บ่าวชราที่เคยทำตัวงกๆเงิ่นๆ มาบัดนี้ค่อมเอวคารวะบุรุษในชุดดำที่สวมหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับแล้วกวาดตามองไปทั่วเรือนหลังน้อย ที่เวลานี้ซ่อมแซมไปได้หลายส่วนแล้ว หากไม่เกรงว่าเจ้าของบ้านจะแตกตื่น เขาคงจัดการสั่งรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ไปนานแล้ว ไม่ต้องเปลืองสมองหาวิธีทำให้นางที่ละนิดละหน่อยเช่นนี้
“นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณหนูฟู่สุขสบายดีขอรับ”
“ลำบากเจ้าแล้ว”
“คุณหนูฟู่มีจิตใจเมตตา กับบ่าวไพร่ก็ใส่ใจดูแลอย่างดี จะว่าไปแล้วงานนี้นับว่าเป็นงานสบายที่สุดที่นายท่านมอบหมายให้พวกเราทำขอรับ”
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างยากที่จะได้เห็นนัก ‘ผู้หญิงของเขา’ ก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว บุรุษหนุ่มยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าคนในชุดดำรวมทั้งบ่าวชราพลันหายวับไปราวกับไร้ตัวตน เขาหมุนตัวก้าวเท้าเข้ามาในเรือน ตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาว ปลดหน้ากากที่ปิดบังครึ่งใบหน้าออกแล้ววางบนโต๊ะ แม้อยู่ในความมืดแต่เขาจดจำทุกตำแหน่งในห้องของนางได้อย่างแม่นยำ มือแกร่งยื่นไปปัดม่านมุ้งออกแล้วนั่งลงริมเตียง มองใบหน้าหลับใหลด้วยดวงตาอ่อนโยน เป็นนางที่ทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้ ใครเลยจะรู้ว่าบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมไร้หัวใจจะกลายเป็นคนที่ใส่ใจผู้อื่นได้ แต่คนที่เขาใส่ใจมีเพียงนางเท่านั้น
สองปีแล้วสินะ
ผ่านมาสองปีแล้ว
นางไม่ใช่เด็กสาวผอมบางจนน่าเวทนาอีกแล้ว ในเวลานี้นางคือหญิงสาวที่ครอบครองความงามสะพรั่งดุจบุปผาบนสรวงสวรรค์ ผิวขาวราวหิมะ แก้มเนียนฝาดสีเลือด ขนตายาวเป็นแพหนา ริมฝีปากอิ่มดุจผลอิงเถาเผยอนิดๆ ดูไร้เดียงสาและเย้ายวนในเวลาเดียวกัน ร่างอรชรขยับตัวเล็กน้อย ผ้าห่มเลื่อนลงเผยให้เห็นทรวงอกอวบอิ่มที่ดุนดันชุดนอนที่สวมอยู่ เห็นนางมีน้ำมีนวลขึ้นค่อยเบาใจและคุ้มค่ากับที่ส่งคนมาคอยคุ้มครองนาง
มุมปากยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงครั้งแรกที่สบตากับดวงตาคู่นี้ ท่าทางมุ่งมั่นพยายามรักษาบาดแผลตลอดจนเสียงหัวเราะกังวานใส ยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ หลังจากที่เขาออกจากเรือนหลังนั้นก็มุ่งมั่นจัดการและสะสางปัญหาจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ก็ใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะได้มาพบหน้าอีกครั้ง แต่หากรู้ความจริงว่าเขาเป็นคนที่กำลังจะช่วงชิงแผ่นดินที่นางอาศัยอยู่ นางจะทำเช่นไร ยังคงทำดีกับเขาอยู่หรือไม่ ที่ผ่านมานางเคยคิดถึงเขาหรือเปล่า
“เฉิน...อี้เฉิน”
ชายหนุ่มถึงกับผงะไปเล็กน้อย แม้เสียงที่ส่งออกมาแผ่วเบาแต่เขาได้ยินชัดเจน แต่ดวงตาของนางยังปิดสนิท
“เซียงเซียง” เสียงทุ่มต่ำเรียกอยากยั้งใจไม่อยู่พลางโน้มหน้าลงสูดดมกลิ่นหอมที่โหยหา คนที่หลับใหลถูกรบกวนเอียงใบหน้าหลบอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากหยักแตะถูกลำคอขาวผ่อง ความเย้ายวนเบื้องหน้าทำให้เผลอขบเม้มลำคอแล้วกระซิบชิดผิวอ่อนนุ่ม
“รอข้า...อีกไม่ช้า...ข้าจะรับเจ้ามาอยู่เคียงข้าง”
ก่อนที่จะยั้งใจไม่อยู่ เขาตัดใจผละจากร่างอ่อนนุ่ม จับข้อมือเรียวเล็กขึ้นมาสวมกำไรหยกมันแพะแล้วจูบหลังมือเบาๆ แล้ววางมือลงตามด้วยห่มผ้าให้เรียบร้อย เขายืนมองอย่างอาลัยครู่หนึ่งจึงหมุนตัวกลับเดินไปหยิบหน้ากากมาสวมตามเดิม ร่างสูงก้าวเดินออกไปอย่างเงียบเฉียบ
ในความฝัน หญิงสาวถูกเหวี่ยงร่างลงแผ่นหลังกระแทกฟูกนอน มือหยาบกระด้างกุมลำคอของนางไว้ ดวงตาคมปลาบจ้องมองเขม็ง นางเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาอย่างยากลำบาก
“เฉิน...อี้เฉิน...”
ฟู่เซียงเซียงผวาตื่นยันกายขึ้นจากที่นอน มือเล็กยังสั่นน้อยๆ แล้วยกมือกุมลำคอ ผ่านมาสองปีแล้ว แต่นางยังฝันถึงทาสหนุ่มผู้นั้น หญิงสาวปรับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงมองออกไปด้านนอก ฟ้ายังมืดอยู่ แต่ให้นอนต่อก็นอนไม่หลับแล้ว นางจึงลุกขึ้นเดินไปจุดเทียนในห้อง
ก่อนย้ายมาอยู่ที่นี่ นางรับคัดลอกหนังสือ เพื่อให้ได้เงินมาซื้อข้าวสาร นางถึงกับนั่งทำงานตลอดคืน ทุกวันนี้จะเรียกว่าลำบากก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่นางกลับพอใจกับการใช้ชีวิตเช่นนี้ แม้ถูกมองอย่างดูแคลน การช่วยคนให้รอดพ้นความตายได้ก็เป็นความสุขและความท้าทายในเวลาเดียวกัน แต่จะมีชายใดยอมรับหมอหญิงเป็นภรรยาบ้างไหมนะ
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” จางลี่แง้มประตูโผล่หน้าเข้ามาอย่างเกรงใจ “บ่าวจะเตรียมน้ำให้ล้างหน้านะเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ใช้บ่าวของข้าแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกเรียกแทนตัวเองว่าบ่าวเสียที”
ฟู่เซียงเซียงเบ้ปากใส่ แต่จางลี่กลับหัวเราะออกมา สาวใช้ผลุบหายไปครู่หนึ่งแล้วกลับเข้ามาพร้อมอ่างใส่น้ำล้างหน้า ก่อนออกจากเมืองหลวง คุณหนูคืนสัญญาทาสให้จางลี่ จางลี่ยังยืนกรานจะติดตามคุณหนู รวมทั้งแม่นมหวงเองก็เช่นกัน นางไม่มีญาติพี่น้องที่ใดมารดาของฟู่เซียงเซียงรับนางที่เป็นหญิงหม้ายมาช่วยเลี้ยงดูคุณหนูที่แบเบาะ ความผูกพันมีมากว่าสิบปีทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากที่เดินทางมาชายแดนด้วยกัน
หญิงสาวล้างหน้าบ้วนปากแล้ว จึงนั่งลงให้จางลี่แปรงผมให้ ขณะยกมือขึ้นแตะทรงผมหน้ากระจก หญิงสาวเพิ่งรู้ตัวว่าที่ข้อมือมีกำไลหยกสวมอยู่
“เอ๊ะ! กำไลหยกวงนี้...” นางลูบกำไลอย่างประหลาดใจ เมื่อพิจารณาดีๆ รู้สึกคุ้นตา จะเป็นไปได้อย่างไร? นี่เป็นกำไลหยกมันแพะที่นางเคยหยิบขึ้นดูที่ตลาดกลางคืน พี่ลี่เฉี่ยวซื้อให้นางหรือ? เป็นไปไม่ได้ นางเห็นเขาเดินตามนางมาทันทีไม่ได้หวนกลับไปซื้อนี่ และที่สำคัญ มันมาอยู่ในข้อมือนางได้อย่างไร
“คุณหนูนี่รอยอะไรเจ้าคะ” จางลี่ใช้นิ้วแตะรอยแดงที่ลำคอของหญิงสาว “โดนแมลงกัดรึเจ้าคะ”
นางชะโงกหน้ามองในกระจกเงาตรงหน้า แม้เห็นไม่ชัดนักแต่ก็พอมองออกว่าเป็นรอยแดงๆ นางยกมือขึ้นรูปบริเวณนั้นพลางคิดถึงภาพในความฝันที่ถูกบีบคอ หรือนางจะถูกแมลงกัดเอาจริงๆ จึงฝันถึงอี้เฉิน
“บ่าวจะไปหยิบยามาทาให้นะเจ้าค่ะ”
ฟู่เซียงเซียงอ้าปากจะเอ่ยถามแต่เปลี่ยนใจ เกรงว่าจางลี่จะตกใจมากกว่านาง แล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด แต่มีคนลอบเข้าในห้องนอนของนาง และสวมกำไลวงนี้อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายนาง หรือจะเป็นคนที่นางเคยช่วยไว้? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็มาพบในเวลาปกติได้นี่ ทำไมต้องทำเช่นนี้ นางถอดกำไลวงนั้นออกแล้วเก็บใส่กล่องเครื่องประดับก่อนที่จางลี่จะเดินกลับเข้ามา
จู่ๆ กลับคิดถึงชายสวมหน้ากากแปลกประหลาดที่พบในตรอกนั้น นางกลัวจนไม่กล้าสบตากับเขา แต่กระนั้นก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ภาพทาสหนุ่มซ้อนทับที่ชายคนนั้น นางสะบัดศีรษะไปมา แม้รู้สึกว่าอี้เฉินมีเบื้องหลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หายไปตั้งสองปีไม่เคยได้ยินข่าวเลย นางเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด
จางลี่กลับมาพร้อมตลับยาในมือและช่วยทายาบริเวณที่เป็นรอยแดงจากนั้นจึงช่วยคุณหนูผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดบุรุษ นางอยากเห็นคุณหนูแต่งกายสวยงามเช่นคืนที่ไปเดินตลาดด้วยกัน คุณหนูดูมีความสุขมาก ได้เห็นรอยยิ้มของคุณหนูก็พลอยสุขใจไปด้วย
ฟู่เซียงเซียงกินอาหารเช้าแล้วเตรียมตัวไปที่ค่ายทหาร นางไม่มีม้า และห่างเหินการขี่ม้ามานาน จนไม่มั่นใจว่าตัวเองยังจำการบังคับม้าได้หรือไม่ ทุกวันที่นางไปทำงานก็จะ ‘บังเอิญ’มีชาวบ้านที่จะผ่านไปทางค่ายทหารให้นางอาศัยรถม้าไปด้วยกัน วันนี้นางมาถึงก็เห็นใบหน้าเคร่งเครียดของท่านหมอกู้และหมอทหารคนอีกสองคน หญิงสาวคารวะทักทายแล้วเอ่ยถามตรงไปตรงมา
“มีเรื่องใดรึเจ้าคะ”
“ทหารแคว้นฉินมีการเคลื่อนไหวแล้ว” หมอกู้เนี่ยนเจินสีหน้าวิตกกังวล ไม่ใช่แค่ความน่าเกรงขามของทหารแคว้นฉินเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือแม่ทัพประจำชายแดนรวมทั้งเจ้าเมืองก็ไม่ได้มีความสามารถนัก ในเมืองหลวงแย่งชิงอำนาจแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ชายแดนก็อ่อนแอ เห็นว่าศึกครั้งนี้จะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ“ท่านหมอกู้คิดเห็นอย่างไรก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ”หมอกู้สูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นหญิงอยู่ที่นี่จะลำบาก หากมีหนทางอื่นก็ไปเถิด” “ไป...จะให้ข้าไปไหนเจ้าคะ” นางส่ายหน้าอย่างงุนงง “หากเกิดสงครามจริง ข้าจะไม่ไปไหนจะอยู่ช่วยท่านหมอกู้ที่นี่เจ้าค่ะ”“สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงการปะทะกันเล็กๆน้อยๆ ของทหารชายแดน หากเกิดสงครามขึ้นจริง เจ้าจะรับมือไม่ไหว!”“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องอยู่ที่นี่ หน้าที่ของหมอคือช่วยชีวิตคน ถ้าข้าหนีเอาตัวรอดแล้วจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมอได้อย่างไร”หมอกู้เห็นความตั้งใจของนางแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวให้ดี หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้”“ท่านหมอกู้โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำตัวเป็นภาระให้ผู้ใด และหากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับข้า ข้าก็จะไม่โทษผู้อื่นเช่นกัน”แววตาของนางเปี่ยม
“ไปตรอกทางทิศตะวันตก” นางตอบแล้วอดกวาดตามองไม่ได้ “มีเรื่องใดรึ” “หมอฟู่ไม่รู้หรือ? ตอนนี้ทหารแคว้นฉินเข้ามาในเมืองของเราแล้ว” “เป็นไปได้อย่างไร!” ดวงตากลมเบิกกว้าง “เจ้าเมืองเปิดประตูให้ก็เดินเข้ามากันอย่างกับมาเดินตลาด!” “เขาพูดกันว่าทั้งแม่ทัพและเจ้าเมืองรู้เห็นเป็นใจกับการเปิดประตูเมือง เห็นว่าเพื่อไม่ใช่ชาวบ้านเดือดร้อน เหอะ! ข้าว่าเพราะต้องการเลือกอยู่ฝ่ายแคว้นฉินเสียมากกว่า” “ทำอย่างไรได้ ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยเรื่องชายแดนมานาน” “ชายแดนถูกยึดเช่นนี้ ทัพแคว้นฉินก็บุกไปเมืองหลวงโดยง่ายแล้ว” ฟู่เซียงเซียงยืนฟังแล้วเผลอกัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่รู้ท่านหมอกู้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้นางต้องรีบไปรับคนก่อน “อันตรายเช่นนี้ คุณหนูอย่าเพิ่งออกไปเลยขอรับ” บ่าวชราเอ่ยเตือน แต่ฟู่เซียงเซียงส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ ที่นั้นมีเด็กและคนแก่ ข้าต้องรีบไปพาพวกเขามา” นางพูดแล้วรีบขึ้นรถม้า สารถีสบตากับบ่าวชราเล็กน้อยแล้วบังคับม้าให้เดินไป บ่าวชราเดินหลบมาด้านหลังเรือนแล้วหยิบนกหวีดออก
หญิงสาวยืนตัวเกร็งอยู่กลางห้อง หลังจากบรรดาหญิงรับใช้หลายคนเข้ามาช่วยกันจับนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและแปรงผม ในเวลานั้นนางพยายามขัดขืน แต่ทุกคนต่างขอร้องเพราะเกรงว่าหากทำให้ ‘ไต๋อ๋อง’ ไม่พอใจจะได้รับโทษทัณฑ์ นางจึงจำใจยอมให้หญิงรับใช้แต่งกายให้ใหม่ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เหลือเพียงนางในห้องนี้คนเดียว ถูกชายที่เรียกตัวเองว่าอี้เฉินแบกขึ้นรถม้า ยังไม่ทันได้ซักถามอะไรก็ถูกเขาจี้สกัดจุดให้หมดสติ ฟื้นอีกครั้งก็อยู่ในห้องนี้กับบรรดาหญิงรับใช้ ปกติแต่งกายด้วยชุดบุรุษจนเคยชิน ยามนี้ถูกจับแต่งกายเป็นหญิง ซ้ำยังเป็นชุดนางรำเนื้อผ้าบางเบา ปกปิดก็เหมือนเปิดเผย ฟู่เซียงเซียงกัดริมฝีปากจนเจ็บเมื่อได้สติจึงเดินดูรอบๆ เผื่อหาทางหลบหนี ตอนเข้ามานางหมดสติจึงไม่รู้ว่าที่นี่ที่ใด แต่ดูจากหญิงรับใช้แล้วคงเป็นห้องๆ หนึ่งของจวนเจ้าเมืองแม้อยากรู้ความหมายในสิ่งที่เขาพูด แต่นางก็หวาดกลัวท่าทางคุกคามนั้น ทว่ายังไม่ทันหาทางออกให้กับตัวเองได้ บานประตูเปิดออกก็ขึ้นเสียก่อน นางยืนนิ่งอยู่กลางห้องประสานตากับบุรุษผู้สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้า เมื่อพิจารณาดูนางจึงเข้าใจว่าเป็นหน้ากากใบหน้าของห
“หรือท่านอยากตอบแทนบุญคุณข้า?” ฟู่เซียงเซียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ว่ามือของเขาร้อนระอุจนแทบจะลวกนางได้แล้ว เขายื่นจอกสุราจ่อริมฝีปากของนาง คล้ายว่าถ้านางไม่ยอมดื่มเขาก็ไม่ยอมเลิกรา ทำให้นางจำใจจับรับจอกสุรามายกดื่มจนหมด ความร้อนวูบหนึ่งผ่านลำคอลงกระเพาะ แต่กระนั้นก็ทำให้ชีพจรเต้นแรงขึ้น “ท่านควรรู้ว่าข้าไม่ดื่มสุรา” นางผลักจอกสุราออก “เช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าฐานะของเจ้าตอนนี้คือเชลยของแคว้นฉิน” เขาเอ่ยดวงตาหรี่มองริมฝีปากที่ชุ่มด้วยหยาดสุรา อยากรู้ว่าสุราจากริมฝีปากนางจะรสชาติเดียวกับที่เขาดื่มหรือไม่ ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงง “ข้า...” “เจ้าเป็นแค่เชลยทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น”นางผู้ไม่ชอบถูกบ่งการถึงกับขึงตาใส่ “ท่านไม่มีสิทธิ์!”“ข้าเป็นไต๋อ๋องไม่ใช่อี้เฉินของเจ้าอีกแล้ว” เขายิ้มชั่วร้ายจนหญิงสาวผงะถอยห่าง เขาโอบรัดร่างนางเข้ามาใกล้จนลมหายใจรดผิวแก้มที่แดงระเรื่อ“ถ้าข้าไม่ยินยอม...” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ “เจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่งก็ย่อมทำได้ แต่เจ้าไม่เป็นห่วงเด็กกำพร้าเหล่านั้นหรือ? หรือแม้แต่ศพแม่เฒ่าผู้นั้น...” “ท่าน!” นางขึงตาใส่เขา
“เรื่องนั้นเพราะข้ามีฝีมือต่างหากละ!” นางโต้เถียงอย่างลืมตัวว่าสถานการณ์ตอนนี้ตกเป็นรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ข้าเดินลมปราณขับพิษเองมิใช่เพราะเจ้ารักษา” “แต่ถ้าไม่ใช่ข้ารักษาแผล เช็ดเนื้อตัวดูแลจนไข้ลด เจ้าจะรอดตายได้เองหรือไรกัน” นางขึงตาใส่ อุตส่าอดตาหลับขับตานอนดูแลขนาดไหนกว่าจะรอดตายมาได้ “ซ้ำข้ายังเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวท่านมาอีกด้วย!” “เจ้าเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวข้า แต่ข้าเสียเงินเท่าไรคุ้มครองเจ้ามาสองปี” มุมปากยกยิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา เพราะกระต่ายดิ้นรนสุดกำลัง เขากลัวนางจะเจ็บจึงปล่อยมือจากข้อมือของนาง หญิงสาวลนลานกระถดกายถอยหนีไปชิดหัวเตียง เพราะยันกายขึ้นนั่งเสื้อผ้าที่หลุดรุยจึงเลื่อนหล่น มือเรียวเล็กรีบคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทันที “ท่านต้องการสิ่งใด” คล้ายว่านางเคยถามเขามาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน “ให้เจ้าอยู่ข้างกายข้า” นางส่ายหน้าไปมา เส้นผมยาวสลวยเคลียใบหน้าทำให้ชายหนุ่มยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมทัดใบหูให้อย่างอ่อนโยน “เจ้าปฏิเสธได้รึ” เขาหัวเราะในลำคอ “หากไม่เป็นผู้หญิ
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ” คราวนี้นางหัวเราะออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่จางลี่กลับเข้ามาพร้อมของกล่องหนึ่ง นางรับไว้แล้วส่งให้หมอกู้เนี่ยนเจิน “สองปีมานี่ท่านอบรมสั่งสอนจนข้ามีความรู้รักษาผู้อื่นได้ วันนี้ต้องจากลา ข้ามีของเล็กน้อยมอบให้ท่าน เป็นใบชาและสมุนไพร หวังว่าท่านจะรับของเล็กน้อยนี้ไว้” กู้เนี่ยนเจินยื่นมือมารับไว้แล้วเอ่ย “เป็นข้าที่ควรมอบอะไรให้เจ้าบ้าง ข้ารีบร้อนมาพบเจ้าไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย” “แค่วิชาความรู้ที่ท่านสั่งสอนข้านั้นก็นับว่ามีค่าจนข้ามิอาจตอบแทนบุญคุณท่านได้แล้ว” แม้ใบหน้าจะแย้มยิ้มแต่ดวงตายังฉายแววเศร้าหมอง “เป็นข้าที่ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณท่าน ก็ต้องจากกันเสียแล้ว” “ช่างเถิด แค่เจ้าดูแลตัวเองให้ดีและใช้วิชาความรู้ที่ข้าสอนช่วยผู้อื่นก็เท่ากับตอบแทนคุณของข้าแล้ว” “ข้าจะจำใส่ใจไว้เจ้าค่ะ” พูดคุยอยู่ครู่หนึ่งแม่นมหวงก็เดินหน้าซีดเข้ามา ยังไม่ทันรายงานฟู่เซียงเซียง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้าก็เดินเข้ามาด้านในราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง “ไต๋อ๋อง” ฟู่เซียงเซียงมองอ
มุมปากบุรุษผู้สวมหน้ากากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาหันกลับแล้วพยักหน้าให้ชีอันฟานรับช่วงต่อ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วผงกศีรษะให้หญิงสาวบนรถม้าที่ผลุบหายไปหลังม่านหน้าต่างแล้ว มือเรียวเก็บตำราที่แพทย์ที่อ่านค้างไว้แล้วขยับตัวเข้าไปด้านใน รถม้าของไต๋อ๋องกว้างขวางทั้งสบายและอบอุ่น ไม่เหมือนรถม้าที่นางเคยนั่งเมื่อเดินทางออกจากเมืองหลวง ส่วนด้านแม่นมหวงและจางลี่นั้น ไต๋อ๋องให้แยกเดินทางไปต่างหาก นางไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแยกนางกับคนของนาง แต่นางไม่มีสิทธิ์โต้แย้งสิ่งใดได้ เขาให้นางเดินทางพร้อมเขา นางก็ต้องทำ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นเช่นกัน” ฉินตงหยางถอดหน้ากากออกแล้วจับปลายคางมนให้หันมาสบตา “รู้หรือไม่ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” “ข้าไม่รู้” นางตอบไปตามตรง “นอกจากวิชาแพทย์แล้ว ข้าก็โง่เขลาไม่รู้เรื่องใดเลย” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วปล่อยมือ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกโยนไปด้านหลังแล้วตามด้วยรองเท้าแล้วขึ้นไปบนพรมขนสัตว์หนานุ่มที่ร่างเล็กกระถดกายเข้าไปด้านใน ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยแล้วจ้องนางอย่างแปลกใจ “นี่ไม่ใช่
ฟู่ซินอี๋กวาดข้าวของบนโต๊ะลงพื้นด้วยความโมโห สาวใช้ต่างพากันก้มไม่แสดงความรู้สึกใด จางจิ้งโบกมือไล่สาวใช้ผู้อื่นออกไป จางจิ้งเป็นสาวใช้คนสนิทของฟู่ซินอี๋และติดตามนางมาอยู่ที่สกุลหลี่บัดนี้ฟู่ซินอี๋ได้เป็นฮูหยินของเสนาบดีกรมคลัง ภายนอกผู้คนล้วนอิจฉาที่นางมีวาสนาได้แต่งเข้าสกุลหลี่ แต่ความจริงฟู่ซินอี๋กล่ำกลืนฝืนทนตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในสกุลหลี่ สามีของนางหลี่ป๋อเหวินมีสตรีในดวงใจอยู่ก่อนแล้ว หลังจากแต่งนางเข้ามาไม่นานก็รับภรรยารอง และอนุอีกสามคน แต่ละวันนางต้องพยายามทำดีเพื่อเอาใจแม่สามีและต้องเอาชนะใจสามีที่มองนางด้วยหางตา แม้นางเป็นภรรยาเอกแต่การกระทำของเขาเหมือนนางเป็นเพียงอนุเท่านั้น “ฮูหยินโปรดสงบใจไว้ก่อนเจ้าค่ะ” “สงบใจ! ข้าจะสงบใจลงได้อย่างไร! เซียงเซียงกลับมาแล้ว ซ้ำยังได้เป็นคนโปรดของไต๋อ๋อง!” จางจิ้งที่นำข่าวจากที่บ้านมารายงานรีบเข้าไปลูบไหล่นายหญิงที่นั่งกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ “นั้นเป็นเพียงข่าวลือที่ผู้คนพูดกัน คนโปรดอะไรกันเป็นแค่นางบำเรอเสียกระมังเจ้าคะ” “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” ฟู่ซินอี๋เริ่มใจเย็น
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า