สองสามีภรรยาทำเพียงยืนมอง หลังจากพยายามห้ามปรามลูกสาวแล้ว แต่ถังลู่เหมยยังคงแกล้งบ้า พร้อมกับโต้ตอบย่าถังอย่างไม่ยอมหยุด
ถ้อยคำพวกนั้นทำให้หญิงชราดิ้นไม่ต่างจากปลาโดนน้ำร้อน พยายามเข้าไปทำร้ายหลานสาวแต่กลับโดนถังเยี่ยมายืนขวางไว้
“อย่านะครับแม่” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาเสียงแข็ง
“นี่แกเข้าข้างลูกแกหรือเจ้ารอง” ย่าถังหันมาโวยวายใส่ลูกชายที่ขัดขวางนางไว้
“แล้วแม่จะให้ผมยืนดูแม่ตีอาเหมยเหรอครับ ผมคงยอมให้แม่ทำอย่างนั้นไม่ได้” ถังเยี่ยย้อนกลับเข้าให้ เขาไม่คงไม่มีทางที่มองลูกสาวถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาแน่ ๆ แม้ว่าคนที่จะทำร้ายจะเป็นแม่ของเขาก็ตาม
“แกไม่เห็นหรืออย่างไร ว่านังเด็กนี่มันกำลังด่าฉัน” ย่าถังยังโวยวายไม่หยุด พร้อมกับชี้หน้าถังลู่เหมยที่แลบลิ้นใส่นาง
“แม่จะถือสาอะไรกับอาเหมย แม่ก็รู้อาเหมยสติไม่สมประกอบ ผมคิดว่าแม่กลับบ้านไปเถอะครับ อยู่ไปก็มีแต่เรื่องแต่ราว ผมก็จะไปทำงานแล้วเหมือนกัน” ถังเยี่ยตอบกลับมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
พอเจอคำพูดของลูกชาย ย่าถังจึงทำเพียงข่มอารมณ์และสะบัดหน้าเดินหนีกลับบ้านตนเองด้วยความโมโห
พอเห็นว่าย่าถังมหาภัยจากไปแล้ว ถังลู่เหมยลอบยิ้มสะใจ ก่อนจะทำเป็นก้มหน้าเล่นมือของตัวเองเงียบ ๆ ส่วนพ่อแม่ก็มองไปที่ลูกสาวด้วยความเป็นกังวล เนื่องจากตอนนี้ถังลู่เหมยค่อนข้างแปลกไปตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจากอาการป่วย
พอเห็นว่าพ่อกับแม่ลอบมองด้วยความแปลกใจ ถังลู่เหมยจึงเดินกลับเข้าห้องพร้อมกับบ่นว่า หิว หิว ทำให้เหนียงฟางรีบตามเข้าไปเพื่อดูอาหารให้ลูกสาว ส่วนถังเยี่ยก็เดินกลับไปที่คอมมูนเพื่อทำงานอีกครั้ง
เมื่อเดินเข้ามาในห้อง ถังลู่เหมยก็ได้นั่งมองถ้วยข้าวต้มที่สามารถนับเม็ดข้าวได้เลยว่ามีกี่เม็ดเพราะส่วนใหญ่มีแต่น้ำข้าวด้วยความอนาถใจ
‘นี่ฉันต้องกินข้าวอย่างนี้เหรอเนี่ย ต่อให้ทำงานแทบตายก็ไม่เคยมีความดี แถมยังไม่ได้กินของดี ๆ อีกต่างหาก แล้วแบบนี้ทุกคนในบ้านจะมีสุขภาพที่ดีได้อย่างไร’ หญิงสาวได้เพียงคิดในใจเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าตอนนี้เธออาจจะเป็นที่จับตามองของพ่อกับแม่อยู่ก็ได้
แม้จะไม่อยากกินสักเท่าไหร่ แต่เพราะความหิวทำให้ถังลู่เหมยต้องกินน้ำข้าวต้มถ้วยนี้จนหมด
“กินข้าวหมดแล้วก็กินยาสักหน่อยนะลูก อาการจะได้ดีขึ้น”
เหนียงฟางถือถ้วยยาเข้ามาในห้อง ก่อนจะยื่นให้กับลูกสาวพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น
“ขม ไม่กินนะ ขม” ถังลู่เหมยไม่พูดเปล่า เธอยังสะบัดมือไปมาพร้อมกับส่ายหน้าและขยับไปนั่งติดฝาผนัง บ่งบอกว่าเธอไม่ต้องการกินยาถ้วยนี้ ‘ให้ตายเธอก็ไม่ยอมกินยาน้ำดำปี๋ถ้วยนี้เด็ดขาด’
“แต่ถ้าลูกไม่กินยา ลูกจะไม่หายนะอาเหมย” เหนียงฟางเข้าใจว่าลูกไม่ต้องการกินยาจึงได้พยายามหว่านล้อมอีกครั้ง
“อาเหมย หายแล้ว จริง ๆ นะ หายแล้ว ไม่กินยา ขม” หญิงสาวเองก็ยืนยันความคิดตนเองด้วยการพยักหน้ารัวๆ สลับกับส่ายหน้ารัวๆ เพื่อบ่งบอกว่าให้ตายก็ไม่กินยาถ้วยนี้เด็ดขาด
เมื่อบังคับลูกไม่ได้ เธอจึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา แต่ก็ไม่อยากบังคับ จึงพูดขึ้นอย่างยินยอม
“ไม่กินก็ไม่กิน ถ้าอย่างนั้นก็นอนเถอะ อย่าดื้อนะ จะได้หายเร็วๆ แม่จะไปช่วยพ่อทำงานก่อน” พอเห็นว่าลูกสาวอาการดีขึ้น เหนียงฟางเลยตั้งใจว่าจะไปทำงานเสียหน่อย
“อืม อาเหมยไม่ดื้อ อาเหมยเด็กดี” ถังลู่เหมยพยักหน้าตอบกลับ แล้วก็ล้มตัวนอนพร้อมกับมุดใต้ผ้าห่มที่แสนจะบางจนแทบจะกันลมหนาวอะไรไม่ได้เลย
เมื่อเห็นว่าลูกสาวนอนหลับแล้ว เหนียงฟางจึงเดินออกมาโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูไว้ ก่อนจะไปที่คอมมูนเพื่อลงคะแนนทำงาน
ทันทีที่รู้สึกว่าแม่ออกไปจากห้องแล้ว หญิงสาวก็เปิดหน้าออกมาจากผ้าห่ม ก่อนจะนอนมองเพดานและคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไปได้อดตายแน่ ๆ สวรรค์หนอสวรรค์ทำไมไม่ส่งไปเกิดที่ดี ๆ สักหน่อย หรือไม่ก็น่าจะมีอะไรให้สักนิดก็ได้ อยู่ในยุคนี้ ยุคที่ขาดแคลนในเรื่องของอาหาร คนจนแทบไม่มีกินแบบนี้จะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยได้แต่พูดกับตัวเอง ในใจนั้นหวาดหวั่นว่าเธอจะอดตายเสียก่อนที่จะหายบ้าน่ะสิ
“เอ๊ะ แต่เดี๋ยวนะ ตอนที่เราเป็นวิญญาณ เหมือนจะเห็นว่ามีต้นโสมและเห็ดหลินจืออยู่ในป่านี่นา หากเก็บแล้วขุดไปขายก็คงจะได้เงินไม่น้อย” หญิงสาวคล้ายกับนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่เป็นวิญญาณเร่ร่อน เธอพบเจอต้นโสมแล้วเหมือนจะเห็นเห็ดหลินจือจำนวนมากมายด้วยเหมือนกัน
ถังลู่เหมยคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ จนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว
ย้อนกลับมาทางด้านของถังอี้คุน พอออกมาจากบ้านแล้วชายหนุ่มก็ขึ้นเกวียนและมุ่งตรงไปยังตลาดมืดทันที ในใจนั้นหวังว่าจะมีคนจ้างให้ทำงาน อย่างน้อยเขาก็จะสามารถเอาเงินในส่วนนี้ไปซื้อยาของพวกฝรั่งที่ได้ผลดีให้น้องสาวได้กินแทนยาต้มที่น้องสาวไม่ชอบกิน
“อ้าววันนี้มารับจ้างหรืออาคุน หายไปนานเลยนะ” เถ้าแก่คนหนึ่งในตลาดมืดเอ่ยทักทายขึ้น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเข้ามาที่นี่
“ครับเถ้าแก่ มีงานอะไรให้ผมทำ บอกได้เลยนะครับ ผมไม่เกี่ยงงาน ไม่ว่างานนั้นจะหนักสักแค่ไหน” ถังอี้คุนรีบตอบกลับไปทันที ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่จะเลือกงานอยู่แล้ว วันนี้ก็เช่นกัน ไม่ว่างานอะไรเขาก็พร้อมที่จะทำทั้งนั้น
“ได้สิอาคุน เดี๋ยวช่วงสาย ๆ จะมีของเข้ามาที่ร้าน นายมาช่วยขนของก็แล้วกัน” เถ้าแก่พูดขึ้นอย่างใจดี ความจริงแล้วคนงานของเขาก็มีเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องจ้างคนนอกเข้ามาช่วย แต่ดูเหมือนถังอี้คุนน่าจะเดือดร้อนเรื่องเงินถึงได้วิ่งเข้ามารับจ้างในวันนี้ เขาจึงจะให้ความช่วยเหลือสักหน่อย
“ขอบคุณมากครับเถ้าแก่ เดี๋ยวช่วงสาย ๆ ผมจะมาอีกครั้ง” ชายหนุ่มตอบรับอย่างยินดี ก่อนจะเดินไปถามตามร้านต่าง ๆ ที่เขาเคยรับจ้างไว้ ซึ่งก็มีงานให้ทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธ จวบจนถึงเวลานัดจึงเดินกลับมาที่ร้านเถ้าแก่อีกครั้ง
วันนี้ถังอี้คุนรับจ้างทำงานให้เถ้าแก่ได้เงินมาหนึ่งหยวนกับห้าเหมา ซึ่งเขารู้ดีว่าเงินจำนวนนี้ไม่พอที่จะซื้อยาดี ๆ ให้กับน้องสาว เลยตัดสินใจว่าจะอยู่หางานอีกสักพัก
“เอ่อ…ขอโทษนะคะ ฉันมีเรื่องสอบถามสักเล็กน้อยได้ไหม”
หญิงสาวหน้าตาดี การแต่งกายไม่ต่างจากคุณหนูคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดถามกับชายหนุ่มที่กำลังเดินหางาน
“ได้ครับ ไม่ทราบว่าคุณต้องการจะถามเรื่องอะไร” ถังอี้คุนพยักหน้าตอบกลับ พร้อมกับคิดในใจ ‘ดูจากการแต่งกายแล้วหญิงสาวคนนี้แล้วน่าจะเป็นลูกผู้ดี แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่สถานที่อย่างนี้ได้ล่ะ’
“ฉันได้ยินมาว่าตลาดมืดแห่งนี้มีร้านขายนาฬิกา เลยอยากจะซื้อให้เป็นของขวัญคุณพ่อ คุณพอจะแนะนำร้านขายสินค้าพวกนี้หรือพาฉันไปซื้อได้ไหม แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันมีค่านายหน้าให้” หญิงสาวคนนี้มีชื่อว่าเหมยฮวา เธอเพิ่งย้ายมาที่เมืองนี้ได้ไม่นาน แต่พอจะซื้อของขวัญวันเกิดให้กับบิดา ได้เห็นใครหลายคนบอกว่าตลาดมืดแห่งนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ วันนี้เธอเลยตัดสินใจเข้าซื้อสักหน่อย แต่เพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่จึงเดินมาสอบถามชายหนุ่ม
“ถ้าเป็นนาฬิกา คุณสามารถไปซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าของรัฐได้เลยนะครับ แต่ที่นั่นอาจจะต้องใช้คูปองร่วมด้วย ส่วนตลาดมืดแห่งนี้ หากจะถามว่ามีร้านที่ขายไหม มีครับ คุณลองตัดสินใจดูว่าจะซื้อที่ไหน แล้วคุณต้องการนาฬิกาแบบไหนครับ” ถังอี้คุนตอบกลับไปอย่างใจกว้าง
“ฉันต้องการนาฬิกาที่ไม่เหมือนใคร ราคาเท่าไหร่ฉันไม่เกี่ยง คุณพอจะแนะนำได้ไหม” เหมยฮวาลองไปดูที่ห้างสรรพสินค้าแล้วแต่ไม่ถูกใจ สำหรับเธอมองรู้ว่ามันธรรมดาเกินไป เลยอยากรู้ว่าที่นี่มีดีกว่าในห้างสรรพสินค้าหรือไม่
ถังอี้คุนชั่งใจเล็กน้อย เพราะกลัวว่าหญิงสาวคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ หากเขาพาไปที่ร้านลับ ไม่แน่ว่าจะเกิดอันตรายไปด้วย
เหมยฮวาเหมือนเข้าใจความรู้สึกของเขา เธอจึงอมยิ้มและพูดขึ้นมา “คุณไม่ต้องกลัวว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่หรอกนะคะ ฉันเองก็เป็นคนธรรมดาที่มาทำธุรกิจในเมืองนี้ แต่เพราะอยากหาของขวัญให้กับคุณพ่อ ซึ่งมีคนบอกว่าให้มาหาซื้อในตลาดมืดจะได้มีสินค้าแปลก ๆ ฉันก็เลยมาเท่านั้นเอง”
พอได้ยินเธอพูดแบบนั้นถังอี้คุนก็พยักหน้า แล้วตอบกลับมาว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ตามผมมา ผมพอจะรู้จักร้านขายนาฬิกาดี ๆ อยู่ แต่อย่างไรก็ตัดสินใจเอาเองนะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะ” เหมยฮวาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไป
บทที่ 10 ค่าจ้างสิบหยวนถังอี้คุนพาหญิงสาวเดินมาถึงสุดซอยของตลาดมืด ซึ่งร้านจะอยู่ในซอกแคบๆ เนื่องจากร้านนี้ขายของต้องห้ามอย่างนาฬิกาและพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกหลายอย่าง“ถึงแล้วครับ” ชายหนุ่มหยุดอยู่ตรงหน้าร้านหนึ่ง ซึ่งมีคนเฝ้าด้านหน้าและชายคนนั้นมีร่างกายกำยำดูน่ากลัวไม่น้อย“เอ่อ...คุณจะกลับแล้วเหรอคะ” เหมยฮวาเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อยหากต้องเดินไปด้านในคนเดียว“ครับ ผมมีงานต้องไปทำต่อ ด้านในร้านไม่น่ากลัวหรอกครับ”ชายหนุ่มตอบกลับ และที่ว่าต้องไปทำงานนั่นคือเขาจะต้องไปหางานเพิ่ม เพื่อจะซื้อยาไปให้น้องสาวที่กำลังป่วย รวมถึงอาหารดี ๆ สักอย่างเพื่อไปบำรุงเธอด้วย“อ่อ..” พอเจอคำตอบแบบนี้ เหมยฮวามีสีหน้าหนักใจ แม้ว่าเธอจะมีธุรกิจอยู่ที่นี่ แต่ก็เพิ่งมาสานต่อกิจการของครอบครัว ยังไม่ได้มีคนรู้จักมากนัก ยิ่งสถานที่น่ากลัวแบบนี้เธอไม่เคยมา หากไม่เพราะต้องการหาของขวัญวันเกิดให้คุณพ่อ เธอคงไม่กล้ามาตลาดมืดแห่งนี้เพียงลำพังอย่างแน่นอนถังอี้คุนเหมือนจะเข้าใจหญิงสาว และเห็นว่าเธอมาเพียงลำพัง จึงตัดสินใจพูดขึ้นมาว่า “ถ้าคุณกลัว อย่างนั้นเดี๋ยวผมจะเข้าไปด้วย แต่คงไม่ได้อยู่นานนะ เพราะผมต้
บทที่ 11 ฉันมีเรื่องจะบอกกลับมาทางด้านถังลู่เหมย หลังจากได้พักผ่อนจนเต็มอิ่มแล้วก็รู้สึกดีขึ้น เธอจึงลุกขึ้นมาและเดินออกมาจากห้องที่แสนจะอุดอู้นั้น เมื่อออกมาข้างนอกได้แล้ว ก็เดินเตะฝุ่นเล่นไปด้วยความเบื่อหน่าย ในใจนั้นคิดว่าจะต้องแกล้งบ้าไปอีกถึงเมื่อไหร่กัน เพราะการเป็นคนบ้านนั้นไม่สนุกหรอก นอกจากจะเถียงกับย่าถังโดยไม่ผิดเท่านั้น‘จะว่าไปที่นี่ก็บรรยากาศร่มรื่นดีเหมือนกันนะ’ เธอมองต้นไม้ใบหญ้าตลอดสองข้างทางที่เดินเล่นอยู่ หมู่บ้านแห่งนี้ดูท่าทางสงบเงียบไม่น้อย อีกอย่างบ้านที่ปลูกอาศัยกันก็ไม่ได้แออัดจนเกินไป ยังมีพื้นที่ว่างของระหว่างบ้าน นี่จึงต่างจากเมืองใหญ่ในยุคปัจจุบัน หรือต่อให้เป็นชนบทก็ตาม บ้านที่สร้างแทบจะติดกันทั้งหมดไม่เหมือนกับตอนนี้เลยเวลานี้หญิงสาวทำใจแล้วว่าตนเองคงต้องอยู่ในร่างของหญิงบ้าคนนี้ไปตลอด ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองต้องมาอยู่ในร่างนี้ก็ตามในขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้น ก็มีชาวบ้านผ่านไปมา เธอจึงปรับเปลี่ยนท่าทีจากเบื่อหน่ายทำเป็นหัวเราะบ้าง ชี้ไม้ชี้มือบ้าง กระโดดโลดเต้นไปเรื่อย ทำให้คนเหล่านี้ไม่สงสัยถึงความเปลี่ยนไปของเธอและที่สำคัญที่เธอทำแบบนี้ ก็เ
บทที่ 12 ตัดสินใจบอกพี่ชายถังลู่เหมยสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะบอกเรื่องที่เธอหายเป็นปกติกับพี่ชายก่อนทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาช่วยเธอในบางเรื่อง ส่วนพ่อกับแม่นั้นคงต้องรออีกสักพัก เมื่อไรที่หาวิธีแยกบ้านได้แล้วค่อยบอกก็ยังไม่สาย ส่วนตอนนี้เธอยังต้องการใช้ความเป็นคนบ้าเพื่อปั่นป่วนบ้านใหญ่และย่าถังจนทนไม่ได้และยอมให้บ้านรองแยกบ้านเสียก่อน “อาเหมยมีเรื่องอะไรจะบอกพี่หรือ” ถังอี้คุนเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย“พี่ใหญ่ เวลานี้น้องสาวพี่หายจากอาการป่วยไข้และกลับมาเป็นปกติแล้วนะ แถมตอนนี้สติสัมปชัญญะก็รับรู้ได้อย่างเช่นคนปกติทั่วไปแล้ว อาเหมยคนนี้ไม่ได้บ้าอีกแล้วนะคะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างจริงจังพร้อมกับสบตาพี่ชายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้จะมีความตกใจอยู่มาก แต่ถังอี้คุนยังคงมีความนิ่งสงบไม่แสดงท่าทางตื่นตกใจออกมา แต่เขากลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เพราะอะไร อาการเหล่านั้นถึงได้หายไป อาเหมยบอกพี่ได้ไหม”“ตอนฉันป่วย ฉันสติหลุดลอยไป เหมือนฉันฝันว่าได้ไปพบกับคุณตาชราท่านหนึ่ง ท่านวาดภาพกลางอากาศและชี้นิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของฉัน ตอนนั้นมันช่างทรมานเหลือเกิน คิดว่าจะไม่ได้กลับม
บทที่ 13 เป็นเศรษฐีหมื่นหยวนสองพี่น้องเดินอ้อมมายังอีกหมู่บ้าน แม้จะเหนื่อยสักหน่อยแต่ก็ยอมที่จะเหนื่อยเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่ถูกบ้านใหญ่แย่งชิงเอาของไป ในที่สุดทั้งสองก็เข้ามาถึงในหมู่บ้านด้วยการเดิน ถังอี้คุนได้ไปซื้อผ้ามาจากชาวบ้าน โดยอ้างว่าจะเอามาห่มให้น้องสาวที่ไม่สบาย แต่จริงๆ เอามาห่อโสมและเห็ดหลินจือ จากนั้นชายหนุ่มจึงว่าจ้างเหมาเกวียนไปยังร้านขายยาของหมอจางที่อยู่ในเมืองพอเถ้าแก่จางเห็นว่า ถังอี้คุนมาเยือนที่ร้านขายยาอีกครั้งจึงทักทายด้วยความแปลกใจปนร้อนใจ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือว่าน้องสาวอาการไม่ดีขึ้น”“เปล่าครับหมอจาง นี่ลู่เหมยน้องสาวผมเอง ตอนนี้เธออาการดีขึ้นมากแล้วครับ แต่เราสองพี่น้องมีเรื่องจะสอบถามครับ” ถังอี้คุนรีบแนะนำตัวน้องสาวให้อีกฝ่ายรู้จัก พร้อมกับกระซิบถามเพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก“....” ถังลู่เหมยก้มศีรษะทักทายเล็กน้อย“อืม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” หมอจางถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากเขามองว่าหญิงสาวคนนี้เหมือนไม่มีอาการป่วยอะไรเลย ซึ่งมันต่างจากอาการที่เขาได้ฟังอย่างสิ้นเชิง แถมท่าทางของชายหนุ่มก็ดูแปลกกว่าตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้ถังลู่เหมยเข
บทที่ 14 ยังคงแกล้งบ้าเหมือนเดิม“ดีแล้ว ในเมื่อทั้งสองคนมีเอกสารมาด้วย จะได้เปิดบัญชีพร้อมกัน” หมอจางพูดสนับสนุนให้สองพี่น้องเปิดบัญชีของรัฐ แต่เขาไม่มั่นใจว่าหญิงสาวที่สติไม่ดีคนนี้จะสามารถเปิดได้ไหม จึงพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจเล็กน้อย “แต่ฉันไม่มั่นใจนะว่าอาเหมยจะสามารถเปิดบัญชีได้หรือไม่ เนื่องจากเธอเป็นบุคคลที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้” หมอจางพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าสติไม่ดีหรือเป็นบ้า เพื่อรักษาจิตใจของสองพี่น้อง จึงพูดเพียงว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ถังอี้คุนมองหน้าน้องสาวอย่างคล้ายกับจะปรึกษา เพราะเงินพวกนี้เธอเป็นคนหามา จะฝากบัญชีเขาคนเดียวก็คงไม่ได้ และเขาเองก็ไม่คิดจะเอาเงินของน้องด้วย“พี่ใหญ่เก็บไว้ เก็บเงินไว้เยอะ ๆ เลยนะ เอาไว้ซื้อขนมให้อาเหมย นะนะ ฮ่า ๆ ชอบกินขนม” ถังลู่เหมยพูดขึ้นพร้อมกับปรบมือเหมือนเด็ก ๆ ที่สนใจแต่ขนมเท่านั้นนี่คือสัญญาณของเธอเพื่อที่จะบอกพี่ชายว่าให้เอาเงินทั้งหมดฝากไว้ที่เขา เพราะอย่างไรเธอก็คือครอบครัวของบ้านรองถังไปแล้วเมื่อได้ยินน้องสาวพูดแบบนี้ ชายหนุ่มจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนส่งไปให้เธอ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าเงินนี่ก็คือของถังลู่เหมยอยู่ดี“ตกลง
บทที่ 15 ปะทะกับย่าถัง“ไหนว่าไม่สบายยังไงล่ะ คนไม่สบายที่ไหนกันออกไปเที่ยวเล่นจนกลับมาเย็นค่ำแบบนี้กัน” ย่าถังที่นั่งอยู่กับลูกสะใภ้คนโปรดก็พูดจากระทบกระทั่งหลานสาวสติไม่ดีทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามาถังลู่เหมยทำท่าจะไม่ยอมและกำลังจะสวนกลับ แต่โดนพี่ชายห้ามไว้เสียก่อน“อาเหมยเข้าห้องไปดีกว่านะ เดินมาเหนื่อยไม่ใช่เหรอ” ถังอี้คุนพูดขึ้นพร้อมกับลากเธอเดินไปห้องที่บ้านรองพักอาศัยอยู่“พี่ดึงฉันมาทำไม คนแก่กะโหลกกะลาปากเสียแบบนั้นสมควรจะต้องโดนเอาคืนเสียบ้าง” ถังลู่เหมยพูดออกมาอย่างไม่พอใจเมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้ว“แต่นั่นคือแม่ของพ่อนะ จะทำอะไรก็คิดถึงพ่อบ้าง อีกอย่างพี่กลัวพวกเขาจะสังเกตว่าพี่ซุกซาลาเปาไว้ เกิดมีเรื่องแล้วมันหล่นออกมา จะโดยแย่งไปทั้งหมดนะ” ถังอี้คุนรีบบอกน้องสาวออกไป“อย่างนั้นจะปล่อยผ่านไปให้สักครั้งก็แล้วกัน” ถังลู่เหมยกอดอกพูดอย่างไว้ท่า เธอคิดว่าอีกไม่นานจะต้องมีเรื่องให้เอาคืนแน่และเวลานั้นก็มาถึง เมื่อถึงเวลาที่ต้องกินมื้อเย็น กลายเป็นว่าถังลู่เหมยถูกย่าถังสั่งห้ามไม่ให้กินข้าว แม้ว่าเธอจะกินซาลาเปาจนอิ่มท้องแล้วก็ตาม แต่มีเหรอที่เธอจะยอมให้หญิงชราคนนี้กลั่นแกล้ง พ
บทที่ 16 แอบซ่อนเงินที่หามาเมื่อเข้าในห้อง ถังลู่เหมยมองอาหารที่บ้านใหญ่แบ่งมาให้ด้วยความเบื่อหน่าย พร้อมกับทอดถอนใจออกมา ต่อให้จะไม่มีอาหารอย่างซาลาเปาที่กินไปก่อนหน้านี้จนอิ่มท้อง เธอก็ทนกินอาหารพวกนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แถมอาหารตรงหน้าไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว ดูแล้วน่าจะแตกต่างจากบ้านใหญ่มากนัก“เดี๋ยวพ่อกับแม่กินซาลาเปานี้ดีกว่าครับ ผมและน้องซื้อมาจากในเมือง รีบกินเสียก่อนที่บ้านใหญ่จะมาเห็นเถอะ” ถังอี้คุนรีบหยิบถุงซาลาเปาออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะบอกพ่อกับแม่ให้รีบกิน“นี่มัน! ลูกเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อ ไหนจะเงินค่าพาน้องไปหาหมออีก” เหนียงฟางเห็นซาลาเปาก็ตาโตและถามออกไปอย่างตกใจ เพราะนี่จะต้องใช้เงินจำนวนมากแน่“ผมไปทำงานในตลาดมืดครับ เจอนายจ้างใจดีเลยได้จ่ายจ้างมาสิบหยวน แต่ผมจะต้องไปทำงานให้เธออีกครั้งครับ” ถังอี้คุนตอบออกไปตามความจริงบางส่วน เพราะเขาเจอนายจ้างใจดีจริง ๆ“โอ้ ช่างโชคดีอะไรแบบนี้” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาอย่างดีใจ“ครับผมกับอาเหมยโชคดีจริง ๆ แต่ตอนนี้พ่อกับแม่รับกินเถอะครับ เดี๋ยวกลิ่นลอยออกไปแล้วย่าจะรู้แล้วจะมาแย่งไปหมด” ชายหนุ่มรีบพูดให้พ่อแม่รีบกินเพราะซาลาเปานั้นส่ง
บทที่ 17 คลังแสงและมิติวิเศษที่ตามมาตกดึกคืนนั้น ถังลู่เหมยฝันว่าเธอได้กลับไปที่เซฟเฮ้าท์ ซึ่งเป็นที่กบดานของทีมเธอในชีวิตที่แล้ว ภายในที่นี่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงห้องเก็บอาวุธ โดยมีทั้งอาวุธต่อสู้ธรรมดาไปจนถึงอาวุธหนัก แล้วยังมีอาหารและยาที่ครบครันอีกด้วย“ทำไมฉันถึงกลับมาที่นี่ได้ล่ะ ในเมื่อฉันตายจากยุคนี้แล้ว”หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกับสิ่งที่เห็น อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าเธอนั้นกลับมาที่นี่ได้อย่างไร เรื่องนี้มันน่าแปลกใจมาก“หรือว่าฉันจะมีมิติเหมือนในนิยาย แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าบ้านรองจะโดนคนจากคนบ้านใหญ่รังแก หึหึ แบบนี้ดีมากเลย” หญิงสาวพูดออกมาอีกครั้งด้วยความดีใจ เมื่อคิดได้ว่าเธอน่าจะมีมิติในนิยายอย่างที่เคยฟังจากแม่ค้าแถวที่พักชอบพูดคุยกัน มันสนุกจนเธอไปซื้อมาอ่านในยามว่าง จึงยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ไปสำรวจบ้านดูดีกว่า ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง”พูดจบเธอไม่รอช้า รีบวิ่งสำรวจบ้านว่ามีทุกอย่างเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะก่อนที่เธอจะตายในหน้าที่ ได้ซื้ออาหารและของใช้หลายอย่างมาเก็บไว้ รวมถึงข้าวของและเสื้อผ้าที่เธอตั้งใจจะเอาไปบริจาคให้คนบน
บทที่ 20 บอกความจริงพ่อแม่ถังลู่เหมยคิดว่าคนบ้านใหญ่ที่ดีกับบ้านรองและเธอคงมีเพียงถังเจี้ยนเฉียยวคนนี้เท่านั้น จึงคุยเล่นกับเขาได้อย่างสนิทใจ“อาเหมยหายแล้ว นอนมากเบื่อ ๆ” เธอยังคงพูดจาเหมือนเดิม แต่ไม่โมโหร้ายใส่เหมือนกับคนอื่น ๆ ของบ้านรอง“เอานี่ลูกอม เอาไว้กิน พี่ไปทำงานก่อนนะ” ชายหนุ่มพักครู่ใหญ่แล้วเลยต้องรีบกลับไปทำงาน เพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงของทุกคนแล้วเหมือนกัน แต่ก่อนจะไปไม่ลืมที่จะมอบลูกอมที่เด็ก ๆ ชอบให้กับน้องสาวจากบ้านรอง เขาเชื่อว่าแม้ร่างกายของเธอจะไม่ต่างจากหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ความคิดเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งท่านั้น ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมย่าและคนอื่น ๆ ถึงได้ทำร้ายเธอที่ไร้เดียงสาเช่นนี้แววตาของชายหนุ่มมองถังลู่เหมยด้วยความอ่อนโยน ด้วยสัญชาตญาณของเธอเอง ก็ไม่รู้สึกถึงภัยอันตรายจากชายคนนี้ เธอจึงยื่นมือมารับและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณพี่เฉียว อาเหมยไม่ดื้อ นั่งเงียบ ๆ นะ”เมื่อได้รับคำสัญญา ถังเจี้ยนเฉียวก็เบาใจและหมดห่วงเรื่องอันตราย คนเราไว้ใจใครไม่ได้หรอก ยิ่งน้องสาวคนนี้ไร้เดียงสาและไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หากมีใครล่อลวงไปจะเอาแรงที่ไหนไปสู้ล่ะจากนั้นเขาจึงกลับไป
บทที่ 19 มาหาเรื่องเองแล้วจะมาโทษใครถังลู่เหมยเรียกเอาขนมปังออกมาจากมิติหนึ่งก้อน แล้วฉีกกลางแบะออก จากนั้นจึงเรียกยาถ่ายที่มีในมิติออกมา ก่อนจะโรยใส่ตรงกลางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“เธอมาหาเรื่องเองนะถงซิน” ถังลู่เหมยแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเจ้าเล่ห์จากนั้นก็เดินไปเปิดประตู แล้วทำท่าเหมือนคนสติไม่ดีแบบเดิม พร้อมกับกัดกินขนมปังตรงที่ไม่ได้โรยยาถ่ายไว้“เรียกทำไม” ถังลู่เหมยถามไปแบบหาเรื่อง แต่พอนึกได้จึงทำท่าเอาขนมปังไปแอบด้านหลังเหมือนกลัวอีกคนจะเห็น“นั่นอะไร แกเอาอะไรซ่อนไว้นังลู่เหมย นังบ้า เอาออกมาดูสิ” ถังถงซินตาลุกวาว พอเห็นว่าอีกฝ่ายแอบซ่อนของกินอะไรไว้ จึงเอ่ยถามทันที“ถงซินบ้า บ้ากว่าอาเหมย ไม่สวยแล้วยังบ้า บ้า คนนี้คนบ้า ฮ่าๆ” หญิงสาวไม่ตอบแต่ยังลอยหน้าลอยตาด่ากลับ และพูดซ้ำ ๆ คำพวกนี้ไม่หยุดเธอหลอกด่าจนผู้มาเยือนเริ่มโมโห “นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังถงซินตวาดกลับไปทันทีเหมือนกัน“นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังลู่เหมยพูดย้อนกลับไปเหมือนอีกฝ่ายทุกคำแถมยังยกมือชี้หน้าไปด้วย จนถังถงซินโมโหและพุ่งเข้าหาเธอ เพื่อหวังทำร้ายพร้อมกับแย่งชิงขนมปังไป“นี่แกแอบซ่อนขนมปังใช่ไหม นังบ้า เอามาน
บทที่ 18 จุดประสงค์การใช้ของในมิติคำพูดนี้ของน้องสาวทำให้ชายหนุ่มเกิดความสนใจ เลยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตื่นเต้น “เรื่องมหัศจรรย์ อะไรบอกพี่ได้ไหม”“ได้สิ พี่ใหญ่เป็นพี่ชายของฉัน ทำไมฉันจะบอกไม่ได้ พี่คอยดูอะไรนะ” หญิงสาวพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เพราะถ้าหากไม่ไว้ใจพี่ชายคนนี้ เธอคงไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้วและเธอคงไม่บอกว่าหายบ้าแล้วหรอกนะถังลู่เหมยมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาเห็น ก่อนจะแบมือออกตรงหน้าพี่ชายแล้วนึกถึงแซนต์วิช เท่านั้นแหละ แซนต์วิชสองสามชิ้นก็วางอยู่บนมือของเธอ“เฮ้ย!!” นี่คือคำอุทานของถังอี้คุน แม้จะตกใจมากแค่ไหนแต่เขากลับไม่ถอยหนีจากน้องสาว เขาทำเพียงสบตาเธอก่อนจะถามขึ้น “นี่คือเรื่องอัศจรรย์ของอาเหมยเหรอ”“ใช่ค่ะ นี่แหละคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ฉันจะบอกพี่ ไม่เพียงแค่ขนมเท่านั้น ยังมีอาหารและของกินอีกหลายอย่างรวมถึงเนื้อหมู่ ไก่ ปลา และพวกข้าวสาร ที่ฉันเรียกออกมาได้ราวกับเล่นกล” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างไม่ปิดบัง“อาเหมยทำได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าท่านตาคนนั้น...” ชายหนุ่มถามขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ และนึกถึงท่านตาคนนั้นที่น้องสาวเคยเล่าให้ฟัง“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าท่านตาคนนั้นคงให้ของวิ
บทที่ 17 คลังแสงและมิติวิเศษที่ตามมาตกดึกคืนนั้น ถังลู่เหมยฝันว่าเธอได้กลับไปที่เซฟเฮ้าท์ ซึ่งเป็นที่กบดานของทีมเธอในชีวิตที่แล้ว ภายในที่นี่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงห้องเก็บอาวุธ โดยมีทั้งอาวุธต่อสู้ธรรมดาไปจนถึงอาวุธหนัก แล้วยังมีอาหารและยาที่ครบครันอีกด้วย“ทำไมฉันถึงกลับมาที่นี่ได้ล่ะ ในเมื่อฉันตายจากยุคนี้แล้ว”หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกับสิ่งที่เห็น อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าเธอนั้นกลับมาที่นี่ได้อย่างไร เรื่องนี้มันน่าแปลกใจมาก“หรือว่าฉันจะมีมิติเหมือนในนิยาย แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าบ้านรองจะโดนคนจากคนบ้านใหญ่รังแก หึหึ แบบนี้ดีมากเลย” หญิงสาวพูดออกมาอีกครั้งด้วยความดีใจ เมื่อคิดได้ว่าเธอน่าจะมีมิติในนิยายอย่างที่เคยฟังจากแม่ค้าแถวที่พักชอบพูดคุยกัน มันสนุกจนเธอไปซื้อมาอ่านในยามว่าง จึงยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ไปสำรวจบ้านดูดีกว่า ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง”พูดจบเธอไม่รอช้า รีบวิ่งสำรวจบ้านว่ามีทุกอย่างเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะก่อนที่เธอจะตายในหน้าที่ ได้ซื้ออาหารและของใช้หลายอย่างมาเก็บไว้ รวมถึงข้าวของและเสื้อผ้าที่เธอตั้งใจจะเอาไปบริจาคให้คนบน
บทที่ 16 แอบซ่อนเงินที่หามาเมื่อเข้าในห้อง ถังลู่เหมยมองอาหารที่บ้านใหญ่แบ่งมาให้ด้วยความเบื่อหน่าย พร้อมกับทอดถอนใจออกมา ต่อให้จะไม่มีอาหารอย่างซาลาเปาที่กินไปก่อนหน้านี้จนอิ่มท้อง เธอก็ทนกินอาหารพวกนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แถมอาหารตรงหน้าไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว ดูแล้วน่าจะแตกต่างจากบ้านใหญ่มากนัก“เดี๋ยวพ่อกับแม่กินซาลาเปานี้ดีกว่าครับ ผมและน้องซื้อมาจากในเมือง รีบกินเสียก่อนที่บ้านใหญ่จะมาเห็นเถอะ” ถังอี้คุนรีบหยิบถุงซาลาเปาออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะบอกพ่อกับแม่ให้รีบกิน“นี่มัน! ลูกเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อ ไหนจะเงินค่าพาน้องไปหาหมออีก” เหนียงฟางเห็นซาลาเปาก็ตาโตและถามออกไปอย่างตกใจ เพราะนี่จะต้องใช้เงินจำนวนมากแน่“ผมไปทำงานในตลาดมืดครับ เจอนายจ้างใจดีเลยได้จ่ายจ้างมาสิบหยวน แต่ผมจะต้องไปทำงานให้เธออีกครั้งครับ” ถังอี้คุนตอบออกไปตามความจริงบางส่วน เพราะเขาเจอนายจ้างใจดีจริง ๆ“โอ้ ช่างโชคดีอะไรแบบนี้” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาอย่างดีใจ“ครับผมกับอาเหมยโชคดีจริง ๆ แต่ตอนนี้พ่อกับแม่รับกินเถอะครับ เดี๋ยวกลิ่นลอยออกไปแล้วย่าจะรู้แล้วจะมาแย่งไปหมด” ชายหนุ่มรีบพูดให้พ่อแม่รีบกินเพราะซาลาเปานั้นส่ง
บทที่ 15 ปะทะกับย่าถัง“ไหนว่าไม่สบายยังไงล่ะ คนไม่สบายที่ไหนกันออกไปเที่ยวเล่นจนกลับมาเย็นค่ำแบบนี้กัน” ย่าถังที่นั่งอยู่กับลูกสะใภ้คนโปรดก็พูดจากระทบกระทั่งหลานสาวสติไม่ดีทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามาถังลู่เหมยทำท่าจะไม่ยอมและกำลังจะสวนกลับ แต่โดนพี่ชายห้ามไว้เสียก่อน“อาเหมยเข้าห้องไปดีกว่านะ เดินมาเหนื่อยไม่ใช่เหรอ” ถังอี้คุนพูดขึ้นพร้อมกับลากเธอเดินไปห้องที่บ้านรองพักอาศัยอยู่“พี่ดึงฉันมาทำไม คนแก่กะโหลกกะลาปากเสียแบบนั้นสมควรจะต้องโดนเอาคืนเสียบ้าง” ถังลู่เหมยพูดออกมาอย่างไม่พอใจเมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้ว“แต่นั่นคือแม่ของพ่อนะ จะทำอะไรก็คิดถึงพ่อบ้าง อีกอย่างพี่กลัวพวกเขาจะสังเกตว่าพี่ซุกซาลาเปาไว้ เกิดมีเรื่องแล้วมันหล่นออกมา จะโดยแย่งไปทั้งหมดนะ” ถังอี้คุนรีบบอกน้องสาวออกไป“อย่างนั้นจะปล่อยผ่านไปให้สักครั้งก็แล้วกัน” ถังลู่เหมยกอดอกพูดอย่างไว้ท่า เธอคิดว่าอีกไม่นานจะต้องมีเรื่องให้เอาคืนแน่และเวลานั้นก็มาถึง เมื่อถึงเวลาที่ต้องกินมื้อเย็น กลายเป็นว่าถังลู่เหมยถูกย่าถังสั่งห้ามไม่ให้กินข้าว แม้ว่าเธอจะกินซาลาเปาจนอิ่มท้องแล้วก็ตาม แต่มีเหรอที่เธอจะยอมให้หญิงชราคนนี้กลั่นแกล้ง พ
บทที่ 14 ยังคงแกล้งบ้าเหมือนเดิม“ดีแล้ว ในเมื่อทั้งสองคนมีเอกสารมาด้วย จะได้เปิดบัญชีพร้อมกัน” หมอจางพูดสนับสนุนให้สองพี่น้องเปิดบัญชีของรัฐ แต่เขาไม่มั่นใจว่าหญิงสาวที่สติไม่ดีคนนี้จะสามารถเปิดได้ไหม จึงพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจเล็กน้อย “แต่ฉันไม่มั่นใจนะว่าอาเหมยจะสามารถเปิดบัญชีได้หรือไม่ เนื่องจากเธอเป็นบุคคลที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้” หมอจางพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าสติไม่ดีหรือเป็นบ้า เพื่อรักษาจิตใจของสองพี่น้อง จึงพูดเพียงว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ถังอี้คุนมองหน้าน้องสาวอย่างคล้ายกับจะปรึกษา เพราะเงินพวกนี้เธอเป็นคนหามา จะฝากบัญชีเขาคนเดียวก็คงไม่ได้ และเขาเองก็ไม่คิดจะเอาเงินของน้องด้วย“พี่ใหญ่เก็บไว้ เก็บเงินไว้เยอะ ๆ เลยนะ เอาไว้ซื้อขนมให้อาเหมย นะนะ ฮ่า ๆ ชอบกินขนม” ถังลู่เหมยพูดขึ้นพร้อมกับปรบมือเหมือนเด็ก ๆ ที่สนใจแต่ขนมเท่านั้นนี่คือสัญญาณของเธอเพื่อที่จะบอกพี่ชายว่าให้เอาเงินทั้งหมดฝากไว้ที่เขา เพราะอย่างไรเธอก็คือครอบครัวของบ้านรองถังไปแล้วเมื่อได้ยินน้องสาวพูดแบบนี้ ชายหนุ่มจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนส่งไปให้เธอ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าเงินนี่ก็คือของถังลู่เหมยอยู่ดี“ตกลง
บทที่ 13 เป็นเศรษฐีหมื่นหยวนสองพี่น้องเดินอ้อมมายังอีกหมู่บ้าน แม้จะเหนื่อยสักหน่อยแต่ก็ยอมที่จะเหนื่อยเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่ถูกบ้านใหญ่แย่งชิงเอาของไป ในที่สุดทั้งสองก็เข้ามาถึงในหมู่บ้านด้วยการเดิน ถังอี้คุนได้ไปซื้อผ้ามาจากชาวบ้าน โดยอ้างว่าจะเอามาห่มให้น้องสาวที่ไม่สบาย แต่จริงๆ เอามาห่อโสมและเห็ดหลินจือ จากนั้นชายหนุ่มจึงว่าจ้างเหมาเกวียนไปยังร้านขายยาของหมอจางที่อยู่ในเมืองพอเถ้าแก่จางเห็นว่า ถังอี้คุนมาเยือนที่ร้านขายยาอีกครั้งจึงทักทายด้วยความแปลกใจปนร้อนใจ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือว่าน้องสาวอาการไม่ดีขึ้น”“เปล่าครับหมอจาง นี่ลู่เหมยน้องสาวผมเอง ตอนนี้เธออาการดีขึ้นมากแล้วครับ แต่เราสองพี่น้องมีเรื่องจะสอบถามครับ” ถังอี้คุนรีบแนะนำตัวน้องสาวให้อีกฝ่ายรู้จัก พร้อมกับกระซิบถามเพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก“....” ถังลู่เหมยก้มศีรษะทักทายเล็กน้อย“อืม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” หมอจางถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากเขามองว่าหญิงสาวคนนี้เหมือนไม่มีอาการป่วยอะไรเลย ซึ่งมันต่างจากอาการที่เขาได้ฟังอย่างสิ้นเชิง แถมท่าทางของชายหนุ่มก็ดูแปลกกว่าตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้ถังลู่เหมยเข
บทที่ 12 ตัดสินใจบอกพี่ชายถังลู่เหมยสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะบอกเรื่องที่เธอหายเป็นปกติกับพี่ชายก่อนทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาช่วยเธอในบางเรื่อง ส่วนพ่อกับแม่นั้นคงต้องรออีกสักพัก เมื่อไรที่หาวิธีแยกบ้านได้แล้วค่อยบอกก็ยังไม่สาย ส่วนตอนนี้เธอยังต้องการใช้ความเป็นคนบ้าเพื่อปั่นป่วนบ้านใหญ่และย่าถังจนทนไม่ได้และยอมให้บ้านรองแยกบ้านเสียก่อน “อาเหมยมีเรื่องอะไรจะบอกพี่หรือ” ถังอี้คุนเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย“พี่ใหญ่ เวลานี้น้องสาวพี่หายจากอาการป่วยไข้และกลับมาเป็นปกติแล้วนะ แถมตอนนี้สติสัมปชัญญะก็รับรู้ได้อย่างเช่นคนปกติทั่วไปแล้ว อาเหมยคนนี้ไม่ได้บ้าอีกแล้วนะคะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างจริงจังพร้อมกับสบตาพี่ชายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้จะมีความตกใจอยู่มาก แต่ถังอี้คุนยังคงมีความนิ่งสงบไม่แสดงท่าทางตื่นตกใจออกมา แต่เขากลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เพราะอะไร อาการเหล่านั้นถึงได้หายไป อาเหมยบอกพี่ได้ไหม”“ตอนฉันป่วย ฉันสติหลุดลอยไป เหมือนฉันฝันว่าได้ไปพบกับคุณตาชราท่านหนึ่ง ท่านวาดภาพกลางอากาศและชี้นิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของฉัน ตอนนั้นมันช่างทรมานเหลือเกิน คิดว่าจะไม่ได้กลับม