ถังลู่เหมยเรียกเอาขนมปังออกมาจากมิติหนึ่งก้อน แล้วฉีกกลางแบะออก จากนั้นจึงเรียกยาถ่ายที่มีในมิติออกมา ก่อนจะโรยใส่ตรงกลางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เธอมาหาเรื่องเองนะถงซิน” ถังลู่เหมยแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเจ้าเล่ห์
จากนั้นก็เดินไปเปิดประตู แล้วทำท่าเหมือนคนสติไม่ดีแบบเดิม พร้อมกับกัดกินขนมปังตรงที่ไม่ได้โรยยาถ่ายไว้
“เรียกทำไม” ถังลู่เหมยถามไปแบบหาเรื่อง แต่พอนึกได้จึงทำท่าเอาขนมปังไปแอบด้านหลังเหมือนกลัวอีกคนจะเห็น
“นั่นอะไร แกเอาอะไรซ่อนไว้นังลู่เหมย นังบ้า เอาออกมาดูสิ” ถังถงซินตาลุกวาว พอเห็นว่าอีกฝ่ายแอบซ่อนของกินอะไรไว้ จึงเอ่ยถามทันที
“ถงซินบ้า บ้ากว่าอาเหมย ไม่สวยแล้วยังบ้า บ้า คนนี้คนบ้า ฮ่าๆ” หญิงสาวไม่ตอบแต่ยังลอยหน้าลอยตาด่ากลับ และพูดซ้ำ ๆ คำพวกนี้ไม่หยุด
เธอหลอกด่าจนผู้มาเยือนเริ่มโมโห “นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังถงซินตวาดกลับไปทันทีเหมือนกัน
“นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังลู่เหมยพูดย้อนกลับไปเหมือนอีกฝ่ายทุกคำแถมยังยกมือชี้หน้าไปด้วย จนถังถงซินโมโหและพุ่งเข้าหาเธอ เพื่อหวังทำร้ายพร้อมกับแย่งชิงขนมปังไป
“นี่แกแอบซ่อนขนมปังใช่ไหม นังบ้า เอามานี่นะ” ถังถงซินเอื้อมมือจะแย่งไปเอามา แต่ถังลู่เหมยก็เบี่ยงตัวหนี
“ไม่ให้ ไม่ได้ซ่อน ลุงหมอให้มา” ถังลู่เหมยลอยหน้าลอยตาตอบอีก เธอเตรียมคำแก้ตัวไว้หมดแล้ว จึงได้อ้างว่าหมอจางให้มา
“หน็อย ของดี ๆ แบบนี้มันไม่เหมาะกับแกหรอกนังบ้า เพราะแกมันคนบ้า ฮ่า ๆ ๆ คนบ้าต้องไปหาหมอ เอาขนมปังมานี่” ถังถงซินเคยเห็นขนมคล้ายแบบนี้ขายในตลาดมืดและมีราคาแพงมาก แต่เมื่อวานได้ยินว่าถังอี้คุนพาถังลู่เหมยไปหาหมอในเมือง จึงไม่สงสัยอะไรกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมา ก่อนจะเข้าไปแย่งอีกครั้งและครั้งนี้เธอได้ขนมไปสมใจ
“ของอาเหมย อย่ามาแย่งสิ เอาคืนมานะ ช่วยด้วย คนบ้าแย่งขนมอาเหมย” หญิงสาวทำท่าไม่ยินยอม แม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน แต่ถ้าให้ดี ๆ ก็คงผิดปกติ จึงได้พุ่งไปเพื่อแย่งคืนมา และร้องโวยวายออกมาเสียงดัง จนนางหลันที่อยู่บ้านข้าง ๆ ต้องออกมาดู
“รู้ว่าลู่เหมยสติไม่ดี แล้วยังมาแย่งชิงของเธอไปอีก ถงซินจิตใจหล่อนทำด้วยอะไรกัน” นางหลันพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า หลานสาวจากบ้านใหญ่ถังจะรังแกแม้กระทั่งคนบ้า
“ฉันไม่ได้แย่งเสียหน่อย อย่ามาพูดลอย ๆ นะ ขนมพวกนี้ฉันซื้อมาเอง บ้านรองจะมีเงินมาซื้อขนมแพง ๆ แบบนี้ได้อย่างไร” ถังถงซินพยายามหาข้อแก้ตัว โดยบอกว่าขนมเป็นของตนเอง
แต่นางหลันได้ยินถังลู่เหมยบอกว่าขนมชิ้นนี้หมอในเมืองให้มา และนั่นคงเป็นเพราะสงสารถึงมอบขนมที่มีราคาให้เธอ เมื่อคิดถึงตรงนี้นางหลันจึงพูดออกไป
“คนเราทำอะไรย่อมรู้อยู่แก่ใจ เธอเองถึงวัยออกเรือนแล้ว แต่เพราะเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้อย่างไรล่ะ ถึงไม่มีใครมาขอเสียที ลู่เหมยไปเล่นที่อื่นเถอะ หรือไม่ก็กลับเข้าห้องไป แล้วนี่กินอะไรหรือยัง หิวไหม บ้านฉันมีมันเผาอยู่เอาไหม เดี๋ยวจะเอามาให้” นางหลันส่ายหน้าอย่างระอากับกิริยาของหลานสาวบ้านใหญ่ถัง ก่อนจะหันมาถามลูกสาวบ้านรองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ซึ่งถังลู่เหมยรู้ดีว่าบ้านของนางหลันไม่ได้ร่ำรวยนัก ครอบครัวนี้ก็ยากจนเหมือนกัน มันเผาก้อนหนึ่งมีค่ามากเลยนะสำหรับคนไม่มีเงิน แต่อีกฝ่ายกลับมีน้ำใจมอบให้หญิงบ้าเช่นเธอ
“ป้ากินเถอะนะ อาเหมยอิ่มแล้ว อาแหมยไปเล่นก่อน”
หญิงสาวหันมาตอบและยิ้มให้อย่างจริงใจ ขณะเดียวกันกลับไปปิดประตูแล้วเดินออกจากบ้าน โดยไม่คิดจะมองญาติผู้พี่คนนี้อีกเลย พอนึกถึงภาพที่อีกฝ่ายถ่ายท้องจู๊ด ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่า ๆ ๆ”
ชาวบ้านที่ได้ยินเธอหัวเราะ ก็ไม่มีใครแปลกใจในเรื่องที่ถังลู่เหมยหัวเราะแบบไร้เหตุผล เพราะพวกเขาเห็นเป็นประจำอยู่แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปสักพักหญิงสาวก็รู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในห้องจึงคิดหาทางไปเดินเล่น โดยตั้งใจว่าจะเดินขึ้นเขาสักหน่อย
“ไปบนเขาดีกว่า เดี๋ยวจะได้เก็บโสมกับเห็ดหลินจือใส่มิติ”
คิดได้อย่างนั้นเธอก็เดินออกมาจากบ้าน แต่ทว่าในตอนนี้ทางที่ถังลู่เหมยเดินนั้นไม่ใช่ทางไปขึ้นเขา เธอกลับเดินมาที่คอมมูน ที่ที่ครอบครัวเธอทำงานอยู่เวลานี้ ในใจนั้นขบคิดตลอดทางว่า ในเมื่อเธอจะแจกจ่ายอาหารให้ชาวบ้านยากไร้ได้ เธอต้องทำให้ครอบครัวอิ่มท้องและมีความเป็นอยู่อย่างสบายก่อน ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถแยกบ้านได้ก็ตาม เธอเชื่อว่าพ่อกับแม่จะเก็บความลับเรื่องนี้ได้เหมือนกัน
กลับมาทางด้านถังถงซิน หลังจากที่ออกมาจากบ้านรองถัง เธอก็รีบเอาขนมที่แย่งชิงมาได้แอบเข้าไปกินในห้องตัวเองอย่างอร่อย โดยไม่คิดที่จะแบ่งให้ใคร
พอเวลาผ่านไปสักพักเธอเริ่มรู้สึกไม่ดี แต่เหมือนจะไม่ทันการแล้ว ทั้งเสียงดัง ทั้งกลิ่นโชยออกมา จนวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน!!
ย่าถังนั่งมองหลานสาวคนโปรดวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำด้วยความสงสัย นางหันไปถามสามี “นั่นซินเอ๋อร์เป็นอะไร ทำไมต้องวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำบ่อยขนาดนั้น”
“ฉันนั่งกับแกจะรู้ได้อย่างไรล่ะ อยากรู้ก็ไปดูสิ”
ปู่ถังไม่สนใจสิ่งที่ย่าถังถาม เขานั่งพ่นยาสูบด้วยความสบายใจ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากบ้าน เพื่อจะไปโขลกหมากรุกและจิบน้ำชากับสหายวัยเดียวกัน
ย่าถังแม้จะห่วงหลานสาว แต่จะให้ไปสอบถามถึงหน้าห้องน้ำก็ไม่ไหวนะ จึงนั่งเฉยและรอให้ถังถงซินเดินออกมาเอง
แต่เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ก็ไม่เห็นหลานสาวเดินออกมา จึงได้เดินไปดูด้วยตัวเอง
“ซินเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือเปล่า” ย่าถังตะโกนถาม
ถังถงซินแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว เธอถ่ายท้องไม่หยุด พอย่าถังมาเรียก จึงตอบออกไปอย่างหมดแรง
“ฉะ ฉัน ท้องเสียน่ะย่า” เสียงของเธอนั้นกระท่อนกระแท่นยิ่งนัก
ย่าถังได้ยินก็ตกใจมาก เวลานี้คนในบ้านก็ไม่มีใครอยู่เสียด้วย เนื่องจากออกไปทำงานกันหมด ส่วนสะใภ้ใหญ่ก็ออกไปหาผัก แล้วแบบนี้จะให้ใครช่วยล่ะ
“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมถึงท้องเสียล่ะ กินอะไรเข้าไปหรือ” นางยังคงตะโกนถามหลานสาวด้วยความห่วงใย เนื่องจากอาหารที่กินมื้อเช้าก็กินเหมือนกันทุกคน แต่ทำไมถังถงซินถึงท้องเสียคนเดียวล่ะ
“นังลู่เหมยค่ะย่า มันเอาขนมเน่าเสียมาให้ฉันกิน จนฉันท้องเสียแบบนี้” ถังถงซินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงโกรธอีกคน
พอได้ยินอย่างนั้น ย่าถังจึงเรียกชื่อถังลู่เหมยด้วยความเกลียดชัง “นังลู่เหมย!!”
ถังลู่เหมยไม่รู้เลยว่าเวลานี้งานจะเข้าเธออีกแล้ว หญิงสาวนั่งมองพ่อแม่และพี่ชายทำงานใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยความสงสาร เธอรู้สึกสงสารทั้งสามคนมาก ที่ต้องทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินแบบนี้ การที่เธอตัดสินใจบอกพ่อกับแม่เรื่องความลับของเธอ คงเป็นเรื่องที่ควรกระทำที่สุดแล้ว จากนั้นก็รอแค่เวลาแยกบ้านเท่านั้น สุดท้ายแล้วเธอเชื่อว่าถ้าพ่อแม่รู้เรื่องมิติคงเก็บความลับเป็นอย่างดี และที่สำคัญคงต้องหาทางแยกบ้านแน่ ๆ
ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ก็มีเสียงคุ้นเคยทักทายขึ้นมา
“ไม่ร้อนเหรออาเหมย”
“พี่เฉียว” พอเห็นว่าเป็นใคร เธอทักทายด้วยรอยยิ้ม มือทั้งสองข้างก็ดึงทึ้งหญ้าขึ้นมาเล่น
“วันนี้ไม่นอนที่บ้านล่ะ หายป่วยแล้วหรือไง” ไม่พูดเปล่า ถังเจี้ยนเฉียวยกมือข้างหนึ่งสัมผัสหน้าผากของเธอด้วยความห่วงใย
บทที่ 20 บอกความจริงพ่อแม่ถังลู่เหมยคิดว่าคนบ้านใหญ่ที่ดีกับบ้านรองและเธอคงมีเพียงถังเจี้ยนเฉียยวคนนี้เท่านั้น จึงคุยเล่นกับเขาได้อย่างสนิทใจ“อาเหมยหายแล้ว นอนมากเบื่อ ๆ” เธอยังคงพูดจาเหมือนเดิม แต่ไม่โมโหร้ายใส่เหมือนกับคนอื่น ๆ ของบ้านรอง“เอานี่ลูกอม เอาไว้กิน พี่ไปทำงานก่อนนะ” ชายหนุ่มพักครู่ใหญ่แล้วเลยต้องรีบกลับไปทำงาน เพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงของทุกคนแล้วเหมือนกัน แต่ก่อนจะไปไม่ลืมที่จะมอบลูกอมที่เด็ก ๆ ชอบให้กับน้องสาวจากบ้านรอง เขาเชื่อว่าแม้ร่างกายของเธอจะไม่ต่างจากหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ความคิดเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งท่านั้น ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมย่าและคนอื่น ๆ ถึงได้ทำร้ายเธอที่ไร้เดียงสาเช่นนี้แววตาของชายหนุ่มมองถังลู่เหมยด้วยความอ่อนโยน ด้วยสัญชาตญาณของเธอเอง ก็ไม่รู้สึกถึงภัยอันตรายจากชายคนนี้ เธอจึงยื่นมือมารับและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณพี่เฉียว อาเหมยไม่ดื้อ นั่งเงียบ ๆ นะ”เมื่อได้รับคำสัญญา ถังเจี้ยนเฉียวก็เบาใจและหมดห่วงเรื่องอันตราย คนเราไว้ใจใครไม่ได้หรอก ยิ่งน้องสาวคนนี้ไร้เดียงสาและไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หากมีใครล่อลวงไปจะเอาแรงที่ไหนไปสู้ล่ะจากนั้นเขาจึงกลับไป
บทที่ 1 หว่านอันถิงหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในตึกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ในขณะที่กำลังเปิดประตูเพื่อเข้ามาในร้านกาแฟ ก็รู้สึกได้ถึงลมหอบใหญ่ที่พัดผ่านร่างไป เธอหันมองรอบกายและรู้สึกประหลาดใจที่จู่ ๆ ก็รู้สึกคล้ายกับว่ามีลมพัดเข้ามาทั้งที่ตอนนี้เธออยู่ในตัวอาคารที่ล้อมรอบไปด้วยกระจกหนา แต่ก็ไม่คิดอะไรเพราะมีเสียงทักทายเสียขึ้นมาเสียก่อน“คุณอันถิง สวัสดีค่ะ วันนี้รับอะไรดีคะ”พนักงานสาวประจำร้านเอ่ยทักทายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใส ในขณะที่กำลังปั๊มฟองนมอย่างขะมักเขม้นตำรวจสาวยิ้มหวาน ก่อนจะเงยหน้ามองเมนูและสั่งอเมริกาโน่เหมือนทุกวัน แต่วันนี้แปลกหน่อยก็ตรงที่เธอสั่งแบบใส่น้ำเชื่อม ทั้งที่ปกติแล้วเธอมักจะชื่นชอบรสขมของกาแฟมากกว่า“วันนี้ฉันขอเป็นอเมริกาโน่เหมือนเดิมนะ แต่ขอเพิ่มเป็นน้ำเชื่อมหนึ่งปั๊ม”“รับทราบค่ะ” พนักงานสาวตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนที่เธอนั้นจะรับเงินและยื่นใบเสร็จให้กับตำรวจสาว “รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวจะนำไปเสิร์ฟให้ค่ะ”“ขอบคุณค่ะ”หว่านอันถิงพูดจบก็เดินไปนั่งที่โต๊ะริมกระจกก่อนที่เธอนั้นจะเงยหน้ามองโทรทัศน์ที่กำลังเสนอข่าวเกี่ยวกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งถูกตำรวจกวาดล้
บทที่ 2 ภารกิจสุดท้ายหว่านอันถิงใช้เวลาเตรียมตัวและปรับบุคลิกใหม่ราว ๆ สามวัน เนื่องจากเธอนั้นต้องปลอมเข้าไปเป็นพนักงานเดินเอกสารในบริษัทของมาเฟียหนุ่ม จะได้มีโอกาสเข้านอกออกในหลาย ๆ ห้องในวันนี้หญิงสาวเดินทางมาที่บริษัทแต่เช้า เพราะเธอมีบัตรที่แสดงว่าเธอเป็นคนของที่นี่ ทำให้พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ได้สนใจเธอเท่าไรนัก พอมองไปรอบ ๆ เห็นแม่บ้านกำลังทำความสะอาดอย่างตั้งใจ ก็รีบขึ้นลิฟต์ตรงไปยังชั้นบนทันทีแต่ก่อนที่จะขึ้นไปยังห้องทำงานของมาเฟียหนุ่ม เธอไม่ลืมที่จะแวะไปยังห้องควบคุมระบบต่าง ๆ โชคดีที่พนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังดื่มกาแฟ และไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาด้านหลังเขาหว่านอันถิงใช้จังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ สับฝ่ามือลงบนหลังคอจนเขาสลบไป หลังจากนั้นเธอได้หาเชือกมามัดข้อมือเขาไพล่หลัง และไม่ลืมที่จะนำสก๊อตเทปปิดปากชายหนุ่มไว้เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายส่งเสียงดังขณะที่เธอกำลังล้วงข้อมูลหญิงสาวไล่ปิดระบบกล้องวงจรปิดทุกตัวอย่างชำนาญ ก่อนที่เธอนั้นจะรีบขึ้นไปยังห้องทำงานของมาเฟียหนุ่มชั้นบนค่อนข้างเงียบสงบ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีแม่บ้านทำงานอยู่ประปราย เมื่อมองซ้ายมองขวาพอเห็น
บทที่ 3 หญิงบ้าของบ้านถัง“นังลู่เหมย ทำไมเนื้อตัวเปียกแบบนี้ หล่อนแอบหนีไปเล่นน้ำอีกแล้วใช่ไหม”หญิงชราที่เห็นว่าหลานสาวนั้นเดินตัวเปียก ผมแห้งลีบติดศีรษะ ก็เข้าใจว่าถังลู่เหมยนั้นคงแอบไปเล่นน้ำอยู่แน่ ๆ ถึงได้กลับมาช้า นางตวาดถามออกไปก่อนจะคว้าไม้ยาวมาฟาดไปที่ก้นหลานสาว หญิงสาวร้องลั่นวิ่งหนีไปโดยทิ้งผลท้อลงพื้น ก่อนจะไปหลบอยู่หลังพี่ชายที่เดินออกมาพอดี“เจ็บ เจ็บ ย่าตี”หญิงสาวชี้ไปที่หญิงชรา ก่อนใช้ฝ่ามือตบที่หลังพี่ชายและพูดคำเดิมย้ำ ๆ พลางลูบก้นป้อย ๆ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกย่าตี ความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวรู้สึกโกรธ ด้วยความที่สติไม่สมประกอบแม้เธอจะเป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นในบางครั้งก็คลุ้มคลั่งควบคุมตัวเองไม่ได้ถังลู่เหมยย่อตัวลง ก่อนที่เธอนั้นจะคว้าก้อนหินก้อนเล็กมาถือไว้และโยนใส่หญิงชรา“นังลู่เหมย เดี๋ยวเถอะนะ!”ด้วยความโมโหที่ถูกปาก้อนหินใส่ ผู้เป็นย่าจึงเดินตรงเข้าหา พร้อมกับง้างไม้มาแต่ไกล แต่โชคดีที่ชายหนุ่มขวางเอาไว้ ทำให้หญิงชรานั้นไม่กล้าลงไม้ลงมือไปมากกว่านี้“หลบไป ฉันจะสั่งสอนเด็กนิสัยเสีย!” ย่าถังพูดกับหลานชายที่ยืนขวางทางอยู่“ย่าพอเถอะ อาเหมย
บทที่ 4 วิญญาณเร่ร่อนกลับมายังโลกปัจจุบัน มาเฟียหนุ่มแทบคลุ้มคลั่งเมื่อเห็นว่าไฟล์ลับที่เขาเก็บไว้ถูกส่งไปยังสำนักงานตำรวจเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมกับมองร่างไร้วิญญาณที่นอนเกลื่อนกลาดเต็มพื้นห้องเขามองที่ร่างของหญิงสาวที่เป็นต้นตอของปัญหาอย่างไม่พอใจ แม้ว่าเขาจะกำจัดเธอได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นภารกิจที่เธอทำก็สำเร็จเช่นกัน ทำให้ความแค้นในใจของเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียวชายหนุ่มรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ ตำรวจเหล่านั้นจะต้องบุกมาที่นี่อย่างแน่นอน เขาจึงได้เตรียมตัวหนีด้วยการกวาดข้าวของที่สำคัญลงกระเป๋า รวมทั้งทรัพย์สินที่เก็บไว้ในเซฟในขณะที่ชายหนุ่มกำลังร้อนรนอยู่นั้น เขาไม่รู้เลยว่าวิญญาณของหว่านอันถิงกำลังยืนมองอยู่ หญิงสาวก้มมองร่างโปร่งแสงของตัวเองอย่างแทบไม่เชื่อสายตาว่าโลกหลังความตายนั้นมีอยู่จริง“ตำรวจพวกนั้นทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบมาจับกุมล่ะ เดี๋ยวเขาก็หนีไปหรอก”หญิงสาวรู้สึกร้อนใจกลัวว่ามาเฟียหนุ่มจะหนีไปได้สำเร็จ เธอล่องลอยไปมา ก่อนจะโผล่หน้าออกไปนอกประตู แต่เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนในชุดเครื่องแบบที่คุ้นเคยกำลังมุ่งตรงมาทางนี้เธอก็เบ
บทที่ 5 ย่ามหาภัยหญิงสาวกระโดดสองขาก่อนที่จะโบกมือไปมา เพียงครู่เดียวสองพ่อลูกก็ได้พบหน้ากัน ถังเยี่ยดีใจจนน้ำตาไหล เขารีบตรงเข้าไปกอดลูกสาวไว้ก่อนจะลูบศีรษะอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยน“อาเหมยของพ่อ ทำไมถึงได้เดินเข้ามาในป่าลึกเพียงลำพังแบบนี้” ถังเยี่ยถามลูกสาวอย่างอ่อนโยนผู้เป็นพ่อใจหายใจคว่ำเมื่อรู้ว่าลูกสาวหายตัวไป เขารีบออกตามหา โชคดีที่ชาวบ้านนั้นเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาในนี้ เขากับลูกชายจึงได้รีบเร่งเดินทางเข้ามาตามหาดีแค่ใดที่ถังลู่เหมยไม่ถูกสัตว์ป่าทำร้าย บริเวณนี้เป็นที่ชุกชุมของหมูป่าและสัตว์ร้ายอื่นๆ น่าแปลกที่พวกมันไม่ออกมาทำร้ายลูกสาวของเขา ทั้งที่ปกติพวกมันหวงอาณาเขตเป็นอย่างมาก“เจออาเหมยแล้วก็รีบไปกันเถอะพ่อ อยู่ในป่าลึกดึก ๆ แบบนี้อันตราย ไม่รู้จะมีตัวอะไรโผล่มาหรือไม่” ถังอี้คุณบอกกับผู้เป็นพ่ออย่างกังวลใจชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก“ดี ไปกันเถอะ อาเหมยใส่เสื้อไว้นะ” ถังเยี่ยพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตนเองมาห่มร่างกายของลูกสาวเพื่อคลายความหนาวเย็นถังลู่เหมยดีใจที่ได้เจอพ่อกับพี่ชาย เธอเกาะแขนทั้งสองก่อนจะเดินออกจากป่าด้วยท่าทางอารมณ์ดี
บทที่ 6 ป่วยหนักกลางดึกคืนนั้น จู่ ๆ ถังลู่เหมยก็ล้มป่วย นั่นคงเพราะตากน้ำค้างในป่านานเกินไป ร่างของหญิงสาวนอนสั่นแถมตัวยังร้อนมาก“พี่เยี่ย ตื่นเถอะ อาเหมยตัวร้อนมาเลย สงสัยน่าจะตากน้ำค้างเมื่อเย็นน่ะ พี่ตื่นมาดูลูกหน่อย” เหนียงฟางเขย่าตัวสามีด้วยความร้อนใจ“อาเหมยป่วยเหรอ” ถังเยี่ยรู้สึกตัวเมื่อภรรยาเขย่าตัวเรียก เสียงของแม่ทำให้ถังอี้คุนที่นอนอยู่มุมห้องต้องลุกขึ้นมาอีกคน ก่อนจะรีบมาจับตัวน้องสาวด้วยความเป็นห่วง“น้องตัวร้อนมาเลยแม่ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมจะลองเข้าป่าไปหาสมุนไพรมาต้มให้น้องดื่ม เผื่อว่าอาการจะดีขึ้น” ชายหนุ่มเลือกที่จะเสี่ยงขึ้นเขาเวลานี้ ดีกว่าจะต้องไปเคาะเรียกบ้านใหญ่แล้วถูกด่ากลับมา ถ้าโดนด่าแล้วได้เงินเขาก็ยินดีทำ แต่ส่วนมากจะโดนด่าแต่ไม่ได้เงิน“แต่เวลานี้มันดึกมาแล้ว ขึ้นเขาเข้าป่าตอนนี้อันตรายมากนะอาคุน” ถังเยี่ยไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้ลูกชายขึ้นเขาไปหาสมุนไพรเวลานี้“แล้วพ่อจะให้ผมทำอย่างไร นั่งมองน้องจับไข้และหนาวสั่นแบบนี้เหรอครับ ผมทำไม่ได้ ผมไปไม่นานเดี๋ยวจะรีบกลับมา” พูดจบถังอี้คุนเลือกที่จะเปิดประตูห้องและเดินออกมา ทำให้สองสามีภรรยามองตามแผ่นหลังลูกชายด้
บทที่ 7 ฉันกลายเป็นหญิงบ้าเหรอเนี่ยถังเยี่ยที่ฟังอยู่ตั้งแต่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินออกมาพบหน้าแม่ตนเอง ก่อนจะพูดช่วยภรรยา “แม่ แต่อาเหมยไม่สบายเป็นไข้สูงมาก อาฟางต้องอยู่ดูแลคอยเช็ดตัวให้ตลอดนะ แม่มาก็ดีแล้ว ผมขอเบิกเงินกองกลางเพื่อพาลูกไปหาหมอในเมืองหน่อยนะครับ” ถังเยี่ยพูดกับแม่อย่างใจเย็นและถือโอกาสขอเบิกเงินกองกลางเพื่อจะได้พาลูกสาวไปหาหมอ“เงินอะไรกัน ฉันไม่มีให้เบิกหรอก รายได้บ้านเรานิดเดียวจะไปพอยาไส้อะไร ลูกแกป่วยก็ไปเก็บสมุนไพรบนเขามาต้มให้กินสิ เงินกองกลางมีไว้ใช้ในเรื่องจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่เอามาใช้กับเด็กที่สติไม่สมประกอบและไร้ค่าอย่างลูกแก” นางยังคงยืนยันว่าไม่มีเงินให้หรือถึงมีก็ไม่ให้ นั่นก็เพราะว่าในใจอยากให้หลานสาวที่มีสติไม่สมประกอบตายไปเสียเลย เพื่อที่บ้านรองจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับนังเด็กไร้ประโยชน์นี่ แล้วไปทำงานหาเงินเข้ากองกลางเยอะ ๆ หว่านอันถิงที่มองเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วเธออยากจะเข้าไปขยุ้มคอของหญิงชราคนนี้เสียเหลือเกิน เธอมองว่าคนที่ไร้ประโยชน์และน่าจะรีบตายๆ ไปซะคือย่าถังมากกว่าถังลู่เหมย เพราะเหมือนว่าหญิงชราคนนี้จะมีจิตใจที่ไร้ความมนุษย์มากจนเกินไปแล้ว
บทที่ 20 บอกความจริงพ่อแม่ถังลู่เหมยคิดว่าคนบ้านใหญ่ที่ดีกับบ้านรองและเธอคงมีเพียงถังเจี้ยนเฉียยวคนนี้เท่านั้น จึงคุยเล่นกับเขาได้อย่างสนิทใจ“อาเหมยหายแล้ว นอนมากเบื่อ ๆ” เธอยังคงพูดจาเหมือนเดิม แต่ไม่โมโหร้ายใส่เหมือนกับคนอื่น ๆ ของบ้านรอง“เอานี่ลูกอม เอาไว้กิน พี่ไปทำงานก่อนนะ” ชายหนุ่มพักครู่ใหญ่แล้วเลยต้องรีบกลับไปทำงาน เพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงของทุกคนแล้วเหมือนกัน แต่ก่อนจะไปไม่ลืมที่จะมอบลูกอมที่เด็ก ๆ ชอบให้กับน้องสาวจากบ้านรอง เขาเชื่อว่าแม้ร่างกายของเธอจะไม่ต่างจากหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ความคิดเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งท่านั้น ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมย่าและคนอื่น ๆ ถึงได้ทำร้ายเธอที่ไร้เดียงสาเช่นนี้แววตาของชายหนุ่มมองถังลู่เหมยด้วยความอ่อนโยน ด้วยสัญชาตญาณของเธอเอง ก็ไม่รู้สึกถึงภัยอันตรายจากชายคนนี้ เธอจึงยื่นมือมารับและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณพี่เฉียว อาเหมยไม่ดื้อ นั่งเงียบ ๆ นะ”เมื่อได้รับคำสัญญา ถังเจี้ยนเฉียวก็เบาใจและหมดห่วงเรื่องอันตราย คนเราไว้ใจใครไม่ได้หรอก ยิ่งน้องสาวคนนี้ไร้เดียงสาและไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หากมีใครล่อลวงไปจะเอาแรงที่ไหนไปสู้ล่ะจากนั้นเขาจึงกลับไป
บทที่ 19 มาหาเรื่องเองแล้วจะมาโทษใครถังลู่เหมยเรียกเอาขนมปังออกมาจากมิติหนึ่งก้อน แล้วฉีกกลางแบะออก จากนั้นจึงเรียกยาถ่ายที่มีในมิติออกมา ก่อนจะโรยใส่ตรงกลางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“เธอมาหาเรื่องเองนะถงซิน” ถังลู่เหมยแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเจ้าเล่ห์จากนั้นก็เดินไปเปิดประตู แล้วทำท่าเหมือนคนสติไม่ดีแบบเดิม พร้อมกับกัดกินขนมปังตรงที่ไม่ได้โรยยาถ่ายไว้“เรียกทำไม” ถังลู่เหมยถามไปแบบหาเรื่อง แต่พอนึกได้จึงทำท่าเอาขนมปังไปแอบด้านหลังเหมือนกลัวอีกคนจะเห็น“นั่นอะไร แกเอาอะไรซ่อนไว้นังลู่เหมย นังบ้า เอาออกมาดูสิ” ถังถงซินตาลุกวาว พอเห็นว่าอีกฝ่ายแอบซ่อนของกินอะไรไว้ จึงเอ่ยถามทันที“ถงซินบ้า บ้ากว่าอาเหมย ไม่สวยแล้วยังบ้า บ้า คนนี้คนบ้า ฮ่าๆ” หญิงสาวไม่ตอบแต่ยังลอยหน้าลอยตาด่ากลับ และพูดซ้ำ ๆ คำพวกนี้ไม่หยุดเธอหลอกด่าจนผู้มาเยือนเริ่มโมโห “นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังถงซินตวาดกลับไปทันทีเหมือนกัน“นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังลู่เหมยพูดย้อนกลับไปเหมือนอีกฝ่ายทุกคำแถมยังยกมือชี้หน้าไปด้วย จนถังถงซินโมโหและพุ่งเข้าหาเธอ เพื่อหวังทำร้ายพร้อมกับแย่งชิงขนมปังไป“นี่แกแอบซ่อนขนมปังใช่ไหม นังบ้า เอามาน
บทที่ 18 จุดประสงค์การใช้ของในมิติคำพูดนี้ของน้องสาวทำให้ชายหนุ่มเกิดความสนใจ เลยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตื่นเต้น “เรื่องมหัศจรรย์ อะไรบอกพี่ได้ไหม”“ได้สิ พี่ใหญ่เป็นพี่ชายของฉัน ทำไมฉันจะบอกไม่ได้ พี่คอยดูอะไรนะ” หญิงสาวพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เพราะถ้าหากไม่ไว้ใจพี่ชายคนนี้ เธอคงไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้วและเธอคงไม่บอกว่าหายบ้าแล้วหรอกนะถังลู่เหมยมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาเห็น ก่อนจะแบมือออกตรงหน้าพี่ชายแล้วนึกถึงแซนต์วิช เท่านั้นแหละ แซนต์วิชสองสามชิ้นก็วางอยู่บนมือของเธอ“เฮ้ย!!” นี่คือคำอุทานของถังอี้คุน แม้จะตกใจมากแค่ไหนแต่เขากลับไม่ถอยหนีจากน้องสาว เขาทำเพียงสบตาเธอก่อนจะถามขึ้น “นี่คือเรื่องอัศจรรย์ของอาเหมยเหรอ”“ใช่ค่ะ นี่แหละคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ฉันจะบอกพี่ ไม่เพียงแค่ขนมเท่านั้น ยังมีอาหารและของกินอีกหลายอย่างรวมถึงเนื้อหมู่ ไก่ ปลา และพวกข้าวสาร ที่ฉันเรียกออกมาได้ราวกับเล่นกล” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างไม่ปิดบัง“อาเหมยทำได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าท่านตาคนนั้น...” ชายหนุ่มถามขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ และนึกถึงท่านตาคนนั้นที่น้องสาวเคยเล่าให้ฟัง“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าท่านตาคนนั้นคงให้ของวิ
บทที่ 17 คลังแสงและมิติวิเศษที่ตามมาตกดึกคืนนั้น ถังลู่เหมยฝันว่าเธอได้กลับไปที่เซฟเฮ้าท์ ซึ่งเป็นที่กบดานของทีมเธอในชีวิตที่แล้ว ภายในที่นี่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงห้องเก็บอาวุธ โดยมีทั้งอาวุธต่อสู้ธรรมดาไปจนถึงอาวุธหนัก แล้วยังมีอาหารและยาที่ครบครันอีกด้วย“ทำไมฉันถึงกลับมาที่นี่ได้ล่ะ ในเมื่อฉันตายจากยุคนี้แล้ว”หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกับสิ่งที่เห็น อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าเธอนั้นกลับมาที่นี่ได้อย่างไร เรื่องนี้มันน่าแปลกใจมาก“หรือว่าฉันจะมีมิติเหมือนในนิยาย แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าบ้านรองจะโดนคนจากคนบ้านใหญ่รังแก หึหึ แบบนี้ดีมากเลย” หญิงสาวพูดออกมาอีกครั้งด้วยความดีใจ เมื่อคิดได้ว่าเธอน่าจะมีมิติในนิยายอย่างที่เคยฟังจากแม่ค้าแถวที่พักชอบพูดคุยกัน มันสนุกจนเธอไปซื้อมาอ่านในยามว่าง จึงยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ไปสำรวจบ้านดูดีกว่า ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง”พูดจบเธอไม่รอช้า รีบวิ่งสำรวจบ้านว่ามีทุกอย่างเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะก่อนที่เธอจะตายในหน้าที่ ได้ซื้ออาหารและของใช้หลายอย่างมาเก็บไว้ รวมถึงข้าวของและเสื้อผ้าที่เธอตั้งใจจะเอาไปบริจาคให้คนบน
บทที่ 16 แอบซ่อนเงินที่หามาเมื่อเข้าในห้อง ถังลู่เหมยมองอาหารที่บ้านใหญ่แบ่งมาให้ด้วยความเบื่อหน่าย พร้อมกับทอดถอนใจออกมา ต่อให้จะไม่มีอาหารอย่างซาลาเปาที่กินไปก่อนหน้านี้จนอิ่มท้อง เธอก็ทนกินอาหารพวกนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แถมอาหารตรงหน้าไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว ดูแล้วน่าจะแตกต่างจากบ้านใหญ่มากนัก“เดี๋ยวพ่อกับแม่กินซาลาเปานี้ดีกว่าครับ ผมและน้องซื้อมาจากในเมือง รีบกินเสียก่อนที่บ้านใหญ่จะมาเห็นเถอะ” ถังอี้คุนรีบหยิบถุงซาลาเปาออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะบอกพ่อกับแม่ให้รีบกิน“นี่มัน! ลูกเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อ ไหนจะเงินค่าพาน้องไปหาหมออีก” เหนียงฟางเห็นซาลาเปาก็ตาโตและถามออกไปอย่างตกใจ เพราะนี่จะต้องใช้เงินจำนวนมากแน่“ผมไปทำงานในตลาดมืดครับ เจอนายจ้างใจดีเลยได้จ่ายจ้างมาสิบหยวน แต่ผมจะต้องไปทำงานให้เธออีกครั้งครับ” ถังอี้คุนตอบออกไปตามความจริงบางส่วน เพราะเขาเจอนายจ้างใจดีจริง ๆ“โอ้ ช่างโชคดีอะไรแบบนี้” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาอย่างดีใจ“ครับผมกับอาเหมยโชคดีจริง ๆ แต่ตอนนี้พ่อกับแม่รับกินเถอะครับ เดี๋ยวกลิ่นลอยออกไปแล้วย่าจะรู้แล้วจะมาแย่งไปหมด” ชายหนุ่มรีบพูดให้พ่อแม่รีบกินเพราะซาลาเปานั้นส่ง
บทที่ 15 ปะทะกับย่าถัง“ไหนว่าไม่สบายยังไงล่ะ คนไม่สบายที่ไหนกันออกไปเที่ยวเล่นจนกลับมาเย็นค่ำแบบนี้กัน” ย่าถังที่นั่งอยู่กับลูกสะใภ้คนโปรดก็พูดจากระทบกระทั่งหลานสาวสติไม่ดีทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามาถังลู่เหมยทำท่าจะไม่ยอมและกำลังจะสวนกลับ แต่โดนพี่ชายห้ามไว้เสียก่อน“อาเหมยเข้าห้องไปดีกว่านะ เดินมาเหนื่อยไม่ใช่เหรอ” ถังอี้คุนพูดขึ้นพร้อมกับลากเธอเดินไปห้องที่บ้านรองพักอาศัยอยู่“พี่ดึงฉันมาทำไม คนแก่กะโหลกกะลาปากเสียแบบนั้นสมควรจะต้องโดนเอาคืนเสียบ้าง” ถังลู่เหมยพูดออกมาอย่างไม่พอใจเมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้ว“แต่นั่นคือแม่ของพ่อนะ จะทำอะไรก็คิดถึงพ่อบ้าง อีกอย่างพี่กลัวพวกเขาจะสังเกตว่าพี่ซุกซาลาเปาไว้ เกิดมีเรื่องแล้วมันหล่นออกมา จะโดยแย่งไปทั้งหมดนะ” ถังอี้คุนรีบบอกน้องสาวออกไป“อย่างนั้นจะปล่อยผ่านไปให้สักครั้งก็แล้วกัน” ถังลู่เหมยกอดอกพูดอย่างไว้ท่า เธอคิดว่าอีกไม่นานจะต้องมีเรื่องให้เอาคืนแน่และเวลานั้นก็มาถึง เมื่อถึงเวลาที่ต้องกินมื้อเย็น กลายเป็นว่าถังลู่เหมยถูกย่าถังสั่งห้ามไม่ให้กินข้าว แม้ว่าเธอจะกินซาลาเปาจนอิ่มท้องแล้วก็ตาม แต่มีเหรอที่เธอจะยอมให้หญิงชราคนนี้กลั่นแกล้ง พ
บทที่ 14 ยังคงแกล้งบ้าเหมือนเดิม“ดีแล้ว ในเมื่อทั้งสองคนมีเอกสารมาด้วย จะได้เปิดบัญชีพร้อมกัน” หมอจางพูดสนับสนุนให้สองพี่น้องเปิดบัญชีของรัฐ แต่เขาไม่มั่นใจว่าหญิงสาวที่สติไม่ดีคนนี้จะสามารถเปิดได้ไหม จึงพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจเล็กน้อย “แต่ฉันไม่มั่นใจนะว่าอาเหมยจะสามารถเปิดบัญชีได้หรือไม่ เนื่องจากเธอเป็นบุคคลที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้” หมอจางพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าสติไม่ดีหรือเป็นบ้า เพื่อรักษาจิตใจของสองพี่น้อง จึงพูดเพียงว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ถังอี้คุนมองหน้าน้องสาวอย่างคล้ายกับจะปรึกษา เพราะเงินพวกนี้เธอเป็นคนหามา จะฝากบัญชีเขาคนเดียวก็คงไม่ได้ และเขาเองก็ไม่คิดจะเอาเงินของน้องด้วย“พี่ใหญ่เก็บไว้ เก็บเงินไว้เยอะ ๆ เลยนะ เอาไว้ซื้อขนมให้อาเหมย นะนะ ฮ่า ๆ ชอบกินขนม” ถังลู่เหมยพูดขึ้นพร้อมกับปรบมือเหมือนเด็ก ๆ ที่สนใจแต่ขนมเท่านั้นนี่คือสัญญาณของเธอเพื่อที่จะบอกพี่ชายว่าให้เอาเงินทั้งหมดฝากไว้ที่เขา เพราะอย่างไรเธอก็คือครอบครัวของบ้านรองถังไปแล้วเมื่อได้ยินน้องสาวพูดแบบนี้ ชายหนุ่มจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนส่งไปให้เธอ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าเงินนี่ก็คือของถังลู่เหมยอยู่ดี“ตกลง
บทที่ 13 เป็นเศรษฐีหมื่นหยวนสองพี่น้องเดินอ้อมมายังอีกหมู่บ้าน แม้จะเหนื่อยสักหน่อยแต่ก็ยอมที่จะเหนื่อยเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่ถูกบ้านใหญ่แย่งชิงเอาของไป ในที่สุดทั้งสองก็เข้ามาถึงในหมู่บ้านด้วยการเดิน ถังอี้คุนได้ไปซื้อผ้ามาจากชาวบ้าน โดยอ้างว่าจะเอามาห่มให้น้องสาวที่ไม่สบาย แต่จริงๆ เอามาห่อโสมและเห็ดหลินจือ จากนั้นชายหนุ่มจึงว่าจ้างเหมาเกวียนไปยังร้านขายยาของหมอจางที่อยู่ในเมืองพอเถ้าแก่จางเห็นว่า ถังอี้คุนมาเยือนที่ร้านขายยาอีกครั้งจึงทักทายด้วยความแปลกใจปนร้อนใจ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือว่าน้องสาวอาการไม่ดีขึ้น”“เปล่าครับหมอจาง นี่ลู่เหมยน้องสาวผมเอง ตอนนี้เธออาการดีขึ้นมากแล้วครับ แต่เราสองพี่น้องมีเรื่องจะสอบถามครับ” ถังอี้คุนรีบแนะนำตัวน้องสาวให้อีกฝ่ายรู้จัก พร้อมกับกระซิบถามเพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก“....” ถังลู่เหมยก้มศีรษะทักทายเล็กน้อย“อืม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” หมอจางถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากเขามองว่าหญิงสาวคนนี้เหมือนไม่มีอาการป่วยอะไรเลย ซึ่งมันต่างจากอาการที่เขาได้ฟังอย่างสิ้นเชิง แถมท่าทางของชายหนุ่มก็ดูแปลกกว่าตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้ถังลู่เหมยเข
บทที่ 12 ตัดสินใจบอกพี่ชายถังลู่เหมยสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะบอกเรื่องที่เธอหายเป็นปกติกับพี่ชายก่อนทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาช่วยเธอในบางเรื่อง ส่วนพ่อกับแม่นั้นคงต้องรออีกสักพัก เมื่อไรที่หาวิธีแยกบ้านได้แล้วค่อยบอกก็ยังไม่สาย ส่วนตอนนี้เธอยังต้องการใช้ความเป็นคนบ้าเพื่อปั่นป่วนบ้านใหญ่และย่าถังจนทนไม่ได้และยอมให้บ้านรองแยกบ้านเสียก่อน “อาเหมยมีเรื่องอะไรจะบอกพี่หรือ” ถังอี้คุนเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย“พี่ใหญ่ เวลานี้น้องสาวพี่หายจากอาการป่วยไข้และกลับมาเป็นปกติแล้วนะ แถมตอนนี้สติสัมปชัญญะก็รับรู้ได้อย่างเช่นคนปกติทั่วไปแล้ว อาเหมยคนนี้ไม่ได้บ้าอีกแล้วนะคะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างจริงจังพร้อมกับสบตาพี่ชายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้จะมีความตกใจอยู่มาก แต่ถังอี้คุนยังคงมีความนิ่งสงบไม่แสดงท่าทางตื่นตกใจออกมา แต่เขากลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เพราะอะไร อาการเหล่านั้นถึงได้หายไป อาเหมยบอกพี่ได้ไหม”“ตอนฉันป่วย ฉันสติหลุดลอยไป เหมือนฉันฝันว่าได้ไปพบกับคุณตาชราท่านหนึ่ง ท่านวาดภาพกลางอากาศและชี้นิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของฉัน ตอนนั้นมันช่างทรมานเหลือเกิน คิดว่าจะไม่ได้กลับม