น้อย ริมฝีปากที่เม้มแน่นแต่เห็นได้ชัดว่าเขียวคล้ำ คงมีเพียงแววตาที่แข็งกร้าวที่บ่งบอกว่ายังมีชีวิต “สิบตำลึง...สิบตำลึงเท่านั้น” “สิบตำลึง!” เด็กสาวร้องเสียงหลงแต่ทำให้หลายคนหันมามอง นิ้วเรียวชี้ไปยังทาสหนุ่มที่ถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืน แม้ร่าง
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า