ตำรวจสาวมือดีกลับต้องมาอยู่ในร่างของหญิงสาวสติไม่ดีของบ้านถัง แค่นี้ก็ว่าแย่แล้ว แถมบ้านของเธอยังถูกใช้งานเยี่ยงทาสอีก เอาว่ะ เธอจะใช้ความบ้านี่แหละทำให้ครอบครัวมีกินมีใช้เอง!!
View Moreหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในตึกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ในขณะที่กำลังเปิดประตูเพื่อเข้ามาในร้านกาแฟ ก็รู้สึกได้ถึงลมหอบใหญ่ที่พัดผ่านร่างไป เธอหันมองรอบกายและรู้สึกประหลาดใจที่จู่ ๆ ก็รู้สึกคล้ายกับว่ามีลมพัดเข้ามาทั้งที่ตอนนี้เธออยู่ในตัวอาคารที่ล้อมรอบไปด้วยกระจกหนา แต่ก็ไม่คิดอะไรเพราะมีเสียงทักทายเสียขึ้นมาเสียก่อน
“คุณอันถิง สวัสดีค่ะ วันนี้รับอะไรดีคะ”
พนักงานสาวประจำร้านเอ่ยทักทายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใส ในขณะที่กำลังปั๊มฟองนมอย่างขะมักเขม้น
ตำรวจสาวยิ้มหวาน ก่อนจะเงยหน้ามองเมนูและสั่งอเมริกาโน่เหมือนทุกวัน แต่วันนี้แปลกหน่อยก็ตรงที่เธอสั่งแบบใส่น้ำเชื่อม ทั้งที่ปกติแล้วเธอมักจะชื่นชอบรสขมของกาแฟมากกว่า
“วันนี้ฉันขอเป็นอเมริกาโน่เหมือนเดิมนะ แต่ขอเพิ่มเป็นน้ำเชื่อมหนึ่งปั๊ม”
“รับทราบค่ะ” พนักงานสาวตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนที่เธอนั้นจะรับเงินและยื่นใบเสร็จให้กับตำรวจสาว “รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวจะนำไปเสิร์ฟให้ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
หว่านอันถิงพูดจบก็เดินไปนั่งที่โต๊ะริมกระจกก่อนที่เธอนั้นจะเงยหน้ามองโทรทัศน์ที่กำลังเสนอข่าวเกี่ยวกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งถูกตำรวจกวาดล้าง เนื่องจากได้รับเบาะแสจากชาวบ้านใกล้เคียงว่า กลุ่มพี่เลี้ยงได้ใช้เด็กกำพร้าบังหน้าเพื่อเปิดรับเงินบริจาคจากคนที่ใจบุญ แต่ลับหลังกลับลงมือทำร้ายเด็กเหล่านั้นและปล่อยให้หิวโซ มีเด็กหลายคนร่างกายซูบผอมและบางคนถึงกับล้มป่วย ทั้งยังถูกซ่อนไว้ในห้องใต้ดินอับชื้น
ทันทีที่เห็นข่าวแล้วก็อดนึกถึงชีวิตของตัวเองไม่ได้ เธอก็เกิดและเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเช่นกัน ก่อนหน้านี้แม่ของเธอก็เป็นพี่เลี้ยงอยู่ที่นั่น แต่หลังจากคลอดเธอได้ไม่นาน แม่ของเธอก็หนีหายไป จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เหตุผลว่า ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้ตัดสินใจทอดทิ้งเธอไป
หลังจากที่เรียนจบชั้นประถม เธอก็ตัดสินใจสมัครสอบชิงทุนทั้งของรัฐบาลและเอกชน ซึ่งก็ไม่ทำให้ตัวเองผิดหวัง เธอได้รับทุนการศึกษาจากหลายทาง ทำให้ตัดสินใจออกจากบ้านเด็กกำพร้าและมาเช่าหอพักอยู่เพียงลำพัง นอกเหนือจากเงินทุนที่ได้รับจากผู้ใหญ่ใจดี เธอก็ยังขวนขวายหางานพิเศษทำ ยอมแม้กระทั่งทำการบ้านให้เพื่อน ๆ เพื่อแลกเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ
ทั้งที่หว่านอันถิงเป็นตำรวจ แต่โดยปกติแล้วหญิงสาวก็ไม่ค่อยได้เข้าสำนักงานบ่อยนัก เนื่องจากเธอเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวนที่ถูกบีบคั้นจากเพื่อนร่วมงาน ให้ออกไปหาหลักฐานข้างนอก ในสังคมที่ผู้คนต่างเห็นแก่ตัว แม้เธอจะเป็นผู้หญิงแต่คนเหล่านั้นก็ไม่เคยปรานี รู้ทั้งรู้ว่าการออกไปสืบข่าวจะต้องพบเจออันตรายมากแค่ไหน แต่พวกเขาที่เป็นผู้ชายก็ไม่ยินดีที่จะเสียสละตัวเอง กลับให้ผู้หญิงอย่างเธอออกหน้าแทน
หลังจากดื่มกาแฟเสร็จแล้ว หญิงสาวก็ขึ้นมาด้านบนเพื่อพบกับหัวหน้างาน ความจริงแล้วเวลานี้เธอมีภารกิจที่ยังคงทำค้างเอาไว้ แต่จู่ ๆ หัวหน้าก็เรียกให้มาหาอย่างกะทันหัน หว่านอันถิงไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามคำสั่ง โชคดีที่เธอนั้นมีผู้ช่วยหนึ่งคน ทำให้งานยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงัก
“มาก็ดีแล้ว ฉันมีงานสำคัญจะให้เธอทำ”
ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ก่อนที่เขาจะโยนกระดาษปึกใหญ่มาตรงหน้าหญิงสาวอย่างไม่สนใจว่าเธอจะรู้สึกยังไง
หว่านอันถิงที่ชินแล้วกับพฤติกรรมแบบนี้ของเขาจึงไม่ได้ถือสาอะไร มือก็เอื้อมมาหยิบกระดาษปึกนั้นขึ้นมาคลี่ดูทีละแผ่น ก่อนที่เธอจะไหวไหล่และเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ฉันไม่ได้อยากรู้ประวัติของคนพวกนี้ เข้าเรื่องเลยดีกว่าว่าจะให้ฉันทำอะไร”
เดิมทีหญิงสาวไม่ค่อยสนใจไยดีใครอยู่แล้วถ้าไม่เกี่ยวกับงาน ประวัติละเอียดที่อีกฝ่ายส่งให้อ่าน เธอเองก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะไล่สายตาดู เพราะคิดว่ามันไม่ได้เป็นประโยชน์ขนาดนั้น มีใครบ้างที่ไม่รู้จักชายหนุ่มในรูป เพียงแต่คนทั่วไปและตำรวจนั้น รู้จักประวัติของเขาในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน
“เธอไม่ควรประมาท เขาไม่ใช่คนที่เธอจะล้วงคอได้ง่าย ๆ” หัวหน้างานพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
หญิงสาวถอนหายใจ ไม่ว่าเธอจะพยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานมากแค่ไหน หัวหน้าก็ไม่เคยเชื่อมือเธอสักครั้ง หว่านอันถิงกระแทกตัวนั่งลงที่เก้าอี้ ตอนที่เธอนั้นจะหรี่ตามองโปรเจคเตอร์ที่กำลังฉายให้เห็นถึงประวัติของมาเฟียหนุ่ม
“หัวหน้ากำลังพูดให้ฉันกลัวอยู่นะ คุณควรจะมีศิลปะในการพูดมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ช่วยชื่นชมให้ฉันรู้สึกฮึกเหิมบ้าง หรือไม่ก็ด่าเจ้าหมอนั่นว่ากระจอกให้ฉันฟังก็ยังดี” หญิงสาวพูดขึ้นมาด้วยท่าทางเบื่อหน่าย โดยไม่มีวี่แววของความกลัวอย่างที่เธอบอก
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า สาเหตุที่เขานั้นไล่หว่านอันถิงไปให้พ้นจากสำนักงาน ก็เพราะรำคาญที่อีกฝ่ายชอบพูดยอกย้อนและกวนประสาทเขาแบบนี้ยังไงล่ะ แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจท่าทางนั้นเลย เธอกลับใช้นิ้วเขี่ยกระดาษเปิดออกด้วยท่าทางเนิบนาบราวกับคนเกียจคร้าน
“กระตือรือร้นหน่อยได้ไหมอันถิง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ”
หัวหน้างานของเธอพูดขึ้นอีกครั้ง เขาไม่อยากให้หญิงสาวประมาท เพราะรู้ว่ามาเฟียหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา หากเขาไม่เฉลียวฉลาดมากพอ คงไม่ยืนหยัดอยู่ในวงการสีเทามาได้นานหลายปีขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ตำรวจที่จัดการทำอะไรเขาไม่ได้ แม้แต่ศัตรูของเขาเอง ก็ยังหาช่องว่างเพื่อโจมตีอีกฝ่ายไม่ได้เช่นกัน
“ถึงฉันจะเป็นแบบนี้แต่ฉันก็ไม่เคยทำงานพลาดสักครั้ง หรือไม่จริงล่ะคะ”
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับย้อนถามกลับมา ซึ่งนั่นทำให้อีกฝ่ายถึงกับชะงักเพราะเถียงไม่ออก นั่นก็เพราะว่าหว่านอันถิงเป็นตำรวจที่มีความสามารถ หูตาว่องไว ทั้งทำตัวลื่นไหลและกลมกลืนกับผู้คนได้เป็นอย่างดี เธอจึงมักจะสืบสวนหาหลักฐานและความจริงได้ง่ายกว่าคนอื่น
นี่เป็นเหตุผลที่เขาไว้วางใจให้เธอช่วยทำงานสำคัญให้อยู่บ่อย ๆ
แต่ติดตรงที่หญิงสาวนั้นมักจะล้อเล่นกับทุกเรื่อง ทำให้เขาไม่ค่อยชอบนิสัยของเธอเท่าไรนัก
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะส่งฝ่ายสืบสวนคนใหม่ไปสานต่องานเก่าของเธอเอง ส่วนเธอก็รีบเข้าไปหาหลักฐานที่บริษัทนั้น ฉันเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้แล้ว นี่คือตัวตนของเธอ” หัวหน้าพูดขึ้นมาพร้อมกับส่งเอกสารชุดใหม่ให้หญิงสาว
หว่านอันถิงรับบัตรส่วนตัวที่มีข้อมูลสำคัญที่ระบุตัวตน รวมทั้งบัตรพนักงานบริษัทของตัวเองมา เธอพลิกไปมาก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก
“น่าจะปรึกษาฉันก่อนนะ ฉันไม่ชอบรูปนี้เลย มันไม่สวย”
“เลิกไร้สาระสักที ฟังฉันนะ งานนี้มันไม่ง่ายเหมือนงานที่ผ่านมา เธอห้ามประมาทเด็ดขาด เข้าใจไหม” เขาพูดขึ้นมาในเชิงดุเล็กน้อย แม้จะรำคาญอยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นก็อดเป็นห่วงลูกน้องสาวไม่ได้ งานนี้มันอันตรายเกินกว่าที่เขานั้นจะเข้าไปเสี่ยงด้วยตัวเอง ตัวเขามีลูกและภรรยารออยู่ที่บ้าน แต่หว่านอันถิงตัวคนเดียวไร้ญาติพี่น้อง ฉะนั้นทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรส่งหญิงสาวไป
“ฉันรู้แล้ว หัวหน้าเชื่อมือฉันเถอะ ต่อให้ต้องตายฉันก็จะหาหลักฐานมาให้ได้” หญิงสาวกล่าวก่อนที่เธอนั้นจะเดินออกไป
เขามองตามด้วยความไม่สบายใจและรู้สึกกังวลแปลก ๆ ราวกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบหน้าหญิงสาว!!
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั
บทที่ 82 นี่คือลูกสะใภ้ฉันหลังจากที่หลี่ซินหงกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลี่ เธอเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จากับใคร จนผู้เป็นแม่ต้องเอ่ยถามด้วยความไม่สบายใจ“ลูกยังคิดมากเรื่องของผู้กองฉินเหรอ”“ฉันก็ไม่อยากคิดมากหรอกนะคะแม่ แต่เมื่อใจมันรักไปแล้วก็ยากที่จะห้าม เวลานี้ฉันเลยรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องทำใจว่าฉันคงไม่มีวาสนาได้เป็นคนที่เขารัก”หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและแสร้งบีบน้ำตาออกมาเล็กน้อย เพื่อให้ผู้เป็นแม่เห็นใจและสงสาร แต่ความจริงแล้วเธอไม่ได้รักเขามากมายขนาดนั้น เธอเพียงแค่ต้องการเขามาเป็นของเธอก็เท่านั้นเอง อีกทั้งตระกูลฉินก็ร่ำรวยอีกด้วย “ดีแล้วที่ลูกทำใจได้ อย่างไรก็มองหาคนใหม่ก็ได้นะลูก เผื่อว่าเขาจะรักลูกแม่ด้วยใจจริง”หย่วนเฟิงพูดกับลูกสาวอย่างอ่อนโยนและดีใจที่ลูกทำใจได้แล้ว เพราะต่อให้อยากเกี่ยวดองกับตระกูลฉินมาก แต่เธอก็ไม่อยากให้ลูกไปแย่งสามีของใคร อย่างน้อยในปักกิ่งนี่ก็ไม่ได้มีแค่ลูกชายจากตระกูลฉินเท่านั้นที่คู่ควรกับลูกสาวของเธอขณะที่กำลังปลอบใจลูกอยู่นั้น เธอไม่รู้เลยว่าเวลานี้หลี่ซินหงมีประกายตาอย่างชิงชังขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่าในใจของเธอนั้นกำลังคิดอะไ
บทที่ 81 เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เองเขาไม่คิดจะโทษภรรยาที่จะพูดอย่างนั้นกับแม่ตนเอง เพราะเชื่อว่าเธอคงจะเหลืออดแล้วเหมือนกัน ถึงได้โต้แย้งแบบนั้น“หยางตง” ป๋ายหลานเรียกลูกชายเสียงดังเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ส่วนสองแม่ลูกก็หน้าซีดลงทันควัน“สามี อาเหมยเหนื่อยแล้ว” ถังลู่เหยเห็นสถานการณ์เริ่มตึงเครียดก็พูดออดอ้อนสามีและแสร้งอ่อนแอออกมาเพื่อแก้สถานการณ์ เธอนั้นตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะส่งข่าวหาอู่เหลย เพื่อให้คนของเขาสืบเรื่องลูกสาวตระกูลหลี่คนนี้ เพราะท่าทางที่เธอเห็นคือแม่ดอกบัวขาวชัด ๆอีกทั้งยังมองสามีของเธอเหมือนอยากจะกลืนกินเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ขณะเธอเป็นผู้หญิงด้วยกันยังกลัวอีกฝ่ายเลย ที่บอกว่ากลัวไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ แต่กลัวสายตาของเธอจะฉกสามีไป ฉินหยางตงเป็นคนตรงๆ คงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมมายาของแม่ดอกบัวขาวคนนี้“ถ้าอย่างนั้นเราขึ้นข้างบนเถอะครับ สามีจะพาภรรยาไปพักผ่อนเอง”ฉินหยางตงเห็นแบบนั้นก็โอบเอวภรรยาไว้อย่างรักใคร่และพูดกับเธออย่างอ่อนหวาน ก่อนจะหันไปพูดกับพ่อแม่ด้วยน้ำเสียงที่ปกติ“ผมขอตัวก่อนนะครับ พวกเราสองคนเดินทางมาเหนื่อย ๆ ยังไงก็ขอไปพักผ่อนสักหน่อย หากแม่ยังอยากจะรับแขกต่
บทที่ 80 มาถึงก็เจอแม่ดอกบัวขาวทันทีฉินหยางตงและถังลู่เหมยทั้งสองนั่งรถรับจ้างกลับมาที่ตระกูลฉิน เมื่อมาถึงชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะเห็นว่ารถของตระกูลหลี่จอดอยู่ที่หน้าบ้าน จนทำให้ถังลู่เหมยสงสัยขึ้นมา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอเอียงหน้าถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าของสามี“น่าเบื่อครับ พี่ปฏิเสธแล้วแต่บ้านหลี่ก็ยังไม่...เฮ้อ” ชายหนุ่มมองไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่แล้วพูดขึ้น เขาไม่รู้จะบอกอย่างไร เนื่องจากกลัวว่าภรรยานั้นจะโกรธที่พอมาถึงวันแรกก็มีผู้หญิงมารอที่บ้าน“ลูกสาวบ้านหลี่คือคนที่แม่พี่อยากจะให้พี่แต่งงานด้วยใช่ไหมคะ” เธอมองตามสายตาของสามีและถามกลับไปอย่างไม่อ้อมค้อม เนื่องจากเรื่องนี้ชายหนุ่มเล่าให้เธอฟังบ้างแล้ว“ครับ” ฉินหยางตงพยักหน้ารับอย่างไม่สบายใจ“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรค่ะ ฉันเชื่อใจพี่ เพราะไม่ว่าอย่างไรพี่คือสามีของฉันคนเดียว ฉันเชื่อว่าพี่รักฉันคนเดียว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ” ถังลู่เหมยพูดออกมาไปพร้อมยิ้มหวานให้กับสามีเธอนั้นเชื่อใจสามี เพราะตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา เขาไม่เคยทำเธอหวาดระแวงเลยสักครั้งเดียว มีแต่แสดงความรักกับเธอจนเธอจะเป็นเบาหวานตายอยู่แล้ว“แ
Comments