เมื่อเข้าในห้อง ถังลู่เหมยมองอาหารที่บ้านใหญ่แบ่งมาให้ด้วยความเบื่อหน่าย พร้อมกับทอดถอนใจออกมา ต่อให้จะไม่มีอาหารอย่างซาลาเปาที่กินไปก่อนหน้านี้จนอิ่มท้อง เธอก็ทนกินอาหารพวกนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แถมอาหารตรงหน้าไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว ดูแล้วน่าจะแตกต่างจากบ้านใหญ่มากนัก
“เดี๋ยวพ่อกับแม่กินซาลาเปานี้ดีกว่าครับ ผมและน้องซื้อมาจากในเมือง รีบกินเสียก่อนที่บ้านใหญ่จะมาเห็นเถอะ” ถังอี้คุนรีบหยิบถุงซาลาเปาออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะบอกพ่อกับแม่ให้รีบกิน
“นี่มัน! ลูกเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อ ไหนจะเงินค่าพาน้องไปหาหมออีก” เหนียงฟางเห็นซาลาเปาก็ตาโตและถามออกไปอย่างตกใจ เพราะนี่จะต้องใช้เงินจำนวนมากแน่
“ผมไปทำงานในตลาดมืดครับ เจอนายจ้างใจดีเลยได้จ่ายจ้างมาสิบหยวน แต่ผมจะต้องไปทำงานให้เธออีกครั้งครับ” ถังอี้คุนตอบออกไปตามความจริงบางส่วน เพราะเขาเจอนายจ้างใจดีจริง ๆ
“โอ้ ช่างโชคดีอะไรแบบนี้” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาอย่างดีใจ
“ครับผมกับอาเหมยโชคดีจริง ๆ แต่ตอนนี้พ่อกับแม่รับกินเถอะครับ เดี๋ยวกลิ่นลอยออกไปแล้วย่าจะรู้แล้วจะมาแย่งไปหมด” ชายหนุ่มรีบพูดให้พ่อแม่รีบกินเพราะซาลาเปานั้นส่งกลิ่นหอมยั่วยวนมาก
“กิน กิน” ถังลู่เหมยพยักหน้าและหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งมากินอย่างเอร็ดอร่อย
ถังอี้คุนมองน้องกินซาลาเปาอย่างมีความสุขจากนั้นจึงพูดต่อว่า “ส่วนนี้คือเงินค่าจ้างที่ผมไปทำมาวันนี้ และยาของอาเหมยนายจ้างจ่ายให้เรียบร้อย แต่เราต้องแอบเก็บไว้ไม่ให้บ้านใหญ่รู้นะครับ ไม่อย่างนั้นจะถูกช่วงชิงไปอีก เหตุการณ์เมื่อเช้าพ่อกับแม่น่าจะเห็นแล้ว พอเกิดอะไรขึ้นย่าก็ไม่คิดจะช่วยเหลืออะไรเราเลย” ชายหนุ่มพูดจบก็ส่งเงินให้คนเป็นแม่ที่รับไปด้วยความตื่นเต้น
“โอ้ ทำไมมันมากมายขนาดนี้ล่ะลูก” เหนียงฟางมองเงินในมือของตัวเองแล้วพูดขึ้นมาเสียงสั่น เธอไม่เคยได้จับเงินจำนวนมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย
“เขาจ้างให้ผมทำงานเพิ่มครับ ผมจะต้องพาเจ้านายไปดูสถานที่ในเมืองอีกเพราะเขาเพิ่งมาทำกิจการในเมืองนี้ แม่เก็บเงินดี ๆ นะครับ เอาไว้ใช้ในเวลาจำเป็น ผมไม่อยากเห็นเหตุการณ์อย่างเมื่อเช้าอีก” ถังอี้คุนบอกกับแม่ไปอย่างนั้น เพราะเขาต้องไปทำงานเพื่อทดแทนค่าจ้างวันนี้จริง ๆ
ถังเยี่ยรับฟังและเข้าใจที่ลูกชายพูดมาก็เข้าใจดี เหตุการณ์เมื่อเช้าช่วยให้เขาตาสว่างขึ้นมากกว่าเดิม คิดได้ดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินมายังที่นอนของตนและภรรยา ก่อนจะเรียกหาลูกชาย
“อาคุนมาช่วยพ่อหน่อย หยิบถุงเครื่องมือมาด้วย”
“ครับพ่อ” ชายหนุ่มรู้ดีว่าพ่อต้องการเก็บซ่อนเงินจำนวนนี้ จึงได้รีบลุกขึ้นและหยิบถุงเครื่องมือให้อย่างรวดเร็ว โดยยังไม่พูดเรื่องควรเอาเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารของรัฐอย่างที่เขาทำ เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลา
“ไปดูๆ” ถังลู่เหมยพูดออกมาเหมือนเด็กๆ ก่อนจะเดินตามไปดู เหนียงฟางจึงเดินไปที่มุมนั้นด้วย
ถังเยี่ยตัดสินใจรื้อที่นอนฝั่งของตัวเองและภรรยาออกหมด ก่อนจะงัดแผ่นไม้ออกมาสองถึงสามแผ่น จากนั้นรับเอามีดขนาดเล็กจากถังอี้คุนมาขุดหลุม เพื่อซ่อนเงินของบ้านรองไว้ จากนั้นก็รับเงินที่ห่อไว้ในผ้าอย่างดีจากภรรยามาใส่ไว้ในหลุมและฝังกลบ จากนั้นก็นำไม้มาปิดไว้เช่นเดิม
สาเหตุที่ทำแบบนี้ก็เพราะแน่ใจว่าต่อให้บ้านใหญ่มาค้น ก็ไม่มีทางหาเจอเงินพวกนี้ เนื่องจากห้องนี้ปูพื้นด้วยไม้ธรรมดาและบ้านใหญ่คงไม่คิดว่าบ้านรองจะมีเงินจำนวนมากมายอย่างไรล่ะ
ถังลู่เหมยยืนมองพ่อและพี่ชายทำที่ซ่อนเงินอย่างเหนื่อยใจ ในใจนั้นคิดว่าที่ซ่อนเงินทำไมต้องยุ่งยากแบบนี้ ถ้าเธอมีช่องว่างหรือมิติเหมือนตัวละครในนิยายที่เคยได้ยินพวกแม่ค้าในตลาดเล่าให้ฟังในชาติที่แล้วก็คงจะดี จะได้เอาเงินและของมีค่าไปเก็บไว้ในนั้น มันดูปลอดภัยเยอะเลย แถมยังไม่ยุ่งยากแบบนี้ด้วย
‘รอเวลาแยกบ้านให้ได้ก่อนเถอะ ฉันจะทำให้ทุกคนสบายกว่านี้เอง’ หญิงสาวได้แต่นึกในใจและมองดูอย่างเงียบ ๆ
“เสร็จแล้ว หากจะใช้ก็มาหยิบเอานะ” ถังเยี่ยพูดกับลูกและภรรยา ก่อนจะเอาฟูกมาปิดทับไว้เหมือนเดิม
ครั้งนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ต่อให้ถมเงินให้บ้านใหญ่ขนาดไหน บ้านรองของเขาเป็นเพียงมดปลวกและคนใช้แรงงานให้บ้านใหญ่เท่านั้น อีกอย่างเงินส่วนนี้ลูกชายไปทำงานในตลาดมืดที่เสี่ยงอันตรายไม่น้อยกว่าจะได้มา จึงไม่คิดจะเอาเงินไปถมให้บ้านใหญ่
“ครับพ่อ แต่ช่วงนี้ผมอาจจะต้องลางานบ่อยครั้งนะครับ เพราะต้องทำงานให้นายจ้างให้คุ้มค่าแรงสิบหยวน” ถังอี้คุนบอกเรื่องที่เขาจะต้องลางานในครั้งต่อไปให้พ่อและแม่รับรู้เสียก่อน
“งั้นเหรอ ดีแล้ว เขาให้เรามาตั้งสิบหยวน อาคุนต้องทำงานให้คุ้มค่าของเงินนะลูก เรื่องลางานในคอมมูนไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพ่อจัดการให้เอง” ถังเยี่ยพยักหน้ารับรู้ก่อนกล่าวกำชับลูกชายให้ไปทำงานให้คุ้มค่าจะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบนายจ้าง ส่วนเรื่องลางาน เขาจะคุยกับหัวหน้าคอมมูนให้เอง แต่ก็ยังกังวลใจว่าจะหาข้ออ้างยังไง เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสายตาของใคร
“ผมจะพาอาเหมยไปด้วยนะครับ พ่อบอกว่าผมลางานพาน้องไปหาหมอในเมืองก็ได้ครับ” ถังอี้คุนพูดขึ้นอีกครั้ง
เรื่องนี้เขาได้คุยกับน้องสาวไว้แล้วในตอนที่เดินมาด้วยกัน โดยเธอต้องการออกจากบ้านอย่างไม่เป็นที่ผิดสังเกตของคนอื่นเหมือนกัน การอ้างไปพบหมอในเมืองเพื่อรักษาอาหารสติไม่ดีจึงเป็นข้ออ้างที่ดี
“ดี ๆ อย่างนั้นก็เอาตามนี้” ถังเยี่ยยิ้มออกมาได้ในเมื่อหมดปัญหาในข้ออ้างนี้
“พ่อกับแม่กินซาลาเปาไส้เนื้อนี่กันก่อนเถอะครับ อร่อยมากครับ อาเหมยกินไปแล้วลองบอกพ่อกับแม่สิว่าอร่อยหรือไม่” ถังอี้คุนบอกพ่อกับแม่ให้รีบกินหลังจากจบเรื่องเงิน ก่อนจะพูดกับน้องสาวด้วยความเอ็นดู
“อร่อย อาเหมยกินอิ่มมาก ท้องโตเลย ” ถังลู่เหมยยิ้มแป้นให้กับทุกคน พร้อมกับยืนยันคำพูดพี่ชายว่าซาลาเปานี้อร่อยมากด้วยการตบพุงตัวเองแล้วหัวเราะออกมา
“ขอบใจลูกทั้งสองคนนะ อาฟางเรามากินกันให้อร่อยเถอะนะ” ถังเยี่ยหันมาพูดลูกทั้งสองคน จากนั้นก็ชวนภรรยากินซาลาเปาด้วยความซาบซึ้งใจ ที่ลูกทั้งสองยังนึกถึงเขากับภรรยาด้วยการที่ซื้อซาลาเปาพวกนี้มาให้กิน แถมยังไว้ใจมอบเงินจำนวนมากไว้อีก
“ครับพ่อ” ถังอี้คุนตอบกลับ โดยที่ถังลู่เหมยก็พยักหน้ารับอยู่ข้าง ๆ
แม้จะเป็นของเพียงเล็กน้อย แต่นี่ก็คือความสุขของคนเป็นลูกที่ได้ทำให้กับพ่อและแม่
ส่วนถังลู่เหมย แม้ว่าเธอจะมีท่าทางเหมือนคนสติไม่สมประกอบอย่างที่นัดแนะกับพี่ชาย แต่ภายในใจของเธอนั้นรู้สึกว่าเวลานี้พ่อไม่ได้หัวอ่อนอีกแล้ว การที่จะบอกพ่อกับแม่ว่าเธอหายดีแล้วน่าจะเป็นสิ่งที่กระทำที่สุด แต่ขอให้เธอแน่ใจมากกว่านี้อีกสักหน่อยค่อยบอกก็ยังไม่สาย คิดถึงตรงนี้เธอก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นมา
“กิน ๆ อร่อยจริง ๆ น้า”
“จ้ะ ๆ แม่จะกินเดี๋ยวนี้แล้ว” เหนียงฟางพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแล้วรับซาลาเปาจากลูกสาวมากิน
หลังจากนั้นทั้งครอบครัวนั่งกินซาลาเปาอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะไปอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเข้านอน
บทที่ 17 คลังแสงและมิติวิเศษที่ตามมาตกดึกคืนนั้น ถังลู่เหมยฝันว่าเธอได้กลับไปที่เซฟเฮ้าท์ ซึ่งเป็นที่กบดานของทีมเธอในชีวิตที่แล้ว ภายในที่นี่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงห้องเก็บอาวุธ โดยมีทั้งอาวุธต่อสู้ธรรมดาไปจนถึงอาวุธหนัก แล้วยังมีอาหารและยาที่ครบครันอีกด้วย“ทำไมฉันถึงกลับมาที่นี่ได้ล่ะ ในเมื่อฉันตายจากยุคนี้แล้ว”หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกับสิ่งที่เห็น อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าเธอนั้นกลับมาที่นี่ได้อย่างไร เรื่องนี้มันน่าแปลกใจมาก“หรือว่าฉันจะมีมิติเหมือนในนิยาย แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าบ้านรองจะโดนคนจากคนบ้านใหญ่รังแก หึหึ แบบนี้ดีมากเลย” หญิงสาวพูดออกมาอีกครั้งด้วยความดีใจ เมื่อคิดได้ว่าเธอน่าจะมีมิติในนิยายอย่างที่เคยฟังจากแม่ค้าแถวที่พักชอบพูดคุยกัน มันสนุกจนเธอไปซื้อมาอ่านในยามว่าง จึงยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ไปสำรวจบ้านดูดีกว่า ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง”พูดจบเธอไม่รอช้า รีบวิ่งสำรวจบ้านว่ามีทุกอย่างเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะก่อนที่เธอจะตายในหน้าที่ ได้ซื้ออาหารและของใช้หลายอย่างมาเก็บไว้ รวมถึงข้าวของและเสื้อผ้าที่เธอตั้งใจจะเอาไปบริจาคให้คนบน
บทที่ 18 จุดประสงค์การใช้ของในมิติคำพูดนี้ของน้องสาวทำให้ชายหนุ่มเกิดความสนใจ เลยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตื่นเต้น “เรื่องมหัศจรรย์ อะไรบอกพี่ได้ไหม”“ได้สิ พี่ใหญ่เป็นพี่ชายของฉัน ทำไมฉันจะบอกไม่ได้ พี่คอยดูอะไรนะ” หญิงสาวพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เพราะถ้าหากไม่ไว้ใจพี่ชายคนนี้ เธอคงไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้วและเธอคงไม่บอกว่าหายบ้าแล้วหรอกนะถังลู่เหมยมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาเห็น ก่อนจะแบมือออกตรงหน้าพี่ชายแล้วนึกถึงแซนต์วิช เท่านั้นแหละ แซนต์วิชสองสามชิ้นก็วางอยู่บนมือของเธอ“เฮ้ย!!” นี่คือคำอุทานของถังอี้คุน แม้จะตกใจมากแค่ไหนแต่เขากลับไม่ถอยหนีจากน้องสาว เขาทำเพียงสบตาเธอก่อนจะถามขึ้น “นี่คือเรื่องอัศจรรย์ของอาเหมยเหรอ”“ใช่ค่ะ นี่แหละคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ฉันจะบอกพี่ ไม่เพียงแค่ขนมเท่านั้น ยังมีอาหารและของกินอีกหลายอย่างรวมถึงเนื้อหมู่ ไก่ ปลา และพวกข้าวสาร ที่ฉันเรียกออกมาได้ราวกับเล่นกล” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างไม่ปิดบัง“อาเหมยทำได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าท่านตาคนนั้น...” ชายหนุ่มถามขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ และนึกถึงท่านตาคนนั้นที่น้องสาวเคยเล่าให้ฟัง“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าท่านตาคนนั้นคงให้ของวิ
บทที่ 19 มาหาเรื่องเองแล้วจะมาโทษใครถังลู่เหมยเรียกเอาขนมปังออกมาจากมิติหนึ่งก้อน แล้วฉีกกลางแบะออก จากนั้นจึงเรียกยาถ่ายที่มีในมิติออกมา ก่อนจะโรยใส่ตรงกลางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“เธอมาหาเรื่องเองนะถงซิน” ถังลู่เหมยแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเจ้าเล่ห์จากนั้นก็เดินไปเปิดประตู แล้วทำท่าเหมือนคนสติไม่ดีแบบเดิม พร้อมกับกัดกินขนมปังตรงที่ไม่ได้โรยยาถ่ายไว้“เรียกทำไม” ถังลู่เหมยถามไปแบบหาเรื่อง แต่พอนึกได้จึงทำท่าเอาขนมปังไปแอบด้านหลังเหมือนกลัวอีกคนจะเห็น“นั่นอะไร แกเอาอะไรซ่อนไว้นังลู่เหมย นังบ้า เอาออกมาดูสิ” ถังถงซินตาลุกวาว พอเห็นว่าอีกฝ่ายแอบซ่อนของกินอะไรไว้ จึงเอ่ยถามทันที“ถงซินบ้า บ้ากว่าอาเหมย ไม่สวยแล้วยังบ้า บ้า คนนี้คนบ้า ฮ่าๆ” หญิงสาวไม่ตอบแต่ยังลอยหน้าลอยตาด่ากลับ และพูดซ้ำ ๆ คำพวกนี้ไม่หยุดเธอหลอกด่าจนผู้มาเยือนเริ่มโมโห “นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังถงซินตวาดกลับไปทันทีเหมือนกัน“นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังลู่เหมยพูดย้อนกลับไปเหมือนอีกฝ่ายทุกคำแถมยังยกมือชี้หน้าไปด้วย จนถังถงซินโมโหและพุ่งเข้าหาเธอ เพื่อหวังทำร้ายพร้อมกับแย่งชิงขนมปังไป“นี่แกแอบซ่อนขนมปังใช่ไหม นังบ้า เอามาน
บทที่ 20 บอกความจริงพ่อแม่ถังลู่เหมยคิดว่าคนบ้านใหญ่ที่ดีกับบ้านรองและเธอคงมีเพียงถังเจี้ยนเฉียยวคนนี้เท่านั้น จึงคุยเล่นกับเขาได้อย่างสนิทใจ“อาเหมยหายแล้ว นอนมากเบื่อ ๆ” เธอยังคงพูดจาเหมือนเดิม แต่ไม่โมโหร้ายใส่เหมือนกับคนอื่น ๆ ของบ้านรอง“เอานี่ลูกอม เอาไว้กิน พี่ไปทำงานก่อนนะ” ชายหนุ่มพักครู่ใหญ่แล้วเลยต้องรีบกลับไปทำงาน เพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงของทุกคนแล้วเหมือนกัน แต่ก่อนจะไปไม่ลืมที่จะมอบลูกอมที่เด็ก ๆ ชอบให้กับน้องสาวจากบ้านรอง เขาเชื่อว่าแม้ร่างกายของเธอจะไม่ต่างจากหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ความคิดเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งท่านั้น ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมย่าและคนอื่น ๆ ถึงได้ทำร้ายเธอที่ไร้เดียงสาเช่นนี้แววตาของชายหนุ่มมองถังลู่เหมยด้วยความอ่อนโยน ด้วยสัญชาตญาณของเธอเอง ก็ไม่รู้สึกถึงภัยอันตรายจากชายคนนี้ เธอจึงยื่นมือมารับและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณพี่เฉียว อาเหมยไม่ดื้อ นั่งเงียบ ๆ นะ”เมื่อได้รับคำสัญญา ถังเจี้ยนเฉียวก็เบาใจและหมดห่วงเรื่องอันตราย คนเราไว้ใจใครไม่ได้หรอก ยิ่งน้องสาวคนนี้ไร้เดียงสาและไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หากมีใครล่อลวงไปจะเอาแรงที่ไหนไปสู้ล่ะจากนั้นเขาจึงกลับไป
บทที่ 21 เอาคืนป้าสะใภ้สองพี่น้องปฐมพยาบาลพ่อกับแม่ไม่นานก็ฟื้น ทำให้สองพี่น้องโล่งใจขึ้นมา “เรื่องที่ลูกพูดก่อนหน้านี้ คือเรื่องจริงหรือ” ถังเยี่ยที่นั่งอย่างมีสติมั่นคงแล้วถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้งว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ฟังผิดเพี้ยนไป“ค่ะพ่อ และของล้ำค่าทั้งสองอย่างยังมีเหลืออีกนะคะ ท่านตาบอกไว้ ฉันจำได้เป็นอย่างดี นอกจากฉันจะหายเป็นปกติแล้ว แถมความทรงจำของฉันยังดีด้วย ชนิดที่ว่าบอกครั้งเดียวก็จำได้ หนังสืออ่านเพียงครั้งเดียวก็รู้แล้ว นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่ท่านตาคนนั้นมอบให้ฉัน” ถังลู่เหมยตอบพร้อมกับอธิบายเรื่องราวอีกหลายอย่างให้ทุกคนฟังอย่างที่เธอแต่งเรื่องไว้ นั่นก็เพราะกลัวว่าถ้าเกิดเธออ่านหนังสือได้ และทำหลายอย่างได้อย่างคล่องแคล่ว จะไม่เป็นที่สงสัยมากนัก“ขอบคุณท่านตาผู้นั้น ขอบคุณจริง ๆ” เหนียงฟางพูดขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะขอบคุณไปรอบ ๆ ทุกทิศอย่างสำนึกในบุญคุณของท่านตาที่ลูกสาวกล่าวถึง“พ่อคะ แม่คะ ฉันอยากขอร้องว่าให้เก็บเรื่องที่ฉันหายป่วยและเรื่องที่ฉันมิติวิเศษไว้ให้รู้แค่เราสี่คนนะคะ ฉันยังไม่อยากให้คนอื่นรู้ บางทีคนพวกนั้นอาจจะมาจับฉันไปเพื่อผลประโยชน์ก็ได้ ถ้าพวกเขารู้”
บทที่ 22 สวรรค์ลงโทษถังเยี่ยพอมีชาวบ้านมาบอกว่าลูกสาวกำลังถูกบ้านใหญ่ทำร้าย เขาจึงทิ้งงานในมือทันทีแล้วรีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว โดยมีภรรยาและลูกชายวิ่งตามมาด้วยเมื่อมาถึงเห็นสภาพลูกสาวที่ร้องไห้ฟูมฟายและดึงทึ้งผมตัวเองอยู่ก็ตกใจแทบสิ้นสติ แม้จะรู้ว่านี่คือการแสดงของถังลู่เหมยก็ตาม และพวกเขาก็พร้อมที่จะเล่นละครกับเธอไปด้วย“อาเหมยเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีสภาพเป็นอย่างนี้” ถังเยี่ยถามด้วยเสียงเป็นกังวล ท่าทางของเขาดูตกใจไม่น้อย“จะอะไรได้ล่ะ ก็ลูกสาวไร้ประโยชน์ของแกน่ะสิ เอาของเน่าของเสียมาให้ซินเอ๋อร์ของฉันกิน ตอนนี้เจ้าใหญ่ต้องพาส่งไปรักษาตัวโรงพยาบาลแล้ว แกรู้หรือไม่ล่ะเจ้ารอง” ย่าถังพูดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด เรื่องนี้นางต้องหาคนรับผิดชอบให้ได้“ไม่จริง อาเหมยไม่ได้ทำ ย่าใจร้าย พี่ถงซินแย่งขนมอาเหมยไป พี่ถงซินขโมย ๆ” ถังลู่เหมยพยายามโต้แย้งขึ้นมา จนนางหลันที่เห็นเหตุการณ์มาทั้งหมด อดที่จะสอดปากขึ้นมาไม่ได้“เรื่องนี้จะโทษอาเหมยเพียงลำพังก็คงไม่ได้ ฉันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ฉันเห็นนังถงซินขู่แย่งขนมก้อนนั้นไปอย่างหน้าด้าน ๆ ซึ่งตอนนั้นอาเหมยกำลังกินขนมนั้นอยู่ด้วย หากหลานสาวของหล่
บทที่ 23 แข็งข้อกับบ้านใหญ่สำนักงานตำรวจปักกิ่ง ฉินหยางตง นายตำรวจหนุ่มทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลฉินที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพล เวลานี้เขาติดยศผู้กองอยู่หน่วยสืบสวน ถือว่าเขาเป็นมือหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งนี้เลยก็ว่าได้“ผู้กอง คนของเราวางกำลังไว้แล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววของลั่วเค่อหยางเลยครับ” ฉีหยวน ลูกน้องในทีมของฉินหยางตงรายงานเรื่องที่ต้องติดตามลั่วเค่อหยาง เจ้าพ่อค้ามนุษย์ที่หลอกหญิงสาวไปขาย“อืม อย่างไรเวลานี้ฉันคิดว่ามันยังไม่หนีไปไหนแน่นอน เราต้องหาแหล่งกบดานพวกมันให้เจอ แล้วหญิงสาวที่ช่วยไว้ส่งกลับบ้านหมดหรือยัง” ชายหนุ่มสอบถามเกี่ยวกับหญิงสาวที่พวกเขาไปช่วยมาได้“บางคนก็กลับบ้านแล้วโดยให้เงินค่าเดินทางตามที่ผู้กองบอกครับ แต่บางคนเอ่อ...” ฉีหยวนลำบากใจที่จะพูด เพราะหญิงสาวบางรายถูกครอบครัวขายมาน่ะสิ เลยทำให้ไม่มีบ้านให้กลับไป และบางคนก็ไม่ยอมกลับบ้านเพราะกลัวว่าจะถูกพ่อแม่นำขายมาอีก“คงถูกทางบ้านขายมาสินะ” ฉินหยางตงคิดไว้แล้วในเรื่องนี้ การขายลูกเพื่อความอยู่รอดนั้น มีทุกยุคทุกสมัยจริง ๆ เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่า คนเป็นพ่อแม่หรือครอบครัวของหญิงสาวพวกนั้นจิตใจทำด้วยอะไร ที่กล้าทำเร
บทที่ 24 มีความอยากได้อยากมีเหมือนกันเมื่อเจอคำพูดของช่ายเหมยฮวา หลงจู๊หม่าจึงเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเถียงออกมาว่า “แต่สินค้าและวัตถุดิบที่ซื้อมาล้วนแต่มีคุณภาพทั้งนั้น คุณเป็นแค่คุณหนูคนหนึ่งจะมารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ผมล่ะสงสัยจริง ๆ ว่านายท่านทำไมไว้ใจ ถึงขนาดยกกิจการให้ลูกสาวที่ไม่มีประสบการณ์อย่างคุณมาดูแล”นอกจากจะดูถูกแล้ว คำพูดนี่ช่างเสียดแทงความรู้สึกของช่ายเหมยฮวายิ่งนัก เธอเกิดเป็นหญิงสาวแล้วอย่างไร คนเรามีสองมือสองเท้าเหมือนกัน ต่างกันก็แค่เพศ ทำไมต้องมาแบ่งแยกกันด้วย หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ถ้าอย่างนั้น เหลาช่ายตงจะปิดทำการขายไปจนกว่าฉันจะแก้ปัญหาได้ ใครที่อยากจะรอ ฉันก็ขอบคุณมาก แต่พนักงานคนไหนรอไม่ไหว อยากจะลาออกก็บอกได้เลยนะคะ” พูดจบเหมยฮวาเดินออกมาจากตรงนั้นทันทีแม้จะพูดคำเหล่านั้นออกมา ทว่าในใจของเธอกลับรู้สึกหนักอึ้งและเป็นกังวลไม่น้อย เพราะยังหาทางออกเพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้เลยกลับมาทางด้านถังลู่เหมย หลังจากกินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ เหนียงฟางก็พูดขึ้นมาว่า “แม่อยากจะทำการค้า อยากทำอะไรขายสักหน่อย เพื่อให้บ้านของเราม
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั
บทที่ 82 นี่คือลูกสะใภ้ฉันหลังจากที่หลี่ซินหงกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลี่ เธอเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จากับใคร จนผู้เป็นแม่ต้องเอ่ยถามด้วยความไม่สบายใจ“ลูกยังคิดมากเรื่องของผู้กองฉินเหรอ”“ฉันก็ไม่อยากคิดมากหรอกนะคะแม่ แต่เมื่อใจมันรักไปแล้วก็ยากที่จะห้าม เวลานี้ฉันเลยรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องทำใจว่าฉันคงไม่มีวาสนาได้เป็นคนที่เขารัก”หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและแสร้งบีบน้ำตาออกมาเล็กน้อย เพื่อให้ผู้เป็นแม่เห็นใจและสงสาร แต่ความจริงแล้วเธอไม่ได้รักเขามากมายขนาดนั้น เธอเพียงแค่ต้องการเขามาเป็นของเธอก็เท่านั้นเอง อีกทั้งตระกูลฉินก็ร่ำรวยอีกด้วย “ดีแล้วที่ลูกทำใจได้ อย่างไรก็มองหาคนใหม่ก็ได้นะลูก เผื่อว่าเขาจะรักลูกแม่ด้วยใจจริง”หย่วนเฟิงพูดกับลูกสาวอย่างอ่อนโยนและดีใจที่ลูกทำใจได้แล้ว เพราะต่อให้อยากเกี่ยวดองกับตระกูลฉินมาก แต่เธอก็ไม่อยากให้ลูกไปแย่งสามีของใคร อย่างน้อยในปักกิ่งนี่ก็ไม่ได้มีแค่ลูกชายจากตระกูลฉินเท่านั้นที่คู่ควรกับลูกสาวของเธอขณะที่กำลังปลอบใจลูกอยู่นั้น เธอไม่รู้เลยว่าเวลานี้หลี่ซินหงมีประกายตาอย่างชิงชังขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่าในใจของเธอนั้นกำลังคิดอะไ
บทที่ 81 เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เองเขาไม่คิดจะโทษภรรยาที่จะพูดอย่างนั้นกับแม่ตนเอง เพราะเชื่อว่าเธอคงจะเหลืออดแล้วเหมือนกัน ถึงได้โต้แย้งแบบนั้น“หยางตง” ป๋ายหลานเรียกลูกชายเสียงดังเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ส่วนสองแม่ลูกก็หน้าซีดลงทันควัน“สามี อาเหมยเหนื่อยแล้ว” ถังลู่เหยเห็นสถานการณ์เริ่มตึงเครียดก็พูดออดอ้อนสามีและแสร้งอ่อนแอออกมาเพื่อแก้สถานการณ์ เธอนั้นตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะส่งข่าวหาอู่เหลย เพื่อให้คนของเขาสืบเรื่องลูกสาวตระกูลหลี่คนนี้ เพราะท่าทางที่เธอเห็นคือแม่ดอกบัวขาวชัด ๆอีกทั้งยังมองสามีของเธอเหมือนอยากจะกลืนกินเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ขณะเธอเป็นผู้หญิงด้วยกันยังกลัวอีกฝ่ายเลย ที่บอกว่ากลัวไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ แต่กลัวสายตาของเธอจะฉกสามีไป ฉินหยางตงเป็นคนตรงๆ คงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมมายาของแม่ดอกบัวขาวคนนี้“ถ้าอย่างนั้นเราขึ้นข้างบนเถอะครับ สามีจะพาภรรยาไปพักผ่อนเอง”ฉินหยางตงเห็นแบบนั้นก็โอบเอวภรรยาไว้อย่างรักใคร่และพูดกับเธออย่างอ่อนหวาน ก่อนจะหันไปพูดกับพ่อแม่ด้วยน้ำเสียงที่ปกติ“ผมขอตัวก่อนนะครับ พวกเราสองคนเดินทางมาเหนื่อย ๆ ยังไงก็ขอไปพักผ่อนสักหน่อย หากแม่ยังอยากจะรับแขกต่
บทที่ 80 มาถึงก็เจอแม่ดอกบัวขาวทันทีฉินหยางตงและถังลู่เหมยทั้งสองนั่งรถรับจ้างกลับมาที่ตระกูลฉิน เมื่อมาถึงชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะเห็นว่ารถของตระกูลหลี่จอดอยู่ที่หน้าบ้าน จนทำให้ถังลู่เหมยสงสัยขึ้นมา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอเอียงหน้าถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าของสามี“น่าเบื่อครับ พี่ปฏิเสธแล้วแต่บ้านหลี่ก็ยังไม่...เฮ้อ” ชายหนุ่มมองไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่แล้วพูดขึ้น เขาไม่รู้จะบอกอย่างไร เนื่องจากกลัวว่าภรรยานั้นจะโกรธที่พอมาถึงวันแรกก็มีผู้หญิงมารอที่บ้าน“ลูกสาวบ้านหลี่คือคนที่แม่พี่อยากจะให้พี่แต่งงานด้วยใช่ไหมคะ” เธอมองตามสายตาของสามีและถามกลับไปอย่างไม่อ้อมค้อม เนื่องจากเรื่องนี้ชายหนุ่มเล่าให้เธอฟังบ้างแล้ว“ครับ” ฉินหยางตงพยักหน้ารับอย่างไม่สบายใจ“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรค่ะ ฉันเชื่อใจพี่ เพราะไม่ว่าอย่างไรพี่คือสามีของฉันคนเดียว ฉันเชื่อว่าพี่รักฉันคนเดียว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ” ถังลู่เหมยพูดออกมาไปพร้อมยิ้มหวานให้กับสามีเธอนั้นเชื่อใจสามี เพราะตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา เขาไม่เคยทำเธอหวาดระแวงเลยสักครั้งเดียว มีแต่แสดงความรักกับเธอจนเธอจะเป็นเบาหวานตายอยู่แล้ว“แ