หญิงสาวยืนตัวเกร็งอยู่กลางห้อง หลังจากบรรดาหญิงรับใช้หลายคนเข้ามาช่วยกันจับนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและแปรงผม ในเวลานั้นนางพยายามขัดขืน แต่ทุกคนต่างขอร้องเพราะเกรงว่าหากทำให้ ‘ไต๋อ๋อง’ ไม่พอใจจะได้รับโทษทัณฑ์ นางจึงจำใจยอมให้หญิงรับใช้แต่งกายให้ใหม่ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เหลือเพียงนางในห้องนี้คนเดียว
ถูกชายที่เรียกตัวเองว่าอี้เฉินแบกขึ้นรถม้า ยังไม่ทันได้ซักถามอะไรก็ถูกเขาจี้สกัดจุดให้หมดสติ ฟื้นอีกครั้งก็อยู่ในห้องนี้กับบรรดาหญิงรับใช้ ปกติแต่งกายด้วยชุดบุรุษจนเคยชิน ยามนี้ถูกจับแต่งกายเป็นหญิง ซ้ำยังเป็นชุดนางรำเนื้อผ้าบางเบา ปกปิดก็เหมือนเปิดเผย ฟู่เซียงเซียงกัดริมฝีปากจนเจ็บเมื่อได้สติจึงเดินดูรอบๆ เผื่อหาทางหลบหนี ตอนเข้ามานางหมดสติจึงไม่รู้ว่าที่นี่ที่ใด แต่ดูจากหญิงรับใช้แล้วคงเป็นห้องๆ หนึ่งของจวนเจ้าเมือง
แม้อยากรู้ความหมายในสิ่งที่เขาพูด แต่นางก็หวาดกลัวท่าทางคุกคามนั้น ทว่ายังไม่ทันหาทางออกให้กับตัวเองได้ บานประตูเปิดออกก็ขึ้นเสียก่อน นางยืนนิ่งอยู่กลางห้องประสานตากับบุรุษผู้สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้า เมื่อพิจารณาดูนางจึงเข้าใจว่าเป็นหน้ากากใบหน้าของหมาป่า
ชายหนุ่มในอาภรณ์ไหมเนื้อดีสีดำสนิทขับเน้นความน่าเกรงขามให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เขาเข้ามาพร้อมผู้ติดตาม เมื่อสายตาประสานกับสาวงามเบื้องหน้า ดวงตาฉายแววไม่พอใจ กลิ่นไอสังหารแผ่กระจายโดยรอบ เล่นเอาบรรดานางกำนัลที่ยกสุราอาหารเข้ามาถึงกับแข้งขาสั่น ท่านเจ้าเมืองที่เข้ามาเตรียมประจบประแจงก็ยังพูดไม่ออก
ชีอันฟานพูดขึ้นเป็นคนสนิทของไต๋อ๋อง เห็นท่าไม่ดี จึงโบกมือไล่ให้หญิงรับใช้รีบวางสุราอาหารที่โต๊ะแล้วออกไปโดยเร็ว ที่ติดตามมา
“เชิญท่านอ๋องตามสบาย พวกเราไม่รบกวน”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางเหมือนคนป่วย แต่ติดตามไต๋อ๋องมานานย่อมรู้ว่าเวลานี้บุรุษผู้นี้คิดสิ่งใดอยู่ ชีอันฟานปรายตามองไปทางหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ นางเองก็น่านับถือไม่น้อย ถูกท่านอ๋องจ้องมองเช่นนี้ยังสามารถสงบนิ่งได้ สมแล้วที่เป็นสตรีที่ฉินตงหยางต้องตาต้องใจ
เสียงบานประตูปิดสนิทลงแล้ว ชายหนุ่มจึงสาวเท้าเข้ามาใกล้ แววตาของเขาทำให้หญิงสาวยกมือขึ้นปิดทรวงอกอวบอิ่มที่ดันเอี๊ยมสีแดงสด เสื้อตัวนอกบางเบาราวปีกจักจั่นปักรูปผีเสื้อน้อยใหญ่คล้ายพวกมันกำลังร่ายล้อมดอกบัวตูมคู่งาม
“ใครให้เจ้าแต่งกายเช่นนี้” บุรุษหนุ่มถามอย่างหงุดหงิด เขาส่งนางให้หญิงรับใช้จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าขะมุกขะมอมนั้น ไม่ใช่ให้นางแต่งกายชุดโปร่งบางอย่างหญิงคณิกาเช่นนี้!
ถูกดุอย่างไร้เหตุผล ฟู่เซียงเซียงก็ขึงตาโต้กลับ
“นั้นสิ! เป็นใครกันเล่า!”
“ข้า...ข้าไม่ได้...จะให้เจ้าแต่งกายเช่นนี้”
กลายเป็นชายหนุ่มที่ทำตัวไม่ถูก ทำได้เพียงถอดเสื้อคลุมตัวนอกสวมทับร่างบอบางแล้วกึ่งประคองกึ่งบังคับพานางไปนั่งที่ตั่งนุ่ม แต่นางขืนตัว ทำให้เขาสอดแขนรัดเอวคอดมานั่งบนตักของเขาแทน
“ท่าน!” นางคิดจะตบจุดหยางกู่ที่ข้อมือของเขาแต่อีกฝ่ายรู้ทันคว้าข้อมือนางไว้ก่อน ปลายนิ้วสัมผัสกำไลหยกมันแพะที่ข้อมือนางแล้วก็ยิ้มออกมา
“เห็นสายตาอาลัยของเจ้าแล้ว ข้าก็รู้ว่าเจ้าชอบมันมาก” แม้มือของเขาหยาบกร้านแต่กลับลูบมือนางอย่างทะนุถนอม
ฟู่เซียงเซียงหยุดดิ้นรนแล้วเอ่ยถาม “ท่าน...ท่านเป็นใครกันแน่”
“เจ้าไม่เชื่อว่าข้าคืออี้เฉินรึ?” เขาหัวเราะในลำคอ “หรือเพราะข้าพูดได้แต่อี้เฉินของเจ้าเป็นใบ้”
“ข้ารู้ว่าเขาไม่ได้เป็นใบ้ เขาแค่ไม่พูด” นางอดกวาดตามองใบหน้าของเขาไม่ได้
“ปลดหน้ากากสิ”
“ข้า...”
หญิงสาวลังเล ข่มใจอยู่ครู่หนึ่งจึงยกมือขึ้นไปปลดหน้ากากออกจากใบหน้าของเขา ทำให้เห็นโครงหน้าคมคาย แม้ผ่านมาสองปีแต่รอยแผลเป็นที่หางคิ้วยังคงอยู่ นางใช้นิ้วลูบรอยแผลเบาๆ นางจำได้ว่าเคยทายาให้เขาตรงนี้ และยังมี...
เสียงสูดลมหายใจลึกทำให้ฟู่เซียงเซียงได้สติ นางชักมือกลับทันที แค่ตั้งใจลูบรอยแผลที่ตนเคยทายาให้เท่านั้น แต่ไม่ได้คิด...ไม่คิดจะ เอ่อ...ลวนลามเขา
“เจ้ายังอยากดูแผลที่เจ้าเย็บหรือไม่” เขาถามเสียงพร่าอย่างไม่รู้ตัวแล้วขยับตัวปลดสายรัดเอวของตนออก เลื่อนไหล่เสื้อลงข้างหนึ่งเผยผิวกายสีเข้มและกล้ามเนื้อแน่นหนั่น
ทำไมนางจะไม่อยากเห็นเล่า! นั้นเป็นแผลแรกที่นางเย็บเองเชียวนะ!
ความอยากรู้อยากเห็นเอาชนะทุกสิ่ง นางลุกขึ้นเดินไปด้านหลัง มือเรียวแหวกเสื้อออกเพื่อได้เห็นรอยแผลชัดๆ แผลตรงนี้ที่นางกรีดเอาหัวลูกศรออก บีบหนองและเย็บแผลให้ รอยแผลเป็นทำให้เห็นว่านางยังเย็บแผลได้ไม่สวยนัก แต่ทำอย่างไรได้เล่า ก็นี่มันเป็นแผลแรกที่นางเย็บหนังมนุษย์จริงๆ นี่
นิ้วมือเล็กๆ วาดบนแผ่นหลังของเขา รอยแผลที่นางเคยทำรักษา ความอบอุ่นขุมหนึ่งเกิดขึ้นในอก เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มไม่ประสีประสา แต่สัมผัสบางเบาของนางทำให้เขาปั่นป่วน ปีนี้เขาอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว พานพบสตรีมามาก แต่ไม่เคยรู้สึกปรารถนาเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่พบกันสองปีก่อน เขาไม่ต้องการหญิงอื่นเลย เฝ้ารอเพียงจะได้ใกล้ชิดนางอีกครั้ง
“ร่างกายมิใช่เหล็กกล้า ท่านเอาแผ่นหลังไปรับคมกระบี่คมดาบหรือไร เหตุใดมีแผลเพิ่มขึ้นอีกตั้งสามรอย”
ฟู่เซียงเซียงบ่นแล้วเดินกลับมายืนเบื้องหน้า แต่เห็นแววตาลุ่มลึกของเขาแล้ว นางเพิ่งนึกได้ว่าตนเองแต่งกายเช่นไร จึงรีบกระชับเสื้อคลุมของเขาปิดร่างให้มิดชิดขึ้น
“เจ้าเชื่อแล้วว่าข้าคืออี้เฉิน”
“ข้าจะเชื่อหรือไม่ ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือท่านคือใคร”
“ผู้อื่นเรียกข้าไต๋อ๋อง นามของข้าคือฉินตงหยาง”
“เจ้า...เอ่อ...ท่านคือไต๋อ๋อง!”
“ข้าจะเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ยามนี้ข้าอยู่เบื้องหน้าเจ้าแล้ว” เขาดึงนางมานั่งเคียงข้างแล้วเอื้อมมือรินสุราใส่จอกด้วยตนเอง
“สองปีมานี้วุ่นวายเรื่องแผ่นดิน ข้าไม่ได้อยู่ดูแลเจ้าแต่ก็ส่งคนคุ้มครองอยู่ไม่ห่าง แต่เหตุวันนี้เกิดขึ้นเพราะคนกลุ่มนั้นไม่รู้จักเจ้า อีกหน่อยเจ้าอยู่ข้างกายข้า ผู้อื่นก็เคารพเจ้าไม่มีใครทำอันตรายเจ้าได้”
“ท่านพูดว่าอะไรนะ ...สองปี...สองปีที่ท่านจากข้าไปนะหรือ?” นางยังงุนงงกับสิ่งที่เขาพูด หรือว่า...ที่นางเคยสงสัยจะเป็นจริง “ท่านส่งคนมาคุ้มครองข้า?”
“เจ้าซุกซนและดื้อดึงถึงเพียงนี้ หากข้าไม่สั่งคนให้ค่อยดูแลเจ้า แล้วใครเล่าจะคอยช่วยเจ้าอยู่ตลอด จะเป็นหมอหญิงข้าก็ไม่ว่ากระไร แต่เอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพียงเพื่อช่วยผู้อื่น มันถูกต้องรึ?”
“ท่าน...รู้ทุกอย่าง” นางส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อ “เจ้าเป็นไต๋อ๋องได้อย่างไร ก็ข้าซื้อตัวเจ้า เอ่อ...ท่านมาจากตลาดค้าทาส”
“ถูกคนใกล้ชิดลอบสังหาร เพื่อเอาชีวิตรอดจึงหนีปะปนไปในกลุ่มทาส แต่เพราะต้องพิษและบาดเจ็บสาหัสจึงยังไม่สามารถหนีออกมาได้ จนเจ้ามาซื้อข้าด้วยเงินสองตำลึงนั้น”
“เรื่องเป็นเช่นนี้เอง...” นางพยักหน้าเข้าใจ มั่นใจว่าอี้เฉินไม่ใช่คนธรรมดา แต่ไม่คิดว่าเขาจะเป็นถึงไต๋อ๋อง “เรื่องราวเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับเราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน เช่นนั้น ข้าขอตัวลาก่อน ไม่ต้องส่ง ข้ากลับเองได้”
หญิงสาวรีบร้อนลุกขึ้นแล้วจะจากไป แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าไปข้างหน้า ก็ถูกดึงให้กลับมานั่งลงตามเดิม เขายื่นจอกสุราส่งให้นาง
“ข้าพูดหรือว่าเราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน”
“หรือท่านอยากตอบแทนบุญคุณข้า?” ฟู่เซียงเซียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ว่ามือของเขาร้อนระอุจนแทบจะลวกนางได้แล้ว เขายื่นจอกสุราจ่อริมฝีปากของนาง คล้ายว่าถ้านางไม่ยอมดื่มเขาก็ไม่ยอมเลิกรา ทำให้นางจำใจจับรับจอกสุรามายกดื่มจนหมด ความร้อนวูบหนึ่งผ่านลำคอลงกระเพาะ แต่กระนั้นก็ทำให้ชีพจรเต้นแรงขึ้น “ท่านควรรู้ว่าข้าไม่ดื่มสุรา” นางผลักจอกสุราออก “เช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าฐานะของเจ้าตอนนี้คือเชลยของแคว้นฉิน” เขาเอ่ยดวงตาหรี่มองริมฝีปากที่ชุ่มด้วยหยาดสุรา อยากรู้ว่าสุราจากริมฝีปากนางจะรสชาติเดียวกับที่เขาดื่มหรือไม่ ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงง “ข้า...” “เจ้าเป็นแค่เชลยทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น”นางผู้ไม่ชอบถูกบ่งการถึงกับขึงตาใส่ “ท่านไม่มีสิทธิ์!”“ข้าเป็นไต๋อ๋องไม่ใช่อี้เฉินของเจ้าอีกแล้ว” เขายิ้มชั่วร้ายจนหญิงสาวผงะถอยห่าง เขาโอบรัดร่างนางเข้ามาใกล้จนลมหายใจรดผิวแก้มที่แดงระเรื่อ“ถ้าข้าไม่ยินยอม...” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ “เจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่งก็ย่อมทำได้ แต่เจ้าไม่เป็นห่วงเด็กกำพร้าเหล่านั้นหรือ? หรือแม้แต่ศพแม่เฒ่าผู้นั้น...” “ท่าน!” นางขึงตาใส่เขา
“เรื่องนั้นเพราะข้ามีฝีมือต่างหากละ!” นางโต้เถียงอย่างลืมตัวว่าสถานการณ์ตอนนี้ตกเป็นรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ข้าเดินลมปราณขับพิษเองมิใช่เพราะเจ้ารักษา” “แต่ถ้าไม่ใช่ข้ารักษาแผล เช็ดเนื้อตัวดูแลจนไข้ลด เจ้าจะรอดตายได้เองหรือไรกัน” นางขึงตาใส่ อุตส่าอดตาหลับขับตานอนดูแลขนาดไหนกว่าจะรอดตายมาได้ “ซ้ำข้ายังเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวท่านมาอีกด้วย!” “เจ้าเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวข้า แต่ข้าเสียเงินเท่าไรคุ้มครองเจ้ามาสองปี” มุมปากยกยิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา เพราะกระต่ายดิ้นรนสุดกำลัง เขากลัวนางจะเจ็บจึงปล่อยมือจากข้อมือของนาง หญิงสาวลนลานกระถดกายถอยหนีไปชิดหัวเตียง เพราะยันกายขึ้นนั่งเสื้อผ้าที่หลุดรุยจึงเลื่อนหล่น มือเรียวเล็กรีบคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทันที “ท่านต้องการสิ่งใด” คล้ายว่านางเคยถามเขามาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน “ให้เจ้าอยู่ข้างกายข้า” นางส่ายหน้าไปมา เส้นผมยาวสลวยเคลียใบหน้าทำให้ชายหนุ่มยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมทัดใบหูให้อย่างอ่อนโยน “เจ้าปฏิเสธได้รึ” เขาหัวเราะในลำคอ “หากไม่เป็นผู้หญิ
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ” คราวนี้นางหัวเราะออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่จางลี่กลับเข้ามาพร้อมของกล่องหนึ่ง นางรับไว้แล้วส่งให้หมอกู้เนี่ยนเจิน “สองปีมานี่ท่านอบรมสั่งสอนจนข้ามีความรู้รักษาผู้อื่นได้ วันนี้ต้องจากลา ข้ามีของเล็กน้อยมอบให้ท่าน เป็นใบชาและสมุนไพร หวังว่าท่านจะรับของเล็กน้อยนี้ไว้” กู้เนี่ยนเจินยื่นมือมารับไว้แล้วเอ่ย “เป็นข้าที่ควรมอบอะไรให้เจ้าบ้าง ข้ารีบร้อนมาพบเจ้าไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย” “แค่วิชาความรู้ที่ท่านสั่งสอนข้านั้นก็นับว่ามีค่าจนข้ามิอาจตอบแทนบุญคุณท่านได้แล้ว” แม้ใบหน้าจะแย้มยิ้มแต่ดวงตายังฉายแววเศร้าหมอง “เป็นข้าที่ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณท่าน ก็ต้องจากกันเสียแล้ว” “ช่างเถิด แค่เจ้าดูแลตัวเองให้ดีและใช้วิชาความรู้ที่ข้าสอนช่วยผู้อื่นก็เท่ากับตอบแทนคุณของข้าแล้ว” “ข้าจะจำใส่ใจไว้เจ้าค่ะ” พูดคุยอยู่ครู่หนึ่งแม่นมหวงก็เดินหน้าซีดเข้ามา ยังไม่ทันรายงานฟู่เซียงเซียง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้าก็เดินเข้ามาด้านในราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง “ไต๋อ๋อง” ฟู่เซียงเซียงมองอ
มุมปากบุรุษผู้สวมหน้ากากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาหันกลับแล้วพยักหน้าให้ชีอันฟานรับช่วงต่อ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วผงกศีรษะให้หญิงสาวบนรถม้าที่ผลุบหายไปหลังม่านหน้าต่างแล้ว มือเรียวเก็บตำราที่แพทย์ที่อ่านค้างไว้แล้วขยับตัวเข้าไปด้านใน รถม้าของไต๋อ๋องกว้างขวางทั้งสบายและอบอุ่น ไม่เหมือนรถม้าที่นางเคยนั่งเมื่อเดินทางออกจากเมืองหลวง ส่วนด้านแม่นมหวงและจางลี่นั้น ไต๋อ๋องให้แยกเดินทางไปต่างหาก นางไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแยกนางกับคนของนาง แต่นางไม่มีสิทธิ์โต้แย้งสิ่งใดได้ เขาให้นางเดินทางพร้อมเขา นางก็ต้องทำ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นเช่นกัน” ฉินตงหยางถอดหน้ากากออกแล้วจับปลายคางมนให้หันมาสบตา “รู้หรือไม่ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” “ข้าไม่รู้” นางตอบไปตามตรง “นอกจากวิชาแพทย์แล้ว ข้าก็โง่เขลาไม่รู้เรื่องใดเลย” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วปล่อยมือ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกโยนไปด้านหลังแล้วตามด้วยรองเท้าแล้วขึ้นไปบนพรมขนสัตว์หนานุ่มที่ร่างเล็กกระถดกายเข้าไปด้านใน ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยแล้วจ้องนางอย่างแปลกใจ “นี่ไม่ใช่
ฟู่ซินอี๋กวาดข้าวของบนโต๊ะลงพื้นด้วยความโมโห สาวใช้ต่างพากันก้มไม่แสดงความรู้สึกใด จางจิ้งโบกมือไล่สาวใช้ผู้อื่นออกไป จางจิ้งเป็นสาวใช้คนสนิทของฟู่ซินอี๋และติดตามนางมาอยู่ที่สกุลหลี่บัดนี้ฟู่ซินอี๋ได้เป็นฮูหยินของเสนาบดีกรมคลัง ภายนอกผู้คนล้วนอิจฉาที่นางมีวาสนาได้แต่งเข้าสกุลหลี่ แต่ความจริงฟู่ซินอี๋กล่ำกลืนฝืนทนตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในสกุลหลี่ สามีของนางหลี่ป๋อเหวินมีสตรีในดวงใจอยู่ก่อนแล้ว หลังจากแต่งนางเข้ามาไม่นานก็รับภรรยารอง และอนุอีกสามคน แต่ละวันนางต้องพยายามทำดีเพื่อเอาใจแม่สามีและต้องเอาชนะใจสามีที่มองนางด้วยหางตา แม้นางเป็นภรรยาเอกแต่การกระทำของเขาเหมือนนางเป็นเพียงอนุเท่านั้น “ฮูหยินโปรดสงบใจไว้ก่อนเจ้าค่ะ” “สงบใจ! ข้าจะสงบใจลงได้อย่างไร! เซียงเซียงกลับมาแล้ว ซ้ำยังได้เป็นคนโปรดของไต๋อ๋อง!” จางจิ้งที่นำข่าวจากที่บ้านมารายงานรีบเข้าไปลูบไหล่นายหญิงที่นั่งกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ “นั้นเป็นเพียงข่าวลือที่ผู้คนพูดกัน คนโปรดอะไรกันเป็นแค่นางบำเรอเสียกระมังเจ้าคะ” “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” ฟู่ซินอี๋เริ่มใจเย็น
ฟู่เซียงเซียงนั่งเขียนสิ่งที่ตนเองต้องทำ ลำดับขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ นางเขียนอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา รอบตัวมืดสนิทได้ยินเพียงเสียงแมลงกลางคืน นางเก็บพู่กันและเช็ดมือแล้วจึงเดินมานั่งที่เตียง มือจับที่กำไลหยกมันแพะที่สวมอยู่ ‘ข้านอนไม่หลับ’ น้ำเสียงเอาแต่ใจของฉินตงหยางดังแว่วในหู ฟู่เซียงเซียงยิ้มขำกับท่าทางเหมือนเด็กในบางคราวของเขา แล้วรอยยิ้มก็จางไป ในวังหลวงมีหญิงงามมากมาย ไม่มีนางเขาก็มีหญิงอื่นให้ตระกองกอดทั้งซ้ายขวา หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ดับเทียนในห้องแล้วปีนขึ้นเตียงมือเรียวยกขึ้นแตะหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจเหตุใดรู้สึกเจ็บแปลบพิกล หรือนางจะป่วยไข้เข้าให้แล้ว.หมอจูซีห่าวทั้งประหลาดใจและดีใจที่เห็นฟู่เซียงเซียงมาเยี่ยมเยือนถึงโรงหมอ นางยังคงแต่งกายด้วยชุดบุรุษแต่อย่างไรก็ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงงาม “ไม่พบกันสองปี เหตุใดยังดูซุกซนเป็นเด็กน้อยอยู่เล่า” “อาจารย์ ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว” ฟู่เซียงเซียงหัวเราะเสียงใสแล้วรอยยิ้มก็กว้างยิ่งขึ้น เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังห้องเก็บยา “พี่ลี่เฉี่ยว”
“ข้าไม่รู้” นางทำหน้ายุ่งล้างคราบเลือดออกจากมือจนหมด จางลี่ส่งผ้าแห้งให้เช็ดมือ “แสดงว่า ไต๋อ๋องให้ความสำคัญกับคุณหนูมากนะเจ้าค่ะ” เป็นเช่นนี้ก็ดี จะได้ไม่มีใครกล้ารังแกคุณหนูของนาง “มาคุ้มครองหรือคุมตัวข้ากันแน่”นางขยี้เท้าอย่างไม่พอใจ ปกตินางสำรวจกิริยาเสมอ แต่เวลานี้เหลืออดแล้วจริงๆ จางลี่รีบช่วยเกล้าผมให้ฟู่เซียงเซียง อย่างไรก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านตนเองจะปล่อยผมเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะ ฟู่เซียงเซียงที่โมโหอยู่ไม่มีจิตใจจะทำเรื่องใดแล้ว หลังจากจางลี่จัดแต่งผมให้แล้วจึงเดินออกมาเพื่อขอตัวกลับก่อน คุณชายผู้นั้นหายตัวไปราวกับไม่เคยมาเยือน มีเพียงเงินค่ารักษาที่มอบไว้ให้แล้ว นางกล่าวลาจูซีห่าวและจูลี่เฉี่ยวแล้วเดินออกมาด้านนอกพร้อมจางลี่ ชายฉกรรจ์หลายสิบคนยืนรออยู่“ท่านหมอฟู่จะไปที่ใดต่อหรือขอรับ”“ข้าจะกลับบ้าน” นางตอบเสียงแข็ง เพียงแค่นั้นก็ชายฉกรรจ์ก็หายวับไปราวกับภูติผี จางลี่ตกใจกระโดดเกาะแขนคุณหนูแน่น“หากเป็นกลางคืน ข้าต้องคิดว่าพวกเขาเป็นภูตผีแน่เลยเจ้าค่ะ”“เจ้ายังไม่เคยพบไต๋อ๋องสินะ” ฟู่เซียงเซียงถามอย่างนึกได้“เคยพบสิเจ้าคะ บุรุษสวมหน้ากา
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า