ฟู่ซินอี๋กวาดข้าวของบนโต๊ะลงพื้นด้วยความโมโห สาวใช้ต่างพากันก้มไม่แสดงความรู้สึกใด จางจิ้งโบกมือไล่สาวใช้ผู้อื่นออกไป จางจิ้งเป็นสาวใช้คนสนิทของฟู่ซินอี๋และติดตามนางมาอยู่ที่สกุลหลี่
บัดนี้ฟู่ซินอี๋ได้เป็นฮูหยินของเสนาบดีกรมคลัง ภายนอกผู้คนล้วนอิจฉาที่นางมีวาสนาได้แต่งเข้าสกุลหลี่ แต่ความจริงฟู่ซินอี๋กล่ำกลืนฝืนทนตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในสกุลหลี่ สามีของนางหลี่ป๋อเหวินมีสตรีในดวงใจอยู่ก่อนแล้ว หลังจากแต่งนางเข้ามาไม่นานก็รับภรรยารอง และอนุอีกสามคน แต่ละวันนางต้องพยายามทำดีเพื่อเอาใจแม่สามีและต้องเอาชนะใจสามีที่มองนางด้วยหางตา แม้นางเป็นภรรยาเอกแต่การกระทำของเขาเหมือนนางเป็นเพียงอนุเท่านั้น
“ฮูหยินโปรดสงบใจไว้ก่อนเจ้าค่ะ”
“สงบใจ! ข้าจะสงบใจลงได้อย่างไร! เซียงเซียงกลับมาแล้ว ซ้ำยังได้เป็นคนโปรดของไต๋อ๋อง!”
จางจิ้งที่นำข่าวจากที่บ้านมารายงานรีบเข้าไปลูบไหล่นายหญิงที่นั่งกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ
“นั้นเป็นเพียงข่าวลือที่ผู้คนพูดกัน คนโปรดอะไรกันเป็นแค่นางบำเรอเสียกระมังเจ้าคะ”
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” ฟู่ซินอี๋เริ่มใจเย็นลงก็อดคิดตามไม่ได้
“นางอยู่ชายแดนมาสองปี ซ้ำยังเป็นหมอหญิง ผู้ใดจะจริงจังกับหมอหญิงที่เที่ยวถูกเนื้อต้องตัวบุรุษไปทั่วละเจ้าคะ ที่สำคัญนางอยู่ในฐานะเชลย มิใช่ว่า...ต้องบำเรอกามบุรุษป่าเถื่อนแคว้นฉินจนยับเยินแล้วหรือ? ” จางจิ้งพูดประจบประแจง “ฮูหยินเป็นถึงภรรยาเอกของใต้เท้าหลี่อย่างไรต้องเหนือกว่าอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
ฟู่ซินอี๋คลี่ยิ้มออกมา จางจิ๋งเห็นนายหญิงอารมณ์ดีจึงรีบรินน้ำชาส่งให้
“แล้วท่านแม่ของข้าฝากเรื่องใดมาหรือไม่”
“ให้ฮูหยินดูแลสุขภาพให้ดีรีบมีทายาทให้สกุลหลี่เจ้าค่ะ”
“เรื่องแบบนี้ข้าทำเองได้เสียที่กันเล่า”
ฟู่ซินอี๋เบ้ปาก แต่งงานมาปีกว่าแล้ว ท้องนางยังราบเรียบอยู่เลย สามีมาหานางแทบนับคืนได้ ส่วนใหญ่คลุกอยู่กับภรรยารองและอนุมากกว่านางด้วยซ้ำ หญิงสาวถอนหายใจหนักหน่วง เหตุใดกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ บิดาทุ่มเทแรงกายและกำลังทรัพย์หวังดันให้องค์ชายสามขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรแต่ยังไม่ทันเริ่ม ไต๋อ๋องแห่งแคว้นฉินก็บุกยึดเมืองได้เสียก่อน ฮ่องเต้สละบัลลังก์ให้องค์รัชทายาทขึ้นปกครองแผ่นดิน และสิ่งแรกที่ทำก็คือเนรเทศองค์ชายสามแล้วเปิดประตูเมืองยอมสวามิภักดิ์กับแคว้นฉิน
เหอะ!
ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แม้ว่า...สกุลของนางจะรอดพ้นวิกฤตแต่ก็ไม่อาจกลับมารุ่งโรจน์ได้อีก คนที่นางชิงชังที่สุดก็กลับมาเมืองหลวงเสียได้
“เจ้าว่า...บุรุษแคว้นฉินป่าเถื่อนกระนั้นรึ” ฟู่ซินอี๋ถามอย่างสนใจ หากเป็นเช่นที่จางจิ๋งเล่า นางก็อยากเห็นวาฟู่เซียงเซียงจะมีสภาพเช่นไร
“เจ้าค่ะ รูปร่างสูงใหญ่เหมือนหมี กักขฬะและป่าเถื่อน ได้ยินว่าทหารแคว้นฉินไปที่ใดก็นำความพินาศย่อยยับไปที่นั้น ต่อให้คุณหนูเซียงเซียงมีชีวิตรอดกลับมา คงไม่อาจแต่งงานเข้าตระกูลใดได้ อย่างมากก็เป็นได้แค่อนุ หรือไม่ต้องอยู่อารามชีไปชั่วชีวิต”
“อย่างนั้นรึ” ฟู่ซินอี๋คลี่ยิ้มออก “เห็นทีข้าควรกลับไปเยี่ยมมารดาสักครั้งแล้ว”
…..
ฟู่เซียงเซียงเดินเข้าในเรือนที่เคยอาศัยมาตั้งแต่สิบขวบ หลังมารดาตายจาก บิดาก็ส่งนางมาอยู่เรือนท้ายจวน ความทรงจำในวัยเยาว์หวนกลับมาอีกครั้ง นางหลับตาซึมซับความสุขในอดีตเหล่านั้นแล้วลืมตาสูดลมหายใจลึกๆ เรียกความเข้มแข็งให้ตนเอง
แม่นมหวงเจียอีและจางลี่เดินทางมาถึงก่อน เข้ามาจัดการทำความสะอาดเพื่อรอรับนางเมื่อกลับถึงเมืองหลวง หลังจากคารวะบิดาและมารดาเลี้ยงแล้ว นางไม่ได้คุยอะไรกับบิดานัก ไม่พบกันสองปีดูเหมือนบิดาแก่ลงไปมาก อาจเพราะทุ่มเทให้องค์ชายสามอย่างสุดกำลังเพื่อหวังให้สกุลฟู่รุ่งเรืองอีกครั้ง นอกจากล้มเหลวแล้ว ทรัพย์สินเงินทองในจวนก็แทบไม่มีเหลือ บ่าวไพร่ถูกขายออกไปหลายสิบคน ที่เหลืออยู่ก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น ส่วนมารดาเลี้ยงนั้นแม้ประทินโฉมเข้มจัดแต่ไม่อาจปกปิดริ้วรอยอ่อนล้าได้เช่นกัน เมื่อไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันมาก นางจึงเดินกลับมาที่เรือนของตน
“คุณหนู” แม่นมหวงเรียกเบาๆ ด้วยเกรงว่าจะทำให้คุณหนูสะเทือนใจ ได้ยินเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงของคุณหนูมาตลอดทาง นางเกรงว่าคุณหนูจะทำใจไม่ได้ ทว่าเมื่อได้พบกันก็เห็นว่าคุณหนูของนางดูสุขสบายดีก็เบาใจ แต่ไม่กล้าเอยถามว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับคุณหนูหรือไม่
“มีอะไรรึ” หญิงสาวหันมาส่งยิ้มให้แล้วกวาดตามองไปทั่วๆ “ลำบากแม่นมกับจางลี่ต้องมาทำความสะอาดเรือนซอมซ่อของข้า”
“ไม่ลำบากอะไรเลยเจ้าค่ะ” จางลี่รีบพูดขึ้น “เรือนก็หลังเท่าเดิม ไม่ได้ทำความสะอาดยากอันใดเลย”
ฟู่เซียงเซียงหัวเราะออกมา นั้นสินะ เรือนก็หลังเดิม มีแต่คนที่เปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว มนุษย์ล้วนกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
“แม่นมหวง วันนี้เราเข้าครัวทำน้ำแกงปลา แล้วก็ตุ๋นซี่โครงหมูใส่เครื่องยาจีนให้ท่านพ่อกันเถิด”
“ถ้าเช่นนั้นเราทำลูกชิ้นหัวสิงโตด้วยดีไหมเจ้าคะ คุณหนูเคยชอบกินนี่เจ้าค่ะ พอเราไปอยู่ชายแดนก็ไม่ได้ทำกินอีก”
‘เพราะคุณหนูเอาแต่ประหยัดเงินซื้อของกิน แต่เอาเงินไปซื้อสมุนไพรรักษาคนที่ยากจนเสียหมด’
“ได้ เจ้าทำนะ ข้าจะรอกิน”
“เจ้าค่ะคุณหนู” จางลี่หัวเราะคิกคัก ลำพังคุณหนูรักษาผู้คนก็เหนื่อยมากแล้ว เรื่องในครัวปล่อยเป็นหน้าที่นางกับแม่นมหวงเถิด
เสียงหัวเราะกังวานใสดังขึ้นจากในเรือนที่ถูกปล่อยร้างมาสองปี เพียงแต่ครั้งนี้ทั้งสามไม่ได้ทำอาหารที่ครัวเล็กของเรือน แต่ไปใช้ครัวใหญ่ของจวน บ่าวไพร่ดูแตกตื่นไม่น้อย แน่นอนว่าทุกคนล้วนได้ยินเรื่องไม่ดีของคุณหนูฟู่เซียงเซียงมาก่อนที่นางจะมาถึงจวน พวกเขาต่างคนว่านางคงจะเก็บตัวอยู่ในเรือนท้ายจวนไปพบปะผู้คน แต่นี่คุณหนูเซียงเซียงเข้าครัวทำอาหาร หลังจากทำอาหารเสร็จ นางไม่ได้ยกไปให้บิดาด้วยตนเอง เพียงแต่ให้บ่าวรับใช้ยกไป ดูจากสีหน้าบิดาคงไม่ได้ดีใจที่เห็นนางกลับมานัก โดยเฉพาะมารดาเลี้ยงที่คงคิดว่านางควรผูกคอตายรักษาเกียรติของตระกูล
จางลี่ยกสำรับอาหารกลับมากินที่เรือนท้ายจวน แม่นมหวงจัดโต๊ะแล้วทั้งสามก็นั่งกินอาหารพร้อมกัน เช่นที่เคยเป็นมา ผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกัน ความผูกพันเกินความเป็นนายบ่าวแล้ว ยามแม่นมหวงเจ็บป่วย ฟู่เซียงเซียงก็ดูแลด้วยตนเองอย่างไม่รังเกียจ
“จางลี่ พรุ่งนี้เตรียมชุดบุรุษให้ข้าด้วยนะ”
“ทำไมคุณหนูต้องใส่เสื้อผ้าบุรุษอีกล่ะเจ้าคะ” จางลี่อดเสียดายไม่ได้ นางได้พบไต๋อ๋องเพียงแวบเดียว หลังจากนั้นก็แยกเดินทางกับคุณหนู แต่เท่าที่เห็นคนผู้นั้นก็ใส่ใจคุณหนูไม่น้อย เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น
“พรุ่งนี้ข้าจะไปพบอาจารย์” นางแย้มยิ้มแล้วเคี้ยวลูกชิ้นหัวสิงโตด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย “ไม่ได้เจอตั้งสองปี ไม่รู้ท่านหมอจูซีห่าวจะจำหน้าลูกศิษย์คนนี้ได้หรือไม่”
“คุณหนูออกไปนอกจวนได้รึเจ้าคะ” แม่นมหวงไม่มั่นใจนัก “คนของไต๋อ๋องกำชับไว้นักหนาให้คุณหนูรอไต๋อ๋องที่จวน”
“เขาให้ข้ารอ แต่ไม่ได้สั่งห้ามข้าออกไปไหนนี่” นางย่นจมูกทำหน้ายู่ มาถึงประตูเมืองหลวง เขาก็แยกเดินทางเข้าวังหลวงและส่งคนคุ้มครองนางมาถึงจวน ส่วนเรื่องที่ผู้อื่นพูดถึงอย่างไรนั้น นางห้ามปากพวกเขาไม่ได้ นางเองก็ไม่ได้คิดว่าตนเองดีเด่นไปกว่าผู้ใด วันนี้เขาอาจเห็นนางในสายตา แต่วันหน้าเขาอาจมีคนใหม่มาแทนที่ อย่าได้หวังถึงตำแหน่งหรือฐานะใดเลย ลำพังแค่เป็นหมอหญิงก็ไม่มีใครอยากแต่งนางเข้าตระกูลอยู่แล้ว นี่นางยังเป็นหญิงบำเรอของไต๋อ๋องอีก เอาเถอะ นางมีวิชาแพทย์ติดตัวอยู่ ยังสามารถหาเลี้ยงชีพได้ ที่จวนมีที่ว่างกว้างกว่าบ้านที่ชายแดน น่าจะปลูกกะหลาบได้มากขึ้น เวลานี้แค่คิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตหลังจากนี้อย่างไรดีกว่า
ฟู่เซียงเซียงนั่งเขียนสิ่งที่ตนเองต้องทำ ลำดับขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ นางเขียนอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา รอบตัวมืดสนิทได้ยินเพียงเสียงแมลงกลางคืน นางเก็บพู่กันและเช็ดมือแล้วจึงเดินมานั่งที่เตียง มือจับที่กำไลหยกมันแพะที่สวมอยู่ ‘ข้านอนไม่หลับ’ น้ำเสียงเอาแต่ใจของฉินตงหยางดังแว่วในหู ฟู่เซียงเซียงยิ้มขำกับท่าทางเหมือนเด็กในบางคราวของเขา แล้วรอยยิ้มก็จางไป ในวังหลวงมีหญิงงามมากมาย ไม่มีนางเขาก็มีหญิงอื่นให้ตระกองกอดทั้งซ้ายขวา หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ดับเทียนในห้องแล้วปีนขึ้นเตียงมือเรียวยกขึ้นแตะหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจเหตุใดรู้สึกเจ็บแปลบพิกล หรือนางจะป่วยไข้เข้าให้แล้ว.หมอจูซีห่าวทั้งประหลาดใจและดีใจที่เห็นฟู่เซียงเซียงมาเยี่ยมเยือนถึงโรงหมอ นางยังคงแต่งกายด้วยชุดบุรุษแต่อย่างไรก็ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงงาม “ไม่พบกันสองปี เหตุใดยังดูซุกซนเป็นเด็กน้อยอยู่เล่า” “อาจารย์ ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว” ฟู่เซียงเซียงหัวเราะเสียงใสแล้วรอยยิ้มก็กว้างยิ่งขึ้น เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังห้องเก็บยา “พี่ลี่เฉี่ยว”
“ข้าไม่รู้” นางทำหน้ายุ่งล้างคราบเลือดออกจากมือจนหมด จางลี่ส่งผ้าแห้งให้เช็ดมือ “แสดงว่า ไต๋อ๋องให้ความสำคัญกับคุณหนูมากนะเจ้าค่ะ” เป็นเช่นนี้ก็ดี จะได้ไม่มีใครกล้ารังแกคุณหนูของนาง “มาคุ้มครองหรือคุมตัวข้ากันแน่”นางขยี้เท้าอย่างไม่พอใจ ปกตินางสำรวจกิริยาเสมอ แต่เวลานี้เหลืออดแล้วจริงๆ จางลี่รีบช่วยเกล้าผมให้ฟู่เซียงเซียง อย่างไรก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านตนเองจะปล่อยผมเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะ ฟู่เซียงเซียงที่โมโหอยู่ไม่มีจิตใจจะทำเรื่องใดแล้ว หลังจากจางลี่จัดแต่งผมให้แล้วจึงเดินออกมาเพื่อขอตัวกลับก่อน คุณชายผู้นั้นหายตัวไปราวกับไม่เคยมาเยือน มีเพียงเงินค่ารักษาที่มอบไว้ให้แล้ว นางกล่าวลาจูซีห่าวและจูลี่เฉี่ยวแล้วเดินออกมาด้านนอกพร้อมจางลี่ ชายฉกรรจ์หลายสิบคนยืนรออยู่“ท่านหมอฟู่จะไปที่ใดต่อหรือขอรับ”“ข้าจะกลับบ้าน” นางตอบเสียงแข็ง เพียงแค่นั้นก็ชายฉกรรจ์ก็หายวับไปราวกับภูติผี จางลี่ตกใจกระโดดเกาะแขนคุณหนูแน่น“หากเป็นกลางคืน ข้าต้องคิดว่าพวกเขาเป็นภูตผีแน่เลยเจ้าค่ะ”“เจ้ายังไม่เคยพบไต๋อ๋องสินะ” ฟู่เซียงเซียงถามอย่างนึกได้“เคยพบสิเจ้าคะ บุรุษสวมหน้ากา
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า