ช่วงสายของอีกวันขณะที่ซูเหยียนกำลังกินอาหารเช้าในสวนหย่อมอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านกับคนงานสกุลซูพูดคุยกันน้ำเสียงกังวลใจ
“คุณหนูรองไม่เห็นกลับจวนเลย ไหนว่าฝ่าบาทปลดนางสนมทุกคน และส่งตัวออกนอกวังแล้ว”
ซูเหยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
นางได้รับอิสระแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นอิสระจริงๆ นางยังต้องกลับจวนสกุลซู กลับไปหาครอบครัว ทว่าตอนนี้นางมีบุรุษคนหนึ่งข้างกาย ทั้งยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน
จะทำอย่างไรดี จะบอกแต่ละฝ่ายอย่างไร
เรื่องที่นางเคยเป็นสตรีของฮ่องเต้สุดท้ายต้าอิ้งก็ต้องรู้อยู่ดี
สตรีรีบกินข้าวจนอิ่มแล้วกลับเรือนไปคิดหาทางออก
อย่างแรกก็คือ จะไปจวนสกุลซูด้านข้างอย่างไร ในเมื่อคนของจ้าวอิ้งฉางคอยจับตามองเวลาที่นางป้วนเปี้ยนพยายามปีนออกนอกกำแพงจวน
ระหว่างที่ซูเหยียนเดินวนไปเวียนมาภายในเรือนอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังขึ้น นางแง้มประตูออกดูก็เห็นบุรุษเรือนกายสูงใหญ่ ตรงกลางเป็นสตรีวัยกลางคนที่มีใบหน้าคุ้นตา
ไทเฮา
“ข้าจะพูดคุยกับแม่นางคนนี้ตามลำพัง พวกเจ้าออกไปให้หมด”
ไทเฮาสั่งทั้งกงกง องครักษ์ของตนเองและองครักษ์ของจ้าวอิ้งฉาง ทุกคนต่างออกไปรอด้านนอกอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเหลือเพียงสองคน ซูเหยียนก็คุกเข่าถวายพระพรไทเฮาด้วยความนอบน้อม
“ซูเหยียนถวายพระพรไทเฮาเพคะ”
สตรีวัยกลางคนยิ้มอ่อนโยนให้ ตลอดห้าปีที่ผ่านมานางไม่เคยเรียกซูเหยียนเข้าเฝ้าเลยสักครั้ง เพราะกลัวฮ่องเต้รู้เข้าจะเดือดร้อนถึงนางและคนสกุลซู จึงทำได้เพียงให้องครักษ์ตามเฝ้าดูนางห่างๆ
เห็นสตรีน้อยที่ตนชื่นชมใช้ชีวิตในแปลงผักอย่างสนุกสนาน แถมยังแอบออกไปเที่ยวเล่นนอกวังได้นางก็หายห่วง
เช้าวันนี้นางได้รับรายงานว่าฮ่องเต้พบซูเหยียนครั้งแรกที่นอกวังแล้วถูกพระทัย คิดว่านางเป็นแม่หม้ายจึงจับมาเป็นภรรยาลับ ซ่อนไว้ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้
นางทั้งทอดถอนใจทั้งสมน้ำหน้าลูกชายตัวดี ข้าเลือกให้เจ้าตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ส่วนเจ้ามัวแต่กังวลจนต้องกินยาบำรุงมาตลอด แล้วอย่างไรล่ะ เจอสตรีน้อยเข้าไป คิดว่าแม้ไม่ได้กินยาแต่ตรงส่วนนั้นก็คงใช้การได้ปกติอยู่ดี
ตอนนี้เมื่อยวนยางได้มาคู่กัน นางคงต้องสั่งสอนยวนยางตัวผู้เสียหน่อย
โทษฐานปล่อยให้ยวนยางตัวเมียอยู่โดดเดี่ยวมานาน
“คนที่บ้านเจ้าคงรอเจ้ากลับมานานแล้ว ห้าปีนานจริงๆ” ไทเฮาเอ่ยพลางถอดหายใจ “เจ้ากลับบ้านไปหาพวกเขาเถอะ ข้าเตรียมรถม้าไว้ให้แล้ว”
“เอ่อ” ซูเหยียนนึกถึงหน้าบุรุษผู้หล่อเหลาที่จะมาหาตนเองตอนเย็นทุกวัน
“เจ้าจะสนใจผู้อื่นทำไมกัน ตอนเป็นสตรีของฝ่าบาท ฝ่าบาทก็ไม่เคยสนใจเจ้า ตอนนี้แม้มีบุรุษคนใหม่ เขาก็แค่มาหาเจ้าตอนกลางคืนมิใช่หรือ ตอนเช้าเขาหายไปไหน ทำงานอะไรเคยบอกเจ้าหรือไม่ ถ้าหากไม่เคยบอกใยเจ้าต้องเอาเขามาใส่ใจด้วย”
ไทเฮาพูดสั่งสอนสตรีตัวน้อย ซูเหยียนเข้าวังตั้งแต่เด็ก ไร้เดียงสาและไร้ประสบการณ์ในการใช้ชีวิต
หลังจากนี้นางจะเลือกสิ่งใด ก็ขึ้นอยู่กับความคิดความต้องการของนาง
หากไม่อยากกลับมา ก็ปล่อยให้บุตรชายตัวดีตามง้อไปนานๆ
ซูเหยียนคิดตามคำที่ไทเฮาสอน นางเข้าใจความหวังดีของสตรีที่เอ็นดูนาง
“หม่อมฉันจะกลับบ้านเพคะ” นางยอบตัวคารวะแล้วกลับไปเก็บของใช้ส่วนตัวก่อนออกจากจวนขึ้นรถม้าที่ไทเฮาจัดเตรียมไว้ให้
ส่วนองครักษ์ของจ้าวอิ้งฉางได้แต่มองตาปริบๆ พวกเขาไม่สามารถขัดคำสั่งของไทเฮาได้
อีกทั้งไทเฮาตรัสเองว่าเรื่องของสามีภรรยาคู่นี้ให้นางผู้เป็นมารดาจัดการเอง
ในเมื่อขัดขวางไม่ได้ องครักษ์จึงต้องนำเรื่องนี้เข้าวังไปรายงานโดยเร่งด่วน
........
ตำหนักหมิงเหอ
องครักษ์ที่จ้าวอิ้งฉางส่งไปดูแลซูเหยียนรีบกลับวังรายงานเจ้านายตนหน้าตาตื่น
“ฝ่าบาท ไทเฮาส่งแม่นางเมิ่งเหยียนขึ้นรถม้าไปแล้วพะย่ะค่ะ”
จ้าวอิ้งฉางตกใจวางพู่กันในมือทันที “ขึ้นรถม้า ไปที่ใดกัน” ร่างใหญ่รีบลุกจากโต๊ะทรงอักษร ก้าวเท้ายาวๆ ไปที่ตำหนักซีเยว่ของไทเฮาด้วยความร้อนใจ
“เสด็จแม่ส่งเมิ่งเหยียนไปที่ใด” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าผู้เป็นมารดา ลืมพิธีรีตองอย่างสิ้นเชิง
“พบข้าแล้วไม่ทำความเคารพ ข้าจะต้องบอกเจ้าหรือ” ไทเฮาพูดน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่ในใจเริ่มหมั่นไส้บุตรชาย
จ้าวอิ้งฉางนึกขึ้นได้ เขายกมือทั้งสองขึ้นมาประสานกันพร้อมก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ลูกถวายพระพรเสด็จแม่ ไม่ทราบว่า...”
“ข้าส่งนางไปถือศีลสวดมนต์ที่วัด” ไทเฮาโกหกปั้นสีหน้าไม่ให้จับผิดได้ นางปรายสายตามองพระโอรส
“ถือศีลสวดมนต์สักสองสามเดือน ให้นางมีเวลาตัดสินใจว่าจะยอมเป็นฮองเฮา เป็นแม่ของแผ่นดิน หรือเป็นสตรีธรรมดาที่มีชีวิตอิสระ”
มองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเคร่งเครียด นางจึงพูดต่อ “หากนางมักใหญ่ใฝ่สูงก็คงอยากเป็นฮองเฮา แต่ถ้านางอยากมีชีวิตอิสระก็คงจากไปไม่บอกกล่าว อืม ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ไม่มีสตรีนางใดอยากเป็นภรรยาลับ อีกทั้งไม่รู้ว่าสามีของตนเป็นใคร”
จ้าวอิ้งฉางหยุดคิดไม่กี่ชั่วลมหายใจ “เสด็จแม่สำเร็จราชการแทนลูกหน่อย ลูกจะไปถือศีลกับเหยียนเอ๋อร์”
“เฮอะ” ไทเฮาหันหลังให้บุตรชาย “ไปขอร้องเสด็จพ่อเจ้าละกัน วันๆ มัวแต่สวดมนต์ เล่นไพ่ ให้อาหารปลา เขาคงลืมไปแล้วว่าหน้าที่ของฮ่องเต้หนักเพียงใด”
นางพูดถึงพระสวามีของตน อดีตฮ่องเต้ของแคว้นหมิง เขายกบัลลังก์ให้บุตรชายตั้งแต่บุตรชายอายุสิบเจ็ดปี อ้างว่าตนเองมีปัญหาสุขภาพ ขอเกษียณดีกว่า
หึ มีปัญหาสุขภาพหรือขี้เกียจกันแน่ นางทอดถอนใจอีกครั้ง
“ก็ได้ ลูกจะไปหาเสด็จพ่อเอง แต่ถ้าสุดท้ายเสด็จพ่อจะโยนงานให้เสด็จแม่ลูกก็ช่วยไม่ได้” จ้าวอิ้งฉางพูดน้ำเสียงประชดประชันแล้วลากลับไม่รีรอ
“ดูทำเข้าสิ ทั้งพ่อทั้งลูกเลย ทำไมข้าต้องลำบากขนาดนี้นะ” สตรีบ่นพลางยกมือเรียกนางกำนัลมานวดแขนขาให้
สุดท้าย ไทเฮาก็สามารถลากพระสวามีของตนซึ่งก็คืออดีตฮ่องเต้มาท้องพระโรง บริหารบ้านเมืองได้อีกครั้ง
หากเขาไม่ยอมมา จ้าวอิ้งฉางจะสั่งคนนำปลาและเต่าในบ่อไปปล่อยให้หมด ปลามังกรตัวใหญ่กับเต่ายักษ์ที่เลี้ยงมาหลายสิบปีอาจจะหายสาบสูญก็ได้
........
จวนสกุลซู เมืองหนาน
รถม้าที่ซูเหยียนนั่งมาถึงหน้าจวน นางลงจากรถม้า สายตามองป้ายหน้าประตู ‘สกุลซู’ จวนหลังนี้สินะ ที่บิดามารดารวมถึงญาติพี่น้องอาศัยอยู่ ไม่ใช่จวนในเมืองหลวงที่เงียบเหงาไม่มีผู้ใด
สตรียืนหน้าจวน ไม่มีบ่าวรับใช้คนใดสนใจ เพราะคนอยู่เฝ้าด้านหน้าเป็นคนงานใหม่ จึงไม่เคยเห็นนางมาก่อน
“เอ่อ ข้ามาหานายท่านซู”
ซูเหยียนบอกกับพวกเขา แต่คนเฝ้าหน้าประตูกลับมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
แม้รถม้าที่นางนั่งมาจะหรูหรา แต่เสื้อผ้าที่นางสวมใส่กลับดูค่อนข้างซอมซ่อ
เพราะซูเหยียนไม่ใส่ชุดดีๆ ของตน และไม่ใส่ชุดที่จ้าวอิ้งฉางสั่งตัดให้ใหม่ เลือกจะสวมชุดที่ใส่ลงแปลงผักเป็นประจำ
“หากไม่ได้นัดหมายก็เข้าไปไม่ได้” คนเฝ้าประตูเอ่ยเสียงเข้ม
เมื่อเข้าไปไม่ได้ซูเหยียนก็ไม่ต่อล้อต่อเถียง นางหาที่นั่งด้านหน้าจวน มองทิวทัศน์แปลกใหม่ สถานที่ใหม่ ผู้คนแปลกหน้า ทำให้เพลิดเพลินลืมเรื่องที่ต้องทำ
“ขอทานที่ไหนมานั่งหน้าจวนน่ะ”
เสียงเล็กแหลมบาดหูของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น นางเดินออกมาจากภายในจวน
ซูเหยียนหันมองตามเสียงเห็นสตรีที่ไม่คุ้นหน้า แต่บุรุษข้างกายนางเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เคยเล่นด้วยกันตอนเด็ก
“เหยียนเอ๋อร์” บุรุษร้องทักขึ้นเมื่อเห็นหน้านาง “เจ้ากลับมาแล้ว”
“ท่านพี่หลี ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหยียนตอบ สายตามองสตรีที่ดูหมิ่นด้วยความสงสัย “แม่นางผู้นี้คือ”
“คู่หมั้นของข้าเอง มู่จิงหนิง”
ซูหลีญาติผู้พี่ของซูเหยียนตอบ แววตาของเขาดูไม่ค่อยดีใจที่ต้องแนะนำเท่าไหร่นัก
“อ่อ” ซูเหยียนก้มหน้าให้มู่จิงหนิงเล็กน้อย จากนั้นก็ถามคนเฝ้าประตู “ข้าเข้าไปได้หรือยัง”
คนเฝ้าประตูอึ้งหลายชั่วลมหายใจ เมื่อคิดขึ้นได้จึงเชิญซูเหยียนด้วยความนอบน้อม
หลังจากซูเหยียนเข้าไปด้านใน มู่จิงหนิงก็ถามซูหลีน้ำเสียงเหยียดหยาม
“นั่นลูกพี่ลูกน้องของท่านที่ฝ่าบาทไม่ทรงโปรด จนทำให้สกุลซูตกต่ำใช่หรือไม่”
ซูหลีไม่ตอบคำถาม เขาเบือนหน้าหนีและเดินออกนอกจวนไม่รอนาง “เจ้าอยากไปซื้อเครื่องประดับมิใช่หรือ อย่าเสียเวลาเลย”
สกุลซูเลี้ยงบุตรหลานได้ดี พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวสามัคคีกัน เมื่อมู่จิงหนิงซึ่งสถานะยังเป็นคนนอกเข้ามายุ่งวุ่นวาย ซูหลีจึงไม่พอใจเท่าใดนัก แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะนางเป็นคนที่ท่านแม่ของตนจับคู่มาให้
มู่จิงหนิงเห็นท่าทางของซูหลีก็เกิดอาการไม่พอใจ นางยอมลดตัวเป็นคู่หมั้นของคนสกุลซูก็ดีเท่าไหร่แล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ว่าสกุลซูเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองหนานได้เพียงห้าปี นายท่านแต่ละคนเป็นขุนนางที่ถูกลดขั้นมาจากเมืองหลวงสกุลดังแต่ไม่เป็นที่โปรดปราน ลูกหลานจะได้ดิบได้ดีแค่ไหนเชียวตอนนี้หลินจื่อตี๋ คู่หมั้นของซูโหย่วผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของซูเหยียนออกไปท่องเที่ยวต่างเมือง มู่จิงหนิงจึงข่มใจรอให้นางกลับมาเสียก่อน แล้วค่อยชวนมาต้อนรับซูเหยียนกลับจวนสตรีที่ถูกบุรุษปฏิเสธ น่าอับอายอย่างมาก มู่จิงหนิงอยากจะทำให้ซูเหยียนรู้บ้างว่านางไม่ใช่คนที่จะเมินใส่ได้ง่ายๆ........ซูเหยียนเข้ามาภายในจวนท่ามกลางสายาตาแปลกประหลาดของบ่าวรับใช้ แต่เมื่อเดินใกล้เรือนหลักก็มีพ่อบ้านเก่าแก่ของสกุลซูวิ่งเข้ามาทักทายนางสีหน้าดีใจ“คุณหนูรองกลับมาแล้ว”“พ่อบ้านหมี่” ซูเหยียนยิ้มตอบ นางกวาดสายตาสำรวจเขาแล้วกล่าว “ท่านยังดูแข็งแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”“คุณหนูรองชมเกินไปแล้ว พวกนายท่านอยู่ด้านใน เชิญคุณหนูเข้าไปเถอะ”ซูเหยียนพยักหน้ารับ นางก้าวเท้าเข้าเรือนหลัก เรือนนี้เป็นเรือนที่ใช้พูดคุยพร้อมหน้าพร้อมตาของคนในตระกูล รวมถึ
“ราชโองการ ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้แม่นางซูเหยียนเข้าเป็นพระสนมในวัง รอแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ส่วนขุนนางสกุลซูที่เคยถูกลดขั้น ให้เพิ่มคนละสามขั้นจากตำแหน่งปัจจุบัน ทั้งให้ย้ายกลับไปสังกัดเดิม ทำงานในเมืองหลวงเช่นเดิม”ผู้อื่นที่ได้ยินล้วนดีใจจนอยากจะกระโดดโลดเต้น สกุลซูจะได้กลับมามีหน้ามีตาอีกครั้ง ยกเว้นซูเหยียนที่สีหน้าซีดเผือกนางยกมือคัดค้านราชโองการนี้ทันที“ใต้เท้า ข้าคงเป็นฮองเฮาไม่ได้ เอ่อ ข้ามีสามีแล้ว” นางพูดตามความเป็นจริง สตรีไม่บริสุทธิ์เช่นนางจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ได้อย่างไรอีกทั้งฝ่าบาทเล่นอะไรอยู่ หน้าตานางก็ไม่เคยเห็น จู่ๆ มาทำกลับกลอกเดี๋ยวให้เข้าๆ ออกๆ วัง จะปั่นหัวนางกับสกุลซูหรืออย่างไรบุรุษที่ถือราชโองการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สตรีนางนี้ไม่เห็นแก่ลาภยศ ทั้งยังซื่อสัตย์ต่อตนเองและคนรัก เขาจึงก้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูของซูเหยียน“ฝ่าบาทมีพระนามว่าจ้าวอิ้งฉาง แต่ใช้ชื่อต้าอิ้งเวลาพูดกับสหาย”ก่อนที่ซูเหยียนจะตกใจว่าบุรุษที่ตนเองนอนด้วยมานานคือฝ่าบาท นางกลับตกใจกับชื่อของเขา ชื่อจริงคือ ‘แข็งและยาว’ ชื่อเล่นที่ใช้เรียกคือ ‘ใหญ่และแข็ง’ ฝ่าบาทเป็นคนแบบใดกัน ถึงได้ตั้งชื่อเช่นนี้
ซูเหยียนนั่งแช่ชั่วครู่ นางหลับตาซึมซับความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน และท่านี้เข้าลึกกว่าที่เคยทำมาทุกครั้งเวลาช่องรักตอดรัดความใหญ่ของอีกฝ่าย ทำให้รู้สึกดีจริงๆนั่งแช่สักพัก สักโพกกลมก็เริ่มถูไถบนท่อนล่างของบุรุษ มังกรยักษ์จึงถูกรูดเข้าออกจนบุรุษหลับตารับความสบายนี้ถูไถจนน้ำใสหลั่งออกมาเยอะพอประมาณ นางก็เปลี่ยนเป็นยกสะโพกขึ้นแล้วกดสะโพกลงล่าง เหมือนกับซาลาเปาตกใส่ตะปูปับ ปับ ปับ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นจ้าวอิ้งฉางมองเรือนร่างอวบอัดกระแทกขึ้นลง เต้านมสวยทั้งสองกระเด้งไปมา ท่อนเอ็นของตนก็ผลุบเข้าออกตามจังหวะของสะโพกกลมกลึงละสายตายากเสียจริงเขาเอื้อมมือหนาขึ้นขยำอกอวบอิ่ม นิ้วเรียวบีบและบี้ยอดถันอย่างเพลิดเพลินเสียงเนื้อกระทบเนื้อและเสียงครางดังออกมาถึงนอกเรือนพวกเขาไม่ได้ทำรักกันมาสิบกว่าวัน เจอกันทั้งทีจึงใส่กันไม่หยุดจ้าวอิ้งฉางเมื่อได้จังหวะก็ยกสะโพกกระแทกสวนบั้นท้ายของซูเหยียนที่กดลงมา ท่อนเอ็นใหญ่ตอกใส่ร่องรักจนหัวหยักแตะถึงปลายสุดโพรงรักของสตรี“อ้า” ซูเหยียนส่งสายตาหวานฉ่ำและเคลิบเคลิ้มให้บุรุษ บ่งบอกว่านางในตอนนี้ตกอยู่ในห้วงความซาบซ่านอย่างถอนตัวไม่ขึ้นจ้าวอิ้งฉางเห็
เขาก้มลงดูดเม้มและเลียจุกหวานสีน้ำตาลอมชมพู ยิ่งเขาดูดดุนนานขึ้นก็พบว่าจุกหวานแข็งและขยายใหญ่ขึ้นเกือบเท่าปลายนิ้วก้อย แต่ก็ทำให้ดูดถนัดเต็มปากเต็มคำกว่าเดิมนี่คือการเตรียมเต้านมให้กับบุตรในอนาคตสินะ ยิ่งมารดายอดถันใหญ่ น้ำนมก็จะไหลออกมาได้มากเขาจึงไม่ลังเลใจดูดนมสองเต้าสลับไปมาดุจดั่งตนเองเป็นทารกแรกเกิดส่วนท่อนล่างก็กระแทกเร็วขึ้นและหนักขึ้น เพื่อที่จะได้ส่งน้ำเชื้อคุณภาพพุ่งสู่มดลูกทุกหยาดหยดทุกอย่างนี้ก็เพื่อโอรสสวรรค์ที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นเสด็จแม่จะบ่นก็บ่นไป ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วคืนนี้เขาจะจัดอีกหลายท่าและหลายชั่วยาม อย่างไรเสียช่วงนี้เสด็จพ่อยังสำเร็จราชการแทน ดังนั้นเขาจะส่งสตรีขึ้นแตะเส้นขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืน และก็จะตามนางไปแตะขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืนเช่นเดียวกัน........“ฉางเอ๋อร์แอบไปหาเหยียนเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”ไทเฮายกยิ้มมุมปากแสดงสีหน้าหมั่นไส้กับข่าวที่ได้รับมา“เขาไม่ได้กินยามาครึ่งเดือนแล้ว ก็ยังแข็งแรงดี ข้าว่าแล้วไม่มีผิด เขาไม่ได้ป่วยหรอก”นางบ่นลูกชายให้จ้าวอิงสืออดีตฮ่องเต้ฟัง“เอาน่า” จ้าวอิงสือเอ่ย“ตอนนั้นเขาคงประหม่า คิดว่าตนเองจะทำเรื่องแบบนั้นได้ไม่ดีพอ เ
“ตรงนี้เย็นสบายดีจัง”ซูเหยียน สตรีวัยสิบแปดปี ใบหน้ารูปแตง ดวงตากลมโต ริมฝีปากอวบอิ่ม เรือนร่างทั้งหน้าอกและสะโพกล้วนโค้งนูนยั่วยวนชวนให้หลงใหล นางหาที่ริมสระน้ำแล้วหย่อนตัวลงนั่งพักผ่อน ซูเหยียนเป็นสตรีที่ฮ่องเต้ทรงเพิกเฉยไม่สนพระทัย นางเข้าวังมาตั้งแต่อายุยังน้อย สิบสี่ขวบปีตระกูลซูส่งนางเข้าวังหลวงเพื่อให้รออภิเษกและแต่งตั้งเป็นฮองเฮา แต่เข้าวังได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ฮ่องเต้ก็เกิดไม่พอพระทัยสกุลซู คนในตระกูลของนางที่รับราชการถูกลดขั้นและไปทำงานต่างเมือง ส่งผลให้คนอื่นๆ ในครอบครัวต้องย้ายตามจนไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ส่วนตัวนางนั้นถูกส่งมาอยู่แปลงผักในเขตพระราชฐาน ขนาดตำหนักเย็นยังไม่ได้อยู่ ที่ตำหนักเย็นนั่นฮ่องเต้ให้เฉพาะสตรีที่เคยปรนนิบัติแล้วอยู่เท่านั้น นางจึงกลายเป็นสตรีตำแหน่งต่ำต้อยต้องมาคอยปลูกผัก ผักเหล่านี้ปลูกจากเมล็ดพันธุ์ที่เป็นของบรรณาการจากต่างแคว้น เมื่อได้ผลผลิตออกมาก็ถูกส่งให้ฮ่องเต้และบรรดาเชื้อพระวงศ์รวมถึงเหล่านางสนมขั้นสูงในวัง แต่ด้วยความดื้อรั้นของซูเหยียน ผักทั้งหมดที่เพาะปลูกได้นั้นมีหรือจะถูกส่งเข้าครัวหลวงทั้งหมด แน่นอนว่าน
กำแพงวังหลวงที่สูงท่วมหัว หากไม่ใช่ผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งก็ยากมากที่จะกระโดดข้ามได้ แต่ซูเหยียนที่พอมีพื้นฐานวรยุทธ ทั้งยังรู้เรื่องวังหลวงอย่างดี นางกระโดดจับไม้ไผ่จากต้นเตี้ยแล้วไล่ระดับไปที่ต้นสูง สุดท้ายก็กระโดดไปที่ขอบกำแพง ภายนอกกำแพงวังหลวงบริเวณนี้มีแผ่นไม้ขนาดเล็กติดไว้เป็นขั้นบันได คล้ายกับที่วัดส่วนสูงบนผนัง แต่ใช้วัดระดับน้ำคูเมือง หากสูงถึงสีแดงก็เตรียมตัวอพยพออกจากวังหลวงได้เลยซูเหยียนที่อยู่บนขอบกำแพงวังหลวงค่อยๆ ไต่แผ่นไม้วัดระดับน้ำลงมาทีละขั้น ใกล้ถึงด้านล่างก็หยิบท่อนไม้ที่วางซุกพิงกำแพงมาวางพาดข้ามคูน้ำ จากนั้นก็เดินบนท่อนไม้ข้ามคูน้ำอย่างช่ำชอง กว่าจะออกนอกวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนทั่วไป ซูเหยียนต้องใช้เวลาเกือบปีถึงคิดวิธีนี้ได้นางดึงท่อนไม้มาวางซ่อนใต้น้ำอีกด้านของคูน้ำ แล้วก็มุ่งหน้าไปยังชุมชนเล็กๆ ที่คนยากไร้อยู่ นางมาที่นี่บ่อยครั้ง ส่วนมากก็นำผักผลไม้มาให้พวกเขา บางครั้งก็แอบนอนสักหนึ่งคืนแล้วค่อยกลับ การมาที่นี่ทำให้นางไม่เหงาจนคิดถึงครอบครัวมากเกินไปชาวบ้านที่นี่ต่างรักและเอ็นดูนาง พวกเขาถึงขั้นสร้างบ้านหลังเล็กไว้ให้ใกล้ๆ กับคูน้ำบริเวณที่นางข้ามม
ขณะที่บุรุษยุ่งวุ่นวายตรงหน้าอกอวบทั้งสองเต้า มือหนาก็เลื่อนลงล่างไปแหวกชุดของสตรีออกแล้วดึงกางเกงทุกชิ้นจนออกมากองที่เข่า จากนั้นนิ้วเท้าของเขาก็รับช่วงต่อ เขี่ยจากเข่าลงไปจนหลุดออกจากปลายเท้า เมื่อไม่มีอาภรณ์ปกปิดช่วงล่าง ฝ่ามือหนาของบุรุษก็ตรงเข้าไปขยำเนินเนื้อนุ่ม นิ้วโป้งคลึงเกสรดอกไม้ด้านล่าง นิ้วชี้กับกลางก็ค่อยๆ แหวกช่องรักแล้วแหย่เข้าไปช้าๆ อืม มันช่างนุ่ม ชุ่มชื้นและอุ่นเสียจริง ถ้าได้ลองยัดของจริงเข้าไปคงจะสบายตัวกว่านี้ สบายตรงส่วนนั้นน่ะ บุรุษคิดพร้อมขยับนิ้วมือเข้าออกโพรงเนื้อนุ่ม ซูเหยียนเมื่อถูกนิ้วแกร่งแยงเข้าออกช่องทางรัก นางก็หลับตาสูดปากเคลิบเคลิ้ม เพิ่งเคยรู้ว่าการถูกล่วงล้ำช่างเสียวซ่านเหลือเกิน มิน่าล่ะ ใครๆ ก็ชอบกัน นิ้วร้ายแยงเข้าออกพร้อมทั้งคลึงจุดเสียว ไม่นานนักซูเหยียนก็เสียวจนรู้สึกว่าน้ำในร่างกายไหลลงมารวมกันอยู่ที่ท้องน้อย และพร้อมจะออกสู่นอกร่างกายได้ทุกเมื่อ นางส่งเสียงครางถี่ขึ้นกว่าเดิม บุรุษจึงต้องถอนริมฝีปากจากเต้าอวบมาประกบปิดปากของหญิงสาว เสียงดังเกินไปเดี๋ยวชาวบ้านคนอื่นจะตื
กลางดึกคืนนั้นเอง จ้าวอิ้งฉางสวมฉลองพระองค์สีดำล้วน เขาออกจากตำหนักหมิงเหอโดยไม่ให้ผู้ใดพบเจอบุรุษเลือกเส้นทางลัดเพื่อไปทางป่าไผ่ จากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงวังอย่างง่ายดายทุกอย่างช่างรวดเร็ว ทว่าในใจของบุรุษอยากให้ทุกอย่างช้าลงเขากลัวว่าหากเจอสตรีคนเมื่อวาน แล้วถ้าความเป็นชายของเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ตนเองควรจะทำอย่างไรดีเพราะตอนนี้ปัญหาตรงส่วนนั้นและการมีบุตรล้วนฝากไว้ที่นาง หวังว่านางจะช่วยเขาคลี่คลายสถานการณ์ได้จ้าวอิ้งฉางรวบรวมความมั่นใจ ก้าวเท้าไปทางบ้านหลังเล็กริมคูน้ำ เมื่อไปถึงก็พบว่าบ้านนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงไฟลอดออกมา และก็ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เขาเดินดูรอบบ้านก็ได้แต่ขมวดคิ้วงุนงง สตรีนางนั้นถึงขั้นหอบผ้าหอบผ่อนหนีเขาไป หรือเพราะเขาไม่เอาไหน พานางขึ้นสวรรค์ไม่ได้ นางจึงไม่อยากไปต่อกับเขาคิดไปคิดมาเขาก็กลับวังด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน ........บ้านหลังเล็กในแปลงผักหลังวังซูเหยียนถูกปลุกขึ้นมากลางดึก เพราะเข่อถิงบอกว่าฝ่าบาทต้องการเสวยผักสดๆ จากต้นนางงัวเงียตื่น บิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วก็บ่นไม่หยุด “ใครเขาเก็บผักเวลานี้กัน ผักในครัวสดไม่พอหรืออย่างไร” สตรีเด
เขาก้มลงดูดเม้มและเลียจุกหวานสีน้ำตาลอมชมพู ยิ่งเขาดูดดุนนานขึ้นก็พบว่าจุกหวานแข็งและขยายใหญ่ขึ้นเกือบเท่าปลายนิ้วก้อย แต่ก็ทำให้ดูดถนัดเต็มปากเต็มคำกว่าเดิมนี่คือการเตรียมเต้านมให้กับบุตรในอนาคตสินะ ยิ่งมารดายอดถันใหญ่ น้ำนมก็จะไหลออกมาได้มากเขาจึงไม่ลังเลใจดูดนมสองเต้าสลับไปมาดุจดั่งตนเองเป็นทารกแรกเกิดส่วนท่อนล่างก็กระแทกเร็วขึ้นและหนักขึ้น เพื่อที่จะได้ส่งน้ำเชื้อคุณภาพพุ่งสู่มดลูกทุกหยาดหยดทุกอย่างนี้ก็เพื่อโอรสสวรรค์ที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นเสด็จแม่จะบ่นก็บ่นไป ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วคืนนี้เขาจะจัดอีกหลายท่าและหลายชั่วยาม อย่างไรเสียช่วงนี้เสด็จพ่อยังสำเร็จราชการแทน ดังนั้นเขาจะส่งสตรีขึ้นแตะเส้นขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืน และก็จะตามนางไปแตะขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืนเช่นเดียวกัน........“ฉางเอ๋อร์แอบไปหาเหยียนเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”ไทเฮายกยิ้มมุมปากแสดงสีหน้าหมั่นไส้กับข่าวที่ได้รับมา“เขาไม่ได้กินยามาครึ่งเดือนแล้ว ก็ยังแข็งแรงดี ข้าว่าแล้วไม่มีผิด เขาไม่ได้ป่วยหรอก”นางบ่นลูกชายให้จ้าวอิงสืออดีตฮ่องเต้ฟัง“เอาน่า” จ้าวอิงสือเอ่ย“ตอนนั้นเขาคงประหม่า คิดว่าตนเองจะทำเรื่องแบบนั้นได้ไม่ดีพอ เ
ซูเหยียนนั่งแช่ชั่วครู่ นางหลับตาซึมซับความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน และท่านี้เข้าลึกกว่าที่เคยทำมาทุกครั้งเวลาช่องรักตอดรัดความใหญ่ของอีกฝ่าย ทำให้รู้สึกดีจริงๆนั่งแช่สักพัก สักโพกกลมก็เริ่มถูไถบนท่อนล่างของบุรุษ มังกรยักษ์จึงถูกรูดเข้าออกจนบุรุษหลับตารับความสบายนี้ถูไถจนน้ำใสหลั่งออกมาเยอะพอประมาณ นางก็เปลี่ยนเป็นยกสะโพกขึ้นแล้วกดสะโพกลงล่าง เหมือนกับซาลาเปาตกใส่ตะปูปับ ปับ ปับ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นจ้าวอิ้งฉางมองเรือนร่างอวบอัดกระแทกขึ้นลง เต้านมสวยทั้งสองกระเด้งไปมา ท่อนเอ็นของตนก็ผลุบเข้าออกตามจังหวะของสะโพกกลมกลึงละสายตายากเสียจริงเขาเอื้อมมือหนาขึ้นขยำอกอวบอิ่ม นิ้วเรียวบีบและบี้ยอดถันอย่างเพลิดเพลินเสียงเนื้อกระทบเนื้อและเสียงครางดังออกมาถึงนอกเรือนพวกเขาไม่ได้ทำรักกันมาสิบกว่าวัน เจอกันทั้งทีจึงใส่กันไม่หยุดจ้าวอิ้งฉางเมื่อได้จังหวะก็ยกสะโพกกระแทกสวนบั้นท้ายของซูเหยียนที่กดลงมา ท่อนเอ็นใหญ่ตอกใส่ร่องรักจนหัวหยักแตะถึงปลายสุดโพรงรักของสตรี“อ้า” ซูเหยียนส่งสายตาหวานฉ่ำและเคลิบเคลิ้มให้บุรุษ บ่งบอกว่านางในตอนนี้ตกอยู่ในห้วงความซาบซ่านอย่างถอนตัวไม่ขึ้นจ้าวอิ้งฉางเห็
“ราชโองการ ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้แม่นางซูเหยียนเข้าเป็นพระสนมในวัง รอแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ส่วนขุนนางสกุลซูที่เคยถูกลดขั้น ให้เพิ่มคนละสามขั้นจากตำแหน่งปัจจุบัน ทั้งให้ย้ายกลับไปสังกัดเดิม ทำงานในเมืองหลวงเช่นเดิม”ผู้อื่นที่ได้ยินล้วนดีใจจนอยากจะกระโดดโลดเต้น สกุลซูจะได้กลับมามีหน้ามีตาอีกครั้ง ยกเว้นซูเหยียนที่สีหน้าซีดเผือกนางยกมือคัดค้านราชโองการนี้ทันที“ใต้เท้า ข้าคงเป็นฮองเฮาไม่ได้ เอ่อ ข้ามีสามีแล้ว” นางพูดตามความเป็นจริง สตรีไม่บริสุทธิ์เช่นนางจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ได้อย่างไรอีกทั้งฝ่าบาทเล่นอะไรอยู่ หน้าตานางก็ไม่เคยเห็น จู่ๆ มาทำกลับกลอกเดี๋ยวให้เข้าๆ ออกๆ วัง จะปั่นหัวนางกับสกุลซูหรืออย่างไรบุรุษที่ถือราชโองการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สตรีนางนี้ไม่เห็นแก่ลาภยศ ทั้งยังซื่อสัตย์ต่อตนเองและคนรัก เขาจึงก้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูของซูเหยียน“ฝ่าบาทมีพระนามว่าจ้าวอิ้งฉาง แต่ใช้ชื่อต้าอิ้งเวลาพูดกับสหาย”ก่อนที่ซูเหยียนจะตกใจว่าบุรุษที่ตนเองนอนด้วยมานานคือฝ่าบาท นางกลับตกใจกับชื่อของเขา ชื่อจริงคือ ‘แข็งและยาว’ ชื่อเล่นที่ใช้เรียกคือ ‘ใหญ่และแข็ง’ ฝ่าบาทเป็นคนแบบใดกัน ถึงได้ตั้งชื่อเช่นนี้
มู่จิงหนิงเห็นท่าทางของซูหลีก็เกิดอาการไม่พอใจ นางยอมลดตัวเป็นคู่หมั้นของคนสกุลซูก็ดีเท่าไหร่แล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ว่าสกุลซูเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองหนานได้เพียงห้าปี นายท่านแต่ละคนเป็นขุนนางที่ถูกลดขั้นมาจากเมืองหลวงสกุลดังแต่ไม่เป็นที่โปรดปราน ลูกหลานจะได้ดิบได้ดีแค่ไหนเชียวตอนนี้หลินจื่อตี๋ คู่หมั้นของซูโหย่วผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของซูเหยียนออกไปท่องเที่ยวต่างเมือง มู่จิงหนิงจึงข่มใจรอให้นางกลับมาเสียก่อน แล้วค่อยชวนมาต้อนรับซูเหยียนกลับจวนสตรีที่ถูกบุรุษปฏิเสธ น่าอับอายอย่างมาก มู่จิงหนิงอยากจะทำให้ซูเหยียนรู้บ้างว่านางไม่ใช่คนที่จะเมินใส่ได้ง่ายๆ........ซูเหยียนเข้ามาภายในจวนท่ามกลางสายาตาแปลกประหลาดของบ่าวรับใช้ แต่เมื่อเดินใกล้เรือนหลักก็มีพ่อบ้านเก่าแก่ของสกุลซูวิ่งเข้ามาทักทายนางสีหน้าดีใจ“คุณหนูรองกลับมาแล้ว”“พ่อบ้านหมี่” ซูเหยียนยิ้มตอบ นางกวาดสายตาสำรวจเขาแล้วกล่าว “ท่านยังดูแข็งแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”“คุณหนูรองชมเกินไปแล้ว พวกนายท่านอยู่ด้านใน เชิญคุณหนูเข้าไปเถอะ”ซูเหยียนพยักหน้ารับ นางก้าวเท้าเข้าเรือนหลัก เรือนนี้เป็นเรือนที่ใช้พูดคุยพร้อมหน้าพร้อมตาของคนในตระกูล รวมถึ
ช่วงสายของอีกวันขณะที่ซูเหยียนกำลังกินอาหารเช้าในสวนหย่อมอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านกับคนงานสกุลซูพูดคุยกันน้ำเสียงกังวลใจ“คุณหนูรองไม่เห็นกลับจวนเลย ไหนว่าฝ่าบาทปลดนางสนมทุกคน และส่งตัวออกนอกวังแล้ว”ซูเหยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนางได้รับอิสระแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นอิสระจริงๆ นางยังต้องกลับจวนสกุลซู กลับไปหาครอบครัว ทว่าตอนนี้นางมีบุรุษคนหนึ่งข้างกาย ทั้งยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกันจะทำอย่างไรดี จะบอกแต่ละฝ่ายอย่างไรเรื่องที่นางเคยเป็นสตรีของฮ่องเต้สุดท้ายต้าอิ้งก็ต้องรู้อยู่ดีสตรีรีบกินข้าวจนอิ่มแล้วกลับเรือนไปคิดหาทางออกอย่างแรกก็คือ จะไปจวนสกุลซูด้านข้างอย่างไร ในเมื่อคนของจ้าวอิ้งฉางคอยจับตามองเวลาที่นางป้วนเปี้ยนพยายามปีนออกนอกกำแพงจวนระหว่างที่ซูเหยียนเดินวนไปเวียนมาภายในเรือนอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังขึ้น นางแง้มประตูออกดูก็เห็นบุรุษเรือนกายสูงใหญ่ ตรงกลางเป็นสตรีวัยกลางคนที่มีใบหน้าคุ้นตาไทเฮา“ข้าจะพูดคุยกับแม่นางคนนี้ตามลำพัง พวกเจ้าออกไปให้หมด”ไทเฮาสั่งทั้งกงกง องครักษ์ของตนเองและองครักษ์
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพะย่ะ” หยางกงกงเอ่ยขึ้น สายตามองจ้าวอิ้งฉางเป็นคนแรกก่อนหันมองที่จินเผย “พูดมาเถอะ เขาฟังได้”จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงราบเรียบ เขากับจินเผยสนิทกันมาก หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายระดับบิดามารดาถือมีดไล่ฟันกันด้วยเรื่องชู้สาวก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังกัน เรื่องนี้หยางกงกงก็รู้ดี เพียงแต่ต้องการคำรับรองจากจ้าวอิ้งฉาง “กุ้ยเฟยทรงตั้งครรภ์พะย่ะค่ะ อายุครรภ์ประมาณสามเดือน” หยางกงกงกราบทูล สายตาหลุบต่ำรอการตัดสินใจ “กุ้ยเฟยตั้งครรภ์หรือ กับใครกัน”จินเผยขมวดคิ้วสีหน้าสงสัย กุ้ยเฟยเพิ่งถูกแต่งตั้งได้ตำแหน่งไม่นาน จ้าวอิ้งฉางก็ไม่เคยไปหานาง ที่สำคัญก็คือ ถึงไปหาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วนางจะท้องได้อย่างไรหากไม่ใช่เพราะบุรุษอื่นช่วยทำแทน ทั้งหยางกงกงและจินเผยลอบมองจ้าวอิ้งฉาง พวกเขาคิดว่าจ้าวอิ้งฉางคงโกรธเกรี้ยวเพราะตนเองถูกสวมหมวกเขียว กลับกลายเป็นว่าจ้าวอิ้งฉางพูดน้ำเสียงปกติไม่มีคลื่นอารมณ์ใดเจือปน “ปลดนางออกจากตำแหน่งกุ้ยเฟย ส่งนางกลับสกุลเดิม อ่อ หาตัวพ่อเด็กมารับผิดชอบภายในเวลาห้าวัน”
“เสียงร้องครางเช่นนี้เด็ดเสียจริง ทำเอาข้าอยากไปส่งเสียงให้กำลังใจถึงภายในห้อง”จินเผยนั่งโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลเรือนนอน เมื่อได้ยินเสียงก็รู้สึกคึกคักอยากโห่ร้องเสียงดัง อีกใจก็อยากเข้าไปชี้แนะอย่างละเอียดยิบที่ข้างเตียง เห็นเขาหน้าตาหงิมๆ ดูเรียบร้อย ทว่าตั้งแต่ศึกษาเรื่องอย่างว่าพร้อมกับจ้าวอิ้งฉาง เขาก็ลองใช้ทฤษฎีปฏิบัติกับนางคณิกา เมื่อค้นพบว่าสุขสม ล่องลอยและสบายตัว เขาจึงไปหอนางโลมเพื่อทบทวนทักษะนี้อยู่เป็นประจำ อนาคตฮูหยินของเขาต้องติดใจร้องขอไม่หยุดปากแน่นอน ........ ร่างของสตรีกระตุกเกร็ง ท่อนล่างตอดรัดนิ้วเรียวตุบๆ แถมยังหลั่งน้ำใสชโลมนิ้วจนสตรีต้องหลบสายตาของบุรุษที่จ้องมองใบหน้านางด้วยความพอใจ ใช้แค่นิ้วก็ส่งนางขึ้นสวรรค์ได้แล้ว เขานี้เก่งกาจเสียจริง บุรุษมองสายตาเย้ายวนของสตรี จากนั้นก็ลงมือในขั้นตอนถัดไป ลงลิ้นให้สะโพกนางร่อนไปมา โลมเลียให้นางเสียวซ่านร้องครางลั่นห้อง เขาก้มหน้าลงให้จมูกและปากประทับลงบนร่องรักที่ยังเปียกชุ่ม ลิ้นร้อนตวัดเลียความหวานบนกลีบเนื้อแล้วสลับแหย่ร่องรักพร
“นี่ท่านจะพาข้าไปไหน”ซูเหยียนดิ้นรนขัดขืนในอ้อมแขนแกร่งของจ้าวอิ้งฉาง นางอุตส่าห์หาที่หลบซ่อนตัวได้แล้ว ดันมาเจอคนที่ตนเองหนีหน้าเสียง่ายๆ “ไม่ต้องดิ้นแล้ว เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก”จ้าวอิ้งฉางเอ่ยเสียงเข้ม เขายังคิดหาที่ดีๆ พานางไปหลบซ่อนตัวไม่ได้ จะพาเข้าวังโดยที่นางสถานะเป็นแม่หม้าย คงถูกบรรดาสนมในวังเล่นงาน และถ้าเกิดเล็ดลอดเข้าหูของขุนนางบางคน เขาคงถูกถวายฎีกาให้เลิกข้องเกี่ยวกับนาง “สามีเจ้าตายไปกี่ปีแล้ว”จ้าวอิ้งฉางวางซูเหยียนบนรถม้า ต้องเริ่มวางแผนนำสตรีนางนี้เข้าวังอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ซูเหยียนกรอกตาครุ่นคิดรวดเร็ว “สองปี ข้ายังต้องไว้ทุกข์” นางโกหกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำเรื่องน่าอายกับบุรุษผู้นี้อีก “เกินครึ่งปีก็พอแล้ว” จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงเรียบ เขาคิดว่าสตรีที่แต่งงานแต่ไม่ได้มีอะไรกับสามี ก็เหมือนไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ที่มีปัญหาก็แค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่าย เห็นทีกลับวังไปเขาต้องออกราชโองการ ปล่อยสตรีหม้ายทุกคนที่สามีเสียชีวิตเกินหนึ่งปีสามารถเป็นอิสระจากตระกูลสามีและแต่งงานใหม่ได้ จากน
จ้าวอิ้งฉางใช้มือหนาดันต้นขาขาวของสตรีให้ยกสูงและกว้างขึ้น จากนั้นก้มหน้าเข้าซอกระหว่างขาของสตรี จมูกโด่งแตะที่เนินเนื้อนุ่มแล้วแลบลิ้นเลียกลีบดอกไม้ที่ขนาบร่องฉ่ำทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งก็ยื่นนิ้วเรียวคลึงติ่งเกสรนูนที่เริ่มโผล่ยื่นออกมาทักทาย“อื้ม อ้า”สตรีที่หลับลึกส่งเสียงครางหวานให้ใจบุรุษหวั่นไหว เขาอยากจะทำขั้นตอนต่อไปเร็วๆ แล้วแต่ก็ต้องข่มกลั้นเอาไว้ จับเรียวขาขาวพาดบ่าของตน แล้วใช้ลิ้นชิมความหวานส่วนล่างของสตรีอย่างพิถีพิถันอืม มันก็นุ่ม เพลินและถูกปากดีนะจิ้วอิ้งฉางพอได้ลองสัมผัสก็เริ่มติดใจ เขาตวัดลิ้นร้อนขึ้นลงและสอดเข้าร่องที่ชุ่มฉ่ำ ริมฝีปากก็ดูดเม้มเนื้อนุ่มเป็นระยะ ทำให้สตรีใต้ร่างแอ่นสะโพกสูงขึ้นราวกับต้องการให้เขากินถนัดกว่าเดิมใช้เวลาประมาณหนึ่งถ้วยน้ำชา ร่างอวบอัดก็เริ่มกระตุกเกร็ง น้ำหวานไหลออกมาจากช่องทางรัก เขาจึงช่วยเลียทำความสะอาดอย่างไม่รังเกียจหลังจากนั้นบุรุษก็เปลี่ยนท่าทางของตน เขานั่งคุกเข่าแล้วดันโคนขาสตรียกสูงอีกครั้ง อีกทั้งยังจับกางออกจนกลีบเนื้ออ้าออก เห็นปากทางเข้าโพรงรักเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สูดลมหายใจเข้าจนลึก มังกรตัวใหญ่ยาวด้านล่างเริ่มขยับ