เขาก้มลงดูดเม้มและเลียจุกหวานสีน้ำตาลอมชมพู ยิ่งเขาดูดดุนนานขึ้นก็พบว่าจุกหวานแข็งและขยายใหญ่ขึ้นเกือบเท่าปลายนิ้วก้อย แต่ก็ทำให้ดูดถนัดเต็มปากเต็มคำกว่าเดิม
นี่คือการเตรียมเต้านมให้กับบุตรในอนาคตสินะ ยิ่งมารดายอดถันใหญ่ น้ำนมก็จะไหลออกมาได้มาก
เขาจึงไม่ลังเลใจดูดนมสองเต้าสลับไปมาดุจดั่งตนเองเป็นทารกแรกเกิด
ส่วนท่อนล่างก็กระแทกเร็วขึ้นและหนักขึ้น เพื่อที่จะได้ส่งน้ำเชื้อคุณภาพพุ่งสู่มดลูกทุกหยาดหยด
ทุกอย่างนี้ก็เพื่อโอรสสวรรค์ที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้น
เสด็จแม่จะบ่นก็บ่นไป ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว
คืนนี้เขาจะจัดอีกหลายท่าและหลายชั่วยาม อย่างไรเสียช่วงนี้เสด็จพ่อยังสำเร็จราชการแทน ดังนั้นเขาจะส่งสตรีขึ้นแตะเส้นขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืน และก็จะตามนางไปแตะขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืนเช่นเดียวกัน
........
“ฉางเอ๋อร์แอบไปหาเหยียนเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”
ไทเฮายกยิ้มมุมปากแสดงสีหน้าหมั่นไส้กับข่าวที่ได้รับมา
“เขาไม่ได้กินยามาครึ่งเดือนแล้ว ก็ยังแข็งแรงดี ข้าว่าแล้วไม่มีผิด เขาไม่ได้ป่วยหรอก”
นางบ่นลูกชายให้จ้าวอิงสืออดีตฮ่องเต้ฟัง
“เอาน่า” จ้าวอิงสือเอ่ย
“ตอนนั้นเขาคงประหม่า คิดว่าตนเองจะทำเรื่องแบบนั้นได้ไม่ดีพอ เวลาจะลงสนามมันเลยไม่สู้” ผู้เป็นบิดาหัวเราะชอบใจ
“กว่าจะมีวันนี้ นอกจากกินยาไปหลายขนานแล้ว ยังเรียนกับอาจารย์ตั้งหลายคน ตอนนี้มั่นใจเต็มร้อย อีกไม่กี่เดือนคงมีหลานให้ข้าหัวปีท้ายปี”
“ท่านจะได้เลิกเลี้ยงปลาสักที มาช่วยข้าเลี้ยงหลาน” ไทเฮามองค้อนพระสวามีตน
จ้าวอิงสือยิ้มหวานตอบ เขาเดินไปดึงฮูหยินของตนนอนลงบนเตียงบรรทม
“ช่วยเลี้ยงลูกอีกคนยังไหวเลย”
แม้ตอนนี้จ้าวอิงสือจะอายุเข้าหลักสี่ช่วงท้าย แต่ไทเฮายังสาวและสวย นางอายุเพิ่งจะสี่สิบ การมีบุตรอีกคนไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
“ข้าว่าท่านควรเอายาของฉางเอ๋อร์มากินเองมากกว่า” สตรีพูดก่อนถูกริมฝีปากหนาประกบปิดจนพูดต่อไม่ได้
........
หนึ่งปีผ่านไป ตำหนักชิงเซียง
“เลิกดูดนมข้าได้แล้ว”
ซูเหยียนบ่นจ้าวอิ้งฉาง ตอนนี้นางเป็นมารดาที่มีลูกน้อยวัยสามเดือน จึงรำคาญสามีที่คอยยุ่งวุ่นวายอยู่แถวหน้าอกของตนทุกวัน
“ดูดบ่อยๆ น้ำนมจะได้ไหลคล่องๆ แถมนมจะใหญ่ขึ้นด้วย” จ้าวอิ้งฉางตอบหน้าตาเฉย ช่วงนี้หลังจากออกท้องพระโรง เขาก็จะรีบกลับมาหาซูเหยียนแล้วอยู่กับนางตลอดเวลา
ไม่ได้มาช่วยนางเลี้ยงลูก แต่มาแย่งนมลูกกิน
“ทำเป็นพูดไป ส่วนมากท่านก็ส่งบุตรชายให้แม่นมดูแล” ซูเหยียนบ่นพลางจะใส่เสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย
“เอาน่า ตอนนี้เฉียจื่อ (มะเขือยาว) หลับอยู่ที่ตำหนักเสด็จแม่แล้ว เรามาปั้นน้องให้เขาเถอะ”
บุรุษทำท่าออดอ้อนดั่งแมวน้อย มือหนาถอดเสื้อผ้าสตรีตรงหน้าออกทีละชิ้น
“ไม่เอา ท่านตั้งชื่อเล่นให้ลูกชายว่ามะเขือยาว ออกจะน่าเกลียด” ซูเหยียนกรอกตามองบน คงมีเขาคนเดียวที่คิดว่าน่ารัก
“ไม่เห็นจะน่าเกลียดเลย คนต่อไปชื่อเล่นว่าหวงกวา (แตงกวา) ข้าว่าเพราะดี”
“ไม่ได้” ซูเหยียนปฏิเสธรวดเร็ว ขณะที่เรือนร่างเปลือยเปล่ายั่วยวนถูกอุ้มมานอนบนเตียง
นางปรายสายตามองอาวุธที่ยังคงใหญ่โตของเขา “ไม่อย่างนั้นข้าจะเรียกท่านว่าโต้วเจี่ยว (ถั่วฝักยาว) เข้ากับชื่อจริงท่านดี แข็งและยาว”
“ก็ดีนะ ข้าชอบ” จ้าวอิ้งฉางตอบ “อย่างน้อยก็ยาวเหมือนกัน ถึงถั่วฝักยาวจะเล็กแต่ถ้าขยันซอยก็พาเจ้าขึ้นสวรรค์ได้อยู่ดี”
เขาหัวเราะ พลางจับซูเหยียนให้อยู่ในท่าคลานเข่า เขาปรึกษาท่านหมอผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้และมากประสบการณ์มา สตรีหลังคลอดมีท่าที่ปลอดภัยอยู่สามสี่ท่า
และวันนี้เขาจะทำให้ครบทุกท่า
บุรุษจ้องมองกลีบเนื้อนุ่มที่ยังคงแนบสนิทเหมือนของสตรีพรหมจรรย์ เขาส่งนิ้วยาวแหย่ร่องรักแล้วขยับเข้าออกจนเกิดเสียงน่าอายออกมา
แจ๊ะ แจ๊ะ แจ๊ะ
ซูเหยียนเริ่มส่ายสะโพกพร้อมส่งเสียงครางหวาน ตั้งแต่คลอดมานี่เป็นครั้งแรกที่ถูกสอดใส่เข้ามาภายในร่างกาย ห่างหายไปนาน เหมือนกับเริ่มต้นลองประสบการณ์รักใหม่อีกครั้ง
ที่จริงหลังคลอดหกสัปดาห์ท่านหมอก็อนุญาตให้พวกเขาร่วมเตียงกันได้ เพียงแต่จ้าวอิ้งฉางอดทนรอให้ร่างกายของซูเหยียนพร้อมจริงๆ เพราะหากเกิดปาฏิหาริย์มีบุตรคนที่สองตามติดกันมา ร่างกายนางจะได้ไม่อ่อนแอเกินไป
“ขนาดนิ้วยังคับเลย” จ้าวอิ้งฉางพูดพึงพอใจ ซูเหยียนเป็นสตรีที่เข้ากับเขาได้ดีจริงๆ
พูดจบก็เปลี่ยนเป็นงอนิ้วแล้วขยับเข้าออก รอจนร่องรักขมิบตอดนิ้ว เขาจึงดึงนิ้วของตนออก จับหัวหยักให้มุดเข้าไปแทน เข้าได้ทั้งหัวก็กดท่อนยาวใหญ่ที่เหลือมุดเข้าจนสุดตามกัน
“อ้า ดีมาก” เขาเอ่ยชมเมื่อถูกโพรงนุ่มกลืนกินแล้วตอดรัดท่อนเอ็นแกร่งเป็นจังหวะตุบ ตุบ ตุบ
เมื่อสตรีเริ่มต้นได้ดี เขาจึงควงเอวสอบของตนพร้อมกับตอกท่อนเอ็นกระแทกรูแคบ
ตับ ตับ ตับ
“อื้อ เสียว”
ซูเหยียนร้อง ท้องน้อยและโพรงรักไม่ได้เสียวแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว นางจึงขยับสะโพกกระแทกสวนกับท่อนเอ็นแกร่งของเขาเป็นจังหวะที่เข้ากัน
เมื่อถูกกระตุ้นจนเสียวได้ที่ บุรุษสตรีก็เสร็จสมตามๆ กัน
ช่วงเวลาที่จะเปลี่ยนเป็นท่าใหม่นั้น หน้าประตูตำหนักก็มีเสียงของแม่นมดังขึ้น
“ฝ่าบาท ฮองเฮา องค์ชายร้องไห้ไม่หยุดเลยเพคะ”
ซูเหยียนรีบผลักจ้าวอิ้งฉางออกจากตนเอง แล้วสวมชุดอย่างเร่งร้อนก่อนออกไปรับเฉียจื่อตัวน้อย
เด็กน้อยเมื่ออยู่ในอ้อมกอดมารดาก็ยิ้มแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ
“เจ้าเด็กนี่”
จ้าวอิ้งฉางที่เพิ่งสวมเสื้อผ้าเสร็จมายืนดูบุตรชายด้วยความหมั่นไส้
“เขาตั้งใจเป็นอริกับข้า เขาหวังจะแย่งเจ้าไปจากข้า”
“เอ๊ะ ท่านเป็นพ่อของเขานะ” ซูเหยียนดุสามีของตน
“ไม่เชื่อเจ้าก็ดูนี่” จ้าวอิ้งฉางแย่งเฉียจื่อน้อยไปอุ้ม เมื่อเขาอยู่ในอ้อมแขนแกร่งก็ร้องไห้จ้าราวกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตน้อยๆ
“ก็เพราะว่าท่านตั้งชื่อเล่นเขาว่าเฉียจื่ออย่างไรล่ะ ลองเรียกอย่างอื่นดูสิ”
ซูเหยียนหยอกล้อกับบุตรชาย ไม่ให้เขาร้องไห้ไปมากกว่านี้
คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ดวงตาเหยี่ยวหรี่ลงจ้องมองเด็กน้อยในอ้อมแขน
“เจ้าก้อนแป้ง”
เฉียจื่อน้อยยิ้มหวานทันที
“ซาลาเปาน้อย”
จากยิ้มหวานเป็นหัวเราะชอบใจ
“หมั่นโถวน้อย”
หัวเราะเอิ๊กอ๊ากโดยไม่จำเป็นต้องมีของเล่นมาหลอกล่อ
“เฉียจื่อน้อย”
ร้องไห้ดังลั่นอีกครั้ง
“เจ้านี่มันไม่เหมือนพ่อของเจ้าเลยสักนิด หัดภูมิใจในชื่อของตัวเองหน่อย ชอบชื่อซ้ำกับเด็กคนอื่นทำไมกัน”
จ้าวอิ้งฉางพูดจาสั่งสอนบุตรชายที่ไร้เดียงสาของตน
แต่เขาก็ยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด
“ถ้าเจ้าปิดปากเงียบเป็นเด็กดีแล้วหลับให้สนิท พ่อจะมีน้องให้ จะเปลี่ยนชื่อเล่นของเจ้า พร้อมตั้งชื่อให้น้องเจ้าว่าหวงกวา”
จ้าวอิ้งฉางพูดไปเรื่อยมองปฏิกิริยาของบุตรชายตน
ซูเหยียนตาโตตกใจ บุตรชายตนหยุดร้องไห้แล้วอ้าปากหาว หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วลมหายใจก็หลับสนิท
“ท่านพูดกับเขาแล้วนะ ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ”
ซูเหยียนทวงสัญญาให้เด็กน้อย
“อืมๆ ข้าเอาเขาไปนอนก่อนแล้วเรามาต่อกันเถอะ”
จ้าวอิ้งฉางรับปาก แต่ในใจคิดว่า ข้าไม่ได้พูดเสียหน่อยว่าจะเปลี่ยนชื่อเขาให้เหมือนเด็กคนอื่น
ไม่ชอบเฉียจื่อ (มะเขือยาว) ก็ชื่อหลัวโป (หัวไชเท้า) ไปละกัน
ใหญ่กว่า ยาวกว่า แข็งกว่า ขาวกว่า เอาไปผัดก็ดี เอาไปต้มก็ได้ เจ้าเด็กน้อยนี่ต้องชอบแน่นอน
วางเด็กน้อยในอ้อมแขนลงบนเตียงหลังเล็กเสร็จ จ้าวอิ้งฉางก็รีบถอดเสื้อผ้าแล้วมาต่อกับซูเหยียนอย่างรวดเร็ว
“มาปั้นหวงกวากันเถอะ ทางสะดวกแล้ว”
มือหนาแหวกเสื้อผ้าชิ้นบน ดึงกางเกงชิ้นล่าง จากนั้นก็จับแก่นกายสอดใส่แล้วกระแทกเสียงดัง
ดวงตาเหยี่ยวก็แอบชำเลืองมองเด็กน้อย
เฉียจื่อน้อยนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาคงคิดว่าเสียงเนื้อกระทบเนื้อเป็นเสียงกล่อมนอนที่ฟังแล้วเพลิดเพลิน
จ้าวอิ้งฉางถอนหายใจโล่งอก ต่อไปภายภาคหน้าเขาต้องวางแผนแยกแม่จากลูก แล้วมีลูกเพิ่มเพื่อให้ลูกเล่นด้วยกัน
หากซูเหยียนรู้ความคิดนี้คงถลึงตาใส่แล้วต่อว่าเขาหลายวัน โทษฐานที่คลั่งรักมากเกินไป
แต่เขาไม่รู้เลยว่า วันพรุ่งนี้จะถูกเสด็จแม่ตัวเองเรียกไปบ่น เพราะนางเป็นแม่ ไหนเลยจะไม่รู้ว่าลูกตัวเองคิดทำอะไร
เจ้าควรปล่อยให้ซูเหยียนมีเวลาส่วนตัวเสียบ้าง ตัวติดกับนางตลอดเวลาขนาดนี้ หากนางเบื่อหรือหงุดหงิดจนอาละวาดขึ้นมาอย่าหาว่าแม่ไม่เตือน
จบบริบูรณ์
........
ห้าปีผ่านไป
“หลัวโป เจ้าพาหวงกวาไปหาเสด็จปู่เสด็จย่าก่อน พ่อจะปั้นน้องให้พวกเจ้ามาเล่นด้วย”
เด็กน้อยทั้งสอง : “หากเสด็จพ่อจะตั้งชื่อให้น้องว่าเซียงกู (เห็ดหอม) น้องคงไม่ยอมมาเกิดหรอก แต่ถ้าตั้งชื่อว่าซิ่งเป้ากู (เห็ดนางรมหลวง) คงยอมมาเกิด
ซูเหยียนส่ายหน้าเอือมระอาทั้งพ่อทั้งลูก “คนที่สามข้าจะตั้งชื่อให้เอง ชื่อวานโต้ว (ถั่วลันเตา)”
“เฮอะ” “เฮอะ” เด็กน้อยประสานเสียงกัน
“งั้นข้าไม่ไป จะอยู่กับพวกท่านทั้งสองคนเนี่ยแหละ” หวงกวาพูด สายตาไม่พอใจ ชื่อของน้องน่ารักเกินไปแล้ว
“ข้าก็จะอยู่ขัดขวาง อยู่เป็นก้างขวางคอ” หลัวโปยกแขนขึ้นกอดอก เชิดหน้าเหมือนไม่รับฟังความเห็นต่าง
จ้าวอิ้งฉางหยุดคิดเล็กน้อย วานโต้ว ก็น่ารักดีนะ แต่กลับพูดว่า
“ซิ่งเป้ากูก็ซิ่งเป้ากู ตามใจพวกเจ้า” เขาพูดพร้อมพยักเพยิดหน้าให้ซูเหยียนยอมๆ ไปก่อน
เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนชื่อทีหลัง
........
หนึ่งปีผ่านไป วังหลวงแคว้นไท่
ฮ่องเต้แคว้นไท่ยืนส่งเสียงบ่นริมหน้าต่างของตำหนักด้วยใบหน้าหงุดหงิด
“จ้าวอิ้งฉางตั้งชื่อเล่นบุตรสาวว่าซิ่งเป้ากูได้อย่างไรกัน นั่นว่าที่ลูกสะใภ้ของข้าเชียวนะ ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม”
“เอาน่า ชื่อเล่นเปลี่ยนกันได้ พระองค์อย่าทรงคิดมากเลย” ฮองเฮาแคว้นไท่กล่าวปลอบ
“ซูเหยียนส่งจดหมายมาบอกข้าแล้วว่าต้องรอบุตรชายคนเล็กโตกว่านี้อีกสักปีสองปี จึงจะเปลี่ยนชื่อเล่นบุตรสาวว่าวานโต้ว ตอนนี้พ่อกับลูกชายได้แต่อิจฉากันอยู่” สตรีกล่าวพลางกลั้นขำ
“ข้าไม่เข้าใจเลย แก่จนปูนนี้แล้วยังหึงลูกอีก”
สองสามีภรรยามองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ หากได้ดองกับครอบครัวจ้าวอิ้งฉางเมื่อไหร่คงจะวุ่นวายน่าดู
“ตรงนี้เย็นสบายดีจัง”ซูเหยียน สตรีวัยสิบแปดปี ใบหน้ารูปแตง ดวงตากลมโต ริมฝีปากอวบอิ่ม เรือนร่างทั้งหน้าอกและสะโพกล้วนโค้งนูนยั่วยวนชวนให้หลงใหล นางหาที่ริมสระน้ำแล้วหย่อนตัวลงนั่งพักผ่อน ซูเหยียนเป็นสตรีที่ฮ่องเต้ทรงเพิกเฉยไม่สนพระทัย นางเข้าวังมาตั้งแต่อายุยังน้อย สิบสี่ขวบปีตระกูลซูส่งนางเข้าวังหลวงเพื่อให้รออภิเษกและแต่งตั้งเป็นฮองเฮา แต่เข้าวังได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ฮ่องเต้ก็เกิดไม่พอพระทัยสกุลซู คนในตระกูลของนางที่รับราชการถูกลดขั้นและไปทำงานต่างเมือง ส่งผลให้คนอื่นๆ ในครอบครัวต้องย้ายตามจนไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ส่วนตัวนางนั้นถูกส่งมาอยู่แปลงผักในเขตพระราชฐาน ขนาดตำหนักเย็นยังไม่ได้อยู่ ที่ตำหนักเย็นนั่นฮ่องเต้ให้เฉพาะสตรีที่เคยปรนนิบัติแล้วอยู่เท่านั้น นางจึงกลายเป็นสตรีตำแหน่งต่ำต้อยต้องมาคอยปลูกผัก ผักเหล่านี้ปลูกจากเมล็ดพันธุ์ที่เป็นของบรรณาการจากต่างแคว้น เมื่อได้ผลผลิตออกมาก็ถูกส่งให้ฮ่องเต้และบรรดาเชื้อพระวงศ์รวมถึงเหล่านางสนมขั้นสูงในวัง แต่ด้วยความดื้อรั้นของซูเหยียน ผักทั้งหมดที่เพาะปลูกได้นั้นมีหรือจะถูกส่งเข้าครัวหลวงทั้งหมด แน่นอนว่าน
กำแพงวังหลวงที่สูงท่วมหัว หากไม่ใช่ผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งก็ยากมากที่จะกระโดดข้ามได้ แต่ซูเหยียนที่พอมีพื้นฐานวรยุทธ ทั้งยังรู้เรื่องวังหลวงอย่างดี นางกระโดดจับไม้ไผ่จากต้นเตี้ยแล้วไล่ระดับไปที่ต้นสูง สุดท้ายก็กระโดดไปที่ขอบกำแพง ภายนอกกำแพงวังหลวงบริเวณนี้มีแผ่นไม้ขนาดเล็กติดไว้เป็นขั้นบันได คล้ายกับที่วัดส่วนสูงบนผนัง แต่ใช้วัดระดับน้ำคูเมือง หากสูงถึงสีแดงก็เตรียมตัวอพยพออกจากวังหลวงได้เลยซูเหยียนที่อยู่บนขอบกำแพงวังหลวงค่อยๆ ไต่แผ่นไม้วัดระดับน้ำลงมาทีละขั้น ใกล้ถึงด้านล่างก็หยิบท่อนไม้ที่วางซุกพิงกำแพงมาวางพาดข้ามคูน้ำ จากนั้นก็เดินบนท่อนไม้ข้ามคูน้ำอย่างช่ำชอง กว่าจะออกนอกวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนทั่วไป ซูเหยียนต้องใช้เวลาเกือบปีถึงคิดวิธีนี้ได้นางดึงท่อนไม้มาวางซ่อนใต้น้ำอีกด้านของคูน้ำ แล้วก็มุ่งหน้าไปยังชุมชนเล็กๆ ที่คนยากไร้อยู่ นางมาที่นี่บ่อยครั้ง ส่วนมากก็นำผักผลไม้มาให้พวกเขา บางครั้งก็แอบนอนสักหนึ่งคืนแล้วค่อยกลับ การมาที่นี่ทำให้นางไม่เหงาจนคิดถึงครอบครัวมากเกินไปชาวบ้านที่นี่ต่างรักและเอ็นดูนาง พวกเขาถึงขั้นสร้างบ้านหลังเล็กไว้ให้ใกล้ๆ กับคูน้ำบริเวณที่นางข้ามม
ขณะที่บุรุษยุ่งวุ่นวายตรงหน้าอกอวบทั้งสองเต้า มือหนาก็เลื่อนลงล่างไปแหวกชุดของสตรีออกแล้วดึงกางเกงทุกชิ้นจนออกมากองที่เข่า จากนั้นนิ้วเท้าของเขาก็รับช่วงต่อ เขี่ยจากเข่าลงไปจนหลุดออกจากปลายเท้า เมื่อไม่มีอาภรณ์ปกปิดช่วงล่าง ฝ่ามือหนาของบุรุษก็ตรงเข้าไปขยำเนินเนื้อนุ่ม นิ้วโป้งคลึงเกสรดอกไม้ด้านล่าง นิ้วชี้กับกลางก็ค่อยๆ แหวกช่องรักแล้วแหย่เข้าไปช้าๆ อืม มันช่างนุ่ม ชุ่มชื้นและอุ่นเสียจริง ถ้าได้ลองยัดของจริงเข้าไปคงจะสบายตัวกว่านี้ สบายตรงส่วนนั้นน่ะ บุรุษคิดพร้อมขยับนิ้วมือเข้าออกโพรงเนื้อนุ่ม ซูเหยียนเมื่อถูกนิ้วแกร่งแยงเข้าออกช่องทางรัก นางก็หลับตาสูดปากเคลิบเคลิ้ม เพิ่งเคยรู้ว่าการถูกล่วงล้ำช่างเสียวซ่านเหลือเกิน มิน่าล่ะ ใครๆ ก็ชอบกัน นิ้วร้ายแยงเข้าออกพร้อมทั้งคลึงจุดเสียว ไม่นานนักซูเหยียนก็เสียวจนรู้สึกว่าน้ำในร่างกายไหลลงมารวมกันอยู่ที่ท้องน้อย และพร้อมจะออกสู่นอกร่างกายได้ทุกเมื่อ นางส่งเสียงครางถี่ขึ้นกว่าเดิม บุรุษจึงต้องถอนริมฝีปากจากเต้าอวบมาประกบปิดปากของหญิงสาว เสียงดังเกินไปเดี๋ยวชาวบ้านคนอื่นจะตื
กลางดึกคืนนั้นเอง จ้าวอิ้งฉางสวมฉลองพระองค์สีดำล้วน เขาออกจากตำหนักหมิงเหอโดยไม่ให้ผู้ใดพบเจอบุรุษเลือกเส้นทางลัดเพื่อไปทางป่าไผ่ จากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงวังอย่างง่ายดายทุกอย่างช่างรวดเร็ว ทว่าในใจของบุรุษอยากให้ทุกอย่างช้าลงเขากลัวว่าหากเจอสตรีคนเมื่อวาน แล้วถ้าความเป็นชายของเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ตนเองควรจะทำอย่างไรดีเพราะตอนนี้ปัญหาตรงส่วนนั้นและการมีบุตรล้วนฝากไว้ที่นาง หวังว่านางจะช่วยเขาคลี่คลายสถานการณ์ได้จ้าวอิ้งฉางรวบรวมความมั่นใจ ก้าวเท้าไปทางบ้านหลังเล็กริมคูน้ำ เมื่อไปถึงก็พบว่าบ้านนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงไฟลอดออกมา และก็ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เขาเดินดูรอบบ้านก็ได้แต่ขมวดคิ้วงุนงง สตรีนางนั้นถึงขั้นหอบผ้าหอบผ่อนหนีเขาไป หรือเพราะเขาไม่เอาไหน พานางขึ้นสวรรค์ไม่ได้ นางจึงไม่อยากไปต่อกับเขาคิดไปคิดมาเขาก็กลับวังด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน ........บ้านหลังเล็กในแปลงผักหลังวังซูเหยียนถูกปลุกขึ้นมากลางดึก เพราะเข่อถิงบอกว่าฝ่าบาทต้องการเสวยผักสดๆ จากต้นนางงัวเงียตื่น บิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วก็บ่นไม่หยุด “ใครเขาเก็บผักเวลานี้กัน ผักในครัวสดไม่พอหรืออย่างไร” สตรีเด
จ้าวอิ้งฉางใช้มือหนาดันต้นขาขาวของสตรีให้ยกสูงและกว้างขึ้น จากนั้นก้มหน้าเข้าซอกระหว่างขาของสตรี จมูกโด่งแตะที่เนินเนื้อนุ่มแล้วแลบลิ้นเลียกลีบดอกไม้ที่ขนาบร่องฉ่ำทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งก็ยื่นนิ้วเรียวคลึงติ่งเกสรนูนที่เริ่มโผล่ยื่นออกมาทักทาย“อื้ม อ้า”สตรีที่หลับลึกส่งเสียงครางหวานให้ใจบุรุษหวั่นไหว เขาอยากจะทำขั้นตอนต่อไปเร็วๆ แล้วแต่ก็ต้องข่มกลั้นเอาไว้ จับเรียวขาขาวพาดบ่าของตน แล้วใช้ลิ้นชิมความหวานส่วนล่างของสตรีอย่างพิถีพิถันอืม มันก็นุ่ม เพลินและถูกปากดีนะจิ้วอิ้งฉางพอได้ลองสัมผัสก็เริ่มติดใจ เขาตวัดลิ้นร้อนขึ้นลงและสอดเข้าร่องที่ชุ่มฉ่ำ ริมฝีปากก็ดูดเม้มเนื้อนุ่มเป็นระยะ ทำให้สตรีใต้ร่างแอ่นสะโพกสูงขึ้นราวกับต้องการให้เขากินถนัดกว่าเดิมใช้เวลาประมาณหนึ่งถ้วยน้ำชา ร่างอวบอัดก็เริ่มกระตุกเกร็ง น้ำหวานไหลออกมาจากช่องทางรัก เขาจึงช่วยเลียทำความสะอาดอย่างไม่รังเกียจหลังจากนั้นบุรุษก็เปลี่ยนท่าทางของตน เขานั่งคุกเข่าแล้วดันโคนขาสตรียกสูงอีกครั้ง อีกทั้งยังจับกางออกจนกลีบเนื้ออ้าออก เห็นปากทางเข้าโพรงรักเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สูดลมหายใจเข้าจนลึก มังกรตัวใหญ่ยาวด้านล่างเริ่มขยับ
“นี่ท่านจะพาข้าไปไหน”ซูเหยียนดิ้นรนขัดขืนในอ้อมแขนแกร่งของจ้าวอิ้งฉาง นางอุตส่าห์หาที่หลบซ่อนตัวได้แล้ว ดันมาเจอคนที่ตนเองหนีหน้าเสียง่ายๆ “ไม่ต้องดิ้นแล้ว เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก”จ้าวอิ้งฉางเอ่ยเสียงเข้ม เขายังคิดหาที่ดีๆ พานางไปหลบซ่อนตัวไม่ได้ จะพาเข้าวังโดยที่นางสถานะเป็นแม่หม้าย คงถูกบรรดาสนมในวังเล่นงาน และถ้าเกิดเล็ดลอดเข้าหูของขุนนางบางคน เขาคงถูกถวายฎีกาให้เลิกข้องเกี่ยวกับนาง “สามีเจ้าตายไปกี่ปีแล้ว”จ้าวอิ้งฉางวางซูเหยียนบนรถม้า ต้องเริ่มวางแผนนำสตรีนางนี้เข้าวังอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ซูเหยียนกรอกตาครุ่นคิดรวดเร็ว “สองปี ข้ายังต้องไว้ทุกข์” นางโกหกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำเรื่องน่าอายกับบุรุษผู้นี้อีก “เกินครึ่งปีก็พอแล้ว” จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงเรียบ เขาคิดว่าสตรีที่แต่งงานแต่ไม่ได้มีอะไรกับสามี ก็เหมือนไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ที่มีปัญหาก็แค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่าย เห็นทีกลับวังไปเขาต้องออกราชโองการ ปล่อยสตรีหม้ายทุกคนที่สามีเสียชีวิตเกินหนึ่งปีสามารถเป็นอิสระจากตระกูลสามีและแต่งงานใหม่ได้ จากน
“เสียงร้องครางเช่นนี้เด็ดเสียจริง ทำเอาข้าอยากไปส่งเสียงให้กำลังใจถึงภายในห้อง”จินเผยนั่งโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลเรือนนอน เมื่อได้ยินเสียงก็รู้สึกคึกคักอยากโห่ร้องเสียงดัง อีกใจก็อยากเข้าไปชี้แนะอย่างละเอียดยิบที่ข้างเตียง เห็นเขาหน้าตาหงิมๆ ดูเรียบร้อย ทว่าตั้งแต่ศึกษาเรื่องอย่างว่าพร้อมกับจ้าวอิ้งฉาง เขาก็ลองใช้ทฤษฎีปฏิบัติกับนางคณิกา เมื่อค้นพบว่าสุขสม ล่องลอยและสบายตัว เขาจึงไปหอนางโลมเพื่อทบทวนทักษะนี้อยู่เป็นประจำ อนาคตฮูหยินของเขาต้องติดใจร้องขอไม่หยุดปากแน่นอน ........ ร่างของสตรีกระตุกเกร็ง ท่อนล่างตอดรัดนิ้วเรียวตุบๆ แถมยังหลั่งน้ำใสชโลมนิ้วจนสตรีต้องหลบสายตาของบุรุษที่จ้องมองใบหน้านางด้วยความพอใจ ใช้แค่นิ้วก็ส่งนางขึ้นสวรรค์ได้แล้ว เขานี้เก่งกาจเสียจริง บุรุษมองสายตาเย้ายวนของสตรี จากนั้นก็ลงมือในขั้นตอนถัดไป ลงลิ้นให้สะโพกนางร่อนไปมา โลมเลียให้นางเสียวซ่านร้องครางลั่นห้อง เขาก้มหน้าลงให้จมูกและปากประทับลงบนร่องรักที่ยังเปียกชุ่ม ลิ้นร้อนตวัดเลียความหวานบนกลีบเนื้อแล้วสลับแหย่ร่องรักพร
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพะย่ะ” หยางกงกงเอ่ยขึ้น สายตามองจ้าวอิ้งฉางเป็นคนแรกก่อนหันมองที่จินเผย “พูดมาเถอะ เขาฟังได้”จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงราบเรียบ เขากับจินเผยสนิทกันมาก หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายระดับบิดามารดาถือมีดไล่ฟันกันด้วยเรื่องชู้สาวก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังกัน เรื่องนี้หยางกงกงก็รู้ดี เพียงแต่ต้องการคำรับรองจากจ้าวอิ้งฉาง “กุ้ยเฟยทรงตั้งครรภ์พะย่ะค่ะ อายุครรภ์ประมาณสามเดือน” หยางกงกงกราบทูล สายตาหลุบต่ำรอการตัดสินใจ “กุ้ยเฟยตั้งครรภ์หรือ กับใครกัน”จินเผยขมวดคิ้วสีหน้าสงสัย กุ้ยเฟยเพิ่งถูกแต่งตั้งได้ตำแหน่งไม่นาน จ้าวอิ้งฉางก็ไม่เคยไปหานาง ที่สำคัญก็คือ ถึงไปหาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วนางจะท้องได้อย่างไรหากไม่ใช่เพราะบุรุษอื่นช่วยทำแทน ทั้งหยางกงกงและจินเผยลอบมองจ้าวอิ้งฉาง พวกเขาคิดว่าจ้าวอิ้งฉางคงโกรธเกรี้ยวเพราะตนเองถูกสวมหมวกเขียว กลับกลายเป็นว่าจ้าวอิ้งฉางพูดน้ำเสียงปกติไม่มีคลื่นอารมณ์ใดเจือปน “ปลดนางออกจากตำแหน่งกุ้ยเฟย ส่งนางกลับสกุลเดิม อ่อ หาตัวพ่อเด็กมารับผิดชอบภายในเวลาห้าวัน”
เขาก้มลงดูดเม้มและเลียจุกหวานสีน้ำตาลอมชมพู ยิ่งเขาดูดดุนนานขึ้นก็พบว่าจุกหวานแข็งและขยายใหญ่ขึ้นเกือบเท่าปลายนิ้วก้อย แต่ก็ทำให้ดูดถนัดเต็มปากเต็มคำกว่าเดิมนี่คือการเตรียมเต้านมให้กับบุตรในอนาคตสินะ ยิ่งมารดายอดถันใหญ่ น้ำนมก็จะไหลออกมาได้มากเขาจึงไม่ลังเลใจดูดนมสองเต้าสลับไปมาดุจดั่งตนเองเป็นทารกแรกเกิดส่วนท่อนล่างก็กระแทกเร็วขึ้นและหนักขึ้น เพื่อที่จะได้ส่งน้ำเชื้อคุณภาพพุ่งสู่มดลูกทุกหยาดหยดทุกอย่างนี้ก็เพื่อโอรสสวรรค์ที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นเสด็จแม่จะบ่นก็บ่นไป ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วคืนนี้เขาจะจัดอีกหลายท่าและหลายชั่วยาม อย่างไรเสียช่วงนี้เสด็จพ่อยังสำเร็จราชการแทน ดังนั้นเขาจะส่งสตรีขึ้นแตะเส้นขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืน และก็จะตามนางไปแตะขอบฟ้าทั้งวันทั้งคืนเช่นเดียวกัน........“ฉางเอ๋อร์แอบไปหาเหยียนเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”ไทเฮายกยิ้มมุมปากแสดงสีหน้าหมั่นไส้กับข่าวที่ได้รับมา“เขาไม่ได้กินยามาครึ่งเดือนแล้ว ก็ยังแข็งแรงดี ข้าว่าแล้วไม่มีผิด เขาไม่ได้ป่วยหรอก”นางบ่นลูกชายให้จ้าวอิงสืออดีตฮ่องเต้ฟัง“เอาน่า” จ้าวอิงสือเอ่ย“ตอนนั้นเขาคงประหม่า คิดว่าตนเองจะทำเรื่องแบบนั้นได้ไม่ดีพอ เ
ซูเหยียนนั่งแช่ชั่วครู่ นางหลับตาซึมซับความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน และท่านี้เข้าลึกกว่าที่เคยทำมาทุกครั้งเวลาช่องรักตอดรัดความใหญ่ของอีกฝ่าย ทำให้รู้สึกดีจริงๆนั่งแช่สักพัก สักโพกกลมก็เริ่มถูไถบนท่อนล่างของบุรุษ มังกรยักษ์จึงถูกรูดเข้าออกจนบุรุษหลับตารับความสบายนี้ถูไถจนน้ำใสหลั่งออกมาเยอะพอประมาณ นางก็เปลี่ยนเป็นยกสะโพกขึ้นแล้วกดสะโพกลงล่าง เหมือนกับซาลาเปาตกใส่ตะปูปับ ปับ ปับ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นจ้าวอิ้งฉางมองเรือนร่างอวบอัดกระแทกขึ้นลง เต้านมสวยทั้งสองกระเด้งไปมา ท่อนเอ็นของตนก็ผลุบเข้าออกตามจังหวะของสะโพกกลมกลึงละสายตายากเสียจริงเขาเอื้อมมือหนาขึ้นขยำอกอวบอิ่ม นิ้วเรียวบีบและบี้ยอดถันอย่างเพลิดเพลินเสียงเนื้อกระทบเนื้อและเสียงครางดังออกมาถึงนอกเรือนพวกเขาไม่ได้ทำรักกันมาสิบกว่าวัน เจอกันทั้งทีจึงใส่กันไม่หยุดจ้าวอิ้งฉางเมื่อได้จังหวะก็ยกสะโพกกระแทกสวนบั้นท้ายของซูเหยียนที่กดลงมา ท่อนเอ็นใหญ่ตอกใส่ร่องรักจนหัวหยักแตะถึงปลายสุดโพรงรักของสตรี“อ้า” ซูเหยียนส่งสายตาหวานฉ่ำและเคลิบเคลิ้มให้บุรุษ บ่งบอกว่านางในตอนนี้ตกอยู่ในห้วงความซาบซ่านอย่างถอนตัวไม่ขึ้นจ้าวอิ้งฉางเห็
“ราชโองการ ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้แม่นางซูเหยียนเข้าเป็นพระสนมในวัง รอแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ส่วนขุนนางสกุลซูที่เคยถูกลดขั้น ให้เพิ่มคนละสามขั้นจากตำแหน่งปัจจุบัน ทั้งให้ย้ายกลับไปสังกัดเดิม ทำงานในเมืองหลวงเช่นเดิม”ผู้อื่นที่ได้ยินล้วนดีใจจนอยากจะกระโดดโลดเต้น สกุลซูจะได้กลับมามีหน้ามีตาอีกครั้ง ยกเว้นซูเหยียนที่สีหน้าซีดเผือกนางยกมือคัดค้านราชโองการนี้ทันที“ใต้เท้า ข้าคงเป็นฮองเฮาไม่ได้ เอ่อ ข้ามีสามีแล้ว” นางพูดตามความเป็นจริง สตรีไม่บริสุทธิ์เช่นนางจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ได้อย่างไรอีกทั้งฝ่าบาทเล่นอะไรอยู่ หน้าตานางก็ไม่เคยเห็น จู่ๆ มาทำกลับกลอกเดี๋ยวให้เข้าๆ ออกๆ วัง จะปั่นหัวนางกับสกุลซูหรืออย่างไรบุรุษที่ถือราชโองการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สตรีนางนี้ไม่เห็นแก่ลาภยศ ทั้งยังซื่อสัตย์ต่อตนเองและคนรัก เขาจึงก้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูของซูเหยียน“ฝ่าบาทมีพระนามว่าจ้าวอิ้งฉาง แต่ใช้ชื่อต้าอิ้งเวลาพูดกับสหาย”ก่อนที่ซูเหยียนจะตกใจว่าบุรุษที่ตนเองนอนด้วยมานานคือฝ่าบาท นางกลับตกใจกับชื่อของเขา ชื่อจริงคือ ‘แข็งและยาว’ ชื่อเล่นที่ใช้เรียกคือ ‘ใหญ่และแข็ง’ ฝ่าบาทเป็นคนแบบใดกัน ถึงได้ตั้งชื่อเช่นนี้
มู่จิงหนิงเห็นท่าทางของซูหลีก็เกิดอาการไม่พอใจ นางยอมลดตัวเป็นคู่หมั้นของคนสกุลซูก็ดีเท่าไหร่แล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ว่าสกุลซูเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองหนานได้เพียงห้าปี นายท่านแต่ละคนเป็นขุนนางที่ถูกลดขั้นมาจากเมืองหลวงสกุลดังแต่ไม่เป็นที่โปรดปราน ลูกหลานจะได้ดิบได้ดีแค่ไหนเชียวตอนนี้หลินจื่อตี๋ คู่หมั้นของซูโหย่วผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของซูเหยียนออกไปท่องเที่ยวต่างเมือง มู่จิงหนิงจึงข่มใจรอให้นางกลับมาเสียก่อน แล้วค่อยชวนมาต้อนรับซูเหยียนกลับจวนสตรีที่ถูกบุรุษปฏิเสธ น่าอับอายอย่างมาก มู่จิงหนิงอยากจะทำให้ซูเหยียนรู้บ้างว่านางไม่ใช่คนที่จะเมินใส่ได้ง่ายๆ........ซูเหยียนเข้ามาภายในจวนท่ามกลางสายาตาแปลกประหลาดของบ่าวรับใช้ แต่เมื่อเดินใกล้เรือนหลักก็มีพ่อบ้านเก่าแก่ของสกุลซูวิ่งเข้ามาทักทายนางสีหน้าดีใจ“คุณหนูรองกลับมาแล้ว”“พ่อบ้านหมี่” ซูเหยียนยิ้มตอบ นางกวาดสายตาสำรวจเขาแล้วกล่าว “ท่านยังดูแข็งแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”“คุณหนูรองชมเกินไปแล้ว พวกนายท่านอยู่ด้านใน เชิญคุณหนูเข้าไปเถอะ”ซูเหยียนพยักหน้ารับ นางก้าวเท้าเข้าเรือนหลัก เรือนนี้เป็นเรือนที่ใช้พูดคุยพร้อมหน้าพร้อมตาของคนในตระกูล รวมถึ
ช่วงสายของอีกวันขณะที่ซูเหยียนกำลังกินอาหารเช้าในสวนหย่อมอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านกับคนงานสกุลซูพูดคุยกันน้ำเสียงกังวลใจ“คุณหนูรองไม่เห็นกลับจวนเลย ไหนว่าฝ่าบาทปลดนางสนมทุกคน และส่งตัวออกนอกวังแล้ว”ซูเหยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนางได้รับอิสระแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นอิสระจริงๆ นางยังต้องกลับจวนสกุลซู กลับไปหาครอบครัว ทว่าตอนนี้นางมีบุรุษคนหนึ่งข้างกาย ทั้งยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกันจะทำอย่างไรดี จะบอกแต่ละฝ่ายอย่างไรเรื่องที่นางเคยเป็นสตรีของฮ่องเต้สุดท้ายต้าอิ้งก็ต้องรู้อยู่ดีสตรีรีบกินข้าวจนอิ่มแล้วกลับเรือนไปคิดหาทางออกอย่างแรกก็คือ จะไปจวนสกุลซูด้านข้างอย่างไร ในเมื่อคนของจ้าวอิ้งฉางคอยจับตามองเวลาที่นางป้วนเปี้ยนพยายามปีนออกนอกกำแพงจวนระหว่างที่ซูเหยียนเดินวนไปเวียนมาภายในเรือนอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังขึ้น นางแง้มประตูออกดูก็เห็นบุรุษเรือนกายสูงใหญ่ ตรงกลางเป็นสตรีวัยกลางคนที่มีใบหน้าคุ้นตาไทเฮา“ข้าจะพูดคุยกับแม่นางคนนี้ตามลำพัง พวกเจ้าออกไปให้หมด”ไทเฮาสั่งทั้งกงกง องครักษ์ของตนเองและองครักษ์
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพะย่ะ” หยางกงกงเอ่ยขึ้น สายตามองจ้าวอิ้งฉางเป็นคนแรกก่อนหันมองที่จินเผย “พูดมาเถอะ เขาฟังได้”จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงราบเรียบ เขากับจินเผยสนิทกันมาก หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายระดับบิดามารดาถือมีดไล่ฟันกันด้วยเรื่องชู้สาวก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังกัน เรื่องนี้หยางกงกงก็รู้ดี เพียงแต่ต้องการคำรับรองจากจ้าวอิ้งฉาง “กุ้ยเฟยทรงตั้งครรภ์พะย่ะค่ะ อายุครรภ์ประมาณสามเดือน” หยางกงกงกราบทูล สายตาหลุบต่ำรอการตัดสินใจ “กุ้ยเฟยตั้งครรภ์หรือ กับใครกัน”จินเผยขมวดคิ้วสีหน้าสงสัย กุ้ยเฟยเพิ่งถูกแต่งตั้งได้ตำแหน่งไม่นาน จ้าวอิ้งฉางก็ไม่เคยไปหานาง ที่สำคัญก็คือ ถึงไปหาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วนางจะท้องได้อย่างไรหากไม่ใช่เพราะบุรุษอื่นช่วยทำแทน ทั้งหยางกงกงและจินเผยลอบมองจ้าวอิ้งฉาง พวกเขาคิดว่าจ้าวอิ้งฉางคงโกรธเกรี้ยวเพราะตนเองถูกสวมหมวกเขียว กลับกลายเป็นว่าจ้าวอิ้งฉางพูดน้ำเสียงปกติไม่มีคลื่นอารมณ์ใดเจือปน “ปลดนางออกจากตำแหน่งกุ้ยเฟย ส่งนางกลับสกุลเดิม อ่อ หาตัวพ่อเด็กมารับผิดชอบภายในเวลาห้าวัน”
“เสียงร้องครางเช่นนี้เด็ดเสียจริง ทำเอาข้าอยากไปส่งเสียงให้กำลังใจถึงภายในห้อง”จินเผยนั่งโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลเรือนนอน เมื่อได้ยินเสียงก็รู้สึกคึกคักอยากโห่ร้องเสียงดัง อีกใจก็อยากเข้าไปชี้แนะอย่างละเอียดยิบที่ข้างเตียง เห็นเขาหน้าตาหงิมๆ ดูเรียบร้อย ทว่าตั้งแต่ศึกษาเรื่องอย่างว่าพร้อมกับจ้าวอิ้งฉาง เขาก็ลองใช้ทฤษฎีปฏิบัติกับนางคณิกา เมื่อค้นพบว่าสุขสม ล่องลอยและสบายตัว เขาจึงไปหอนางโลมเพื่อทบทวนทักษะนี้อยู่เป็นประจำ อนาคตฮูหยินของเขาต้องติดใจร้องขอไม่หยุดปากแน่นอน ........ ร่างของสตรีกระตุกเกร็ง ท่อนล่างตอดรัดนิ้วเรียวตุบๆ แถมยังหลั่งน้ำใสชโลมนิ้วจนสตรีต้องหลบสายตาของบุรุษที่จ้องมองใบหน้านางด้วยความพอใจ ใช้แค่นิ้วก็ส่งนางขึ้นสวรรค์ได้แล้ว เขานี้เก่งกาจเสียจริง บุรุษมองสายตาเย้ายวนของสตรี จากนั้นก็ลงมือในขั้นตอนถัดไป ลงลิ้นให้สะโพกนางร่อนไปมา โลมเลียให้นางเสียวซ่านร้องครางลั่นห้อง เขาก้มหน้าลงให้จมูกและปากประทับลงบนร่องรักที่ยังเปียกชุ่ม ลิ้นร้อนตวัดเลียความหวานบนกลีบเนื้อแล้วสลับแหย่ร่องรักพร
“นี่ท่านจะพาข้าไปไหน”ซูเหยียนดิ้นรนขัดขืนในอ้อมแขนแกร่งของจ้าวอิ้งฉาง นางอุตส่าห์หาที่หลบซ่อนตัวได้แล้ว ดันมาเจอคนที่ตนเองหนีหน้าเสียง่ายๆ “ไม่ต้องดิ้นแล้ว เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก”จ้าวอิ้งฉางเอ่ยเสียงเข้ม เขายังคิดหาที่ดีๆ พานางไปหลบซ่อนตัวไม่ได้ จะพาเข้าวังโดยที่นางสถานะเป็นแม่หม้าย คงถูกบรรดาสนมในวังเล่นงาน และถ้าเกิดเล็ดลอดเข้าหูของขุนนางบางคน เขาคงถูกถวายฎีกาให้เลิกข้องเกี่ยวกับนาง “สามีเจ้าตายไปกี่ปีแล้ว”จ้าวอิ้งฉางวางซูเหยียนบนรถม้า ต้องเริ่มวางแผนนำสตรีนางนี้เข้าวังอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ซูเหยียนกรอกตาครุ่นคิดรวดเร็ว “สองปี ข้ายังต้องไว้ทุกข์” นางโกหกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำเรื่องน่าอายกับบุรุษผู้นี้อีก “เกินครึ่งปีก็พอแล้ว” จ้าวอิ้งฉางกล่าวเสียงเรียบ เขาคิดว่าสตรีที่แต่งงานแต่ไม่ได้มีอะไรกับสามี ก็เหมือนไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ที่มีปัญหาก็แค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่าย เห็นทีกลับวังไปเขาต้องออกราชโองการ ปล่อยสตรีหม้ายทุกคนที่สามีเสียชีวิตเกินหนึ่งปีสามารถเป็นอิสระจากตระกูลสามีและแต่งงานใหม่ได้ จากน
จ้าวอิ้งฉางใช้มือหนาดันต้นขาขาวของสตรีให้ยกสูงและกว้างขึ้น จากนั้นก้มหน้าเข้าซอกระหว่างขาของสตรี จมูกโด่งแตะที่เนินเนื้อนุ่มแล้วแลบลิ้นเลียกลีบดอกไม้ที่ขนาบร่องฉ่ำทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งก็ยื่นนิ้วเรียวคลึงติ่งเกสรนูนที่เริ่มโผล่ยื่นออกมาทักทาย“อื้ม อ้า”สตรีที่หลับลึกส่งเสียงครางหวานให้ใจบุรุษหวั่นไหว เขาอยากจะทำขั้นตอนต่อไปเร็วๆ แล้วแต่ก็ต้องข่มกลั้นเอาไว้ จับเรียวขาขาวพาดบ่าของตน แล้วใช้ลิ้นชิมความหวานส่วนล่างของสตรีอย่างพิถีพิถันอืม มันก็นุ่ม เพลินและถูกปากดีนะจิ้วอิ้งฉางพอได้ลองสัมผัสก็เริ่มติดใจ เขาตวัดลิ้นร้อนขึ้นลงและสอดเข้าร่องที่ชุ่มฉ่ำ ริมฝีปากก็ดูดเม้มเนื้อนุ่มเป็นระยะ ทำให้สตรีใต้ร่างแอ่นสะโพกสูงขึ้นราวกับต้องการให้เขากินถนัดกว่าเดิมใช้เวลาประมาณหนึ่งถ้วยน้ำชา ร่างอวบอัดก็เริ่มกระตุกเกร็ง น้ำหวานไหลออกมาจากช่องทางรัก เขาจึงช่วยเลียทำความสะอาดอย่างไม่รังเกียจหลังจากนั้นบุรุษก็เปลี่ยนท่าทางของตน เขานั่งคุกเข่าแล้วดันโคนขาสตรียกสูงอีกครั้ง อีกทั้งยังจับกางออกจนกลีบเนื้ออ้าออก เห็นปากทางเข้าโพรงรักเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สูดลมหายใจเข้าจนลึก มังกรตัวใหญ่ยาวด้านล่างเริ่มขยับ