แม่นมหวงและจางลี่ลอบมองไปยังทาสหนุ่ม ทว่าเขายังมีสีหน้าเรียบนิ่งราวกับฟังถ้อยคำเหล่านั้นไม่เข้าใจ
“ว่าแต่คุณหนูรองสกุลฟู่มาเรือนท้ายจวนด้วยธุระอันใดรึ?”
“ข้าก็ไม่ได้อยากย่างเท้ามาที่สกปรกเช่นนี้” นางปรายตามอง
ไปยังเล้าไก่ที่ส่งเสียงน่ารำคาญ “ท่านแม่ให้นำเสื้อผ้าเครื่องประดับมาให้ ท่านพ่อกำชับให้คุณหนูใหญ่ไปต้อนรับแขกของท่านพ่อ”
“แขกของท่านพ่อนี่ใครกัน”
“ท่านพ่อสั่งให้ข้าพูดมาแค่นี้”
“แล้วเจ้าไม่รู้หรือไรว่าใคร”
ฟู่ซินอี๋เม้มปากเน้นแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น นางหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เสื้อผ้าเครื่องประดับให้ฟู่เซียงเซียง จางลี่รีบเข้ามารับแทนคุณหนูที่ยังนั่งกินมื้อเช้าไม่สนใจเรื่องที่ได้ยินนัก
“ข้าเสร็จธุระแล้ว ไปล่ะ” ฟู่ซินอี้ปรายตามองทางชายหนุ่มอีกครั้งแล้วรีบหมุนตัวเดินเร็วๆ ราวกับหนีอะไรสักอย่าง
“ชุดนี้สวยจังเลย” จางลี่ทำตาโต นานทีปีหนจะเห็นทางเรือนใหญ่ส่งเสื้อผ้าอาภรณ์ดีๆมาให้สักชุดสองชุด
ฟู่เซียงเซียงปรายตามองเล็กน้อย เห็นทีว่า ‘แขก’ของท่านพ่อจะเป็นคนสำคัญจริงๆ ถึงยอมให้ลูกรักอย่างฟู่ซินอี้มาหานางด้วยตนเอง นางส่ายหน้าไปมาแล้วทำราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
“อี้เฉิน!” นางร้องอย่างเพิ่งนึกได้แล้วหันมามองทางชายหนุ่มที่กินโจ๊กปลาเกลี้ยงชามแล้ว “ข้าเรียกเจ้าว่าอี้เฉินก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยก่อนผงกศีรษะรับ
‘อี้เฉิน’ ก็ฟังดูไม่เลวนัก ดีกว่าชื่อ ‘สุนัข’ ก็แล้วกัน
อี้เฉินแปลว่า : สูงใหญ่
หวงเจียอีได้ยินเสียงผ่าฟืนจากด้านนอกก็รีบวางมือจากงานปักผ้าแล้วเดินไปยังต้นเสียงที่ได้ยิน ทาสหนุ่มกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ลานบ้าน
“หยุดมือประเดี๋ยวนี้นะ! คุณหนูย้ำนักหนาไม่ให้เจ้าเคลื่อนไหวร่างกายมากไป เจ้าต้องพักผ่อนให้มากๆ”
ชายหนุ่มหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาอ้าปากแต่ยังไม่ทันได้พูด แม่นมหวงก็โบกมือไปมาเหมือนห้ามไว้ก่อน
“ข้ารู้ว่าเจ้าพูดไม่ได้” แม่นมหวงชิงพูดขึ้นก่อนเพราะไม่อยากทำมือภาษามืออะไรให้วุ่นวาย “หากบาดแผลของเจ้าปริขึ้นมาจะทำให้คุณหนูลำบากอีก อย่างไรก็พักอีกสองสามวันตามที่คุณหนูบอกเถอะนะอี้เฉิน”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘อี้เฉิน’ ชะงักไปเล็กน้อย เขาก็ไม่ใช่คนดีนักแต่จะให้ผู้หญิงที่ยังเป็นแค่เด็กสาวมาคอยดูแลก็รู้สึกแปลกพิกล และเขาเองก็นอนมาหลายวันแล้ว หากไม่ขยับตัวเสียบ้างก็เกรงว่าจะขยับไม่ได้อีกเลย
“แต่มีแรงงานผู้ชายในบ้านนี้ก็ดีจริงๆนะ” แม่นมหวงอดพูดออกมาไม่ได้ นางปรายตามองอีกฝ่ายแล้วนึกเสียดายอยู่ไม่น้อยที่คุณหนูจะไม่รับเขาไว้ในเรือน
จู่ๆ ถูกมองด้วยหางตาก็ทำให้ ‘อี้เฉิน’ รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน มีแต่คนอยากตายเท่านั้นที่มองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ ทว่าการเคลื่อนไหวที่เข้ามาใกล้ทำให้ชายหนุ่มย้ายสายตามองไปทางเข้าเรือน เด็กสาวในชุดกระโปรงสีเหลืองนวลงดงามราวดอกไม้ที่ผลิบานในยามเช้า ใบหน้าหวานระบายยิ้มแล้วเดินเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งมาทางเขา หัวใจพลันเต้นแรงแปลกพิกล เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ร่างเล็กมาหยุดตรงหน้า สองมือของนางประคองผ้าเช็ดหน้าห่อขนมสองสามชิ้น
“มีเรี่ยวแรงขึ้นแล้วหรือ” นางยิ้มอย่างดีใจจนดวงตาเป็นประกายพราวระยับ “แสดงว่าฝีมือการรักษาของข้ายอดเยี่ยมไปเลยสินะ”
‘ฝีมือการรักษาอะไรกัน ข้าเดินลมปราณรักษาตัวเองต่างหาก’
เขาไม่ได้พูดในสิ่งที่คิด และไม่อาจถอนสายตาจากเด็กสาวตรงหน้าได้เลย เขาเห็นนางสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเรียบง่าย แต่เวลานี้นางไม่ต่างจากคุณหนูสูงศักดิ์สมฐานะ
“แม่นมมาหยิบขนมดอกกุ้ยนี่ไปสิ ข้าแอบหยิบได้มาแค่สามชิ้นเอง แม่นมหยิบเผื่อจางลี่ด้วย”
“เจ้าค่ะ”
แม่นมหวงยื่นมือมาหยิบขนมไปสองชิ้นเหลือในมือคุณหนูหนึ่งชิ้น เด็กสาวเห็นทาสหนุ่มยืนยิ่งงันอยู่จึงหยิบขนมชิ้นสุดท้ายแล้วส่งเข้าปากเขาด้วยตนเองอย่างไม่ถือสา อย่างไรเขาก็แค่คนบาดเจ็บและเป็นใบ้ ดูซื่อจนน่าสงสาร
ไม่รู้เหตุใด เขาจึงอ้าปากรับขนมดอกกุ้ย นางไม่ได้เอ่ยปากสั่งด้วยซ้ำ แต่เขากลับเต็มใจรับขนมที่นางป้อนอย่างไม่ลังเลว่าขนมชิ้นนี้จะมีพิษหรือไม่ หรือเพราะเขารู้ว่าคนใจอ่อนอย่างนางวางพิษใครไม่ได้ได้กระมัง
“ทำไมกลับมาเร็วนักเจ้าคะ” แม่นมหวงถามอย่างแปลกใจ อุตส่าห์แต่งกายงดงามแต่หายไปแค่ชั่วยามก็กลับมาแล้ว “แขกของนายท่านคือใครหรือเจ้าคะ”
“ใต้เท้าเว่ย”
“ใต้เท้าเว่ย...ใต้เท้าเว่ยที่อายุหกสิบผู้นั้นหรือเจ้าคะ”
“ใช่”
“แล้ว...เขามาทำอะไรหรือเจ้าคะ” แม่นมหวงภาวนาให้ไม่เป็นอย่างที่คิด
“ดูตัวข้าไง” นางพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
“ดูตัว? ดูตัวอะไรกัน ใต้เท้าเว่ยอายุหกสิบแล้วแต่คุณหนู...”
“ปีหน้าข้าก็ปักปิ่นแล้วนะ แต่เขาไม่สนใจเด็กสาวอมโรคมือไม้อ่อนแรงแค่ถือถ้วยชาก็ยังหกเลอะเถอะอย่างข้าหรอก”
ฟู่เซียงเซียงหัวเราะเสียงใสแล้วก้มมองกระโปรงของตนที่เลอะคราบชาอยู่
“ลำบากแม่นมแล้ว”
“ไม่รู้นายท่านคิดอะไรถึงได้ให้คุณหนูไปพบคนอย่างใต้เท้าเว่ยเช่นนั้น” แม่นมหวงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ก็คงหวังดีให้ข้าแต่งงานเข้าสกุลสูงศักดิ์กระมัง” นางยิ้มไม่ได้คิดน้อยใจอันใด ไม่สิ นางเลิกคิดเรื่องพวกนี้ไปแล้ว เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มารดาเลี้ยงพยายามให้นางแต่งงานกับคนที่แก่กว่าบิดาของตนด้วยซ้ำไป
“ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะมาช่วยเก็บสมุนไพร” นางพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าเรือน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม่นมหวงได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง นางเผลอมองทางอี้เฉินเล็กน้อย เห็นเขายังยืนโง่งมก็ถอนหายใจอีกครั้ง น่าเสียดายที่รูปร่างสูงใหญ่แต่ท่าทางทึ่มทื่อ นางโคลงศีรษะไปมาแล้วเดินตามหลังคุณหนูมาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า เพียงครึ่งเค่อแม่นมหวงก็หอบชุดสวยที่เปื้อนคราบน้ำชาออกไปซัก ฟู่เซียงเซียงกลับมาสวมชุดผ้าฝ้ายเรียบง่ายอีกครั้ง ผมยาวถูกรวบแล้วคลุมด้วยผ้าสีฟ้าอ่อน นางโผล่หน้าออกมาแล้วกวักมือเรียกทาสหนุ่ม
“อี้เฉินมาทางนี้”
ชายหนุ่มถูกเรียกว่า ‘อี้เฉิน’ หลายครั้งจนเริ่มชิน เขาวางมือจากท่อนฟืนแล้วเดินไปหาเด็กสาว นางมีกลิ่นอายของสมุนไพรหอมจางทำให้ใจสงบ
“ข้าให้เจ้าพักก็พักสิ” นางทำปากยื่นแลดูน่ารักน่าเอ็นดู “มานั่งนี่ ข้าขอดูแผลหน่อย”
ทาสหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ปล่อยให้เด็กสาวหยิบกรรไกรตัดผ้าพันแผลที่พันร่างเขาออกอย่างเบามือ นางไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก เขาก็นั่งนิ่งปล่อยให้นางทำตามใจ ได้ยินเสียงบ่นพึมพำอยู่บ้างก่อนจะใส่ยาและพันแผลให้เขาใหม่
“เจ้าฟื้นฟูร่างกายได้เร็วดีจริง นี่เป็นผลการรักษาของข้าและยาลับสูตรเฉพาะของท่านหมอจู” นางคลี่ยิ้มกว้างแล้วหยิบของสิ่งหนึ่งยื่นให้เขา
เขาไม่ได้ตอบรับแต่มองมือเรียวงามวางลูกศรบนโต๊ะ แววตาของเขาเยียบเย็นลงทันที
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยากเห็นหรือไม่ แต่ถ้าไม่ต้องการ ข้าจะเก็บไว้เป็นของที่ระลึกว่านี่เป็นการเย็บแผลครั้งแรกของข้า”
‘ของที่ระลึก’ มีสตรีแบบใดเก็บของแบบนี้ไว้เป็นที่ระลึกกัน
มุมปากยกยิ้มขบขันอย่างไม่รู้ตัว แต่เพราะใบหน้านี้ยังเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว รอยยิ้มนั้นจึงทำให้ใบหน้าดูบิดเบี้ยวน่ากลัวพิกล แต่ฟู่เซียงเซียงกลับยื่นหน้ามองพิจารณาอย่างเป็นกังวล อดยื่นนิ้วไปแตะรอยแผลไม่ได้
“ข้าจะเอายามาทาให้นะ ไม่ต้องเป็นกังวลไป โดยปกติจะหายดีในเจ็ดวัน แต่ถ้านานกว่านั้นอาจเพราะบอบช้ำภายในอย่างหนัก มีเลือดเสียที่ไหลเวียนไม่สะดวก อื้ม...ข้าท่องจำมานะแต่เพิ่งเคยเห็นบาดแผลอย่างนี้เป็นครั้งแรก เจ้านี่...คุ้มค่าเงินสองตำลึงข้าจริงๆ”
‘ข้าควรดีใจหรือไม่ที่มีค่าตัวถึงสองตำลึง’ แต่ปลายนิ้วที่ป้ายเนื้อยามาทาแผลให้เขานั้น ทำให้ชายหนุ่มยอมทำตัวโง่งมเพื่อให้นางทำทายาด้วยรอยยิ้มภูมิใจในความเก่งกาจของตน นางอายุเท่าไหร่กันนะ ปีหน้าจะปักปิ่นใช่ไหม เช่นนั้นนางก็อายุสิบสี่สินะ นางเป็นบุตรสาวเสนาบดีฟู่ แต่เหตุใดความเป็นอยู่แร้นแค้นเช่นนี้กัน เขาที่ไม่เคยสนใจเรื่องผู้อื่นกลับรู้สึกสนใจในตัวเด็กสาวผู้นี้นัก “คุณหนู!” จางลี่ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นฟู่เซียงเซียงก้มๆ เงยๆ ทายาให้อี้เฉิน นางรีบวางห่อผ้าที่ใส่กระดาษและหมึกวางบนโต๊ะแล้วแย่งตลับยามาถือเสียเอง “เจ้ากลับมาแล้ว วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ฟู่เซียงเซียงยิ้มขบขันเพราะรู้ว่าจางลี่เป็นห่วงเรื่องใด “คุณหนูไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวบุรุษนะเจ้าคะ” จางลี่กระทืบเท้าเร่า ๆ ทำไมคุณหนูของนางช่างทำเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้นะ “แต่เขาเป็นคนเจ็บของข้านะ” หากนางใส่ใจเรื่องเหล่านี้คงไม่เลือกศึกษาวิชาแพทย์หรอก “เจ้าดูสิ บาดแผลของเขาดีขึ้นมากแล้ว อย่างนี้ท่านหมอจูจะต้องรับข้าเป็นศิษย์อย่างแน่นอน” “คุณหนูจะเป็นหมอจริงๆหร
“คนผู้นี้พูดไม่ได้” ท่านหมอจูเอ่ยกับลูกศิษย์ และอธิบายกับทาสหนุ่ม “นางมักซุ่มซ่ามอยู่เสมอ หากคราวหน้านางหกล้ม เจ้าก็ประคองไหล่นางไว้ ไม่ใช่กอดเอวนางเช่นนั้น” ทาสหนุ่มนิ่งงันไป เขาคิดแค่ต้องการช่วยไม่ให้นางหน้าคว่ำกระแทกพื้น หมอจูซีห่าวเข้าใจว่าทาสผู้นี้คงไม่มีความรู้จึงตั้งใจอบรมสั่งสอน แม้ฟู่เซียงเซียงแต่กายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะทำสิ่งใดก็ต้องระวังให้มาก แต่นางไม่เหมือนสตรีทั่วไป ไม่เช่นนั้นคงไม่สนใจเรียนการรักษาคนเช่นนี้ ฟู่เซียงเซียงชงน้ำชาแล้วยกเข้ามาในห้องโถง โดยมีศิษย์ที่หมอจูซีห่าวรับไว้อีกสามคนอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือจูลี่เฉียว หลานชายของเขาเอง เด็กสาวคุกเข่ายกน้ำชา ดวงตางามเป็นประกายงดงามเฝ้ามองมือหยาบกร้านยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมด แล้วจึงหยิบชุดเข็มเงินส่งให้ฟู่เซียงเซียง “จงเรียนรู้และรักษาผู้คนด้วยความซื่อสัตย์จากใจ” “ศิษย์ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หมอจูซีห่าวพยักหน้าพอใจ เห็นที่ว่าต้องเหนื่อยกับสอนเจ้าวัวดื้อตัวนี้สักหน่อย แต่เขาเชื่อว่านางจะเป็นหมอหญิงที่ดีได้ “เจ้าคงศึกษา
‘เข้าใจอะไรกัน พูดเองเออเองเอาทั้งนั้น’ร่างเล็กหมุนตัวกลับ ก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็ถูกเสียงหนึ่งเรียกไว้ ฟู่เซียงเซียงหันไปมองเจ้าของมือขาวผ่องกวักมือเรียกจากตรอกด้านข้าง นางจำหญิงสาวผู้นั้นได้เป็นอย่างดีจึงเดินตรงไปหาพร้อมรอยยิ้ม“พี่เหมยลี่” เด็กสาวที่อยู่ในชุดเด็กหนุ่มเอ่ยทัก “ท่านมาซื้อของที่ตลาดหรือ?”“ข้ามาดักพบเจ้าต่างหากล่ะ” หญิงสาวทำตาดุใส่ ทว่าเมื่อเห็นว่าด้านหลังฟู่เซียงเซียงมีบุรุษสวมชุดดำท่าทางน่ากลัวยืนอยู่ นางก็พูดไม่ออก ฟู่เซียงเซียงเข้าใจในทันที นางกุมมือเหมยลี่แล้วพูดปนหัวเราะ “เขามากับข้า ว่าแต่พี่เหมยลี่มีเรื่องอันใดรึ” เหมยลี่ลอบมองชายในชุดดำอีกครั้งแล้วยกพัดขึ้นป้องปากกระซิบ “พี่น้องไม่ค่อยสบาย เจ้าช่วยไปดูอาการสักหน่อยเถิด” “ท่านหมอจูห้ามไม่ให้ข้าออกตรวจคนไข้เพียงลำพัง” ฟู่เซียง เซียงรีบพูดขึ้น แต่อีกฝ่ายดูไม่สนใจนัก “เจ้าก็รู้ว่าถ้าพวกเราไปหาท่านหมอที่โรงหมอหรือเชิญท่านหมอไปตรวจ หากมีคนรู้เข้าจะคิดว่าเจ็บป่วยหนักนะสิ” “แล้วที่มาเรียกข้าก็ไม่ใช่เพราะเจ็บป่วยหรอกหรือ?” นางเอียงคอถามอย่างสงสัย เหมยลี่กระทืบเท้า
เหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำคุกเข่าลงเบื้องหน้าบุรุษหนุ่มที่ยืนสงบนิ่งภายใต้จันทร์เสี้ยว แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่ไม่อาจกลบรัศมีความน่าเกรงขามได้เลย เพียงการยกมือส่งสัญญา ชายในชุดดำเหล่านั้นพลันหายไปราวกับภูติผี เหลือเพียงบุรุษหนุ่มตามลำพัง ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นดู มุมปากกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว มือสองข้างนี้เปื้อนเลือดสังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนไร้ความลังเล แต่เวลานี้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ เขาเดินฝ่าความมืดของรัตติกาลเข้าไปในเรือนหลังน้อยที่แสนทรุดโทรม ฝีเท้าแผ่วเบาก้าวเท้าเข้าไปจนถึงเตียงนอนของเด็กสาววัยสิบสี่ ปลายนิ้วปัดม่านมุ้งออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามหลับใหล ร่างสูงใหญ่นั่งลงริมเตียง แม้มีเพียงแสงสลัวจากด้านนอกแต่เขากลับเห็นความงามเบื้องหน้าได้แจ่มชัด ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นเล็กน้อย เส้นผมดุจย้อมหมึกคลี่สยาย ผ้าห่มผืนเก่าแต่ถูกซ่อมแซมอย่างดีห่มครึ่งร่างของนาง ไม่ใช่คืนแรกที่เขาแอบเข้ามามองนางเช่นนี้ แต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้มองนางในฐานะ ‘อี้เฉิน’ ตั้งใจเพียงเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม ทว่านิ้วมือกลับปัดผ่านริมฝีปากอย่างหลงใหล สายตามองเร
พูดจบร่างเล็กในชุดสีแดงสดก็หมุนตัวเดินเร็วๆ จากไปพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมาด้วย ฟู่เซียงเซียงโคลงศีรษะไปมา สองมือปลดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปล้างมือ“คุณหนู” แม่นมหวงอดเป็นกังวลไม่ได้ นายท่านเรียกพบแต่ละครั้งมีแต่เรื่องให้คุณหนูของนางต้องลำบากใจ“จางลี่ช่วยงานแม่นมที่นี่ไม่ต้องตามข้าไปหรอก” นางแย้มยิ้ม “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มาแล้ว”ฟู่เซียงเซียงก้าวเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง บ่าวไพร่ไม่เคยให้ความเคารพ แต่นั้นยิ่งทำให้นางต้องเชิดใบหน้าขึ้น ไม่เอาแต่เดินก้มหน้าเหมือนหนูกลัวแมว เด็กสาวในเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ของเรือน บิดานั่งดื่มชาโดยมีจือรั่ว-มารดาของฟู่ซินอี๋ปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ในห้องไม่มีเงาร่างของลูกสาวคนโปรด แต่นางรู้ว่าคงแอบฟังอยู่ไม่ไกลนัก“คารวะท่านพ่อ”“นี่เจ้าแต่งตัวอะไรกัน” บิดาส่ายหน้าระอาใจ “ข้าให้เจ้าอยู่ในเรือนสบายๆ ก็มิใช่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ได้”“อยู่ในจวนสบายๆ” ฟู่เซียงเซียงถึงกับทวนประโยคที่ได้ยิน นางอ้าปากจะโต้เถียงแต่บิดาโบกมือห้ามไว้ก่อน“ข้าอยากให้เจ้าไปพบ...”“ข้าไม่พบใครทั้งนั้น!” นางชิงพูดขึ้นก่อน“ไร้มารยาท” เด็กสาวสูดลมหายใจลึก มือกำแน่นข่มโทสะที่มีแล
“ข้า...” เรื่องในบ้านของนางคนนอกย่อมไม่รู้ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ จูลี่เฉี่ยวคงไม่เดินทางมาพบนางด้วยตนเอง นางซาบซึ้งในความหวังดีของเขา แต่เรื่องแต่งงานนั้น...นางไม่สามารถทำได้จริงๆ นางเองปรารถนาจะแต่งงานใช้ชีวิตกับคนที่ตนรัก สำหรับจูลี่เฉี่ยวแล้ว มีเพียงความเคารพนับถืออย่างพี่ชาย-น้องสาว “ช่างเถอะ” ถึงนางจะแต่งกายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง คงเขินอายอยู่บ้าง แม้เวลานางรักษาคนจะไม่เคยเห็นสีหน้าเขินอายแต่อย่างใด “วันนี้ไม่มีอะไรก็กลับบ้านไปเสีย” “แต่...” นี่เพิ่งครึ่งวันจะให้นางกลับแล้ว ผู้อื่นจะคิดว่านางเป็นคนอย่างไรกัน “ข้าให้เจ้าไปก็ไป” หมอกู้โบกมือไปมาคล้ายรำคาญ “เจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงรับคำอย่างขัดไม่ได้ นางพับผ้าสำหรับทำแผลเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้น หยิบล่วมยาแล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ บิดาแทบไม่สนใจความเป็นอยู่ของนางเลย ซึ่งนางก็คาดไว้อยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องที่นางระแคะระคายมาก่อนหน้านี้คือการที่บิดาแอบร่วมมือกับองค์ชายสามเพื่อขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร เรื่องชิงอำนาจในวังหลวงก็เรื่องหนึ่ง
มีแต่การแต่งงานเท่านั้นหรือ? ที่จะทำให้นางหนีจากปัญหานี้ได้ “คุณหนู” แม่นมหวงเข้ามาตาม “มีเรื่องกังวลใจรึเจ้าคะ” “ข้าพบพี่ลี่เฉี่ยวแล้ว” นางพูดเสียงเบาแล้วเค้นหัวเราะออกมา “ผู้อื่นชื่นชมว่าข้าเป็นหมอที่เก่งกาจไม่น้อยไปกว่าผู้ใด แต่ปัญหาของตัวเองกลับแก้ไขเองไม่ได้” “คุณหนูไม่ชอบลี่เฉี่ยวหรือเจ้าคะ” อยู่กันมาขนาดนี้แล้ว นางก็รักคุณหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตนคนหนึ่ง “แต่ถ้าคุณหนูยังเป็นคนของสกุลฟู่อยู่ หากที่บ้านเกิดเรื่อง คุณหนูก็ต้อง...” นางไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้นเลย นางเป็นเพียงคนรับใช้ก็ถูกขายเป็นทาส แต่คุณหนูเป็นบุตรสาวสายตรง เกรงว่าจะถูกส่งตัวไปเป็นหญิงนางโลม “ไม่ใช่ไม่ชอบ...แต่ข้าเห็นเขาเป็นพี่ชายมาตลอด” นางถอนหายใจแรงๆ แต่ก็ยังไม่หายกลุ้มใจ “แต่เท่าที่เห็น เขาจริงใจกับคุณหนูมากนะเจ้าคะ สองปีนี้เขาช่วยเหลือคุณหนูมาตลอด หรือจะพูดให้ถูกก่อนหน้านี้ก็ช่วยคุณหนูเสมอ” ฟู่เซียงเซียงมองแม่นมแล้วทำท่ากระเง้ากระงอด “แม่นมไม่รักข้าแล้วรึถึงผลักไสข้าให้ผู้อื่นเช่นนี้ หรือเขาจ่ายเงินให้ท่านมาพูดเอาใจข้า”
บ่าวชราที่เคยทำตัวงกๆเงิ่นๆ มาบัดนี้ค่อมเอวคารวะบุรุษในชุดดำที่สวมหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับแล้วกวาดตามองไปทั่วเรือนหลังน้อย ที่เวลานี้ซ่อมแซมไปได้หลายส่วนแล้ว หากไม่เกรงว่าเจ้าของบ้านจะแตกตื่น เขาคงจัดการสั่งรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ไปนานแล้ว ไม่ต้องเปลืองสมองหาวิธีทำให้นางที่ละนิดละหน่อยเช่นนี้ “นางเป็นอย่างไรบ้าง” “คุณหนูฟู่สุขสบายดีขอรับ” “ลำบากเจ้าแล้ว” “คุณหนูฟู่มีจิตใจเมตตา กับบ่าวไพร่ก็ใส่ใจดูแลอย่างดี จะว่าไปแล้วงานนี้นับว่าเป็นงานสบายที่สุดที่นายท่านมอบหมายให้พวกเราทำขอรับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างยากที่จะได้เห็นนัก ‘ผู้หญิงของเขา’ ก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว บุรุษหนุ่มยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าคนในชุดดำรวมทั้งบ่าวชราพลันหายวับไปราวกับไร้ตัวตน เขาหมุนตัวก้าวเท้าเข้ามาในเรือน ตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาว ปลดหน้ากากที่ปิดบังครึ่งใบหน้าออกแล้ววางบนโต๊ะ แม้อยู่ในความมืดแต่เขาจดจำทุกตำแหน่งในห้องของนางได้อย่างแม่นยำ มือแกร่งยื่นไปปัดม่านมุ้งออกแล้วนั่งลงริมเตียง มองใบหน้าหลับใหลด้วยดวงตาอ่อนโยน เป
“เรื่องนั้นเพราะข้ามีฝีมือต่างหากละ!” นางโต้เถียงอย่างลืมตัวว่าสถานการณ์ตอนนี้ตกเป็นรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ข้าเดินลมปราณขับพิษเองมิใช่เพราะเจ้ารักษา” “แต่ถ้าไม่ใช่ข้ารักษาแผล เช็ดเนื้อตัวดูแลจนไข้ลด เจ้าจะรอดตายได้เองหรือไรกัน” นางขึงตาใส่ อุตส่าอดตาหลับขับตานอนดูแลขนาดไหนกว่าจะรอดตายมาได้ “ซ้ำข้ายังเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวท่านมาอีกด้วย!” “เจ้าเสียเงินสองตำลึงซื้อตัวข้า แต่ข้าเสียเงินเท่าไรคุ้มครองเจ้ามาสองปี” มุมปากยกยิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา เพราะกระต่ายดิ้นรนสุดกำลัง เขากลัวนางจะเจ็บจึงปล่อยมือจากข้อมือของนาง หญิงสาวลนลานกระถดกายถอยหนีไปชิดหัวเตียง เพราะยันกายขึ้นนั่งเสื้อผ้าที่หลุดรุยจึงเลื่อนหล่น มือเรียวเล็กรีบคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทันที “ท่านต้องการสิ่งใด” คล้ายว่านางเคยถามเขามาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน “ให้เจ้าอยู่ข้างกายข้า” นางส่ายหน้าไปมา เส้นผมยาวสลวยเคลียใบหน้าทำให้ชายหนุ่มยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมทัดใบหูให้อย่างอ่อนโยน “เจ้าปฏิเสธได้รึ” เขาหัวเราะในลำคอ “หากไม่เป็นผู้หญิ
“หรือท่านอยากตอบแทนบุญคุณข้า?” ฟู่เซียงเซียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ว่ามือของเขาร้อนระอุจนแทบจะลวกนางได้แล้ว เขายื่นจอกสุราจ่อริมฝีปากของนาง คล้ายว่าถ้านางไม่ยอมดื่มเขาก็ไม่ยอมเลิกรา ทำให้นางจำใจจับรับจอกสุรามายกดื่มจนหมด ความร้อนวูบหนึ่งผ่านลำคอลงกระเพาะ แต่กระนั้นก็ทำให้ชีพจรเต้นแรงขึ้น “ท่านควรรู้ว่าข้าไม่ดื่มสุรา” นางผลักจอกสุราออก “เช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าฐานะของเจ้าตอนนี้คือเชลยของแคว้นฉิน” เขาเอ่ยดวงตาหรี่มองริมฝีปากที่ชุ่มด้วยหยาดสุรา อยากรู้ว่าสุราจากริมฝีปากนางจะรสชาติเดียวกับที่เขาดื่มหรือไม่ ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงง “ข้า...” “เจ้าเป็นแค่เชลยทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น”นางผู้ไม่ชอบถูกบ่งการถึงกับขึงตาใส่ “ท่านไม่มีสิทธิ์!”“ข้าเป็นไต๋อ๋องไม่ใช่อี้เฉินของเจ้าอีกแล้ว” เขายิ้มชั่วร้ายจนหญิงสาวผงะถอยห่าง เขาโอบรัดร่างนางเข้ามาใกล้จนลมหายใจรดผิวแก้มที่แดงระเรื่อ“ถ้าข้าไม่ยินยอม...” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ “เจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่งก็ย่อมทำได้ แต่เจ้าไม่เป็นห่วงเด็กกำพร้าเหล่านั้นหรือ? หรือแม้แต่ศพแม่เฒ่าผู้นั้น...” “ท่าน!” นางขึงตาใส่เขา
หญิงสาวยืนตัวเกร็งอยู่กลางห้อง หลังจากบรรดาหญิงรับใช้หลายคนเข้ามาช่วยกันจับนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและแปรงผม ในเวลานั้นนางพยายามขัดขืน แต่ทุกคนต่างขอร้องเพราะเกรงว่าหากทำให้ ‘ไต๋อ๋อง’ ไม่พอใจจะได้รับโทษทัณฑ์ นางจึงจำใจยอมให้หญิงรับใช้แต่งกายให้ใหม่ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เหลือเพียงนางในห้องนี้คนเดียว ถูกชายที่เรียกตัวเองว่าอี้เฉินแบกขึ้นรถม้า ยังไม่ทันได้ซักถามอะไรก็ถูกเขาจี้สกัดจุดให้หมดสติ ฟื้นอีกครั้งก็อยู่ในห้องนี้กับบรรดาหญิงรับใช้ ปกติแต่งกายด้วยชุดบุรุษจนเคยชิน ยามนี้ถูกจับแต่งกายเป็นหญิง ซ้ำยังเป็นชุดนางรำเนื้อผ้าบางเบา ปกปิดก็เหมือนเปิดเผย ฟู่เซียงเซียงกัดริมฝีปากจนเจ็บเมื่อได้สติจึงเดินดูรอบๆ เผื่อหาทางหลบหนี ตอนเข้ามานางหมดสติจึงไม่รู้ว่าที่นี่ที่ใด แต่ดูจากหญิงรับใช้แล้วคงเป็นห้องๆ หนึ่งของจวนเจ้าเมืองแม้อยากรู้ความหมายในสิ่งที่เขาพูด แต่นางก็หวาดกลัวท่าทางคุกคามนั้น ทว่ายังไม่ทันหาทางออกให้กับตัวเองได้ บานประตูเปิดออกก็ขึ้นเสียก่อน นางยืนนิ่งอยู่กลางห้องประสานตากับบุรุษผู้สวมหน้ากากปิดครึ่งใบหน้า เมื่อพิจารณาดูนางจึงเข้าใจว่าเป็นหน้ากากใบหน้าของห
“ไปตรอกทางทิศตะวันตก” นางตอบแล้วอดกวาดตามองไม่ได้ “มีเรื่องใดรึ” “หมอฟู่ไม่รู้หรือ? ตอนนี้ทหารแคว้นฉินเข้ามาในเมืองของเราแล้ว” “เป็นไปได้อย่างไร!” ดวงตากลมเบิกกว้าง “เจ้าเมืองเปิดประตูให้ก็เดินเข้ามากันอย่างกับมาเดินตลาด!” “เขาพูดกันว่าทั้งแม่ทัพและเจ้าเมืองรู้เห็นเป็นใจกับการเปิดประตูเมือง เห็นว่าเพื่อไม่ใช่ชาวบ้านเดือดร้อน เหอะ! ข้าว่าเพราะต้องการเลือกอยู่ฝ่ายแคว้นฉินเสียมากกว่า” “ทำอย่างไรได้ ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยเรื่องชายแดนมานาน” “ชายแดนถูกยึดเช่นนี้ ทัพแคว้นฉินก็บุกไปเมืองหลวงโดยง่ายแล้ว” ฟู่เซียงเซียงยืนฟังแล้วเผลอกัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่รู้ท่านหมอกู้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้นางต้องรีบไปรับคนก่อน “อันตรายเช่นนี้ คุณหนูอย่าเพิ่งออกไปเลยขอรับ” บ่าวชราเอ่ยเตือน แต่ฟู่เซียงเซียงส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ ที่นั้นมีเด็กและคนแก่ ข้าต้องรีบไปพาพวกเขามา” นางพูดแล้วรีบขึ้นรถม้า สารถีสบตากับบ่าวชราเล็กน้อยแล้วบังคับม้าให้เดินไป บ่าวชราเดินหลบมาด้านหลังเรือนแล้วหยิบนกหวีดออก
“ทหารแคว้นฉินมีการเคลื่อนไหวแล้ว” หมอกู้เนี่ยนเจินสีหน้าวิตกกังวล ไม่ใช่แค่ความน่าเกรงขามของทหารแคว้นฉินเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือแม่ทัพประจำชายแดนรวมทั้งเจ้าเมืองก็ไม่ได้มีความสามารถนัก ในเมืองหลวงแย่งชิงอำนาจแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ชายแดนก็อ่อนแอ เห็นว่าศึกครั้งนี้จะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ“ท่านหมอกู้คิดเห็นอย่างไรก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ”หมอกู้สูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นหญิงอยู่ที่นี่จะลำบาก หากมีหนทางอื่นก็ไปเถิด” “ไป...จะให้ข้าไปไหนเจ้าคะ” นางส่ายหน้าอย่างงุนงง “หากเกิดสงครามจริง ข้าจะไม่ไปไหนจะอยู่ช่วยท่านหมอกู้ที่นี่เจ้าค่ะ”“สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงการปะทะกันเล็กๆน้อยๆ ของทหารชายแดน หากเกิดสงครามขึ้นจริง เจ้าจะรับมือไม่ไหว!”“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องอยู่ที่นี่ หน้าที่ของหมอคือช่วยชีวิตคน ถ้าข้าหนีเอาตัวรอดแล้วจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมอได้อย่างไร”หมอกู้เห็นความตั้งใจของนางแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวให้ดี หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้”“ท่านหมอกู้โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำตัวเป็นภาระให้ผู้ใด และหากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับข้า ข้าก็จะไม่โทษผู้อื่นเช่นกัน”แววตาของนางเปี่ยม
บ่าวชราที่เคยทำตัวงกๆเงิ่นๆ มาบัดนี้ค่อมเอวคารวะบุรุษในชุดดำที่สวมหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับแล้วกวาดตามองไปทั่วเรือนหลังน้อย ที่เวลานี้ซ่อมแซมไปได้หลายส่วนแล้ว หากไม่เกรงว่าเจ้าของบ้านจะแตกตื่น เขาคงจัดการสั่งรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ไปนานแล้ว ไม่ต้องเปลืองสมองหาวิธีทำให้นางที่ละนิดละหน่อยเช่นนี้ “นางเป็นอย่างไรบ้าง” “คุณหนูฟู่สุขสบายดีขอรับ” “ลำบากเจ้าแล้ว” “คุณหนูฟู่มีจิตใจเมตตา กับบ่าวไพร่ก็ใส่ใจดูแลอย่างดี จะว่าไปแล้วงานนี้นับว่าเป็นงานสบายที่สุดที่นายท่านมอบหมายให้พวกเราทำขอรับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างยากที่จะได้เห็นนัก ‘ผู้หญิงของเขา’ ก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว บุรุษหนุ่มยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าคนในชุดดำรวมทั้งบ่าวชราพลันหายวับไปราวกับไร้ตัวตน เขาหมุนตัวก้าวเท้าเข้ามาในเรือน ตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาว ปลดหน้ากากที่ปิดบังครึ่งใบหน้าออกแล้ววางบนโต๊ะ แม้อยู่ในความมืดแต่เขาจดจำทุกตำแหน่งในห้องของนางได้อย่างแม่นยำ มือแกร่งยื่นไปปัดม่านมุ้งออกแล้วนั่งลงริมเตียง มองใบหน้าหลับใหลด้วยดวงตาอ่อนโยน เป
มีแต่การแต่งงานเท่านั้นหรือ? ที่จะทำให้นางหนีจากปัญหานี้ได้ “คุณหนู” แม่นมหวงเข้ามาตาม “มีเรื่องกังวลใจรึเจ้าคะ” “ข้าพบพี่ลี่เฉี่ยวแล้ว” นางพูดเสียงเบาแล้วเค้นหัวเราะออกมา “ผู้อื่นชื่นชมว่าข้าเป็นหมอที่เก่งกาจไม่น้อยไปกว่าผู้ใด แต่ปัญหาของตัวเองกลับแก้ไขเองไม่ได้” “คุณหนูไม่ชอบลี่เฉี่ยวหรือเจ้าคะ” อยู่กันมาขนาดนี้แล้ว นางก็รักคุณหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตนคนหนึ่ง “แต่ถ้าคุณหนูยังเป็นคนของสกุลฟู่อยู่ หากที่บ้านเกิดเรื่อง คุณหนูก็ต้อง...” นางไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้นเลย นางเป็นเพียงคนรับใช้ก็ถูกขายเป็นทาส แต่คุณหนูเป็นบุตรสาวสายตรง เกรงว่าจะถูกส่งตัวไปเป็นหญิงนางโลม “ไม่ใช่ไม่ชอบ...แต่ข้าเห็นเขาเป็นพี่ชายมาตลอด” นางถอนหายใจแรงๆ แต่ก็ยังไม่หายกลุ้มใจ “แต่เท่าที่เห็น เขาจริงใจกับคุณหนูมากนะเจ้าคะ สองปีนี้เขาช่วยเหลือคุณหนูมาตลอด หรือจะพูดให้ถูกก่อนหน้านี้ก็ช่วยคุณหนูเสมอ” ฟู่เซียงเซียงมองแม่นมแล้วทำท่ากระเง้ากระงอด “แม่นมไม่รักข้าแล้วรึถึงผลักไสข้าให้ผู้อื่นเช่นนี้ หรือเขาจ่ายเงินให้ท่านมาพูดเอาใจข้า”
“ข้า...” เรื่องในบ้านของนางคนนอกย่อมไม่รู้ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ จูลี่เฉี่ยวคงไม่เดินทางมาพบนางด้วยตนเอง นางซาบซึ้งในความหวังดีของเขา แต่เรื่องแต่งงานนั้น...นางไม่สามารถทำได้จริงๆ นางเองปรารถนาจะแต่งงานใช้ชีวิตกับคนที่ตนรัก สำหรับจูลี่เฉี่ยวแล้ว มีเพียงความเคารพนับถืออย่างพี่ชาย-น้องสาว “ช่างเถอะ” ถึงนางจะแต่งกายเป็นชายแต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง คงเขินอายอยู่บ้าง แม้เวลานางรักษาคนจะไม่เคยเห็นสีหน้าเขินอายแต่อย่างใด “วันนี้ไม่มีอะไรก็กลับบ้านไปเสีย” “แต่...” นี่เพิ่งครึ่งวันจะให้นางกลับแล้ว ผู้อื่นจะคิดว่านางเป็นคนอย่างไรกัน “ข้าให้เจ้าไปก็ไป” หมอกู้โบกมือไปมาคล้ายรำคาญ “เจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงรับคำอย่างขัดไม่ได้ นางพับผ้าสำหรับทำแผลเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้น หยิบล่วมยาแล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ บิดาแทบไม่สนใจความเป็นอยู่ของนางเลย ซึ่งนางก็คาดไว้อยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องที่นางระแคะระคายมาก่อนหน้านี้คือการที่บิดาแอบร่วมมือกับองค์ชายสามเพื่อขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร เรื่องชิงอำนาจในวังหลวงก็เรื่องหนึ่ง
พูดจบร่างเล็กในชุดสีแดงสดก็หมุนตัวเดินเร็วๆ จากไปพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมาด้วย ฟู่เซียงเซียงโคลงศีรษะไปมา สองมือปลดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปล้างมือ“คุณหนู” แม่นมหวงอดเป็นกังวลไม่ได้ นายท่านเรียกพบแต่ละครั้งมีแต่เรื่องให้คุณหนูของนางต้องลำบากใจ“จางลี่ช่วยงานแม่นมที่นี่ไม่ต้องตามข้าไปหรอก” นางแย้มยิ้ม “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มาแล้ว”ฟู่เซียงเซียงก้าวเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง บ่าวไพร่ไม่เคยให้ความเคารพ แต่นั้นยิ่งทำให้นางต้องเชิดใบหน้าขึ้น ไม่เอาแต่เดินก้มหน้าเหมือนหนูกลัวแมว เด็กสาวในเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ของเรือน บิดานั่งดื่มชาโดยมีจือรั่ว-มารดาของฟู่ซินอี๋ปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ในห้องไม่มีเงาร่างของลูกสาวคนโปรด แต่นางรู้ว่าคงแอบฟังอยู่ไม่ไกลนัก“คารวะท่านพ่อ”“นี่เจ้าแต่งตัวอะไรกัน” บิดาส่ายหน้าระอาใจ “ข้าให้เจ้าอยู่ในเรือนสบายๆ ก็มิใช่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ได้”“อยู่ในจวนสบายๆ” ฟู่เซียงเซียงถึงกับทวนประโยคที่ได้ยิน นางอ้าปากจะโต้เถียงแต่บิดาโบกมือห้ามไว้ก่อน“ข้าอยากให้เจ้าไปพบ...”“ข้าไม่พบใครทั้งนั้น!” นางชิงพูดขึ้นก่อน“ไร้มารยาท” เด็กสาวสูดลมหายใจลึก มือกำแน่นข่มโทสะที่มีแล