กำแพงวังหลวงที่สูงท่วมหัว หากไม่ใช่ผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งก็ยากมากที่จะกระโดดข้ามได้ แต่ซูเหยียนที่พอมีพื้นฐานวรยุทธ ทั้งยังรู้เรื่องวังหลวงอย่างดี นางกระโดดจับไม้ไผ่จากต้นเตี้ยแล้วไล่ระดับไปที่ต้นสูง สุดท้ายก็กระโดดไปที่ขอบกำแพง ภายนอกกำแพงวังหลวงบริเวณนี้มีแผ่นไม้ขนาดเล็กติดไว้เป็นขั้นบันได คล้ายกับที่วัดส่วนสูงบนผนัง แต่ใช้วัดระดับน้ำคูเมือง หากสูงถึงสีแดงก็เตรียมตัวอพยพออกจากวังหลวงได้เลย
ซูเหยียนที่อยู่บนขอบกำแพงวังหลวงค่อยๆ ไต่แผ่นไม้วัดระดับน้ำลงมาทีละขั้น ใกล้ถึงด้านล่างก็หยิบท่อนไม้ที่วางซุกพิงกำแพงมาวางพาดข้ามคูน้ำ จากนั้นก็เดินบนท่อนไม้ข้ามคูน้ำอย่างช่ำชอง
กว่าจะออกนอกวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนทั่วไป ซูเหยียนต้องใช้เวลาเกือบปีถึงคิดวิธีนี้ได้
นางดึงท่อนไม้มาวางซ่อนใต้น้ำอีกด้านของคูน้ำ แล้วก็มุ่งหน้าไปยังชุมชนเล็กๆ ที่คนยากไร้อยู่ นางมาที่นี่บ่อยครั้ง ส่วนมากก็นำผักผลไม้มาให้พวกเขา บางครั้งก็แอบนอนสักหนึ่งคืนแล้วค่อยกลับ การมาที่นี่ทำให้นางไม่เหงาจนคิดถึงครอบครัวมากเกินไป
ชาวบ้านที่นี่ต่างรักและเอ็นดูนาง พวกเขาถึงขั้นสร้างบ้านหลังเล็กไว้ให้ใกล้ๆ กับคูน้ำบริเวณที่นางข้ามมา ทั้งยังตั้งชื่อเล่นให้นาง ‘เมิ่งเหยียน’ พวกเขาเรียกนางเช่นนี้เพราะหวังว่าวันหนึ่งนางจะทำตามความฝันของตนเองได้
มีอิสระ อยากทำอะไรก็ได้ดั่งที่คิด ตอนนี้นางคิดไว้แล้ว เหลือก็แค่ลงมือทำ
“ท่านป้า ข้าเอาผักมาฝากจ้ะ” ซูเหยียนเดินไปที่บ้านหลังหนึ่ง นางหยิบมะเขือเทศที่ซุกไว้ในเสื้อออกมามอบให้สตรีวัยกลางคนหน้าตาใจดี
“เมิ่งเหยียนมาแล้วหรือ วันนี้คนอื่นๆ ไปขายของที่ตลาดน่ะ” สตรีรับของพลางส่งยิ้มให้ซูเหยียน
“ไม่เป็นไรจ้ะป้า ข้าไปที่บ้านก่อนละกัน มีอะไรให้ช่วยก็เรียกนะ” ซูเหยียนบอก จากนั้นจึงไปเรือนเล็กของตนเองทันที
ที่นอนในวังของนางก็เป็นบ้านหลังเล็กเช่นนี้ แต่ที่นั่นมีนางอยู่คนเดียว เรือนเล็กนอกวังแม้จะไกลจากบ้านหลังอื่นๆ แต่อย่างน้อยยังได้ยินเสียงหัวเราะ ได้กลิ่นควันไฟ ได้เห็นแสงไฟในยามค่ำคืน ไม่เหมือนในวังที่กว่าจะได้พบเห็นผู้คนต้องเดินเกือบครึ่งค่อนวัน
ตอนเย็นหลังจากที่นั่งล้อมวงกินข้าวกับพวกชาวบ้านแล้ว สตรีน้อยในหมู่บ้านก็ดึงซูเหยียนออกมานั่งพูดคุยใต้ต้นไม้ใหญ่
“เดือนหน้าข้าจะแต่งงานแล้วนะ” ฟู่อิง สตรีวัยสิบเจ็ดเล่าด้วยความเขินอาย
“อย่างไร เล่ามาเร็วๆ” สตรีน้อยคนอื่นตาโตตกใจ ถามนางน้ำเสียงตื่นเต้น
“วันก่อนข้าไปเจอใต้เท้าคนหนึ่ง เขาถูกใจข้าตั้งแต่แรกพบ จึงบอกว่าเดือนหน้าจะมาสู่ขอข้า” ฟู่อิงพูดไปยิ้มเล็กยิ้มน้อยไป
“เขาอายุเท่าไหร่ หล่อหรือไม่ จะแต่งเจ้าเป็นเอกหรือเป็นอนุ” สตรีอีกนางถาม ในชีวิตพวกนาง แค่ได้เป็นอนุของคนที่ใจดีและมีฐานะก็พอแล้ว ไม่ต้องทุกข์กายทุกข์ใจ มีกินมีใช้ไม่ขัดสน เป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน
“ข้าก็ไม่ได้ถาม ไว้คราวหน้าข้าจะถามนะ แต่หน้าตาบอกได้เลยว่า รูปงามมาก” ฟู่อิงสีหน้าเคลิบเคลิ้มจนทำให้ผู้ฟังหัวเราะและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน
“พี่เมิ่งเหยียนไม่มีความคิดเห็นอะไรหรือเจ้าคะ” ฟู่อิงถาม เพราะในที่นี้ซูเหยียนเป็นสตรีที่อายุมากที่สุดแถมน่าจะมีประสบการณ์มากที่สุดด้วย
ซูเหยียนส่ายหน้า “ข้าจะมีความคิดเห็นอะไรล่ะ แม้ข้าจะมีบุรุษเป็นของตัวเอง มีบ้านหลังน้อยเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้รู้จักกัน งานข้าก็ยังต้องทำ ไม่ได้อยู่สบายมีสาวใช้คอยดูแล ดังนั้นเรื่องของเจ้าข้าไม่มีความเห็น จะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับที่เจ้าเลือก”
ซูเหยียนนั่งฟังแต่ละคนเล่าเรื่องซุบซิบนินทาต่ออีกสักพักก็กลับบ้านของตน นางทิ้งตัวนอนลงบนเตียง หูก็ได้ยินเสียงชาวบ้านพูดคุยกันเบาๆ ความรู้สึกแบบนี้ช่างครื้นเครงเสียจริง
ในวังหลวงหากเป็นเวลานี้คงเงียบกริบเหมือนไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
เข้าสู่กลางคืนชาวบ้านถึงดับไฟนอน ความเงียบเข้ามาเยือนไม่ต่างจากวังหลวง ซูเหยียนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้บ้าน
ใครกันมาเวลานี้ ขโมยอย่างนั้นหรือ
สตรีลุกขึ้นจากเตียง มือคว้าท่อนไม้ยาวแล้วค่อยๆ ย่องออกนอกบ้าน
เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนข้างคูน้ำฝั่งตรงข้ามกำแพงวัง เงยหน้ามองขึ้นลงราวกับกำลังคำนวณอะไรบ้างอย่าง
จะลอบเข้าวังอย่างนั้นหรือ เฮอะ เข้าไปแถวป่าไผ่กับแปลงผักถึงจะอยู่รอดปลอดภัย แต่เข้าไปถึงวังชั้นในเมื่อไหร่ตายแน่นอน
ซูเหยียนคิดในใจแล้วก็หันหลังทำเป็นไม่สนใจ ใครจะเป็นจะตายไม่เกี่ยวกับนาง
“นั่นใคร” เสียงบุรุษดังขึ้นข้างหลัง เขาเข้ามาประชิดตัวนางอย่างรวดเร็ว แล้วดึงท่อนไม้ออกจากมือนางอย่างแรง
พอได้กลิ่นหอมจากเรือนกายของสตรี เขาก็รู้สึกประหลาด มือหนาคว้าร่างนุ่มนิ่มมากอด จมูกโด่งซุกลงตรงซอกคอยาวระหงสตรีไม่มีทีท่ารังเกียจ
“ปล่อยข้า ข้ามีสามีแล้ว” นี่เป็นสิ่งแรกที่ซูเหยียนนึกขึ้นได้จึงพูดออกมา
“แล้วสามีเจ้าอยู่ที่ไหน” บุรุษถามเสียงแหบพร่า
“ตะ ตายแล้ว” ซูเหยียนตอบพลางทอดถอนหายใจกับตัวเอง จะยกสามีมาอ้าง แต่ก็นึกได้ว่าเป็นสามีในนาม เอามาขู่ใครก็ไม่ได้
หากพูดไปว่าสามีข้าเป็นฮ่องเต้ ผู้ใดจะเชื่อ
ขนาดฮ่องเต้เองก็คงไม่เชื่อ เขาเคยแตะต้องตัวนางเสียเมื่อไหร่
แต่ถ้าบอกว่าเป็นคนงานในวัง ต่ำต้อยกว่านางกำนัลคงถึงจะมีคนเชื่อ
“แม่หม้ายอย่างนั้นหรือ” เขากระซิบข้างหู ฝ่ามือเลื่อนไปทั่วเรือนร่างอวบอัด จากนั้นก็หยุดตรงหน้าอกใหญ่ มือหนาทั้งสองข้างขยำหน้าอกจนซูเหยียนเผลอร้องเจ็บออกมา
ได้ยินเสียงสตรี บุรุษก็ยิ่งอารมณ์พลุ่งพล่าน เขาจับร่างบางพาดบ่าของตน แล้วพาไปบ้านหลังเล็กของนางอย่างรวดเร็ว
จับสตรีลงนอนบนเตียง ดึงเสื้อออกทุกชั้นจนสองเต้าอวบได้รับอิสระ จุกน้อยสีชมพูอ่อนชูชันราวกับดีใจที่ได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์
ดวงตาเหยี่ยวจ้องมองหน้าอกอวบที่ขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ มือหนายื่นไปจับสองเต้ารวมถึงใช้นิ้วคลึงหนีบจุกเล็กโดยไม่มีการขออนุญาตแต่อย่างใด
ทั้งใหญ่ทั้งนุ่ม สบายมือเสียจริง
เมื่อเขาคลึง กดและบีบจุกสีหวาน เสียงครางก็ดังขึ้นเบาๆ
ซูเหยียนถูกสัมผัสที่จุดอ่อนไหวครั้งแรก ย่อมทนรับความรู้สึกแปลกใหม่ได้ไม่นาน
“อ้า”
เสียงครางที่ทำให้คนฟังเกิดอารมณ์มากกว่าเดิม บุรุษได้ยินจึงไม่รีรอก้มหน้าให้ปากหยักของตนลงครอบจุกหวาน จากนั้นจึงขยับริมฝีปากและลิ้นทั้งดูดและตวัดเลียเร็วๆ รัวๆ จนซูเหยียนแอ่นอกตอบรับความเสียวซ่าน มือเรียวขยุ้มศีรษะเขาราวกับต้องการป้อนเต้าอวบให้เขาดูดดื่มจนหนำใจ
ขณะที่บุรุษยุ่งวุ่นวายตรงหน้าอกอวบทั้งสองเต้า มือหนาก็เลื่อนลงล่างไปแหวกชุดของสตรีออกแล้วดึงกางเกงทุกชิ้นจนออกมากองที่เข่า จากนั้นนิ้วเท้าของเขาก็รับช่วงต่อ เขี่ยจากเข่าลงไปจนหลุดออกจากปลายเท้า เมื่อไม่มีอาภรณ์ปกปิดช่วงล่าง ฝ่ามือหนาของบุรุษก็ตรงเข้าไปขยำเนินเนื้อนุ่ม นิ้วโป้งคลึงเกสรดอกไม้ด้านล่าง นิ้วชี้กับกลางก็ค่อยๆ แหวกช่องรักแล้วแหย่เข้าไปช้าๆ อืม มันช่างนุ่ม ชุ่มชื้นและอุ่นเสียจริง ถ้าได้ลองยัดของจริงเข้าไปคงจะสบายตัวกว่านี้ สบายตรงส่วนนั้นน่ะ บุรุษคิดพร้อมขยับนิ้วมือเข้าออกโพรงเนื้อนุ่ม ซูเหยียนเมื่อถูกนิ้วแกร่งแยงเข้าออกช่องทางรัก นางก็หลับตาสูดปากเคลิบเคลิ้ม เพิ่งเคยรู้ว่าการถูกล่วงล้ำช่างเสียวซ่านเหลือเกิน มิน่าล่ะ ใครๆ ก็ชอบกัน นิ้วร้ายแยงเข้าออกพร้อมทั้งคลึงจุดเสียว ไม่นานนักซูเหยียนก็เสียวจนรู้สึกว่าน้ำในร่างกายไหลลงมารวมกันอยู่ที่ท้องน้อย และพร้อมจะออกสู่นอกร่างกายได้ทุกเมื่อ นางส่งเสียงครางถี่ขึ้นกว่าเดิม บุรุษจึงต้องถอนริมฝีปากจากเต้าอวบมาประกบปิดปากของหญิงสาว เสียงดังเกินไปเดี๋ยวชาวบ้านคนอื่นจะตื
กลางดึกคืนนั้นเอง จ้าวอิ้งฉางสวมฉลองพระองค์สีดำล้วน เขาออกจากตำหนักหมิงเหอโดยไม่ให้ผู้ใดพบเจอบุรุษเลือกเส้นทางลัดเพื่อไปทางป่าไผ่ จากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงวังอย่างง่ายดายทุกอย่างช่างรวดเร็ว ทว่าในใจของบุรุษอยากให้ทุกอย่างช้าลงเขากลัวว่าหากเจอสตรีคนเมื่อวาน แล้วถ้าความเป็นชายของเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ตนเองควรจะทำอย่างไรดีเพราะตอนนี้ปัญหาตรงส่วนนั้นและการมีบุตรล้วนฝากไว้ที่นาง หวังว่านางจะช่วยเขาคลี่คลายสถานการณ์ได้จ้าวอิ้งฉางรวบรวมความมั่นใจ ก้าวเท้าไปทางบ้านหลังเล็กริมคูน้ำ เมื่อไปถึงก็พบว่าบ้านนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงไฟลอดออกมา และก็ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เขาเดินดูรอบบ้านก็ได้แต่ขมวดคิ้วงุนงง สตรีนางนั้นถึงขั้นหอบผ้าหอบผ่อนหนีเขาไป หรือเพราะเขาไม่เอาไหน พานางขึ้นสวรรค์ไม่ได้ นางจึงไม่อยากไปต่อกับเขาคิดไปคิดมาเขาก็กลับวังด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน ........บ้านหลังเล็กในแปลงผักหลังวังซูเหยียนถูกปลุกขึ้นมากลางดึก เพราะเข่อถิงบอกว่าฝ่าบาทต้องการเสวยผักสดๆ จากต้นนางงัวเงียตื่น บิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วก็บ่นไม่หยุด “ใครเขาเก็บผักเวลานี้กัน ผักในครัวสดไม่พอหรืออย่างไร” สตรีเด
จ้าวอิ้งฉางใช้มือหนาดันต้นขาขาวของสตรีให้ยกสูงและกว้างขึ้น จากนั้นก้มหน้าเข้าซอกระหว่างขาของสตรี จมูกโด่งแตะที่เนินเนื้อนุ่มแล้วแลบลิ้นเลียกลีบดอกไม้ที่ขนาบร่องฉ่ำทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งก็ยื่นนิ้วเรียวคลึงติ่งเกสรนูนที่เริ่มโผล่ยื่นออกมาทักทาย“อื้ม อ้า”สตรีที่หลับลึกส่งเสียงครางหวานให้ใจบุรุษหวั่นไหว เขาอยากจะทำขั้นตอนต่อไปเร็วๆ แล้วแต่ก็ต้องข่มกลั้นเอาไว้ จับเรียวขาขาวพาดบ่าของตน แล้วใช้ลิ้นชิมความหวานส่วนล่างของสตรีอย่างพิถีพิถันอืม มันก็นุ่ม เพลินและถูกปากดีนะจิ้วอิ้งฉางพอได้ลองสัมผัสก็เริ่มติดใจ เขาตวัดลิ้นร้อนขึ้นลงและสอดเข้าร่องที่ชุ่มฉ่ำ ริมฝีปากก็ดูดเม้มเนื้อนุ่มเป็นระยะ ทำให้สตรีใต้ร่างแอ่นสะโพกสูงขึ้นราวกับต้องการให้เขากินถนัดกว่าเดิมใช้เวลาประมาณหนึ่งถ้วยน้ำชา ร่างอวบอัดก็เริ่มกระตุกเกร็ง น้ำหวานไหลออกมาจากช่องทางรัก เขาจึงช่วยเลียทำความสะอาดอย่างไม่รังเกียจหลังจากนั้นบุรุษก็เปลี่ยนท่าทางของตน เขานั่งคุกเข่าแล้วดันโคนขาสตรียกสูงอีกครั้ง อีกทั้งยังจับกางออกจนกลีบเนื้ออ้าออก เห็นปากทางเข้าโพรงรักเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สูดลมหายใจเข้าจนลึก มังกรตัวใหญ่ยาวด้านล่างเริ่มขยับ
“นี่ท่านจะพาข้าไปไหน”ซูเหยียนดิ้นรนขัดขืนในอ้อมแขนแกร่งของจ้าวอิ้งฉาง นางอุตส่าห์หาที่หลบซ่อนตัวได้แล้ว ดันมาเจอคนที่ตนเองหนีหน้าเสียง่ายๆ “ไม่ต้องดิ้นแล้ว เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก”จ้าวอิ้งฉางเอ่ยเสียงเข้ม เขายังคิดหาที่ดีๆ พานางไปหลบซ่อนตัวไม่ได้ จะพาเข้าวังโดยที่นางสถานะเป็นแม่หม้าย คงถูกบรรดาสนมในวังเล่นงาน และถ้าเกิดเล็ดลอดเข้าหูของขุนนางบางคน เขาคงถูกถวายฎีกาให้เลิกข้องเกี่ยวกับนาง “สามีเจ้าตายไปกี่ปีแล้ว”จ้าวอิ้งฉางวางซูเหยียนบนรถม้า ต้องเริ่มวางแผนนำสตรีนางนี้เข้าวังอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ซูเหยียนกรอกตาครุ่นคิดรวดเร็ว “สองปี ข้ายังต้องไว้ทุกข์” นางโกหกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำเรื่องน่าอายกับบุรุษผู้นี้อีก “เกินครึ่งปีก็พอแล้ว” จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงเรียบ เขาคิดว่าสตรีที่แต่งงานแต่ไม่ได้มีอะไรกับสามี ก็เหมือนไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ที่มีปัญหาก็แค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่าย เห็นทีกลับวังไปเขาต้องออกราชโองการ ปล่อยสตรีหม้ายทุกคนที่สามีเสียชีวิตเกินหนึ่งปีสามารถเป็นอิสระจากตระกูลสามีและแต่งงานใหม่ได้ จากน
“เสียงร้องครางเช่นนี้เด็ดเสียจริง ทำเอาข้าอยากไปส่งเสียงให้กำลังใจถึงภายในห้อง”จินเผยนั่งโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลเรือนนอน เมื่อได้ยินเสียงก็รู้สึกคึกคักอยากโห่ร้องเสียงดัง อีกใจก็อยากเข้าไปชี้แนะอย่างละเอียดยิบที่ข้างเตียง เห็นเขาหน้าตาหงิมๆ ดูเรียบร้อย ทว่าตั้งแต่ศึกษาเรื่องอย่างว่าพร้อมกับจ้าวอิ้งฉาง เขาก็ลองใช้ทฤษฎีปฏิบัติกับนางคณิกา เมื่อค้นพบว่าสุขสม ล่องลอยและสบายตัว เขาจึงไปหอนางโลมเพื่อทบทวนทักษะนี้อยู่เป็นประจำ อนาคตฮูหยินของเขาต้องติดใจร้องขอไม่หยุดปากแน่นอน ........ ร่างของสตรีกระตุกเกร็ง ท่อนล่างตอดรัดนิ้วเรียวตุบๆ แถมยังหลั่งน้ำใสชโลมนิ้วจนสตรีต้องหลบสายตาของบุรุษที่จ้องมองใบหน้านางด้วยความพอใจ ใช้แค่นิ้วก็ส่งนางขึ้นสวรรค์ได้แล้ว เขานี้เก่งกาจเสียจริง บุรุษมองสายตาเย้ายวนของสตรี จากนั้นก็ลงมือในขั้นตอนถัดไป ลงลิ้นให้สะโพกนางร่อนไปมา โลมเลียให้นางเสียวซ่านร้องครางลั่นห้อง เขาก้มหน้าลงให้จมูกและปากประทับลงบนร่องรักที่ยังเปียกชุ่ม ลิ้นร้อนตวัดเลียความหวานบนกลีบเนื้อแล้วสลับแหย่ร่องรักพร
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพะย่ะ” หยางกงกงเอ่ยขึ้น สายตามองจ้าวอิ้งฉางเป็นคนแรกก่อนหันมองที่จินเผย “พูดมาเถอะ เขาฟังได้”จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงราบเรียบ เขากับจินเผยสนิทกันมาก หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายระดับบิดามารดาถือมีดไล่ฟันกันด้วยเรื่องชู้สาวก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังกัน เรื่องนี้หยางกงกงก็รู้ดี เพียงแต่ต้องการคำรับรองจากจ้าวอิ้งฉาง “กุ้ยเฟยทรงตั้งครรภ์พะย่ะค่ะ อายุครรภ์ประมาณสามเดือน” หยางกงกงกราบทูล สายตาหลุบต่ำรอการตัดสินใจ “กุ้ยเฟยตั้งครรภ์หรือ กับใครกัน”จินเผยขมวดคิ้วสีหน้าสงสัย กุ้ยเฟยเพิ่งถูกแต่งตั้งได้ตำแหน่งไม่นาน จ้าวอิ้งฉางก็ไม่เคยไปหานาง ที่สำคัญก็คือ ถึงไปหาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วนางจะท้องได้อย่างไรหากไม่ใช่เพราะบุรุษอื่นช่วยทำแทน ทั้งหยางกงกงและจินเผยลอบมองจ้าวอิ้งฉาง พวกเขาคิดว่าจ้าวอิ้งฉางคงโกรธเกรี้ยวเพราะตนเองถูกสวมหมวกเขียว กลับกลายเป็นว่าจ้าวอิ้งฉางพูดน้ำเสียงปกติไม่มีคลื่นอารมณ์ใดเจือปน “ปลดนางออกจากตำแหน่งกุ้ยเฟย ส่งนางกลับสกุลเดิม อ่อ หาตัวพ่อเด็กมารับผิดชอบภายในเวลาห้าวัน”
ช่วงสายของอีกวันขณะที่ซูเหยียนกำลังกินอาหารเช้าในสวนหย่อมอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านกับคนงานสกุลซูพูดคุยกันน้ำเสียงกังวลใจ“คุณหนูรองไม่เห็นกลับจวนเลย ไหนว่าฝ่าบาทปลดนางสนมทุกคน และส่งตัวออกนอกวังแล้ว”ซูเหยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนางได้รับอิสระแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นอิสระจริงๆ นางยังต้องกลับจวนสกุลซู กลับไปหาครอบครัว ทว่าตอนนี้นางมีบุรุษคนหนึ่งข้างกาย ทั้งยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกันจะทำอย่างไรดี จะบอกแต่ละฝ่ายอย่างไรเรื่องที่นางเคยเป็นสตรีของฮ่องเต้สุดท้ายต้าอิ้งก็ต้องรู้อยู่ดีสตรีรีบกินข้าวจนอิ่มแล้วกลับเรือนไปคิดหาทางออกอย่างแรกก็คือ จะไปจวนสกุลซูด้านข้างอย่างไร ในเมื่อคนของจ้าวอิ้งฉางคอยจับตามองเวลาที่นางป้วนเปี้ยนพยายามปีนออกนอกกำแพงจวนระหว่างที่ซูเหยียนเดินวนไปเวียนมาภายในเรือนอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังขึ้น นางแง้มประตูออกดูก็เห็นบุรุษเรือนกายสูงใหญ่ ตรงกลางเป็นสตรีวัยกลางคนที่มีใบหน้าคุ้นตาไทเฮา“ข้าจะพูดคุยกับแม่นางคนนี้ตามลำพัง พวกเจ้าออกไปให้หมด”ไทเฮาสั่งทั้งกงกง องครักษ์ของตนเองและองครักษ์
มู่จิงหนิงเห็นท่าทางของซูหลีก็เกิดอาการไม่พอใจ นางยอมลดตัวเป็นคู่หมั้นของคนสกุลซูก็ดีเท่าไหร่แล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ว่าสกุลซูเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองหนานได้เพียงห้าปี นายท่านแต่ละคนเป็นขุนนางที่ถูกลดขั้นมาจากเมืองหลวงสกุลดังแต่ไม่เป็นที่โปรดปราน ลูกหลานจะได้ดิบได้ดีแค่ไหนเชียวตอนนี้หลินจื่อตี๋ คู่หมั้นของซูโหย่วผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของซูเหยียนออกไปท่องเที่ยวต่างเมือง มู่จิงหนิงจึงข่มใจรอให้นางกลับมาเสียก่อน แล้วค่อยชวนมาต้อนรับซูเหยียนกลับจวนสตรีที่ถูกบุรุษปฏิเสธ น่าอับอายอย่างมาก มู่จิงหนิงอยากจะทำให้ซูเหยียนรู้บ้างว่านางไม่ใช่คนที่จะเมินใส่ได้ง่ายๆ........ซูเหยียนเข้ามาภายในจวนท่ามกลางสายาตาแปลกประหลาดของบ่าวรับใช้ แต่เมื่อเดินใกล้เรือนหลักก็มีพ่อบ้านเก่าแก่ของสกุลซูวิ่งเข้ามาทักทายนางสีหน้าดีใจ“คุณหนูรองกลับมาแล้ว”“พ่อบ้านหมี่” ซูเหยียนยิ้มตอบ นางกวาดสายตาสำรวจเขาแล้วกล่าว “ท่านยังดูแข็งแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”“คุณหนูรองชมเกินไปแล้ว พวกนายท่านอยู่ด้านใน เชิญคุณหนูเข้าไปเถอะ”ซูเหยียนพยักหน้ารับ นางก้าวเท้าเข้าเรือนหลัก เรือนนี้เป็นเรือนที่ใช้พูดคุยพร้อมหน้าพร้อมตาของคนในตระกูล รวมถึ
เขาก้มลงดูดเม้มและเลียจุกหวานสีน้ำตาลอมชมพู ยิ่งเขาดูดดุนนานขึ้นก็พบว่าจุกหวานแข็งและขยายใหญ่ขึ้นเกือบเท่าปลายนิ้วก้อย แต่ก็ทำให้ดูดถนัดเต็มปากเต็มคำกว่าเดิมนี่คือการเตรียมเต้านมให้กับบุตรในอนาคตสินะ ยิ่งมารดายอดถันใหญ่ น้ำนมก็จะไหลออกมาได้มากเขาจึงไม่ลังเลใจดูดนมสองเต้าสลับไปมาดุจดั่งตนเองเป็นทารกแรกเกิดส่วนท่อนล่างก็กระแทกเร็วขึ้นและหนักขึ้น เพื่อที่จะได้ส่งน้ำเชื้อคุณภาพพุ่งสู่มดลูกทุกหยาดหยดทุกอย่างนี้ก็เพื่อโอรสสวรรค์ที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นเสด็จแม่จะบ่นก็บ่นไป ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วคืนนี้เขาจะจัดอีกหลายท่าและหลายชั่วยาม อย่างไรเสียช่วงนี้เสด็จพ่อยังสำเร็จราชการแทน ดังนั้นเขาจะส่งสตรีขึ้นแตะเส้นขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืน และก็จะตามนางไปแตะขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืนเช่นเดียวกัน........“ฉางเอ๋อร์แอบไปหาเหยียนเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”ไทเฮายกยิ้มมุมปากแสดงสีหน้าหมั่นไส้กับข่าวที่ได้รับมา“เขาไม่ได้กินยามาครึ่งเดือนแล้ว ก็ยังแข็งแรงดี ข้าว่าแล้วไม่มีผิด เขาไม่ได้ป่วยหรอก”นางบ่นลูกชายให้จ้าวอิงสืออดีตฮ่องเต้ฟัง“เอาน่า” จ้าวอิงสือเอ่ย“ตอนนั้นเขาคงประหม่า คิดว่าตนเองจะทำเรื่องแบบนั้นได้ไม่ดีพอ เ
ซูเหยียนนั่งแช่ชั่วครู่ นางหลับตาซึมซับความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน และท่านี้เข้าลึกกว่าที่เคยทำมาทุกครั้งเวลาช่องรักตอดรัดความใหญ่ของอีกฝ่าย ทำให้รู้สึกดีจริงๆนั่งแช่สักพัก สักโพกกลมก็เริ่มถูไถบนท่อนล่างของบุรุษ มังกรยักษ์จึงถูกรูดเข้าออกจนบุรุษหลับตารับความสบายนี้ถูไถจนน้ำใสหลั่งออกมาเยอะพอประมาณ นางก็เปลี่ยนเป็นยกสะโพกขึ้นแล้วกดสะโพกลงล่าง เหมือนกับซาลาเปาตกใส่ตะปูปับ ปับ ปับ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นจ้าวอิ้งฉางมองเรือนร่างอวบอัดกระแทกขึ้นลง เต้านมสวยทั้งสองกระเด้งไปมา ท่อนเอ็นของตนก็ผลุบเข้าออกตามจังหวะของสะโพกกลมกลึงละสายตายากเสียจริงเขาเอื้อมมือหนาขึ้นขยำอกอวบอิ่ม นิ้วเรียวบีบและบี้ยอดถันอย่างเพลิดเพลินเสียงเนื้อกระทบเนื้อและเสียงครางดังออกมาถึงนอกเรือนพวกเขาไม่ได้ทำรักกันมาสิบกว่าวัน เจอกันทั้งทีจึงใส่กันไม่หยุดจ้าวอิ้งฉางเมื่อได้จังหวะก็ยกสะโพกกระแทกสวนบั้นท้ายของซูเหยียนที่กดลงมา ท่อนเอ็นใหญ่ตอกใส่ร่องรักจนหัวหยักแตะถึงปลายสุดโพรงรักของสตรี“อ้า” ซูเหยียนส่งสายตาหวานฉ่ำและเคลิบเคลิ้มให้บุรุษ บ่งบอกว่านางในตอนนี้ตกอยู่ในห้วงความซาบซ่านอย่างถอนตัวไม่ขึ้นจ้าวอิ้งฉางเห็
“ราชโองการ ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้แม่นางซูเหยียนเข้าเป็นพระสนมในวัง รอแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ส่วนขุนนางสกุลซูที่เคยถูกลดขั้น ให้เพิ่มคนละสามขั้นจากตำแหน่งปัจจุบัน ทั้งให้ย้ายกลับไปสังกัดเดิม ทำงานในเมืองหลวงเช่นเดิม”ผู้อื่นที่ได้ยินล้วนดีใจจนอยากจะกระโดดโลดเต้น สกุลซูจะได้กลับมามีหน้ามีตาอีกครั้ง ยกเว้นซูเหยียนที่สีหน้าซีดเผือกนางยกมือคัดค้านราชโองการนี้ทันที“ใต้เท้า ข้าคงเป็นฮองเฮาไม่ได้ เอ่อ ข้ามีสามีแล้ว” นางพูดตามความเป็นจริง สตรีไม่บริสุทธิ์เช่นนางจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ได้อย่างไรอีกทั้งฝ่าบาทเล่นอะไรอยู่ หน้าตานางก็ไม่เคยเห็น จู่ๆ มาทำกลับกลอกเดี๋ยวให้เข้าๆ ออกๆ วัง จะปั่นหัวนางกับสกุลซูหรืออย่างไรบุรุษที่ถือราชโองการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สตรีนางนี้ไม่เห็นแก่ลาภยศ ทั้งยังซื่อสัตย์ต่อตนเองและคนรัก เขาจึงก้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูของซูเหยียน“ฝ่าบาทมีพระนามว่าจ้าวอิ้งฉาง แต่ใช้ชื่อต้าอิ้งเวลาพูดกับสหาย”ก่อนที่ซูเหยียนจะตกใจว่าบุรุษที่ตนเองนอนด้วยมานานคือฝ่าบาท นางกลับตกใจกับชื่อของเขา ชื่อจริงคือ ‘แข็งและยาว’ ชื่อเล่นที่ใช้เรียกคือ ‘ใหญ่และแข็ง’ ฝ่าบาทเป็นคนแบบใดกัน ถึงได้ตั้งชื่อเช่นนี้
มู่จิงหนิงเห็นท่าทางของซูหลีก็เกิดอาการไม่พอใจ นางยอมลดตัวเป็นคู่หมั้นของคนสกุลซูก็ดีเท่าไหร่แล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ว่าสกุลซูเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองหนานได้เพียงห้าปี นายท่านแต่ละคนเป็นขุนนางที่ถูกลดขั้นมาจากเมืองหลวงสกุลดังแต่ไม่เป็นที่โปรดปราน ลูกหลานจะได้ดิบได้ดีแค่ไหนเชียวตอนนี้หลินจื่อตี๋ คู่หมั้นของซูโหย่วผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของซูเหยียนออกไปท่องเที่ยวต่างเมือง มู่จิงหนิงจึงข่มใจรอให้นางกลับมาเสียก่อน แล้วค่อยชวนมาต้อนรับซูเหยียนกลับจวนสตรีที่ถูกบุรุษปฏิเสธ น่าอับอายอย่างมาก มู่จิงหนิงอยากจะทำให้ซูเหยียนรู้บ้างว่านางไม่ใช่คนที่จะเมินใส่ได้ง่ายๆ........ซูเหยียนเข้ามาภายในจวนท่ามกลางสายาตาแปลกประหลาดของบ่าวรับใช้ แต่เมื่อเดินใกล้เรือนหลักก็มีพ่อบ้านเก่าแก่ของสกุลซูวิ่งเข้ามาทักทายนางสีหน้าดีใจ“คุณหนูรองกลับมาแล้ว”“พ่อบ้านหมี่” ซูเหยียนยิ้มตอบ นางกวาดสายตาสำรวจเขาแล้วกล่าว “ท่านยังดูแข็งแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”“คุณหนูรองชมเกินไปแล้ว พวกนายท่านอยู่ด้านใน เชิญคุณหนูเข้าไปเถอะ”ซูเหยียนพยักหน้ารับ นางก้าวเท้าเข้าเรือนหลัก เรือนนี้เป็นเรือนที่ใช้พูดคุยพร้อมหน้าพร้อมตาของคนในตระกูล รวมถึ
ช่วงสายของอีกวันขณะที่ซูเหยียนกำลังกินอาหารเช้าในสวนหย่อมอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านกับคนงานสกุลซูพูดคุยกันน้ำเสียงกังวลใจ“คุณหนูรองไม่เห็นกลับจวนเลย ไหนว่าฝ่าบาทปลดนางสนมทุกคน และส่งตัวออกนอกวังแล้ว”ซูเหยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนางได้รับอิสระแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นอิสระจริงๆ นางยังต้องกลับจวนสกุลซู กลับไปหาครอบครัว ทว่าตอนนี้นางมีบุรุษคนหนึ่งข้างกาย ทั้งยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกันจะทำอย่างไรดี จะบอกแต่ละฝ่ายอย่างไรเรื่องที่นางเคยเป็นสตรีของฮ่องเต้สุดท้ายต้าอิ้งก็ต้องรู้อยู่ดีสตรีรีบกินข้าวจนอิ่มแล้วกลับเรือนไปคิดหาทางออกอย่างแรกก็คือ จะไปจวนสกุลซูด้านข้างอย่างไร ในเมื่อคนของจ้าวอิ้งฉางคอยจับตามองเวลาที่นางป้วนเปี้ยนพยายามปีนออกนอกกำแพงจวนระหว่างที่ซูเหยียนเดินวนไปเวียนมาภายในเรือนอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังขึ้น นางแง้มประตูออกดูก็เห็นบุรุษเรือนกายสูงใหญ่ ตรงกลางเป็นสตรีวัยกลางคนที่มีใบหน้าคุ้นตาไทเฮา“ข้าจะพูดคุยกับแม่นางคนนี้ตามลำพัง พวกเจ้าออกไปให้หมด”ไทเฮาสั่งทั้งกงกง องครักษ์ของตนเองและองครักษ์
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพะย่ะ” หยางกงกงเอ่ยขึ้น สายตามองจ้าวอิ้งฉางเป็นคนแรกก่อนหันมองที่จินเผย “พูดมาเถอะ เขาฟังได้”จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงราบเรียบ เขากับจินเผยสนิทกันมาก หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายระดับบิดามารดาถือมีดไล่ฟันกันด้วยเรื่องชู้สาวก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังกัน เรื่องนี้หยางกงกงก็รู้ดี เพียงแต่ต้องการคำรับรองจากจ้าวอิ้งฉาง “กุ้ยเฟยทรงตั้งครรภ์พะย่ะค่ะ อายุครรภ์ประมาณสามเดือน” หยางกงกงกราบทูล สายตาหลุบต่ำรอการตัดสินใจ “กุ้ยเฟยตั้งครรภ์หรือ กับใครกัน”จินเผยขมวดคิ้วสีหน้าสงสัย กุ้ยเฟยเพิ่งถูกแต่งตั้งได้ตำแหน่งไม่นาน จ้าวอิ้งฉางก็ไม่เคยไปหานาง ที่สำคัญก็คือ ถึงไปหาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วนางจะท้องได้อย่างไรหากไม่ใช่เพราะบุรุษอื่นช่วยทำแทน ทั้งหยางกงกงและจินเผยลอบมองจ้าวอิ้งฉาง พวกเขาคิดว่าจ้าวอิ้งฉางคงโกรธเกรี้ยวเพราะตนเองถูกสวมหมวกเขียว กลับกลายเป็นว่าจ้าวอิ้งฉางพูดน้ำเสียงปกติไม่มีคลื่นอารมณ์ใดเจือปน “ปลดนางออกจากตำแหน่งกุ้ยเฟย ส่งนางกลับสกุลเดิม อ่อ หาตัวพ่อเด็กมารับผิดชอบภายในเวลาห้าวัน”
“เสียงร้องครางเช่นนี้เด็ดเสียจริง ทำเอาข้าอยากไปส่งเสียงให้กำลังใจถึงภายในห้อง”จินเผยนั่งโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลเรือนนอน เมื่อได้ยินเสียงก็รู้สึกคึกคักอยากโห่ร้องเสียงดัง อีกใจก็อยากเข้าไปชี้แนะอย่างละเอียดยิบที่ข้างเตียง เห็นเขาหน้าตาหงิมๆ ดูเรียบร้อย ทว่าตั้งแต่ศึกษาเรื่องอย่างว่าพร้อมกับจ้าวอิ้งฉาง เขาก็ลองใช้ทฤษฎีปฏิบัติกับนางคณิกา เมื่อค้นพบว่าสุขสม ล่องลอยและสบายตัว เขาจึงไปหอนางโลมเพื่อทบทวนทักษะนี้อยู่เป็นประจำ อนาคตฮูหยินของเขาต้องติดใจร้องขอไม่หยุดปากแน่นอน ........ ร่างของสตรีกระตุกเกร็ง ท่อนล่างตอดรัดนิ้วเรียวตุบๆ แถมยังหลั่งน้ำใสชโลมนิ้วจนสตรีต้องหลบสายตาของบุรุษที่จ้องมองใบหน้านางด้วยความพอใจ ใช้แค่นิ้วก็ส่งนางขึ้นสวรรค์ได้แล้ว เขานี้เก่งกาจเสียจริง บุรุษมองสายตาเย้ายวนของสตรี จากนั้นก็ลงมือในขั้นตอนถัดไป ลงลิ้นให้สะโพกนางร่อนไปมา โลมเลียให้นางเสียวซ่านร้องครางลั่นห้อง เขาก้มหน้าลงให้จมูกและปากประทับลงบนร่องรักที่ยังเปียกชุ่ม ลิ้นร้อนตวัดเลียความหวานบนกลีบเนื้อแล้วสลับแหย่ร่องรักพร
“นี่ท่านจะพาข้าไปไหน”ซูเหยียนดิ้นรนขัดขืนในอ้อมแขนแกร่งของจ้าวอิ้งฉาง นางอุตส่าห์หาที่หลบซ่อนตัวได้แล้ว ดันมาเจอคนที่ตนเองหนีหน้าเสียง่ายๆ “ไม่ต้องดิ้นแล้ว เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก”จ้าวอิ้งฉางเอ่ยเสียงเข้ม เขายังคิดหาที่ดีๆ พานางไปหลบซ่อนตัวไม่ได้ จะพาเข้าวังโดยที่นางสถานะเป็นแม่หม้าย คงถูกบรรดาสนมในวังเล่นงาน และถ้าเกิดเล็ดลอดเข้าหูของขุนนางบางคน เขาคงถูกถวายฎีกาให้เลิกข้องเกี่ยวกับนาง “สามีเจ้าตายไปกี่ปีแล้ว”จ้าวอิ้งฉางวางซูเหยียนบนรถม้า ต้องเริ่มวางแผนนำสตรีนางนี้เข้าวังอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ซูเหยียนกรอกตาครุ่นคิดรวดเร็ว “สองปี ข้ายังต้องไว้ทุกข์” นางโกหกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำเรื่องน่าอายกับบุรุษผู้นี้อีก “เกินครึ่งปีก็พอแล้ว” จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงเรียบ เขาคิดว่าสตรีที่แต่งงานแต่ไม่ได้มีอะไรกับสามี ก็เหมือนไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ที่มีปัญหาก็แค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่าย เห็นทีกลับวังไปเขาต้องออกราชโองการ ปล่อยสตรีหม้ายทุกคนที่สามีเสียชีวิตเกินหนึ่งปีสามารถเป็นอิสระจากตระกูลสามีและแต่งงานใหม่ได้ จากน
จ้าวอิ้งฉางใช้มือหนาดันต้นขาขาวของสตรีให้ยกสูงและกว้างขึ้น จากนั้นก้มหน้าเข้าซอกระหว่างขาของสตรี จมูกโด่งแตะที่เนินเนื้อนุ่มแล้วแลบลิ้นเลียกลีบดอกไม้ที่ขนาบร่องฉ่ำทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งก็ยื่นนิ้วเรียวคลึงติ่งเกสรนูนที่เริ่มโผล่ยื่นออกมาทักทาย“อื้ม อ้า”สตรีที่หลับลึกส่งเสียงครางหวานให้ใจบุรุษหวั่นไหว เขาอยากจะทำขั้นตอนต่อไปเร็วๆ แล้วแต่ก็ต้องข่มกลั้นเอาไว้ จับเรียวขาขาวพาดบ่าของตน แล้วใช้ลิ้นชิมความหวานส่วนล่างของสตรีอย่างพิถีพิถันอืม มันก็นุ่ม เพลินและถูกปากดีนะจิ้วอิ้งฉางพอได้ลองสัมผัสก็เริ่มติดใจ เขาตวัดลิ้นร้อนขึ้นลงและสอดเข้าร่องที่ชุ่มฉ่ำ ริมฝีปากก็ดูดเม้มเนื้อนุ่มเป็นระยะ ทำให้สตรีใต้ร่างแอ่นสะโพกสูงขึ้นราวกับต้องการให้เขากินถนัดกว่าเดิมใช้เวลาประมาณหนึ่งถ้วยน้ำชา ร่างอวบอัดก็เริ่มกระตุกเกร็ง น้ำหวานไหลออกมาจากช่องทางรัก เขาจึงช่วยเลียทำความสะอาดอย่างไม่รังเกียจหลังจากนั้นบุรุษก็เปลี่ยนท่าทางของตน เขานั่งคุกเข่าแล้วดันโคนขาสตรียกสูงอีกครั้ง อีกทั้งยังจับกางออกจนกลีบเนื้ออ้าออก เห็นปากทางเข้าโพรงรักเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สูดลมหายใจเข้าจนลึก มังกรตัวใหญ่ยาวด้านล่างเริ่มขยับ