‘เข้าใจอะไรกัน พูดเองเออเองเอาทั้งนั้น’
ร่างเล็กหมุนตัวกลับ ก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็ถูกเสียงหนึ่งเรียกไว้ ฟู่เซียงเซียงหันไปมองเจ้าของมือขาวผ่องกวักมือเรียกจากตรอกด้านข้าง นางจำหญิงสาวผู้นั้นได้เป็นอย่างดีจึงเดินตรงไปหาพร้อมรอยยิ้ม
“พี่เหมยลี่” เด็กสาวที่อยู่ในชุดเด็กหนุ่มเอ่ยทัก “ท่านมาซื้อของที่ตลาดหรือ?”
“ข้ามาดักพบเจ้าต่างหากล่ะ” หญิงสาวทำตาดุใส่ ทว่าเมื่อเห็นว่าด้านหลังฟู่เซียงเซียงมีบุรุษสวมชุดดำท่าทางน่ากลัวยืนอยู่ นางก็พูดไม่ออก ฟู่เซียงเซียงเข้าใจในทันที นางกุมมือเหมยลี่แล้วพูดปนหัวเราะ
“เขามากับข้า ว่าแต่พี่เหมยลี่มีเรื่องอันใดรึ”
เหมยลี่ลอบมองชายในชุดดำอีกครั้งแล้วยกพัดขึ้นป้องปากกระซิบ “พี่น้องไม่ค่อยสบาย เจ้าช่วยไปดูอาการสักหน่อยเถิด”
“ท่านหมอจูห้ามไม่ให้ข้าออกตรวจคนไข้เพียงลำพัง” ฟู่เซียง เซียงรีบพูดขึ้น แต่อีกฝ่ายดูไม่สนใจนัก
“เจ้าก็รู้ว่าถ้าพวกเราไปหาท่านหมอที่โรงหมอหรือเชิญท่านหมอไปตรวจ หากมีคนรู้เข้าจะคิดว่าเจ็บป่วยหนักนะสิ”
“แล้วที่มาเรียกข้าก็ไม่ใช่เพราะเจ็บป่วยหรอกหรือ?” นางเอียงคอถามอย่างสงสัย เหมยลี่กระทืบเท้าไม่พอใจแล้วเปลี่ยนเป็นจูงมือฟู่เซียงเซียงให้เดินไปตามตรอกจนไปถึงหอนางโลมแห่งหนึ่ง แต่เหมยลี่พาเข้าไปโดยใช้ประตูด้านหลัง ชายหนุ่มขมวดคิ้วไม่คิดว่าเด็กสาวจะมาสถานที่เช่นนี้ แต่ดูเหมือนนางคุ้นเคยกับคนที่นี่
เด็กสาวหันมาทางอี้เฉิน นางยื่นมือไปรับล่วมยาจากเขาแล้วพูดขึ้น “ข้างในมีแต่สตรี เจ้าเข้าไปไม่ได้ต้องรอด้านนอก”
ฟู่เซียงเซียงเห็นสายตาของอี้เฉินมีค่อยไว้ใจนัก เขามองข้ามศีรษะนางไปด้านหลัง นางขยับตัวใช้ตัวเองบังไว้ทั้งที่รู้ว่าเขามองเห็นหลังบานประตูที่แง้มอยู่
“ไม่ต้องห่วง ข้าเคยมาที่นี่” นางยืนยัน “เจ้ารอข้าอย่าเที่ยวเล่นซุกซน”
นางดุเขาราวกับตนเองเป็นผู้ใหญ่แล้วผลุบหายเข้าไปในห้อง ท่าทางทึ่มทื่อทำให้หญิงสาวสองสามคนที่ได้ยินพากันหัวเราะคิกคัก
“ไม่ต้องหวงนางหรอก พวกเราไม่ได้ทำร้ายนางแค่เชิญนางมาตรวจพี่ๆน้องๆเท่านั้นเอง” หญิงสาวคนหนึ่งปรายตามองชายหนุ่มในชุดดำแล้วยิ้มพราย “เจ้าไปดื่มชากับข้าก่อนดีกว่า”
ชายหนุ่มขยับเท้าเพียงเล็กน้อยเพื่อหลบมือเรียวที่ยื่นมาหมายแตะร่างกาย ท่าทางดุดันทำให้มือนั้นชะงักไปทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่าง เขาสาวเท้าก้าวตามไปทันทีไม่สนใจว่าหญิงสาวเหล่านั้นจะเรียกเขาไว้
หลังบานประตูปิดสนิท ฟู่เซียงเซียงเดินตรงไปยังหลังม่านปักลายดอกเบญจมาศ มีหญิงสาวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มทักทายแล้วนั่งลงที่เก้าอี้กลมริมเตียง
“พี่ลี่หรูไม่สบายหรือเจ้าคะ”
“เจ็บป่วยเล็กน้อยแต่เกรงจะว่าวันหน้าจะเป็นมาก เจ้าช่วยตรวจดูสักหน่อยสิ”
“แต่ว่า...ท่านหมอจูสั่งห้ามไม่ให้ข้าออกตรวจเพียงลำพัง”
“แล้วอย่างไร ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครรู้” ลี่หรูหัวเราะเบาๆ แต่น้ำเสียงแหบแห้ง
“พี่ลี่หรูมีอาการใดบ้างเจ้าคะ”
แม้ในห้องมีแต่สตรี แต่บางเรื่องก็ไม่อาจพูดเสียงดังนั้น ลี่หรูทำท่าป้องปากกระซิบ ฟู่เซียงเซียงก็เอียงใบหน้าเข้าไปรับฟัง นางฟังอย่างตั้งใจแล้วจึงขอจับชีพจรแล้วให้ลี่หรูอ้าปากดูลิ้น
“อาการม้ามพร่องเจ้าค่ะ ( 脾虚 ) เมื่อม้ามและกระเพาะพร่องไม่มีแรง เกิดเป็นความชื้นขึ้น และกลายเป็นตกขาว จะเป็น ๆ หาย ๆ อาการมักกลับมาเมื่อร่างกายอ่อนแอ พี่ลี่หรูมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ลิ้นซีด รักษาโดยใช้ยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงชี่เสริมม้าม ดึงหยางขึ้นขับชื้น เพื่อรักษาอาการตกขาว ระหว่างนี้พี่ลี่หรูควรงดอาหารหมักดองและรสจัด หลังเสร็จกามกิจแล้วทำความสะอาดทันที ผลัดเปลี่ยนกางเกงชั้นในบ่อยๆ ก็ช่วยให้หายได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ”
“ไม่หนักหนาใช่หรือไม่”
ฟู่เซียงเซียงพยักหน้ารับ “แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะรักษายากเจ้าค่ะ”
ลี่หรูถอนหายใจโล่งอก เรื่องพวกนี้แม้แต่นางโลมด้วยกันยังไม่อยากให้รู้ มิใช่เขินอาย แต่จะกลายเป็นแยกลูกค้ากันเอง นางเองก็ลองหลายวิธีแต่ไม่เป็นผล เห็นทีต้องลองเชื่อหมอหญิงผู้นี้ดูสักหน่อย ครั้งก่อนก็ได้นางช่วยชี้แนะเรื่องอาการอาหารไม่ย่อยจึงมีกลิ่นปาก
เด็กสาวเขียนเทียบยาให้ ได้แต่แอบหวังว่าเรื่องนี้จะไปไม่ถึงหูของท่านหมอจู เขาเพิ่งรับนางเป็นศิษย์เสียด้วย ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มีหญิงคณิกาในหอนางโลมมารอให้นางตรวจอาการ คนเดือดร้อนมาอยู่ตรงหน้า หากไม่ทำอะไรเลยนางก็ทำไม่ได้ นางจึงตรวจอาการหญิงคณิกาอีกสองสามคน ใช้เวลาเกือบชั่วยามจึงแล้วเสร็จ เมื่อเดินออกมาไม่พบอี้เฉิน ความกังวลใจก็เกิดขึ้น
“ชายสวมชุดดำที่มาพร้อมข้าล่ะ” นางหันไปถามเหมยลี่
“ก็เห็นเดินไปทางโน้น อืม...ข้าให้คนไปตามดีไหม”
“ข้าไปเองก็ได้เจ้าค่ะ อย่างไรขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
ฟู่เซียงเซียงเอ่ยลาแล้วรีบเดินไปตามทางที่เหมยลี่ชี้ นางเห็นแผ่นหลังของอี้เฉินอยู่ไม่ไกลนัก ทว่าเมื่อยื่นมือไปแตะด้านหลัง คนที่หันกลับมากลับไม่ใช่คนที่ตามหา
“ขออภัย ข้าทักคนผิดขอรับ” นางพยายามดัดเสียงให้เป็นเด็กหนุ่ม แล้วถอยหลังออกมาแต่คนผู้นั้นคว้าข้อมือนางแล้วกระชากเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นสุราเหม็นหึ่ง
“ข้าอนุญาตให้ไปแล้วรึ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่แววตาแข็งกร้าวคู่นั้นบ่งบอกได้ชัดว่าเขาไม่ได้ธรรมดาเหมือนเสื้อผ้าที่สวมอยู่ แม้อี้เฉินรูปร่างสูงใหญ่นิ่งเงียบตลอดเวลา แต่ไม่เคยมีท่าทีคุกคามเช่นนี้
ฟู่เซียงเซียงถอยหนีจนแผ่นหลังชิดประตูบานหนึ่ง นางกวาดตามองหาช่องทางหลบหนี ชายตรงหน้าดูพอใจกับท่าทางหวาดกลัวของนาง เขาหัวเราะและยื่นมือไปหมายเชยคางนางขึ้น แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสผิวเนียนละเอียดดุจหยกใส มือข้างนั้นก็ถูกกระชากไว้ก่อน คนถูกขัดจังหวะอ้าปากจะส่งเสียงต่อว่าแต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่พร้อมจะฆ่าคนได้ก็ทำให้หุบปากไปทันที
“อี้เฉิน” ฟู่เซียงเซียงยิ้มออกมาแม้หางตาจะมีประกายน้ำตาเอ่อคลอ นางกลัวว่าอี้เฉินจะบีบข้อมือคนผู้นั้นจนกระดูกแหลกจึงรีบก้าวออกไปแตะมือเขาไว้เป็นเชิงเรียกสติ
“เจ้ามาแล้ว เรากลับกันเถิด”
นางรีบเดินออกมาทำให้อี้เฉินปล่อยมือแล้วเดินตามนางอย่างเงียบๆ เด็กสาวเดินพ้นหอนางโลมพอสมควรแล้วจึงผ่อนฝีเท้าลงแล้วหันมายิ้มให้กับชายชุดดำที่เดินตามนางอยู่ไม่ห่าง
“เจ้าคงสมเพชข้าอยู่สินะ” นางยกหลังมือเช็ดหางตาอีกครั้งจนมั่นใจว่าจะไม่มีคราบน้ำตาแล้วจึงพูดต่อ “อย่าเล่าเรื่องนี้ให้แม่นมหวงกับจางลี่รู้นะ พวกนางเป็นหวงข้ามาก”
‘เจ้าลืมหรือไรว่าเจ้าทำให้ผู้อื่นคิดว่าข้าเป็นใบ้’
ทว่าเขากลับพยักหน้าตามที่นางร้องขอ
“เมื่อครู่...ขอบใจเจ้ามากนะ” นางหัวเราะออกมา “มีเจ้าเป็นผู้ติดตามก็ดีไม่น้อย อีกหน่อยไม่มีใครกล้ารังแกข้าแน่”
เสียงหัวเราะของนางกลับมาสดใสอีกครั้ง ทว่าภาพที่นางหวาดกลัวจนใบหน้าไร้สีเลือดยังคงติดตาทำให้อยากดูแลนางเหลือเกิน แต่ในเวลานี้เขามีหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง
หวังว่านางจะรอเขาได้.
เหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำคุกเข่าลงเบื้องหน้าบุรุษหนุ่มที่ยืนสงบนิ่งภายใต้จันทร์เสี้ยว แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่ไม่อาจกลบรัศมีความน่าเกรงขามได้เลย เพียงการยกมือส่งสัญญา ชายในชุดดำเหล่านั้นพลันหายไปราวกับภูติผี เหลือเพียงบุรุษหนุ่มตามลำพัง ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นดู มุมปากกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว มือสองข้างนี้เปื้อนเลือดสังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนไร้ความลังเล แต่เวลานี้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ เขาเดินฝ่าความมืดของรัตติกาลเข้าไปในเรือนหลังน้อยที่แสนทรุดโทรม ฝีเท้าแผ่วเบาก้าวเท้าเข้าไปจนถึงเตียงนอนของเด็กสาววัยสิบสี่ ปลายนิ้วปัดม่านมุ้งออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามหลับใหล ร่างสูงใหญ่นั่งลงริมเตียง แม้มีเพียงแสงสลัวจากด้านนอกแต่เขากลับเห็นความงามเบื้องหน้าได้แจ่มชัด ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นเล็กน้อย เส้นผมดุจย้อมหมึกคลี่สยาย ผ้าห่มผืนเก่าแต่ถูกซ่อมแซมอย่างดีห่มครึ่งร่างของนาง ไม่ใช่คืนแรกที่เขาแอบเข้ามามองนางเช่นนี้ แต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้มองนางในฐานะ ‘อี้เฉิน’ ตั้งใจเพียงเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม ทว่านิ้วมือกลับปัดผ่านริมฝีปากอย่างหลงใหล สายตามองเร
พูดจบร่างเล็กในชุดสีแดงสดก็หมุนตัวเดินเร็วๆ จากไปพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมาด้วย ฟู่เซียงเซียงโคลงศีรษะไปมา สองมือปลดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปล้างมือ“คุณหนู” แม่นมหวงอดเป็นกังวลไม่ได้ นายท่านเรียกพบแต่ละครั้งมีแต่เรื่องให้คุณหนูของนางต้องลำบากใจ“จางลี่ช่วยงานแม่นมที่นี่ไม่ต้องตามข้าไปหรอก” นางแย้มยิ้ม “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มาแล้ว”ฟู่เซียงเซียงก้าวเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง บ่าวไพร่ไม่เคยให้ความเคารพ แต่นั้นยิ่งทำให้นางต้องเชิดใบหน้าขึ้น ไม่เอาแต่เดินก้มหน้าเหมือนหนูกลัวแมว เด็กสาวในเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ของเรือน บิดานั่งดื่มชาโดยมีจือรั่ว-มารดาของฟู่ซินอี๋ปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ในห้องไม่มีเงาร่างของลูกสาวคนโปรด แต่นางรู้ว่าคงแอบฟังอยู่ไม่ไกลนัก“คารวะท่านพ่อ”“นี่เจ้าแต่งตัวอะไรกัน” บิดาส่ายหน้าระอาใจ “ข้าให้เจ้าอยู่ในเรือนสบายๆ ก็มิใช่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ได้”“อยู่ในจวนสบายๆ” ฟู่เซียงเซียงถึงกับทวนประโยคที่ได้ยิน นางอ้าปากจะโต้เถียงแต่บิดาโบกมือห้ามไว้ก่อน“ข้าอยากให้เจ้าไปพบ...”“ข้าไม่พบใครทั้งนั้น!” นางชิงพูดขึ้นก่อน“ไร้มารยาท” เด็กสาวสูดลมหายใจลึก มือกำแน่นข่มโทสะที่มีแล
“ข้า...” เรื่องในบ้านของนางคนนอกย่อมไม่รู้ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ จูลี่เฉี่ยวคงไม่เดินทางมาพบนางด้วยตนเอง นางซาบซึ้งในความหวังดีของเขา แต่เรื่องแต่งงานนั้น...นางไม่สามารถทำได้จริงๆ นางเองปรารถนาจะแต่งงานใช้ชีวิตกับคนที่ตนรัก สำหรับจูลี่เฉี่ยวแล้ว มีเพียงความเคารพนับถืออย่างพี่ชาย-น้องสาว “ช่างเถอะ” ถึงนางจะแต่งกายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง คงเขินอายอยู่บ้าง แม้เวลานางรักษาคนจะไม่เคยเห็นสีหน้าเขินอายแต่อย่างใด “วันนี้ไม่มีอะไรก็กลับบ้านไปเสีย” “แต่...” นี่เพิ่งครึ่งวันจะให้นางกลับแล้ว ผู้อื่นจะคิดว่านางเป็นคนอย่างไรกัน “ข้าให้เจ้าไปก็ไป” หมอกู้โบกมือไปมาคล้ายรำคาญ “เจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงรับคำอย่างขัดไม่ได้ นางพับผ้าสำหรับทำแผลเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้น หยิบล่วมยาแล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ บิดาแทบไม่สนใจความเป็นอยู่ของนางเลย ซึ่งนางก็คาดไว้อยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องที่นางระแคะระคายมาก่อนหน้านี้คือการที่บิดาแอบร่วมมือกับองค์ชายสามเพื่อขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร เรื่องชิงอำนาจในวังหลวงก็เรื่องหนึ่ง
มีแต่การแต่งงานเท่านั้นหรือ? ที่จะทำให้นางหนีจากปัญหานี้ได้ “คุณหนู” แม่นมหวงเข้ามาตาม “มีเรื่องกังวลใจรึเจ้าคะ” “ข้าพบพี่ลี่เฉี่ยวแล้ว” นางพูดเสียงเบาแล้วเค้นหัวเราะออกมา “ผู้อื่นชื่นชมว่าข้าเป็นหมอที่เก่งกาจไม่น้อยไปกว่าผู้ใด แต่ปัญหาของตัวเองกลับแก้ไขเองไม่ได้” “คุณหนูไม่ชอบลี่เฉี่ยวหรือเจ้าคะ” อยู่กันมาขนาดนี้แล้ว นางก็รักคุณหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตนคนหนึ่ง “แต่ถ้าคุณหนูยังเป็นคนของสกุลฟู่อยู่ หากที่บ้านเกิดเรื่อง คุณหนูก็ต้อง...” นางไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้นเลย นางเป็นเพียงคนรับใช้ก็ถูกขายเป็นทาส แต่คุณหนูเป็นบุตรสาวสายตรง เกรงว่าจะถูกส่งตัวไปเป็นหญิงนางโลม “ไม่ใช่ไม่ชอบ...แต่ข้าเห็นเขาเป็นพี่ชายมาตลอด” นางถอนหายใจแรงๆ แต่ก็ยังไม่หายกลุ้มใจ “แต่เท่าที่เห็น เขาจริงใจกับคุณหนูมากนะเจ้าคะ สองปีนี้เขาช่วยเหลือคุณหนูมาตลอด หรือจะพูดให้ถูกก่อนหน้านี้ก็ช่วยคุณหนูเสมอ” ฟู่เซียงเซียงมองแม่นมแล้วทำท่ากระเง้ากระงอด “แม่นมไม่รักข้าแล้วรึถึงผลักไสข้าให้ผู้อื่นเช่นนี้ หรือเขาจ่ายเงินให้ท่านมาพูดเอาใจข้า”
บ่าวชราที่เคยทำตัวงกๆเงิ่นๆ มาบัดนี้ค่อมเอวคารวะบุรุษในชุดดำที่สวมหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับแล้วกวาดตามองไปทั่วเรือนหลังน้อย ที่เวลานี้ซ่อมแซมไปได้หลายส่วนแล้ว หากไม่เกรงว่าเจ้าของบ้านจะแตกตื่น เขาคงจัดการสั่งรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ไปนานแล้ว ไม่ต้องเปลืองสมองหาวิธีทำให้นางที่ละนิดละหน่อยเช่นนี้ “นางเป็นอย่างไรบ้าง” “คุณหนูฟู่สุขสบายดีขอรับ” “ลำบากเจ้าแล้ว” “คุณหนูฟู่มีจิตใจเมตตา กับบ่าวไพร่ก็ใส่ใจดูแลอย่างดี จะว่าไปแล้วงานนี้นับว่าเป็นงานสบายที่สุดที่นายท่านมอบหมายให้พวกเราทำขอรับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างยากที่จะได้เห็นนัก ‘ผู้หญิงของเขา’ ก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว บุรุษหนุ่มยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าคนในชุดดำรวมทั้งบ่าวชราพลันหายวับไปราวกับไร้ตัวตน เขาหมุนตัวก้าวเท้าเข้ามาในเรือน ตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาว ปลดหน้ากากที่ปิดบังครึ่งใบหน้าออกแล้ววางบนโต๊ะ แม้อยู่ในความมืดแต่เขาจดจำทุกตำแหน่งในห้องของนางได้อย่างแม่นยำ มือแกร่งยื่นไปปัดม่านมุ้งออกแล้วนั่งลงริมเตียง มองใบหน้าหลับใหลด้วยดวงตาอ่อนโยน เป
“ทหารแคว้นฉินมีการเคลื่อนไหวแล้ว” หมอกู้เนี่ยนเจินสีหน้าวิตกกังวล ไม่ใช่แค่ความน่าเกรงขามของทหารแคว้นฉินเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือแม่ทัพประจำชายแดนรวมทั้งเจ้าเมืองก็ไม่ได้มีความสามารถนัก ในเมืองหลวงแย่งชิงอำนาจแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ชายแดนก็อ่อนแอ เห็นว่าศึกครั้งนี้จะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ“ท่านหมอกู้คิดเห็นอย่างไรก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ”หมอกู้สูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นหญิงอยู่ที่นี่จะลำบาก หากมีหนทางอื่นก็ไปเถิด” “ไป...จะให้ข้าไปไหนเจ้าคะ” นางส่ายหน้าอย่างงุนงง “หากเกิดสงครามจริง ข้าจะไม่ไปไหนจะอยู่ช่วยท่านหมอกู้ที่นี่เจ้าค่ะ”“สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงการปะทะกันเล็กๆน้อยๆ ของทหารชายแดน หากเกิดสงครามขึ้นจริง เจ้าจะรับมือไม่ไหว!”“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องอยู่ที่นี่ หน้าที่ของหมอคือช่วยชีวิตคน ถ้าข้าหนีเอาตัวรอดแล้วจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมอได้อย่างไร”หมอกู้เห็นความตั้งใจของนางแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวให้ดี หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้”“ท่านหมอกู้โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำตัวเป็นภาระให้ผู้ใด และหากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับข้า ข้าก็จะไม่โทษผู้อื่นเช่นกัน”แววตาของนางเปี่ยม
“ไปตรอกทางทิศตะวันตก” นางตอบแล้วอดกวาดตามองไม่ได้ “มีเรื่องใดรึ” “หมอฟู่ไม่รู้หรือ? ตอนนี้ทหารแคว้นฉินเข้ามาในเมืองของเราแล้ว” “เป็นไปได้อย่างไร!” ดวงตากลมเบิกกว้าง “เจ้าเมืองเปิดประตูให้ก็เดินเข้ามากันอย่างกับมาเดินตลาด!” “เขาพูดกันว่าทั้งแม่ทัพและเจ้าเมืองรู้เห็นเป็นใจกับการเปิดประตูเมือง เห็นว่าเพื่อไม่ใช่ชาวบ้านเดือดร้อน เหอะ! ข้าว่าเพราะต้องการเลือกอยู่ฝ่ายแคว้นฉินเสียมากกว่า” “ทำอย่างไรได้ ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยเรื่องชายแดนมานาน” “ชายแดนถูกยึดเช่นนี้ ทัพแคว้นฉินก็บุกไปเมืองหลวงโดยง่ายแล้ว” ฟู่เซียงเซียงยืนฟังแล้วเผลอกัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่รู้ท่านหมอกู้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้นางต้องรีบไปรับคนก่อน “อันตรายเช่นนี้ คุณหนูอย่าเพิ่งออกไปเลยขอรับ” บ่าวชราเอ่ยเตือน แต่ฟู่เซียงเซียงส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ ที่นั้นมีเด็กและคนแก่ ข้าต้องรีบไปพาพวกเขามา” นางพูดแล้วรีบขึ้นรถม้า สารถีสบตากับบ่าวชราเล็กน้อยแล้วบังคับม้าให้เดินไป บ่าวชราเดินหลบมาด้านหลังเรือนแล้วหยิบนกหวีดออก
หญิงสาวยืนตัวเกร็งอยู่กลางห้อง หลังจากบรรดาหญิงรับใช้หลายคนเข้ามาช่วยกันจับนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและแปรงผม ในเวลานั้นนางพยายามขัดขืน แต่ทุกคนต่างขอร้องเพราะเกรงว่าหากทำให้ ‘ไต๋อ๋อง’ ไม่พอใจจะได้รับโทษทัณฑ์ นางจึงจำใจยอมให้หญิงรับใช้แต่งกายให้ใหม่ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เหลือเพียงนางในห้องนี้คนเดียว ถูกชายที่เรียกตัวเองว่าอี้เฉินแบกขึ้นรถม้า ยังไม่ทันได้ซักถามอะไรก็ถูกเขาจี้สกัดจุดให้หมดสติ ฟื้นอีกครั้งก็อยู่ในห้องนี้กับบรรดาหญิงรับใช้ ปกติแต่งกายด้วยชุดบุรุษจนเคยชิน ยามนี้ถูกจับแต่งกายเป็นหญิง ซ้ำยังเป็นชุดนางรำเนื้อผ้าบางเบา ปกปิดก็เหมือนเปิดเผย ฟู่เซียงเซียงกัดริมฝีปากจนเจ็บเมื่อได้สติจึงเดินดูรอบๆ เผื่อหาทางหลบหนี ตอนเข้ามานางหมดสติจึงไม่รู้ว่าที่นี่ที่ใด แต่ดูจากหญิงรับใช้แล้วคงเป็นห้องๆ หนึ่งของจวนเจ้าเมืองแม้อยากรู้ความหมายในสิ่งที่เขาพูด แต่นางก็หวาดกลัวท่าทางคุกคามนั้น ทว่ายังไม่ทันหาทางออกให้กับตัวเองได้ บานประตูเปิดออกก็ขึ้นเสียก่อน นางยืนนิ่งอยู่กลางห้องประสานตากับบุรุษผู้สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้า เมื่อพิจารณาดูนางจึงเข้าใจว่าเป็นหน้ากากใบหน้าของห
“เรื่องนั้นเพราะข้ามีฝีมือต่างหากละ!” นางโต้เถียงอย่างลืมตัวว่าสถานการณ์ตอนนี้ตกเป็นรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ข้าเดินลมปราณขับพิษเองมิใช่เพราะเจ้ารักษา” “แต่ถ้าไม่ใช่ข้ารักษาแผล เช็ดเนื้อตัวดูแลจนไข้ลด เจ้าจะรอดตายได้เองหรือไรกัน” นางขึงตาใส่ อุตส่าอดตาหลับขับตานอนดูแลขนาดไหนกว่าจะรอดตายมาได้ “ซ้ำข้ายังเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวท่านมาอีกด้วย!” “เจ้าเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวข้า แต่ข้าเสียเงินเท่าไรคุ้มครองเจ้ามาสองปี” มุมปากยกยิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา เพราะกระต่ายดิ้นรนสุดกำลัง เขากลัวนางจะเจ็บจึงปล่อยมือจากข้อมือของนาง หญิงสาวลนลานกระถดกายถอยหนีไปชิดหัวเตียง เพราะยันกายขึ้นนั่งเสื้อผ้าที่หลุดรุยจึงเลื่อนหล่น มือเรียวเล็กรีบคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทันที “ท่านต้องการสิ่งใด” คล้ายว่านางเคยถามเขามาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน “ให้เจ้าอยู่ข้างกายข้า” นางส่ายหน้าไปมา เส้นผมยาวสลวยเคลียใบหน้าทำให้ชายหนุ่มยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมทัดใบหูให้อย่างอ่อนโยน “เจ้าปฏิเสธได้รึ” เขาหัวเราะในลำคอ “หากไม่เป็นผู้หญิ
“หรือท่านอยากตอบแทนบุญคุณข้า?” ฟู่เซียงเซียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ว่ามือของเขาร้อนระอุจนแทบจะลวกนางได้แล้ว เขายื่นจอกสุราจ่อริมฝีปากของนาง คล้ายว่าถ้านางไม่ยอมดื่มเขาก็ไม่ยอมเลิกรา ทำให้นางจำใจจับรับจอกสุรามายกดื่มจนหมด ความร้อนวูบหนึ่งผ่านลำคอลงกระเพาะ แต่กระนั้นก็ทำให้ชีพจรเต้นแรงขึ้น “ท่านควรรู้ว่าข้าไม่ดื่มสุรา” นางผลักจอกสุราออก “เช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าฐานะของเจ้าตอนนี้คือเชลยของแคว้นฉิน” เขาเอ่ยดวงตาหรี่มองริมฝีปากที่ชุ่มด้วยหยาดสุรา อยากรู้ว่าสุราจากริมฝีปากนางจะรสชาติเดียวกับที่เขาดื่มหรือไม่ ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงง “ข้า...” “เจ้าเป็นแค่เชลยทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น”นางผู้ไม่ชอบถูกบ่งการถึงกับขึงตาใส่ “ท่านไม่มีสิทธิ์!”“ข้าเป็นไต๋อ๋องไม่ใช่อี้เฉินของเจ้าอีกแล้ว” เขายิ้มชั่วร้ายจนหญิงสาวผงะถอยห่าง เขาโอบรัดร่างนางเข้ามาใกล้จนลมหายใจรดผิวแก้มที่แดงระเรื่อ“ถ้าข้าไม่ยินยอม...” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ “เจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่งก็ย่อมทำได้ แต่เจ้าไม่เป็นห่วงเด็กกำพร้าเหล่านั้นหรือ? หรือแม้แต่ศพแม่เฒ่าผู้นั้น...” “ท่าน!” นางขึงตาใส่เขา
หญิงสาวยืนตัวเกร็งอยู่กลางห้อง หลังจากบรรดาหญิงรับใช้หลายคนเข้ามาช่วยกันจับนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและแปรงผม ในเวลานั้นนางพยายามขัดขืน แต่ทุกคนต่างขอร้องเพราะเกรงว่าหากทำให้ ‘ไต๋อ๋อง’ ไม่พอใจจะได้รับโทษทัณฑ์ นางจึงจำใจยอมให้หญิงรับใช้แต่งกายให้ใหม่ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เหลือเพียงนางในห้องนี้คนเดียว ถูกชายที่เรียกตัวเองว่าอี้เฉินแบกขึ้นรถม้า ยังไม่ทันได้ซักถามอะไรก็ถูกเขาจี้สกัดจุดให้หมดสติ ฟื้นอีกครั้งก็อยู่ในห้องนี้กับบรรดาหญิงรับใช้ ปกติแต่งกายด้วยชุดบุรุษจนเคยชิน ยามนี้ถูกจับแต่งกายเป็นหญิง ซ้ำยังเป็นชุดนางรำเนื้อผ้าบางเบา ปกปิดก็เหมือนเปิดเผย ฟู่เซียงเซียงกัดริมฝีปากจนเจ็บเมื่อได้สติจึงเดินดูรอบๆ เผื่อหาทางหลบหนี ตอนเข้ามานางหมดสติจึงไม่รู้ว่าที่นี่ที่ใด แต่ดูจากหญิงรับใช้แล้วคงเป็นห้องๆ หนึ่งของจวนเจ้าเมืองแม้อยากรู้ความหมายในสิ่งที่เขาพูด แต่นางก็หวาดกลัวท่าทางคุกคามนั้น ทว่ายังไม่ทันหาทางออกให้กับตัวเองได้ บานประตูเปิดออกก็ขึ้นเสียก่อน นางยืนนิ่งอยู่กลางห้องประสานตากับบุรุษผู้สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้า เมื่อพิจารณาดูนางจึงเข้าใจว่าเป็นหน้ากากใบหน้าของห
“ไปตรอกทางทิศตะวันตก” นางตอบแล้วอดกวาดตามองไม่ได้ “มีเรื่องใดรึ” “หมอฟู่ไม่รู้หรือ? ตอนนี้ทหารแคว้นฉินเข้ามาในเมืองของเราแล้ว” “เป็นไปได้อย่างไร!” ดวงตากลมเบิกกว้าง “เจ้าเมืองเปิดประตูให้ก็เดินเข้ามากันอย่างกับมาเดินตลาด!” “เขาพูดกันว่าทั้งแม่ทัพและเจ้าเมืองรู้เห็นเป็นใจกับการเปิดประตูเมือง เห็นว่าเพื่อไม่ใช่ชาวบ้านเดือดร้อน เหอะ! ข้าว่าเพราะต้องการเลือกอยู่ฝ่ายแคว้นฉินเสียมากกว่า” “ทำอย่างไรได้ ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยเรื่องชายแดนมานาน” “ชายแดนถูกยึดเช่นนี้ ทัพแคว้นฉินก็บุกไปเมืองหลวงโดยง่ายแล้ว” ฟู่เซียงเซียงยืนฟังแล้วเผลอกัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่รู้ท่านหมอกู้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้นางต้องรีบไปรับคนก่อน “อันตรายเช่นนี้ คุณหนูอย่าเพิ่งออกไปเลยขอรับ” บ่าวชราเอ่ยเตือน แต่ฟู่เซียงเซียงส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ ที่นั้นมีเด็กและคนแก่ ข้าต้องรีบไปพาพวกเขามา” นางพูดแล้วรีบขึ้นรถม้า สารถีสบตากับบ่าวชราเล็กน้อยแล้วบังคับม้าให้เดินไป บ่าวชราเดินหลบมาด้านหลังเรือนแล้วหยิบนกหวีดออก
“ทหารแคว้นฉินมีการเคลื่อนไหวแล้ว” หมอกู้เนี่ยนเจินสีหน้าวิตกกังวล ไม่ใช่แค่ความน่าเกรงขามของทหารแคว้นฉินเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือแม่ทัพประจำชายแดนรวมทั้งเจ้าเมืองก็ไม่ได้มีความสามารถนัก ในเมืองหลวงแย่งชิงอำนาจแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ชายแดนก็อ่อนแอ เห็นว่าศึกครั้งนี้จะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ“ท่านหมอกู้คิดเห็นอย่างไรก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ”หมอกู้สูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นหญิงอยู่ที่นี่จะลำบาก หากมีหนทางอื่นก็ไปเถิด” “ไป...จะให้ข้าไปไหนเจ้าคะ” นางส่ายหน้าอย่างงุนงง “หากเกิดสงครามจริง ข้าจะไม่ไปไหนจะอยู่ช่วยท่านหมอกู้ที่นี่เจ้าค่ะ”“สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงการปะทะกันเล็กๆน้อยๆ ของทหารชายแดน หากเกิดสงครามขึ้นจริง เจ้าจะรับมือไม่ไหว!”“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องอยู่ที่นี่ หน้าที่ของหมอคือช่วยชีวิตคน ถ้าข้าหนีเอาตัวรอดแล้วจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมอได้อย่างไร”หมอกู้เห็นความตั้งใจของนางแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวให้ดี หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้”“ท่านหมอกู้โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำตัวเป็นภาระให้ผู้ใด และหากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับข้า ข้าก็จะไม่โทษผู้อื่นเช่นกัน”แววตาของนางเปี่ยม
บ่าวชราที่เคยทำตัวงกๆเงิ่นๆ มาบัดนี้ค่อมเอวคารวะบุรุษในชุดดำที่สวมหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับแล้วกวาดตามองไปทั่วเรือนหลังน้อย ที่เวลานี้ซ่อมแซมไปได้หลายส่วนแล้ว หากไม่เกรงว่าเจ้าของบ้านจะแตกตื่น เขาคงจัดการสั่งรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ไปนานแล้ว ไม่ต้องเปลืองสมองหาวิธีทำให้นางที่ละนิดละหน่อยเช่นนี้ “นางเป็นอย่างไรบ้าง” “คุณหนูฟู่สุขสบายดีขอรับ” “ลำบากเจ้าแล้ว” “คุณหนูฟู่มีจิตใจเมตตา กับบ่าวไพร่ก็ใส่ใจดูแลอย่างดี จะว่าไปแล้วงานนี้นับว่าเป็นงานสบายที่สุดที่นายท่านมอบหมายให้พวกเราทำขอรับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างยากที่จะได้เห็นนัก ‘ผู้หญิงของเขา’ ก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว บุรุษหนุ่มยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าคนในชุดดำรวมทั้งบ่าวชราพลันหายวับไปราวกับไร้ตัวตน เขาหมุนตัวก้าวเท้าเข้ามาในเรือน ตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาว ปลดหน้ากากที่ปิดบังครึ่งใบหน้าออกแล้ววางบนโต๊ะ แม้อยู่ในความมืดแต่เขาจดจำทุกตำแหน่งในห้องของนางได้อย่างแม่นยำ มือแกร่งยื่นไปปัดม่านมุ้งออกแล้วนั่งลงริมเตียง มองใบหน้าหลับใหลด้วยดวงตาอ่อนโยน เป
มีแต่การแต่งงานเท่านั้นหรือ? ที่จะทำให้นางหนีจากปัญหานี้ได้ “คุณหนู” แม่นมหวงเข้ามาตาม “มีเรื่องกังวลใจรึเจ้าคะ” “ข้าพบพี่ลี่เฉี่ยวแล้ว” นางพูดเสียงเบาแล้วเค้นหัวเราะออกมา “ผู้อื่นชื่นชมว่าข้าเป็นหมอที่เก่งกาจไม่น้อยไปกว่าผู้ใด แต่ปัญหาของตัวเองกลับแก้ไขเองไม่ได้” “คุณหนูไม่ชอบลี่เฉี่ยวหรือเจ้าคะ” อยู่กันมาขนาดนี้แล้ว นางก็รักคุณหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตนคนหนึ่ง “แต่ถ้าคุณหนูยังเป็นคนของสกุลฟู่อยู่ หากที่บ้านเกิดเรื่อง คุณหนูก็ต้อง...” นางไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้นเลย นางเป็นเพียงคนรับใช้ก็ถูกขายเป็นทาส แต่คุณหนูเป็นบุตรสาวสายตรง เกรงว่าจะถูกส่งตัวไปเป็นหญิงนางโลม “ไม่ใช่ไม่ชอบ...แต่ข้าเห็นเขาเป็นพี่ชายมาตลอด” นางถอนหายใจแรงๆ แต่ก็ยังไม่หายกลุ้มใจ “แต่เท่าที่เห็น เขาจริงใจกับคุณหนูมากนะเจ้าคะ สองปีนี้เขาช่วยเหลือคุณหนูมาตลอด หรือจะพูดให้ถูกก่อนหน้านี้ก็ช่วยคุณหนูเสมอ” ฟู่เซียงเซียงมองแม่นมแล้วทำท่ากระเง้ากระงอด “แม่นมไม่รักข้าแล้วรึถึงผลักไสข้าให้ผู้อื่นเช่นนี้ หรือเขาจ่ายเงินให้ท่านมาพูดเอาใจข้า”
“ข้า...” เรื่องในบ้านของนางคนนอกย่อมไม่รู้ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ จูลี่เฉี่ยวคงไม่เดินทางมาพบนางด้วยตนเอง นางซาบซึ้งในความหวังดีของเขา แต่เรื่องแต่งงานนั้น...นางไม่สามารถทำได้จริงๆ นางเองปรารถนาจะแต่งงานใช้ชีวิตกับคนที่ตนรัก สำหรับจูลี่เฉี่ยวแล้ว มีเพียงความเคารพนับถืออย่างพี่ชาย-น้องสาว “ช่างเถอะ” ถึงนางจะแต่งกายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง คงเขินอายอยู่บ้าง แม้เวลานางรักษาคนจะไม่เคยเห็นสีหน้าเขินอายแต่อย่างใด “วันนี้ไม่มีอะไรก็กลับบ้านไปเสีย” “แต่...” นี่เพิ่งครึ่งวันจะให้นางกลับแล้ว ผู้อื่นจะคิดว่านางเป็นคนอย่างไรกัน “ข้าให้เจ้าไปก็ไป” หมอกู้โบกมือไปมาคล้ายรำคาญ “เจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงรับคำอย่างขัดไม่ได้ นางพับผ้าสำหรับทำแผลเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้น หยิบล่วมยาแล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ บิดาแทบไม่สนใจความเป็นอยู่ของนางเลย ซึ่งนางก็คาดไว้อยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องที่นางระแคะระคายมาก่อนหน้านี้คือการที่บิดาแอบร่วมมือกับองค์ชายสามเพื่อขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร เรื่องชิงอำนาจในวังหลวงก็เรื่องหนึ่ง
พูดจบร่างเล็กในชุดสีแดงสดก็หมุนตัวเดินเร็วๆ จากไปพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมาด้วย ฟู่เซียงเซียงโคลงศีรษะไปมา สองมือปลดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปล้างมือ“คุณหนู” แม่นมหวงอดเป็นกังวลไม่ได้ นายท่านเรียกพบแต่ละครั้งมีแต่เรื่องให้คุณหนูของนางต้องลำบากใจ“จางลี่ช่วยงานแม่นมที่นี่ไม่ต้องตามข้าไปหรอก” นางแย้มยิ้ม “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มาแล้ว”ฟู่เซียงเซียงก้าวเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง บ่าวไพร่ไม่เคยให้ความเคารพ แต่นั้นยิ่งทำให้นางต้องเชิดใบหน้าขึ้น ไม่เอาแต่เดินก้มหน้าเหมือนหนูกลัวแมว เด็กสาวในเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ของเรือน บิดานั่งดื่มชาโดยมีจือรั่ว-มารดาของฟู่ซินอี๋ปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ในห้องไม่มีเงาร่างของลูกสาวคนโปรด แต่นางรู้ว่าคงแอบฟังอยู่ไม่ไกลนัก“คารวะท่านพ่อ”“นี่เจ้าแต่งตัวอะไรกัน” บิดาส่ายหน้าระอาใจ “ข้าให้เจ้าอยู่ในเรือนสบายๆ ก็มิใช่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ได้”“อยู่ในจวนสบายๆ” ฟู่เซียงเซียงถึงกับทวนประโยคที่ได้ยิน นางอ้าปากจะโต้เถียงแต่บิดาโบกมือห้ามไว้ก่อน“ข้าอยากให้เจ้าไปพบ...”“ข้าไม่พบใครทั้งนั้น!” นางชิงพูดขึ้นก่อน“ไร้มารยาท” เด็กสาวสูดลมหายใจลึก มือกำแน่นข่มโทสะที่มีแล