แนะนำตัวละคร
ฟู่เซียงเซียง : บุตรสาวภรรยาเอกของเสนาบดีกรมพิธีการฟู่เจี้ยนกั๋ว อาศัยในแคว้นสือเจ้า สนใจวิชาแพทย์ปรารถนาจะเป็นหมอหญิง
ฟู่ซินอี๋ : บุตรสาวภรรยารองของเสนาบดีกรมพิธีการฟู่เจี้ยนกั๋ว มีศักดิ์เป็นน้องสาวฟู่เซียงเซียง
แม่นมหวงเจียอี : แม่นมที่เลี้ยงดูฟู่เซียงเซียงตั้งแต่แบะเบาะ รักและเอ็นดูฟู่เซียงเซียงดุจลูกในไส้
จางลี่ : สาวใช้ขาพิการ ที่ฟู่เซียงเซียงซื้อตัวมา
อี้เฉิน : ทาสหนุ่มที่ฟู๋เซียงเซียงซื้อตัวมา
ฉินตงหยาง : ไต๋อ๋องแห่งแคว้นฉิน
ชีอันฟาน : คนสนิทของไต๋อ๋อง
ราวกับถูกสายตาคู่หนึ่งดึงดูดไว้ทำให้เด็กสาวที่แต่งกายด้วยชุดของเด็กชายที่ใหญ่เกินตัว ดวงตาเป็นประกายจ้องมองชายหนุ่มที่สภาพสะบักสะบอม เสื้อผ้าดูไม่ออกว่าสีเดิมเป็นสีอะไร ผมเผ้ารุงรังเกรอะกรังไม่น่ามอง ตามเนื้อตัวดูท่าจะมีแผลฟกช้ำห้อเลือดอยู่ไม่น้อย ริมฝีปากที่เม้มแน่นแต่เห็นได้ชัดว่าเขียวคล้ำ คงมีเพียงแววตาที่แข็งกร้าวที่บ่งบอกว่ายังมีชีวิต
“สิบตำลึง...สิบตำลึงเท่านั้น”
“สิบตำลึง!” เด็กสาวร้องเสียงหลงแต่ทำให้หลายคนหันมามอง นิ้วเรียวชี้ไปยังทาสหนุ่มที่ถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืน แม้ร่างกายสูงใหญ่แต่สภาพดูไม่ได้เอาเสียเลย
“น้องชาย...นี่ไม่ใช่ที่ๆเด็กๆอย่างเจ้าจะมาเดินเล่น” นายหน้าค้าทาสพูดอย่างดูแคลน
“สภาพนี้สิบอีแปะก็นับว่าแพงไปแล้ว” นางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไม่มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด ดวงตางดงามกวาดตามองทาสหนุ่มเบื้องหน้าแล้วส่ายหน้าไปมา “เนื้อตัวเป็นจ้ำเลือด ปากก็เขียวคล้ำ กลิ่นก็เหมือนเน่าราวซากศพ เอาคนผู้นี้ไปควรให้ค่าทำศพไปด้วยถึงจะถูก”
“เจ้า!” นายหน้าถึงกับตวาดอย่างลืมตัว ผู้คนที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วยกับเด็กสาวเอ่ยออกมา
“ยืนห่างขนาดนี้ยังได้กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนซากศพจริงๆ เอาไปทำอะไรได้” ใครคนหนึ่งพึมพำแล้วยกมือโบกไปมาไล่กลิ่นเหม็นที่โชยมาแตะปลายจมูก
“สภาพนี้ยังขายตั้งสิบตำลึง เกินไปแล้ว”
เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้น นายหน้าค้าทาสเริ่มหน้าเปลี่ยนสี เด็กหญิงยังสบตากับดวงตาแข็งกร้าวคู่นั้นแล้วยกมือขึ้น
“สองตำลึง”
“อะไรนะ!” นายหน้าคนเดิมผงะไป
“ข้าซื้อชายคนนี้สองตำลึง” นางกล่าวย้ำ “ไม่มีต่อรอง”
ชายร่างท้วมกัดฟันกรอด แต่หันไปมองทาสที่ตนได้มาก็ได้แต่หัวเสีย ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ได้เงินมาในมือดีกว่าขายไม่ได้แล้วยังต้องหาที่ทิ้งศพอีก
“ได้! ขายสองตำลึง”
เด็กสาวลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินตามไปด้านหลังเพื่อรับสัญญาทาส ทว่าทาสที่ซื้อมาไม่มีแรงเดินด้วยซ้ำ ชายฉกรรจ์สองคนหิ้วปีกลากร่างที่ไร้เรี่ยวแรงมากองที่พื้นแทบเท้านาง เด็กสาวชักเท้าไม่ทัน ใบหน้าของเขาจึงแทบซบกับรองเท้า เด็กสาวย่อตัวลงแล้วกระซิบเบาๆ
“อดทนมาได้ถึงเวลานี้แล้วก็อดทนอีกนิดเถอะนะ อย่างไรก็มีชีวิตให้คุ้มค่าเงินสองตำลึงของข้าหน่อย”
ดวงตาคมปลาบดุจสัตว์ป่าจ้องมองเหมือนอยากจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ เด็กสาวผงะไปเล็กน้อย และฝืนยิ้มออกมา ทำใจแข็งแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปจ้างรถม้ามาพาทาสหนุ่มผู้นี้กลับเรือน
หญิงวัยกลางผู้นั้นคือแม่นมหวง หรือนางหวงเจียอีกับสาวใช้ขาขวาพิการลีบเล็กชื่อจางลี่ ทั้งสองกำลังตากสมุนไพรอยู่ที่ลานกว้าง เสียงรถม้าหยุดนิ่งที่ประตูด้านข้างของเรือน ทำให้ทั้งสองหันไปมอง แล้วก็เป็นแม่นมหวงที่รีบเข้าไปหาคุณหนูของบ้านที่กำลังประคองร่างใหญ่โตของบุรุษผู้หนึ่ง ไหล่ข้างหนึ่งสะพายล่วมยาที่แทบจะหล่นจากบ่าแล้ว
“คุณหนู!”
“เร็ว...มาช่วยข้าหน่อย” เด็กสาวพูดเสียงสั่น คนขับรถม้าก็ไม่ยอมช่วยนาง นางจำใจต้องประคองร่างที่แทบไร้แรงเดินเข้ามาเพียงลำพัง ทั้งแม่นมและสาวใช้รีบเข้าไปช่วยพยุงแล้วพาชายแปลกหน้าไปนอนแผ่หลาที่กลางเรือน
“คุณหนูพาซากอะไรเข้ามาในเรือนเจ้าคะ”
“พูดจาดีๆหน่อย เขายังมีชีวิตอยู่ ใช่ไหมเจ้าคะคุณหนู” แม่นมหวงอดดุสาวใช้ไม่ได้
“อืม” เด็กสาวรับคำในลำคอ ดูจากบาดแผลแล้วเจ็บไม่น้อยแต่ไม่ปริปากส่งเสียงร้องสักคำ หรือว่าจะเป็นใบ้กันนะ นางเหลือบตามองก็เห็นดวงตาดุดันจ้องมอง หากไม่เพราะไร้เรี่ยวแรงคงต่อต้านสุดกำลังไปแล้ว
“แม่นมช่วยเตรียมน้ำร้อนให้ข้าด้วย จางลี่ไปเตรียมผ้าสะอาดมา”
“เจ้าค่ะ” ทั้งสองประสานเสียงตอบพร้อมกันแล้วหมุนตัวไปทำตามที่เด็กสาวสั่งทันที
มือเรียวเล็กหยิบกรรไกรออกมาจากล่วมยาแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะทำแผลให้ แต่ข้าเองก็ไม่ใช่หมอไม่รู้จะรักษาได้แค่ไหน ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของเจ้าก็แล้วกัน”
มือเรียวเล็กใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าของเขาออก อาจเพราะเลือดแห้งเกราะกรังทำให้นางต้องระวังมากยิ่งขึ้น ดวงตาคู่นั้นทำได้เพียงแค่จ้องเขม็งจนนางนึกอยากใช้มือปิดดวงตาคู่นั้นเสีย แต่ถ้าทำเช่นนั้นคงไม่เหลือมือไว้ทำแผลให้เขา
“นั้น....นั้น...” จางลี่ที่เดินกลับเข้ามาพร้อมผ้าสะอาดถึงกับใบหน้าไร้สีเลือด นางไม่เคยเห็นบาดแผลมากมายขนาดนี้มาก่อน
“เอาผ้าวางไว้ตรงนี้แล้วไปยกน้ำอุ่นมา”
“เจ้าค่ะ” จางลี่รีบหมุนตัวกลับไปทันที เพียงไม่กี่อึดใจนางก็วิ่งกลับมาพร้อมอ่างน้ำอุ่นวางใกล้มือเด็กสาว
“ไปเอามาอีก”
“เจ้าค่ะ”
เจ้าของร่างเล็กล้างมือเรียบร้อยแล้วจึงลงมือใช้ผ้าชุบน้ำค่อยๆ เช็ดไปตามเนื้อตัวเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยบาดแผล หากเป็นคนทั่วไปคงสิ้นชีพไปแล้ว แต่เขายังมีลมหายใจอยู่ นางเองไม่มั่นใจในฝีมือของตนนัก แต่ท่านหมอจูก็ไม่อยู่ จะไปโรงหมออื่นก็ไม่สนิทสนมคุ้นเคยพอจะฝากคนเจ็บที่ไม่มีเงินรักษาได้ และเงินที่นางมีอยู่ก็ซื้อตัวทาสผู้นี้ไปหมดแล้ว
ใครเลยจะรู้ว่าคุณหนูฟู่เซียงเซียง บุตรสาวภรรยาเอกของเสนาบดีกรมพิธีการฟู่เจี้ยนกั๋วจะตกอับถึงเพียงนี้ เรือนของนางอยู่ด้านหลังไกลหูตาผู้คน ข่าวเล่าลือไปว่านางเจ็บป่วยเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในจวน ทว่าในความจริงนั้นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง ความเป็นอยู่ของนางแทบไม่ต่างจากสาวใช้ แต่ยังดีที่มีแม่นมหวงและจางลี่อยู่คอยดูแลนาง ทำให้ชีวิตเด็กสาววัยสิบสี่อย่างนางไม่ลำบากจนเกินไปนัก
อ่างน้ำถูกเปลี่ยนน้ำครั้งแล้วครั้งแล้ว ร่างกายที่เคยเต็มไปด้วยคราบสกปรกเผยให้เห็นผิวกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ สิ่งที่เด็กสาวเป็นกังวลที่สุดคือบาดแผลที่ด้านหลังของเขา คล้ายมีหัวลูกศรยังฝังอยู่
“ข้าต้องกรีดแผลเพื่อเอาหัวลูกศรนี้ออก” นางพูดกับแม่นมหวงและจางลี่ “หาผ้าให้เขากัดไว้”
จางลี่ที่กล้าๆ กลัวๆ ข่มใจหยิบผ้าผืนหนึ่งที่พับหลายทบจนกลายเป็นก้อนหนาพอจะยัดใส่ปากของชายผู้นี้ แต่เพราะดวงตาที่จ้องเขม็งทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้ ฟู่เซียงเซียงเตรียมอุปกรณ์ทำแผลเสร็จแล้วแต่ไม่เห็นจางลี่เอาผ้าใส่ปากคนเจ็บ นางจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม จางลี่ได้แต่หดคอเหมือนเต่าตัวน้อย เด็กสาวที่มีความรู้การรักษาไม่มากนักส่ายหน้าไปมาแล้วหยิบผ้ายัดใส่ปากคนเจ็บด้วยตนเอง
เพราะบ้านใหญ่แทบไม่ให้เงินใช้ ข้าวปลาอาหารก็ส่งมาไม่พอกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ต้องกล่าวถึง นางจำเป็นต้องหาเงินเลี้ยงตัวและคนในเรือนหลังน้อยแห่งนี้ ด้วยความเป็นคนหัวไว และอ่านออกเขียนคล่อง อายุเพียงสิบเอ็ดปีนางก็แอบรับจ้างคัดลอกตำราให้ร้านขายหนังสือแห่งหนึ่ง ประจวบกับตัวนางเคยเจ็บป่วยหนัก บิดาไม่แลเหลียว แม่นมหวงลอบไปเชิญหมอมาตรวจรักษานางทำให้ได้รู้จักกับได้ท่านหมอจูซีห่าว หลังจากหายดีนางจึงขอทำงานกับท่านหมอจู เรียนรู้วิชาแพทย์และคัดลอกตำราแพทย์ไปพร้อมกัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กสาวรักษาคน แต่เป็นครั้งแรกที่นางซื้อคนมารักษา เงินสองตำลึงนั้นก็เพิ่งได้จากการรักษาฮูหยินท่านหนึ่ง เพราะเป็นสตรีจะพูดคุยกับหมอบุรุษก็รู้สึกขัดเขิน นางที่แอบลอบออกจากจวนติดตามหมอจูรักษาผู้คนจึงพอจะตรวจโรคพื้นฐานทั่วไปได้ แต่ถึงกระนั้น นางยังเจียมตัวไม่อาจเรียกตัวเองว่าหมอ “อดทนหน่อยนะ” นางเอ่ยแล้วใช้ปลายมีดกรีดเปิดปากแผล รับรู้ได้ถึงร่างกายที่เกร็งจนสั่นสะท้าน แผลตรงหัวไหล่เป็นมานานจนแผลอักเสบเป็นหนอง ทันทีที่ปากแผลเปิด หนองสีขาวขุ่นก็ไหลทะลักออกมา กลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งจนแม่นมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก จากนั้นใช้แหนบคีบเอาหัวลูกศรที่ฝังอยู่ออกมา เสียงถอนหายใจโล่ง อกที่อุปสรรคแรกผ่านไป “ต้องเอาหนองออกให้หมด” นางอธิบายทั้งที่ไม่แน่ใจว่าทาสที่ซื้อตัวมาฟังอยู่หรือไม่ เด็กสาวล้างแผลด้วยน้ำผสมเกลือเจือจาง ซับแผลจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดตกค้างอีกจึงหยิบยาผงโรยที่แผลแล้วใช้ผ้าปิดปากแผล “คุณหนูเก่งจังเลยเจ้าค่ะ” จางลี่อดชื่นชมไม่ได้ “ยังมีอีกแผลที่ต้องเย็บ” “ยะ..เย็บ..เย็บแผล?” คราวนี้จางลี่พูดไม่
สายลมพัดผ่านพาแสงเทียนวูบไหว ฟู่เซียงเซียงเงยหน้าขึ้นจากการคัดลอกตำราแล้วกวาดตามองไปรอบๆ เสียงแมลงกลางคืนเงียบไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางนั่งทำงานเพลินจนลืมเวลาอีกแล้ว ในเรือนหลังนี้มีเพียงนาง แม่นมหวงเจียอีและจางลี่ ส่วนบุรุษอีกคนที่ยังหลับใหลนั้น นางไม่อยากนับรวมไปด้วย ร่างบอบบางลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้าแล้วหันมาเก็บสมุดบนโต๊ะให้เรียบร้อย เพราะทำงานเพลินจนดึกดื่นนางจึงไม่ให้แม่นมหวงกับจางลี่อยู่รอปรนนิบัติ สำหรับนางแล้ว ทั้งสองเป็นเสมือนญาติที่เหลืออยู่ ความตายของมารดาพรากความสุขที่เคยมีไปหมดสิ้น ในวัยเพียงสิบขวบ นางเพียรทำทุกวิถีทางให้บิดาหันกลับมาใส่ใจนางเช่นเวลาที่มารดายังอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่า หลังมารดาตายจากครึ่งปี บิดาก็ยกภรรยารองมาเป็นภรรยาเอก รวดเร็วเสียจนนางไม่คาดคิด ในคราวที่มารดายังอยู่ คนเหล่านั้นล้วนเอาใจใส่นาง ให้ความเคารพยำเกรง แต่เมื่อสิ้นมารดา นางกลายเป็นเพียงก้อนหินไร้ค่าที่บิดาเมตตาเก็บไว้ท้ายจวน เสื้อผ้าอาภรณ์ อาหารการกิน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกส่งมาอย่างจำกัด รวมทั้งบ่าวรับใช้ข้างกายก็ไม่มี ยังดีที่บิดาส่งแม่นมหวงมาอยู่เ
เสียงการเคลื่อนไหวในครัวทำให้รู้ว่าคนในเรือนตื่นนอนกันแล้ว หากไม่ใช่เพราะบาดเจ็บหนักเขาคงลุกขึ้นมาฝึกเพลงยุทธ์เช่นที่เคยทำมา ทว่าการตื่นมาท่ามกลางเสียงพูดคุยหยอกล้อและกลิ่นอาหารหอมกรุ่น เป็นความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความเป็นและความตายมานานนับสิบปีเช่นเขา “โจ๊กปลา” ฟู่เซียงเซียงเอ่ยกับแม่นมหวงที่รับหน้าที่ดูแลอาหารการกินในเรือน แต่เดิมนั้นต้องรอโรงครัวส่งอาหารมาให้ แต่ละมื้อที่ได้มานอกจากอาหารเย็นชืดบางครั้งยังเน่าบูดอีกด้วย หลังจากนางเก็บเงินได้เล็กน้อยก็ให้ช่างมาซ่อมแซมห้องครัวเล็ก แม่นมหวงลงมือทำอาหารด้วยตนเอง ทั้งสามชีวิตจึงได้กินอาหารอร่อยและอุ่นท้อง “คนเพิ่งฟื้นร่างกายกินโจ๊กปลาดีที่สุด โรยขิงเยอะๆ ด้วยจะยิ่งช่วยบำรุงร่างกาย” เพราะแม่นมหวงไม่ยอมให้ฟู่เซียงเซียงทำอาหารด้วยตนเอง นางจึงได้แต่ยืนใกล้ๆ คอยบอกว่าต้องการสิ่งใด “ทาสผู้นั้นฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”จางลี่ถามพลางมองเลยไปยังด้านใน เขาหลับไปตั้งหลายวัน คุณหนูต้องคอยดูแลด้วยตนเอง ถ้าตื่นฟื้นแล้วก็ดี คุณหนูของนางจะได้ไม่ต้องลำบาก พูดถึงชายหนุ่มแล้ว ฟู่เซียงเซีย
แม่นมหวงและจางลี่ลอบมองไปยังทาสหนุ่ม ทว่าเขายังมีสีหน้าเรียบนิ่งราวกับฟังถ้อยคำเหล่านั้นไม่เข้าใจ “ว่าแต่คุณหนูรองสกุลฟู่มาเรือนท้ายจวนด้วยธุระอันใดรึ?” “ข้าก็ไม่ได้อยากย่างเท้ามาที่สกปรกเช่นนี้” นางปรายตามองไปยังเล้าไก่ที่ส่งเสียงน่ารำคาญ “ท่านแม่ให้นำเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้ ท่านพ่อกำชับให้คุณหนูใหญ่ไปต้อนรับแขกของท่านพ่อ” “แขกของท่านพ่อนี่ใครกัน” “ท่านพ่อสั่งให้ข้าพูดมาแค่นี้” “แล้วเจ้าไม่รู้หรือไรว่าใคร” ฟู่ซินอี๋เม้มปากเน้นแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น นางหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เสื้อผ้าเครื่องประดับให้ฟู่เซียงเซียง จางลี่รีบเข้ามารับแทนคุณหนูที่ยังนั่งกินมื้อเช้าไม่สนใจเรื่องที่ได้ยินนัก “ข้าเสร็จธุระแล้ว ไปล่ะ” ฟู่ซินอี้ปรายตามองทางชายหนุ่มอีกครั้งแล้วรีบหมุนตัวเดินเร็วๆ ราวกับหนีอะไรสักอย่าง “ชุดนี้สวยจังเลย” จางลี่ทำตาโต นานทีปีหนจะเห็นทางเรือนใหญ่ส่งเสื้อผ้าอาภรณ์ดีๆมาให้สักชุดสองชุด ฟู่เซียงเซียงปรายตามองเล็กน้อย เห็นทีว่า ‘แขก’ของท่านพ่อจะเป็นคนสำคัญจริงๆ ถึง
‘ข้าควรดีใจหรือไม่ที่มีค่าตัวถึงสองตำลึง’ แต่ปลายนิ้วที่ป้ายเนื้อยามาทาแผลให้เขานั้น ทำให้ชายหนุ่มยอมทำตัวโง่งมเพื่อให้นางทำทายาด้วยรอยยิ้มภูมิใจในความเก่งกาจของตน นางอายุเท่าไหร่กันนะ ปีหน้าจะปักปิ่นใช่ไหม เช่นนั้นนางก็อายุสิบสี่สินะ นางเป็นบุตรสาวเสนาบดีฟู่ แต่เหตุใดความเป็นอยู่แร้นแค้นเช่นนี้กัน เขาที่ไม่เคยสนใจเรื่องผู้อื่นกลับรู้สึกสนใจในตัวเด็กสาวผู้นี้นัก “คุณหนู!” จางลี่ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นฟู่เซียงเซียงก้มๆ เงยๆ ทายาให้อี้เฉิน นางรีบวางห่อผ้าที่ใส่กระดาษและหมึกวางบนโต๊ะแล้วแย่งตลับยามาถือเสียเอง “เจ้ากลับมาแล้ว วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ฟู่เซียงเซียงยิ้มขบขันเพราะรู้ว่าจางลี่เป็นห่วงเรื่องใด “คุณหนูไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวบุรุษนะเจ้าคะ” จางลี่กระทืบเท้าเร่า ๆ ทำไมคุณหนูของนางช่างทำเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้นะ “แต่เขาเป็นคนเจ็บของข้านะ” หากนางใส่ใจเรื่องเหล่านี้คงไม่เลือกศึกษาวิชาแพทย์หรอก “เจ้าดูสิ บาดแผลของเขาดีขึ้นมากแล้ว อย่างนี้ท่านหมอจูจะต้องรับข้าเป็นศิษย์อย่างแน่นอน” “คุณหนูจะเป็นหมอจริงๆหร
“คนผู้นี้พูดไม่ได้” ท่านหมอจูเอ่ยกับลูกศิษย์ และอธิบายกับทาสหนุ่ม “นางมักซุ่มซ่ามอยู่เสมอ หากคราวหน้านางหกล้ม เจ้าก็ประคองไหล่นางไว้ ไม่ใช่กอดเอวนางเช่นนั้น” ทาสหนุ่มนิ่งงันไป เขาคิดแค่ต้องการช่วยไม่ให้นางหน้าคว่ำกระแทกพื้น หมอจูซีห่าวเข้าใจว่าทาสผู้นี้คงไม่มีความรู้จึงตั้งใจอบรมสั่งสอน แม้ฟู่เซียงเซียงแต่กายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะทำสิ่งใดก็ต้องระวังให้มาก แต่นางไม่เหมือนสตรีทั่วไป ไม่เช่นนั้นคงไม่สนใจเรียนการรักษาคนเช่นนี้ ฟู่เซียงเซียงชงน้ำชาแล้วยกเข้ามาในห้องโถง โดยมีศิษย์ที่หมอจูซีห่าวรับไว้อีกสามคนอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือจูลี่เฉียว หลานชายของเขาเอง เด็กสาวคุกเข่ายกน้ำชา ดวงตางามเป็นประกายงดงามเฝ้ามองมือหยาบกร้านยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมด แล้วจึงหยิบชุดเข็มเงินส่งให้ฟู่เซียงเซียง “จงเรียนรู้และรักษาผู้คนด้วยความซื่อสัตย์จากใจ” “ศิษย์ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หมอจูซีห่าวพยักหน้าพอใจ เห็นที่ว่าต้องเหนื่อยกับสอนเจ้าวัวดื้อตัวนี้สักหน่อย แต่เขาเชื่อว่านางจะเป็นหมอหญิงที่ดีได้ “เจ้าคงศึกษา
‘เข้าใจอะไรกัน พูดเองเออเองเอาทั้งนั้น’ร่างเล็กหมุนตัวกลับ ก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็ถูกเสียงหนึ่งเรียกไว้ ฟู่เซียงเซียงหันไปมองเจ้าของมือขาวผ่องกวักมือเรียกจากตรอกด้านข้าง นางจำหญิงสาวผู้นั้นได้เป็นอย่างดีจึงเดินตรงไปหาพร้อมรอยยิ้ม“พี่เหมยลี่” เด็กสาวที่อยู่ในชุดเด็กหนุ่มเอ่ยทัก “ท่านมาซื้อของที่ตลาดหรือ?”“ข้ามาดักพบเจ้าต่างหากล่ะ” หญิงสาวทำตาดุใส่ ทว่าเมื่อเห็นว่าด้านหลังฟู่เซียงเซียงมีบุรุษสวมชุดดำท่าทางน่ากลัวยืนอยู่ นางก็พูดไม่ออก ฟู่เซียงเซียงเข้าใจในทันที นางกุมมือเหมยลี่แล้วพูดปนหัวเราะ “เขามากับข้า ว่าแต่พี่เหมยลี่มีเรื่องอันใดรึ” เหมยลี่ลอบมองชายในชุดดำอีกครั้งแล้วยกพัดขึ้นป้องปากกระซิบ “พี่น้องไม่ค่อยสบาย เจ้าช่วยไปดูอาการสักหน่อยเถิด” “ท่านหมอจูห้ามไม่ให้ข้าออกตรวจคนไข้เพียงลำพัง” ฟู่เซียง เซียงรีบพูดขึ้น แต่อีกฝ่ายดูไม่สนใจนัก “เจ้าก็รู้ว่าถ้าพวกเราไปหาท่านหมอที่โรงหมอหรือเชิญท่านหมอไปตรวจ หากมีคนรู้เข้าจะคิดว่าเจ็บป่วยหนักนะสิ” “แล้วที่มาเรียกข้าก็ไม่ใช่เพราะเจ็บป่วยหรอกหรือ?” นางเอียงคอถามอย่างสงสัย เหมยลี่กระทืบเท้า
เหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำคุกเข่าลงเบื้องหน้าบุรุษหนุ่มที่ยืนสงบนิ่งภายใต้จันทร์เสี้ยว แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่ไม่อาจกลบรัศมีความน่าเกรงขามได้เลย เพียงการยกมือส่งสัญญา ชายในชุดดำเหล่านั้นพลันหายไปราวกับภูติผี เหลือเพียงบุรุษหนุ่มตามลำพัง ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นดู มุมปากกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว มือสองข้างนี้เปื้อนเลือดสังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนไร้ความลังเล แต่เวลานี้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ เขาเดินฝ่าความมืดของรัตติกาลเข้าไปในเรือนหลังน้อยที่แสนทรุดโทรม ฝีเท้าแผ่วเบาก้าวเท้าเข้าไปจนถึงเตียงนอนของเด็กสาววัยสิบสี่ ปลายนิ้วปัดม่านมุ้งออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามหลับใหล ร่างสูงใหญ่นั่งลงริมเตียง แม้มีเพียงแสงสลัวจากด้านนอกแต่เขากลับเห็นความงามเบื้องหน้าได้แจ่มชัด ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นเล็กน้อย เส้นผมดุจย้อมหมึกคลี่สยาย ผ้าห่มผืนเก่าแต่ถูกซ่อมแซมอย่างดีห่มครึ่งร่างของนาง ไม่ใช่คืนแรกที่เขาแอบเข้ามามองนางเช่นนี้ แต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้มองนางในฐานะ ‘อี้เฉิน’ ตั้งใจเพียงเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม ทว่านิ้วมือกลับปัดผ่านริมฝีปากอย่างหลงใหล สายตามองเร
“เรื่องนั้นเพราะข้ามีฝีมือต่างหากละ!” นางโต้เถียงอย่างลืมตัวว่าสถานการณ์ตอนนี้ตกเป็นรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ข้าเดินลมปราณขับพิษเองมิใช่เพราะเจ้ารักษา” “แต่ถ้าไม่ใช่ข้ารักษาแผล เช็ดเนื้อตัวดูแลจนไข้ลด เจ้าจะรอดตายได้เองหรือไรกัน” นางขึงตาใส่ อุตส่าอดตาหลับขับตานอนดูแลขนาดไหนกว่าจะรอดตายมาได้ “ซ้ำข้ายังเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวท่านมาอีกด้วย!” “เจ้าเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวข้า แต่ข้าเสียเงินเท่าไรคุ้มครองเจ้ามาสองปี” มุมปากยกยิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา เพราะกระต่ายดิ้นรนสุดกำลัง เขากลัวนางจะเจ็บจึงปล่อยมือจากข้อมือของนาง หญิงสาวลนลานกระถดกายถอยหนีไปชิดหัวเตียง เพราะยันกายขึ้นนั่งเสื้อผ้าที่หลุดรุยจึงเลื่อนหล่น มือเรียวเล็กรีบคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทันที “ท่านต้องการสิ่งใด” คล้ายว่านางเคยถามเขามาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน “ให้เจ้าอยู่ข้างกายข้า” นางส่ายหน้าไปมา เส้นผมยาวสลวยเคลียใบหน้าทำให้ชายหนุ่มยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมทัดใบหูให้อย่างอ่อนโยน “เจ้าปฏิเสธได้รึ” เขาหัวเราะในลำคอ “หากไม่เป็นผู้หญิ
“หรือท่านอยากตอบแทนบุญคุณข้า?” ฟู่เซียงเซียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ว่ามือของเขาร้อนระอุจนแทบจะลวกนางได้แล้ว เขายื่นจอกสุราจ่อริมฝีปากของนาง คล้ายว่าถ้านางไม่ยอมดื่มเขาก็ไม่ยอมเลิกรา ทำให้นางจำใจจับรับจอกสุรามายกดื่มจนหมด ความร้อนวูบหนึ่งผ่านลำคอลงกระเพาะ แต่กระนั้นก็ทำให้ชีพจรเต้นแรงขึ้น “ท่านควรรู้ว่าข้าไม่ดื่มสุรา” นางผลักจอกสุราออก “เช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าฐานะของเจ้าตอนนี้คือเชลยของแคว้นฉิน” เขาเอ่ยดวงตาหรี่มองริมฝีปากที่ชุ่มด้วยหยาดสุรา อยากรู้ว่าสุราจากริมฝีปากนางจะรสชาติเดียวกับที่เขาดื่มหรือไม่ ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงง “ข้า...” “เจ้าเป็นแค่เชลยทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น”นางผู้ไม่ชอบถูกบ่งการถึงกับขึงตาใส่ “ท่านไม่มีสิทธิ์!”“ข้าเป็นไต๋อ๋องไม่ใช่อี้เฉินของเจ้าอีกแล้ว” เขายิ้มชั่วร้ายจนหญิงสาวผงะถอยห่าง เขาโอบรัดร่างนางเข้ามาใกล้จนลมหายใจรดผิวแก้มที่แดงระเรื่อ“ถ้าข้าไม่ยินยอม...” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ “เจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่งก็ย่อมทำได้ แต่เจ้าไม่เป็นห่วงเด็กกำพร้าเหล่านั้นหรือ? หรือแม้แต่ศพแม่เฒ่าผู้นั้น...” “ท่าน!” นางขึงตาใส่เขา
หญิงสาวยืนตัวเกร็งอยู่กลางห้อง หลังจากบรรดาหญิงรับใช้หลายคนเข้ามาช่วยกันจับนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและแปรงผม ในเวลานั้นนางพยายามขัดขืน แต่ทุกคนต่างขอร้องเพราะเกรงว่าหากทำให้ ‘ไต๋อ๋อง’ ไม่พอใจจะได้รับโทษทัณฑ์ นางจึงจำใจยอมให้หญิงรับใช้แต่งกายให้ใหม่ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เหลือเพียงนางในห้องนี้คนเดียว ถูกชายที่เรียกตัวเองว่าอี้เฉินแบกขึ้นรถม้า ยังไม่ทันได้ซักถามอะไรก็ถูกเขาจี้สกัดจุดให้หมดสติ ฟื้นอีกครั้งก็อยู่ในห้องนี้กับบรรดาหญิงรับใช้ ปกติแต่งกายด้วยชุดบุรุษจนเคยชิน ยามนี้ถูกจับแต่งกายเป็นหญิง ซ้ำยังเป็นชุดนางรำเนื้อผ้าบางเบา ปกปิดก็เหมือนเปิดเผย ฟู่เซียงเซียงกัดริมฝีปากจนเจ็บเมื่อได้สติจึงเดินดูรอบๆ เผื่อหาทางหลบหนี ตอนเข้ามานางหมดสติจึงไม่รู้ว่าที่นี่ที่ใด แต่ดูจากหญิงรับใช้แล้วคงเป็นห้องๆ หนึ่งของจวนเจ้าเมืองแม้อยากรู้ความหมายในสิ่งที่เขาพูด แต่นางก็หวาดกลัวท่าทางคุกคามนั้น ทว่ายังไม่ทันหาทางออกให้กับตัวเองได้ บานประตูเปิดออกก็ขึ้นเสียก่อน นางยืนนิ่งอยู่กลางห้องประสานตากับบุรุษผู้สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้า เมื่อพิจารณาดูนางจึงเข้าใจว่าเป็นหน้ากากใบหน้าของห
“ไปตรอกทางทิศตะวันตก” นางตอบแล้วอดกวาดตามองไม่ได้ “มีเรื่องใดรึ” “หมอฟู่ไม่รู้หรือ? ตอนนี้ทหารแคว้นฉินเข้ามาในเมืองของเราแล้ว” “เป็นไปได้อย่างไร!” ดวงตากลมเบิกกว้าง “เจ้าเมืองเปิดประตูให้ก็เดินเข้ามากันอย่างกับมาเดินตลาด!” “เขาพูดกันว่าทั้งแม่ทัพและเจ้าเมืองรู้เห็นเป็นใจกับการเปิดประตูเมือง เห็นว่าเพื่อไม่ใช่ชาวบ้านเดือดร้อน เหอะ! ข้าว่าเพราะต้องการเลือกอยู่ฝ่ายแคว้นฉินเสียมากกว่า” “ทำอย่างไรได้ ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยเรื่องชายแดนมานาน” “ชายแดนถูกยึดเช่นนี้ ทัพแคว้นฉินก็บุกไปเมืองหลวงโดยง่ายแล้ว” ฟู่เซียงเซียงยืนฟังแล้วเผลอกัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่รู้ท่านหมอกู้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้นางต้องรีบไปรับคนก่อน “อันตรายเช่นนี้ คุณหนูอย่าเพิ่งออกไปเลยขอรับ” บ่าวชราเอ่ยเตือน แต่ฟู่เซียงเซียงส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ ที่นั้นมีเด็กและคนแก่ ข้าต้องรีบไปพาพวกเขามา” นางพูดแล้วรีบขึ้นรถม้า สารถีสบตากับบ่าวชราเล็กน้อยแล้วบังคับม้าให้เดินไป บ่าวชราเดินหลบมาด้านหลังเรือนแล้วหยิบนกหวีดออก
“ทหารแคว้นฉินมีการเคลื่อนไหวแล้ว” หมอกู้เนี่ยนเจินสีหน้าวิตกกังวล ไม่ใช่แค่ความน่าเกรงขามของทหารแคว้นฉินเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือแม่ทัพประจำชายแดนรวมทั้งเจ้าเมืองก็ไม่ได้มีความสามารถนัก ในเมืองหลวงแย่งชิงอำนาจแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ชายแดนก็อ่อนแอ เห็นว่าศึกครั้งนี้จะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ“ท่านหมอกู้คิดเห็นอย่างไรก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ”หมอกู้สูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นหญิงอยู่ที่นี่จะลำบาก หากมีหนทางอื่นก็ไปเถิด” “ไป...จะให้ข้าไปไหนเจ้าคะ” นางส่ายหน้าอย่างงุนงง “หากเกิดสงครามจริง ข้าจะไม่ไปไหนจะอยู่ช่วยท่านหมอกู้ที่นี่เจ้าค่ะ”“สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงการปะทะกันเล็กๆน้อยๆ ของทหารชายแดน หากเกิดสงครามขึ้นจริง เจ้าจะรับมือไม่ไหว!”“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องอยู่ที่นี่ หน้าที่ของหมอคือช่วยชีวิตคน ถ้าข้าหนีเอาตัวรอดแล้วจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมอได้อย่างไร”หมอกู้เห็นความตั้งใจของนางแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวให้ดี หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้”“ท่านหมอกู้โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำตัวเป็นภาระให้ผู้ใด และหากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับข้า ข้าก็จะไม่โทษผู้อื่นเช่นกัน”แววตาของนางเปี่ยม
บ่าวชราที่เคยทำตัวงกๆเงิ่นๆ มาบัดนี้ค่อมเอวคารวะบุรุษในชุดดำที่สวมหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับแล้วกวาดตามองไปทั่วเรือนหลังน้อย ที่เวลานี้ซ่อมแซมไปได้หลายส่วนแล้ว หากไม่เกรงว่าเจ้าของบ้านจะแตกตื่น เขาคงจัดการสั่งรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ไปนานแล้ว ไม่ต้องเปลืองสมองหาวิธีทำให้นางที่ละนิดละหน่อยเช่นนี้ “นางเป็นอย่างไรบ้าง” “คุณหนูฟู่สุขสบายดีขอรับ” “ลำบากเจ้าแล้ว” “คุณหนูฟู่มีจิตใจเมตตา กับบ่าวไพร่ก็ใส่ใจดูแลอย่างดี จะว่าไปแล้วงานนี้นับว่าเป็นงานสบายที่สุดที่นายท่านมอบหมายให้พวกเราทำขอรับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างยากที่จะได้เห็นนัก ‘ผู้หญิงของเขา’ ก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว บุรุษหนุ่มยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าคนในชุดดำรวมทั้งบ่าวชราพลันหายวับไปราวกับไร้ตัวตน เขาหมุนตัวก้าวเท้าเข้ามาในเรือน ตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาว ปลดหน้ากากที่ปิดบังครึ่งใบหน้าออกแล้ววางบนโต๊ะ แม้อยู่ในความมืดแต่เขาจดจำทุกตำแหน่งในห้องของนางได้อย่างแม่นยำ มือแกร่งยื่นไปปัดม่านมุ้งออกแล้วนั่งลงริมเตียง มองใบหน้าหลับใหลด้วยดวงตาอ่อนโยน เป
มีแต่การแต่งงานเท่านั้นหรือ? ที่จะทำให้นางหนีจากปัญหานี้ได้ “คุณหนู” แม่นมหวงเข้ามาตาม “มีเรื่องกังวลใจรึเจ้าคะ” “ข้าพบพี่ลี่เฉี่ยวแล้ว” นางพูดเสียงเบาแล้วเค้นหัวเราะออกมา “ผู้อื่นชื่นชมว่าข้าเป็นหมอที่เก่งกาจไม่น้อยไปกว่าผู้ใด แต่ปัญหาของตัวเองกลับแก้ไขเองไม่ได้” “คุณหนูไม่ชอบลี่เฉี่ยวหรือเจ้าคะ” อยู่กันมาขนาดนี้แล้ว นางก็รักคุณหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตนคนหนึ่ง “แต่ถ้าคุณหนูยังเป็นคนของสกุลฟู่อยู่ หากที่บ้านเกิดเรื่อง คุณหนูก็ต้อง...” นางไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้นเลย นางเป็นเพียงคนรับใช้ก็ถูกขายเป็นทาส แต่คุณหนูเป็นบุตรสาวสายตรง เกรงว่าจะถูกส่งตัวไปเป็นหญิงนางโลม “ไม่ใช่ไม่ชอบ...แต่ข้าเห็นเขาเป็นพี่ชายมาตลอด” นางถอนหายใจแรงๆ แต่ก็ยังไม่หายกลุ้มใจ “แต่เท่าที่เห็น เขาจริงใจกับคุณหนูมากนะเจ้าคะ สองปีนี้เขาช่วยเหลือคุณหนูมาตลอด หรือจะพูดให้ถูกก่อนหน้านี้ก็ช่วยคุณหนูเสมอ” ฟู่เซียงเซียงมองแม่นมแล้วทำท่ากระเง้ากระงอด “แม่นมไม่รักข้าแล้วรึถึงผลักไสข้าให้ผู้อื่นเช่นนี้ หรือเขาจ่ายเงินให้ท่านมาพูดเอาใจข้า”
“ข้า...” เรื่องในบ้านของนางคนนอกย่อมไม่รู้ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ จูลี่เฉี่ยวคงไม่เดินทางมาพบนางด้วยตนเอง นางซาบซึ้งในความหวังดีของเขา แต่เรื่องแต่งงานนั้น...นางไม่สามารถทำได้จริงๆ นางเองปรารถนาจะแต่งงานใช้ชีวิตกับคนที่ตนรัก สำหรับจูลี่เฉี่ยวแล้ว มีเพียงความเคารพนับถืออย่างพี่ชาย-น้องสาว “ช่างเถอะ” ถึงนางจะแต่งกายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง คงเขินอายอยู่บ้าง แม้เวลานางรักษาคนจะไม่เคยเห็นสีหน้าเขินอายแต่อย่างใด “วันนี้ไม่มีอะไรก็กลับบ้านไปเสีย” “แต่...” นี่เพิ่งครึ่งวันจะให้นางกลับแล้ว ผู้อื่นจะคิดว่านางเป็นคนอย่างไรกัน “ข้าให้เจ้าไปก็ไป” หมอกู้โบกมือไปมาคล้ายรำคาญ “เจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงรับคำอย่างขัดไม่ได้ นางพับผ้าสำหรับทำแผลเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้น หยิบล่วมยาแล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ บิดาแทบไม่สนใจความเป็นอยู่ของนางเลย ซึ่งนางก็คาดไว้อยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องที่นางระแคะระคายมาก่อนหน้านี้คือการที่บิดาแอบร่วมมือกับองค์ชายสามเพื่อขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร เรื่องชิงอำนาจในวังหลวงก็เรื่องหนึ่ง
พูดจบร่างเล็กในชุดสีแดงสดก็หมุนตัวเดินเร็วๆ จากไปพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมาด้วย ฟู่เซียงเซียงโคลงศีรษะไปมา สองมือปลดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปล้างมือ“คุณหนู” แม่นมหวงอดเป็นกังวลไม่ได้ นายท่านเรียกพบแต่ละครั้งมีแต่เรื่องให้คุณหนูของนางต้องลำบากใจ“จางลี่ช่วยงานแม่นมที่นี่ไม่ต้องตามข้าไปหรอก” นางแย้มยิ้ม “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มาแล้ว”ฟู่เซียงเซียงก้าวเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง บ่าวไพร่ไม่เคยให้ความเคารพ แต่นั้นยิ่งทำให้นางต้องเชิดใบหน้าขึ้น ไม่เอาแต่เดินก้มหน้าเหมือนหนูกลัวแมว เด็กสาวในเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ของเรือน บิดานั่งดื่มชาโดยมีจือรั่ว-มารดาของฟู่ซินอี๋ปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ในห้องไม่มีเงาร่างของลูกสาวคนโปรด แต่นางรู้ว่าคงแอบฟังอยู่ไม่ไกลนัก“คารวะท่านพ่อ”“นี่เจ้าแต่งตัวอะไรกัน” บิดาส่ายหน้าระอาใจ “ข้าให้เจ้าอยู่ในเรือนสบายๆ ก็มิใช่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ได้”“อยู่ในจวนสบายๆ” ฟู่เซียงเซียงถึงกับทวนประโยคที่ได้ยิน นางอ้าปากจะโต้เถียงแต่บิดาโบกมือห้ามไว้ก่อน“ข้าอยากให้เจ้าไปพบ...”“ข้าไม่พบใครทั้งนั้น!” นางชิงพูดขึ้นก่อน“ไร้มารยาท” เด็กสาวสูดลมหายใจลึก มือกำแน่นข่มโทสะที่มีแล