นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กสาวรักษาคน แต่เป็นครั้งแรกที่นางซื้อคนมารักษา เงินสองตำลึงนั้นก็เพิ่งได้จากการรักษาฮูหยินท่านหนึ่ง เพราะเป็นสตรีจะพูดคุยกับหมอบุรุษก็รู้สึกขัดเขิน นางที่แอบลอบออกจากจวนติดตามหมอจูรักษาผู้คนจึงพอจะตรวจโรคพื้นฐานทั่วไปได้ แต่ถึงกระนั้น นางยังเจียมตัวไม่อาจเรียกตัวเองว่าหมอ
“อดทนหน่อยนะ” นางเอ่ยแล้วใช้ปลายมีดกรีดเปิดปากแผล รับรู้ได้ถึงร่างกายที่เกร็งจนสั่นสะท้าน แผลตรงหัวไหล่เป็นมานานจนแผลอักเสบเป็นหนอง ทันทีที่ปากแผลเปิด หนองสีขาวขุ่นก็ไหลทะลักออกมา กลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งจนแม่นมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก จากนั้นใช้แหนบคีบเอาหัวลูกศรที่ฝังอยู่ออกมา เสียงถอนหายใจโล่ง อกที่อุปสรรคแรกผ่านไป
“ต้องเอาหนองออกให้หมด” นางอธิบายทั้งที่ไม่แน่ใจว่าทาสที่ซื้อตัวมาฟังอยู่หรือไม่ เด็กสาวล้างแผลด้วยน้ำผสมเกลือเจือจาง ซับแผลจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดตกค้างอีกจึงหยิบยาผงโรยที่แผลแล้วใช้ผ้าปิดปากแผล
“คุณหนูเก่งจังเลยเจ้าค่ะ” จางลี่อดชื่นชมไม่ได้
“ยังมีอีกแผลที่ต้องเย็บ”
“ยะ..เย็บ..เย็บแผล?” คราวนี้จางลี่พูดไม่ออก นางเคยเห็นคุณหนูฝึกเย็บแผลบนหนังหมูที่ซื้อมา แต่ไม่เคยเห็นทำบนตัวคนเลยสักครั้ง
ฟู่เซียงเซียงครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่ง อย่างไรก็ต้องเร่งรีบรักษาบาดแผลเหล่านี้ นางเปิดล่วมยาหยิบขวดยาที่เป็นสูตรลับของท่านหมอจูออกมาแต่เตรียมเครื่องมือเย็บแผล
“ทำแผลไม่ยากเท่าไหร่ แต่หลังการทำแผลนี่ต่างหากที่สำคัญ ไม่รู้ว่าเขาจะอดทนได้มากน้อยเพียงใด”
“แล้ว...คนผู้นี้เป็นใครเจ้าค่ะ” จางลี่เอียงคอถามอย่างสงสัย
เด็กสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้แม่นมงุนงงหนักขึ้น
“ข้าเดินผ่านตลาดค้าทาส เห็นแล้วก็คิดว่าเขาเหมาะกับการเป็นหุ่นให้ข้าได้ฝึกฝนรักษาบาดแผลจึงซื้อมา”
“หา!”
ฟู่เซียงเซียงเหนื่อยล้าจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง นางก้มหน้าลงมองคนเจ็บที่ยามนี้สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว มือเรียวเล็กยื่นไปหยิบผ้าออกจากปากของเขา เงินสองตำลึงที่คิดจะซื้อข้าวสารและเนื้อสัตว์ไว้ให้แม่นมปรุงเป็นอาหารหายวับไปกับตา
จะโทษใครได้เล่านอกจากความใจอ่อนของตนเอง.
...........
“ไม่น่าเชื่อเลย”
“ทำไมรึเจ้าคะ”
หมอจูซีห่าวในวัยสามสิบห้าหันมามองเจ้าของเสียงหวานใสที่จ้องมองเขาอย่างเฝ้ารอคำตอบ มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู เขาเคยประกาศว่าไม่รับนางเป็นศิษย์ แต่เด็กสาวต้องการหาเงินเป็นค่าใช้จ่าย นางเคยคัดตำรามาก่อน ลายมือใช้ได้ดีทีเดียวและยังหัวไวสอนอะไรนิดหน่อยก็จำได้อย่างดี เสียดายที่นางเกิดเป็นหญิง ซ้ำยังเป็นสตรีที่เกิดในตระกูลสูงส่งจะให้เป็นหมอหญิงนั้นคงเป็นไปได้ยาก แม้ว่าสภาพความเป็นอยู่ของนางจะดู...เอ่อ...ไม่สมฐานะบุตรสาวภรรยาเอกไปสักหน่อย
“เจ้าเย็บบาดแผลได้ดี หากหายแล้วคงเหลือแผลเป็นไม่น่าเกลียดนัก”
“ต้องแน่นอนอยู่แล้ว ข้านะฝึกฝนมาหลายครั้งแล้ว”
“แต่เจ้าก็เพิ่งเคยเย็บหนังมนุษย์ครั้งแรก”
หมอจูซีห่าวส่ายหน้าไปมาอายุยังน้อยแต่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ครั้งก่อนเขาไม่อยู่โรงหมอ นางแอบไปตรวจอาการคนป่วยเสียเอง แม้คนป่วยเป็นสตรีแต่นางก็ประมาทเกินไป
“ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีที่เจ้าไปตรวจคนป่วยโดยพละการ”
“ข้าไม่ได้อยากไปเสียหน่อยแต่เพราะฮูหยินท่านนั้นต้องการให้ข้าไปตรวจด้วยตนเอง นางเป็นหญิงไม่กล้าพูดบางเรื่องกับท่านหมอหรอกเจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงเบ้ปากใส่ทำแง่งอนราวเด็กน้อย
“อย่าให้มีเรื่องเช่นนี้อีก” หมอจูซีห่าวถอนหายใจอีกครั้ง หากไม่รู้มาก่อนว่าความเป็นอยู่ของนางลำบากเพียงใด เขาคงไม่เชื่อว่าคุณหนูฟู่เซียงเซียงที่คนในเมืองต่างลือว่าร่างกายอ่อนแออยู่แต่ในจวน แท้จริงแล้วเป็นเด็กสาวร่าเริงและเฉลียวฉลาด เพราะเขาเป็นหมอที่เคยพานพบผู้คนมาหลายรูปแบบ จึงรู้ว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูด หรือไม่ก็ทำเป็นไม่เคยรู้เคยเห็นอะไรทั้งนั้น
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงเข้าใจความลำบากใจของท่านหมอจูเป็นอย่างดี วันนี้ท่านหมอจูแค่แวะมาเตือนนางที่รักษาคนโดยพละการ แต่เมื่อนางเห็นหน้าเขาก็รีบจูงมือมาดูอาการของทาสที่ยังนอนหลับใหลหลังจากทำแผลตามเนื้อตัวและบนศีรษะให้เรียบร้อยแล้ว
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
“อาจารย์หมายถึงเรื่องใดเจ้าคะ”
แม้ท่านหมอจูไม่รับนางเป็นศิษย์ แต่นางยังดื้อดึงเรียกเขาว่าอาจารย์อยู่ดี
“ทาสที่เจ้าซื้อมานี่อย่างไรเล่า จะเอาอย่างไรต่อไป ฐานะอย่างเจ้าจะเลี้ยงคนเพิ่มไหวหรือ?”
“อาจารย์อยากได้คนของข้ารึเจ้าคะ” นางถามกลับ ทำตา กลมโตเป็นประกายเจ้าเล่ห์ แต่คนถูกเรียกขานว่าเป็นอาจารย์กลับรู้ทัน ยกมือไปเขกศีรษะนางเบาๆ ทั้งเอ็นดูทั้งเหนื่อยใจ
“ข้าจะเอาไปทำอะไร” หมอจูซีห่าวส่ายหน้าไปมา “อย่าได้คิดว่าจะเอาคนมาแลกกับการรับเจ้าเป็นศิษย์”
“แต่ท่านก็ไม่ปฏิเสธที่ข้าเรียกท่านว่าอาจารย์”
“ก็เจ้ามันดื้อด้านยิ่งกว่าวัว” เขาส่ายหน้าระอาใจ วันนี้ตั้งใจมาเตือนนางเรื่องที่นางออกตรวจคนป่วยโดยไม่มีเขา แต่มาพบว่านางรักษาคนบาดเจ็บสาหัสที่ยื่นขาข้ามเข้าไปแดนปรโลกให้ปลอดภัยก็อดตื่นเต้นไม่ได้ แต่ต้องเก็บอาการไว้ไม่ให้เจ้าเด็กคนนี้ได้ใจไป
“ไม่ใช่ดื้อด้านแต่เรียกว่ามีความมุ่งมั่นต่างหากล่ะ” นางยืดอกพูดทำราวกับตนเองเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่อายุเพียงแค่สิบสี่เท่านั้น
“ช่างเถิด ข้าคร้านจะต่อปากต่อคำกับเจ้าแล้ว” หมอจูซีห่าวยกน้ำชาขึ้นดื่มจนหมดถ้วยแล้วลุกขึ้นยืน “ข้าจะกลับแล้ว เจ้าก็...ถ้าว่างก็ไปหาข้าที่โรงหมอ จะสอนเรื่องการฝังเข็ม”
“เจ้าค่ะ” ใบหน้าหวานระบายยิ้มกว้างอย่างดีใจ นางฝึกฝัง
เข็มกับหุ่นมาบ้างแล้ว แม้อาศัยอ่านจากตำราและลองฝังกับหุ่นแต่ยังท่านหมอยังไม่เคยสอนนางจริงจังเสียที แต่ยอมให้นางแอบเรียนรู้อยู่ใกล้ๆ เท่านั้น
“บ่าวไปส่งท่านหมอนะเจ้าคะ”
จางลี่เดินลากขากระโผลกกระเผลกเข้ามา เด็กสาวยิ้มน้อยๆ แล้วช่วยหมอจูซีห่าวถือล่วมยาเดินออกไป แม่นมหวงเข้ามาเปลี่ยนน้ำชาแล้วอดมองไปยังบุรุษที่นอนนิ่งบนตั่งผู้นั้นไม่ได้ หลับไปสามวันแล้วยังไม่เห็นท่าทีว่าจะตื่นเมื่อใด แต่สีหน้าดีกว่าที่เห็นในวันแรก บาดแผลต่างๆ คุณหนูก็ลงมือรักษาด้วยตนเอง
“มีอะไรรึแม่นม” ฟู่เซียงเซียงเอ่ยถามเมื่อเห็นสายตาของแม่นมมองที่ทาสหนุ่มผู้นั้น
“คุณหนูจะทำอย่างไรต่อเจ้าคะ”
“ทำอะไร” นางเอียงคอถามอย่างสงสัย
“ในเรือนของเรามีแต่ผู้หญิง ให้มาอยู่แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ”
“มีผู้ชายเพิ่มขึ้นไม่ดีหรือ?จะได้ใช้แรงงานได้อย่างไรเล่า จางลี่กับแม่นมก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
“แต่ดูเป็นคนอันตรายนะเจ้าคะ ไม่รู้ที่มาที่ไป...” ไม่รู้เคยฆ่าคนตายมาหรือไม่... แม่นมหวงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป เกรงคุณหนูเป็นกังวล แต่เด็กสาวกลับหัวเราะเสียงหวานใสดุจระฆังเงินทำให้คนที่หลับอยู่รู้สึกตัวแต่เปลือกตายังปิดสนิท
“เรื่องนี้ข้าคิดไว้แล้ว แม่นมไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” นางปรายตามองคนที่ยังนอนอยู่แล้วเดินไปจูงมือแม่นมเดินไปที่ลานกว้างเพื่อดูสมุนไพรที่ตากไว้ “เกสรดอกบัว ดีบัว พวกนี้ทำชาบำรุงหัวใจได้”
“คุณหนูอย่าเปลี่ยนเรื่องสิเจ้าคะ”
“แม่นมนี่ขี้บ่นกว่าท่านแม่เสียอีก”
ฟู่เซียงเซียงหัวเราะร่า ไร้มารดาปกป้องนางจึงกลายเป็นคุณหนูท้ายจวนที่ไร้คนแลเหลียว แรกทีเดียวนางเคยร้องไห้โทษโชคชะตาที่พรากความสุขของนางไป บิดายกภรรยารองเป็นภรรยาเอก ละเลยไม่สนใจนางราวกับไม่เคยมีตัวตน ทว่าวันเวลาผ่านไป นางกลับสงบใจลงได้ ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอ่านตำราที่มารดาสะสมไว้ ยังดีที่มารดาชอบเรียนเขียนอ่าน แม้นางยังไม่ทันได้ร่ำเรียนกับอาจารย์ท่านใด แต่มารดาฝึกนางคัดอักษรและสอนอ่านตำรามาตั้งแต่เด็ก จึงใช้ความรู้ที่พอมีหารายได้ให้ตนเอง นางให้แม่นมช่วยตัดเย็บเสื้อผ้าผู้ชายให้นางสวมใส่ยามออกไปนอกเรือนเพื่อรับจ้างคัดตำรา เขียนจดหมาย และเมื่อได้รู้จักหมอจูซีห่าว นางก็ได้เรียนรู้การรักษาผู้คน
ไม่ว่าจะพยายามทำอย่างไร บิดาก็ไม่เคยหันมาสนใจไยดี นางปลงใจได้แล้ว นับจากนี้ไป นางจะมีชีวิตแบบที่ตัวเองปรารถนาและมีความสุขในทุกๆ วัน
เพื่อให้ท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์มองนางด้วยรอยยิ้มภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้.
สายลมพัดผ่านพาแสงเทียนวูบไหว ฟู่เซียงเซียงเงยหน้าขึ้นจากการคัดลอกตำราแล้วกวาดตามองไปรอบๆ เสียงแมลงกลางคืนเงียบไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางนั่งทำงานเพลินจนลืมเวลาอีกแล้ว ในเรือนหลังนี้มีเพียงนาง แม่นมหวงเจียอีและจางลี่ ส่วนบุรุษอีกคนที่ยังหลับใหลนั้น นางไม่อยากนับรวมไปด้วย ร่างบอบบางลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้าแล้วหันมาเก็บสมุดบนโต๊ะให้เรียบร้อย เพราะทำงานเพลินจนดึกดื่นนางจึงไม่ให้แม่นมหวงกับจางลี่อยู่รอปรนนิบัติ สำหรับนางแล้ว ทั้งสองเป็นเสมือนญาติที่เหลืออยู่ ความตายของมารดาพรากความสุขที่เคยมีไปหมดสิ้น ในวัยเพียงสิบขวบ นางเพียรทำทุกวิถีทางให้บิดาหันกลับมาใส่ใจนางเช่นเวลาที่มารดายังอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่า หลังมารดาตายจากครึ่งปี บิดาก็ยกภรรยารองมาเป็นภรรยาเอก รวดเร็วเสียจนนางไม่คาดคิด ในคราวที่มารดายังอยู่ คนเหล่านั้นล้วนเอาใจใส่นาง ให้ความเคารพยำเกรง แต่เมื่อสิ้นมารดา นางกลายเป็นเพียงก้อนหินไร้ค่าที่บิดาเมตตาเก็บไว้ท้ายจวน เสื้อผ้าอาภรณ์ อาหารการกิน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกส่งมาอย่างจำกัด รวมทั้งบ่าวรับใช้ข้างกายก็ไม่มี ยังดีที่บิดาส่งแม่นมหวงมาอยู่เ
เสียงการเคลื่อนไหวในครัวทำให้รู้ว่าคนในเรือนตื่นนอนกันแล้ว หากไม่ใช่เพราะบาดเจ็บหนักเขาคงลุกขึ้นมาฝึกเพลงยุทธ์เช่นที่เคยทำมา ทว่าการตื่นมาท่ามกลางเสียงพูดคุยหยอกล้อและกลิ่นอาหารหอมกรุ่น เป็นความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความเป็นและความตายมานานนับสิบปีเช่นเขา “โจ๊กปลา” ฟู่เซียงเซียงเอ่ยกับแม่นมหวงที่รับหน้าที่ดูแลอาหารการกินในเรือน แต่เดิมนั้นต้องรอโรงครัวส่งอาหารมาให้ แต่ละมื้อที่ได้มานอกจากอาหารเย็นชืดบางครั้งยังเน่าบูดอีกด้วย หลังจากนางเก็บเงินได้เล็กน้อยก็ให้ช่างมาซ่อมแซมห้องครัวเล็ก แม่นมหวงลงมือทำอาหารด้วยตนเอง ทั้งสามชีวิตจึงได้กินอาหารอร่อยและอุ่นท้อง “คนเพิ่งฟื้นร่างกายกินโจ๊กปลาดีที่สุด โรยขิงเยอะๆ ด้วยจะยิ่งช่วยบำรุงร่างกาย” เพราะแม่นมหวงไม่ยอมให้ฟู่เซียงเซียงทำอาหารด้วยตนเอง นางจึงได้แต่ยืนใกล้ๆ คอยบอกว่าต้องการสิ่งใด “ทาสผู้นั้นฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”จางลี่ถามพลางมองเลยไปยังด้านใน เขาหลับไปตั้งหลายวัน คุณหนูต้องคอยดูแลด้วยตนเอง ถ้าตื่นฟื้นแล้วก็ดี คุณหนูของนางจะได้ไม่ต้องลำบาก พูดถึงชายหนุ่มแล้ว ฟู่เซียงเซีย
แม่นมหวงและจางลี่ลอบมองไปยังทาสหนุ่ม ทว่าเขายังมีสีหน้าเรียบนิ่งราวกับฟังถ้อยคำเหล่านั้นไม่เข้าใจ “ว่าแต่คุณหนูรองสกุลฟู่มาเรือนท้ายจวนด้วยธุระอันใดรึ?” “ข้าก็ไม่ได้อยากย่างเท้ามาที่สกปรกเช่นนี้” นางปรายตามองไปยังเล้าไก่ที่ส่งเสียงน่ารำคาญ “ท่านแม่ให้นำเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้ ท่านพ่อกำชับให้คุณหนูใหญ่ไปต้อนรับแขกของท่านพ่อ” “แขกของท่านพ่อนี่ใครกัน” “ท่านพ่อสั่งให้ข้าพูดมาแค่นี้” “แล้วเจ้าไม่รู้หรือไรว่าใคร” ฟู่ซินอี๋เม้มปากเน้นแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น นางหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เสื้อผ้าเครื่องประดับให้ฟู่เซียงเซียง จางลี่รีบเข้ามารับแทนคุณหนูที่ยังนั่งกินมื้อเช้าไม่สนใจเรื่องที่ได้ยินนัก “ข้าเสร็จธุระแล้ว ไปล่ะ” ฟู่ซินอี้ปรายตามองทางชายหนุ่มอีกครั้งแล้วรีบหมุนตัวเดินเร็วๆ ราวกับหนีอะไรสักอย่าง “ชุดนี้สวยจังเลย” จางลี่ทำตาโต นานทีปีหนจะเห็นทางเรือนใหญ่ส่งเสื้อผ้าอาภรณ์ดีๆมาให้สักชุดสองชุด ฟู่เซียงเซียงปรายตามองเล็กน้อย เห็นทีว่า ‘แขก’ของท่านพ่อจะเป็นคนสำคัญจริงๆ ถึง
‘ข้าควรดีใจหรือไม่ที่มีค่าตัวถึงสองตำลึง’ แต่ปลายนิ้วที่ป้ายเนื้อยามาทาแผลให้เขานั้น ทำให้ชายหนุ่มยอมทำตัวโง่งมเพื่อให้นางทำทายาด้วยรอยยิ้มภูมิใจในความเก่งกาจของตน นางอายุเท่าไหร่กันนะ ปีหน้าจะปักปิ่นใช่ไหม เช่นนั้นนางก็อายุสิบสี่สินะ นางเป็นบุตรสาวเสนาบดีฟู่ แต่เหตุใดความเป็นอยู่แร้นแค้นเช่นนี้กัน เขาที่ไม่เคยสนใจเรื่องผู้อื่นกลับรู้สึกสนใจในตัวเด็กสาวผู้นี้นัก “คุณหนู!” จางลี่ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นฟู่เซียงเซียงก้มๆ เงยๆ ทายาให้อี้เฉิน นางรีบวางห่อผ้าที่ใส่กระดาษและหมึกวางบนโต๊ะแล้วแย่งตลับยามาถือเสียเอง “เจ้ากลับมาแล้ว วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ฟู่เซียงเซียงยิ้มขบขันเพราะรู้ว่าจางลี่เป็นห่วงเรื่องใด “คุณหนูไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวบุรุษนะเจ้าคะ” จางลี่กระทืบเท้าเร่า ๆ ทำไมคุณหนูของนางช่างทำเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้นะ “แต่เขาเป็นคนเจ็บของข้านะ” หากนางใส่ใจเรื่องเหล่านี้คงไม่เลือกศึกษาวิชาแพทย์หรอก “เจ้าดูสิ บาดแผลของเขาดีขึ้นมากแล้ว อย่างนี้ท่านหมอจูจะต้องรับข้าเป็นศิษย์อย่างแน่นอน” “คุณหนูจะเป็นหมอจริงๆหร
“คนผู้นี้พูดไม่ได้” ท่านหมอจูเอ่ยกับลูกศิษย์ และอธิบายกับทาสหนุ่ม “นางมักซุ่มซ่ามอยู่เสมอ หากคราวหน้านางหกล้ม เจ้าก็ประคองไหล่นางไว้ ไม่ใช่กอดเอวนางเช่นนั้น” ทาสหนุ่มนิ่งงันไป เขาคิดแค่ต้องการช่วยไม่ให้นางหน้าคว่ำกระแทกพื้น หมอจูซีห่าวเข้าใจว่าทาสผู้นี้คงไม่มีความรู้จึงตั้งใจอบรมสั่งสอน แม้ฟู่เซียงเซียงแต่กายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะทำสิ่งใดก็ต้องระวังให้มาก แต่นางไม่เหมือนสตรีทั่วไป ไม่เช่นนั้นคงไม่สนใจเรียนการรักษาคนเช่นนี้ ฟู่เซียงเซียงชงน้ำชาแล้วยกเข้ามาในห้องโถง โดยมีศิษย์ที่หมอจูซีห่าวรับไว้อีกสามคนอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือจูลี่เฉียว หลานชายของเขาเอง เด็กสาวคุกเข่ายกน้ำชา ดวงตางามเป็นประกายงดงามเฝ้ามองมือหยาบกร้านยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมด แล้วจึงหยิบชุดเข็มเงินส่งให้ฟู่เซียงเซียง “จงเรียนรู้และรักษาผู้คนด้วยความซื่อสัตย์จากใจ” “ศิษย์ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หมอจูซีห่าวพยักหน้าพอใจ เห็นที่ว่าต้องเหนื่อยกับสอนเจ้าวัวดื้อตัวนี้สักหน่อย แต่เขาเชื่อว่านางจะเป็นหมอหญิงที่ดีได้ “เจ้าคงศึกษา
‘เข้าใจอะไรกัน พูดเองเออเองเอาทั้งนั้น’ร่างเล็กหมุนตัวกลับ ก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็ถูกเสียงหนึ่งเรียกไว้ ฟู่เซียงเซียงหันไปมองเจ้าของมือขาวผ่องกวักมือเรียกจากตรอกด้านข้าง นางจำหญิงสาวผู้นั้นได้เป็นอย่างดีจึงเดินตรงไปหาพร้อมรอยยิ้ม“พี่เหมยลี่” เด็กสาวที่อยู่ในชุดเด็กหนุ่มเอ่ยทัก “ท่านมาซื้อของที่ตลาดหรือ?”“ข้ามาดักพบเจ้าต่างหากล่ะ” หญิงสาวทำตาดุใส่ ทว่าเมื่อเห็นว่าด้านหลังฟู่เซียงเซียงมีบุรุษสวมชุดดำท่าทางน่ากลัวยืนอยู่ นางก็พูดไม่ออก ฟู่เซียงเซียงเข้าใจในทันที นางกุมมือเหมยลี่แล้วพูดปนหัวเราะ “เขามากับข้า ว่าแต่พี่เหมยลี่มีเรื่องอันใดรึ” เหมยลี่ลอบมองชายในชุดดำอีกครั้งแล้วยกพัดขึ้นป้องปากกระซิบ “พี่น้องไม่ค่อยสบาย เจ้าช่วยไปดูอาการสักหน่อยเถิด” “ท่านหมอจูห้ามไม่ให้ข้าออกตรวจคนไข้เพียงลำพัง” ฟู่เซียง เซียงรีบพูดขึ้น แต่อีกฝ่ายดูไม่สนใจนัก “เจ้าก็รู้ว่าถ้าพวกเราไปหาท่านหมอที่โรงหมอหรือเชิญท่านหมอไปตรวจ หากมีคนรู้เข้าจะคิดว่าเจ็บป่วยหนักนะสิ” “แล้วที่มาเรียกข้าก็ไม่ใช่เพราะเจ็บป่วยหรอกหรือ?” นางเอียงคอถามอย่างสงสัย เหมยลี่กระทืบเท้า
เหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำคุกเข่าลงเบื้องหน้าบุรุษหนุ่มที่ยืนสงบนิ่งภายใต้จันทร์เสี้ยว แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่ไม่อาจกลบรัศมีความน่าเกรงขามได้เลย เพียงการยกมือส่งสัญญา ชายในชุดดำเหล่านั้นพลันหายไปราวกับภูติผี เหลือเพียงบุรุษหนุ่มตามลำพัง ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นดู มุมปากกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว มือสองข้างนี้เปื้อนเลือดสังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนไร้ความลังเล แต่เวลานี้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ เขาเดินฝ่าความมืดของรัตติกาลเข้าไปในเรือนหลังน้อยที่แสนทรุดโทรม ฝีเท้าแผ่วเบาก้าวเท้าเข้าไปจนถึงเตียงนอนของเด็กสาววัยสิบสี่ ปลายนิ้วปัดม่านมุ้งออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามหลับใหล ร่างสูงใหญ่นั่งลงริมเตียง แม้มีเพียงแสงสลัวจากด้านนอกแต่เขากลับเห็นความงามเบื้องหน้าได้แจ่มชัด ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นเล็กน้อย เส้นผมดุจย้อมหมึกคลี่สยาย ผ้าห่มผืนเก่าแต่ถูกซ่อมแซมอย่างดีห่มครึ่งร่างของนาง ไม่ใช่คืนแรกที่เขาแอบเข้ามามองนางเช่นนี้ แต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้มองนางในฐานะ ‘อี้เฉิน’ ตั้งใจเพียงเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม ทว่านิ้วมือกลับปัดผ่านริมฝีปากอย่างหลงใหล สายตามองเร
พูดจบร่างเล็กในชุดสีแดงสดก็หมุนตัวเดินเร็วๆ จากไปพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมาด้วย ฟู่เซียงเซียงโคลงศีรษะไปมา สองมือปลดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปล้างมือ“คุณหนู” แม่นมหวงอดเป็นกังวลไม่ได้ นายท่านเรียกพบแต่ละครั้งมีแต่เรื่องให้คุณหนูของนางต้องลำบากใจ“จางลี่ช่วยงานแม่นมที่นี่ไม่ต้องตามข้าไปหรอก” นางแย้มยิ้ม “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มาแล้ว”ฟู่เซียงเซียงก้าวเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง บ่าวไพร่ไม่เคยให้ความเคารพ แต่นั้นยิ่งทำให้นางต้องเชิดใบหน้าขึ้น ไม่เอาแต่เดินก้มหน้าเหมือนหนูกลัวแมว เด็กสาวในเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ของเรือน บิดานั่งดื่มชาโดยมีจือรั่ว-มารดาของฟู่ซินอี๋ปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ในห้องไม่มีเงาร่างของลูกสาวคนโปรด แต่นางรู้ว่าคงแอบฟังอยู่ไม่ไกลนัก“คารวะท่านพ่อ”“นี่เจ้าแต่งตัวอะไรกัน” บิดาส่ายหน้าระอาใจ “ข้าให้เจ้าอยู่ในเรือนสบายๆ ก็มิใช่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ได้”“อยู่ในจวนสบายๆ” ฟู่เซียงเซียงถึงกับทวนประโยคที่ได้ยิน นางอ้าปากจะโต้เถียงแต่บิดาโบกมือห้ามไว้ก่อน“ข้าอยากให้เจ้าไปพบ...”“ข้าไม่พบใครทั้งนั้น!” นางชิงพูดขึ้นก่อน“ไร้มารยาท” เด็กสาวสูดลมหายใจลึก มือกำแน่นข่มโทสะที่มีแล
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ
“ข้าจะคิดเสียว่านี่เป็นคำตอบของท่าน” เขาโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้น “อีกเพียงสามวัน สามวันเท่านั้น ระหว่างนี้ท่านช่วยทำตัวเป็นว่าที่บิดาที่ดี ส่งบุตรสาวออกเรือนด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนี้ข้าจะให้องครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของเซียงเซียง หวังว่าท่านจะไม่ทำอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้” ฉินตงหยางช้อนร่างบอบบางเดินออกมาทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พร่างพรูเปื้อนแก้มที่มีรอยช้ำ เขาอุ้มคนตัวเล็กพาเดินผ่านสายตาของบ่าวไพร่ รวมทั้งฟู่ซินอี๋ที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับมาบ้านบิดาทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพบบิดาก็เจอทหารกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก่อน นั้นนะหรือไต๋อ๋องผู้โหดเหี้ยม...ฟู่ซินอี๋มองตาลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ครั้งก่อนได้เห็นไกลๆ ก็พอรู้ว่าองอาจสง่างามแต่เมื่อเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่าหล่อเหลาบาดใจเช่นนี้ กว่านางจะได้สติก็ไม่เห็นแผ่นหลังของไต๋อ๋องแล้ว นางรีบเดินเร็วๆ จนกลายจะเป็นวิ่งไปหาบิดาที่มารดาพยุงให้นั่งที่เก้าอี้ “ท่านพ่อ! นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ! เซียงเซียงได้เป็นพระชายาจริงๆ รึ” ฟู่เจี้ยนกั๋วที่ยังขวัญเสียอยู่ได้แต
แม่นมหวงและจางลี่เดินตามหลังฟู่เซียงเซียงเข้ามาพบนายท่านที่ห้องโถง ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้วงุนงง ในขณะที่แม่นมหวงและจางลี่อ้าปากค้างกับข้าวของตรงหน้า “ท่านพ่อ นี่เรื่องอะไรเจ้าคะ” ฟู่เซียงเซียงถามบิดาที่นั่งดื่มชากับมารดาเลี้ยงที่ฉีกยิ้มให้นาง ฟู่เจี้ยนกั๋วลอบถอนใจก่อนเอ่ย “คนของไต๋อ๋องส่งมาวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวให้เจ้า” “ชุดเจ้าสาว?” นางหันไปมองหญิงสาวสามคนที่ยืนรออย่างนอบน้อม “ของใครเจ้าคะ” “ของเจ้านั้นแหละ” ฟู่เจี้ยนกั๋วสีหน้าไม่อยากเอ่ยถึงเท่าใดนัก “ของข้า?” นางยังคงงุนงงอยู่ “ข้าแต่งกับใครเจ้าคะ” “ก็ไต๋อ๋องนะสิ” คราวนี้มารดาเลี้ยงอดไม่ไหวพูดแทนจนได้ “แต่งงานกับไต๋อ๋อง” นางยังคงงุนงงอยู่ “ต้องเรียกว่าอภิเษก” ฟู่เจี้ยนกั๋วพูดแก้ให้ “เจ้าไปวัดตัวเสียก่อนค่อยมาคุยกัน อีกสามวันจะเข้าพิธีแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการ” แม่นมหวงเห็นฟู่เซียงเซียงยังยืนนิ่งอยู่จึงเป็นฝ่ายจูงมือไปเพื่อวัดตัวสำหรับตัดชุดเจ้าสาว จางลี่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร แพรพรรณงดงามรวมทั้งเครื่องประดับมากมาย ยังมีข้าวของม
ฟู่เซียงเซียงชิมขนมและน้ำชาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจเสียงซุบซินนินทา นางไม่ได้อยากมาแต่ชีอันฟานมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้พร้อมสรรพ วันเดินทางยังจัดเตรียมรถม้าและองครักษ์มารอรับราวกับว่า ถ้านางหาทางบิดพลิ้วไม่มาคนเหล่านี้ต้องได้รับโทษเป็นแน่ นางทนเห็นผู้อื่นเดือดร้อนเพราะไม่ได้ จึงจำใจมาร่วมงานนี้ด้วย “ไม่คิดว่าจะได้พบพี่สาวที่นี่” ฟู่ซินอี๋เข้ามาทักทายพร้อมจับมือด้วยท่าทางดีใจ “ไม่เจอกันสองปี พี่สาวสบายดีหรือไม่ ข้าออกเรือนแล้วไม่สะดวกไปเยี่ยมเยือนพี่สาวเลย”ฟู่เซียงเซียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนเล่นบทพี่สาว-น้องสาวรักใคร่กลมเกลียว“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ”หางตาฟู่ซินอี๋กระตุ้น นี่กำลังบอกว่าสบายดีมากอย่างนั้นหรือ? อาภรณ์ที่งดงามกว่านางยิ่งนัก ไม่มีทางที่มารดาของนางตระเตรียมของดีเช่นนี้ให้เป็นแน่ “ได้ยินว่าพี่สาวได้รับความลำบากมา ข้าเป็นน้องไม่สามารถช่วยได้ ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก”“เจ้าแต่งงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาทุกข์ใจเรื่องในสกุลฟู่อีก” ฟู่เซียงเซียงจิบน้ำชาแล้วแอบชื่นชมในใจ ไม่ได้จิบน้ำชาเลิศรสนานแล้วกระมัง ได้ดื่มแต่ใบชาราคาถูกมานาน แต่จะว่า