กลางดึกคืนนั้น จู่ ๆ ถังลู่เหมยก็ล้มป่วย นั่นคงเพราะตากน้ำค้างในป่านานเกินไป ร่างของหญิงสาวนอนสั่นแถมตัวยังร้อนมาก
“พี่เยี่ย ตื่นเถอะ อาเหมยตัวร้อนมาเลย สงสัยน่าจะตากน้ำค้างเมื่อเย็นน่ะ พี่ตื่นมาดูลูกหน่อย” เหนียงฟางเขย่าตัวสามีด้วยความร้อนใจ
“อาเหมยป่วยเหรอ” ถังเยี่ยรู้สึกตัวเมื่อภรรยาเขย่าตัวเรียก เสียงของแม่ทำให้ถังอี้คุนที่นอนอยู่มุมห้องต้องลุกขึ้นมาอีกคน ก่อนจะรีบมาจับตัวน้องสาวด้วยความเป็นห่วง
“น้องตัวร้อนมาเลยแม่ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมจะลองเข้าป่าไปหาสมุนไพรมาต้มให้น้องดื่ม เผื่อว่าอาการจะดีขึ้น” ชายหนุ่มเลือกที่จะเสี่ยงขึ้นเขาเวลานี้ ดีกว่าจะต้องไปเคาะเรียกบ้านใหญ่แล้วถูกด่ากลับมา ถ้าโดนด่าแล้วได้เงินเขาก็ยินดีทำ แต่ส่วนมากจะโดนด่าแต่ไม่ได้เงิน
“แต่เวลานี้มันดึกมาแล้ว ขึ้นเขาเข้าป่าตอนนี้อันตรายมากนะอาคุน” ถังเยี่ยไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้ลูกชายขึ้นเขาไปหาสมุนไพรเวลานี้
“แล้วพ่อจะให้ผมทำอย่างไร นั่งมองน้องจับไข้และหนาวสั่นแบบนี้เหรอครับ ผมทำไม่ได้ ผมไปไม่นานเดี๋ยวจะรีบกลับมา” พูดจบถังอี้คุนเลือกที่จะเปิดประตูห้องและเดินออกมา ทำให้สองสามีภรรยามองตามแผ่นหลังลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“เราจะไม่ทำอะไรกันเลยเหรอคะพี่เยี่ย” เหนียงฟางสงสารลูกทั้งสอง จึงได้หันมาถามสามีด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย
“เธอเช็ดตัวให้ลูกก่อนเถอะ ฉันเองจะลองไปดูที่บ้านพี่จ๋ายเสียหน่อย” ถังเยี่ยตั้งใจว่าจะไปขอหยิบยืมเงิน เพื่อที่เช้ามาจะได้พาถังลู่เหมยไปหาหมอ
“พี่ลืมไปหรือเปล่าว่าบ้านเยี่ยไม่มีใครอยู่เลย เมื่อกลางวันทั้งหมดเดินทางไปต่างเมือง เพื่อไปขอลูกสะใภ้ให้อาเต๋อ” เหนียงฟางตอบกลับสามี เพราะเมื่อกลางวันเธอยังคุยกับพี่สะใภ้บ้านนั้นอยู่เลย
“จริงด้วย” คราวนี้ถังเยี่ยเครียดและกลุ้มใจมากกว่าเดิม เพราะไม่รู้ว่าจะหาเงินจากที่ไหนเพื่อพาลูกสาวไปหาหมอ
หว่านอันถิงได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เพราะเธอเองยังไม่ไปไหน อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าหลานป่วยขนาดนี้ ต่อให้เลวร้ายอย่างไร ก็ไม่ควรจะหันหน้าหนี ถึงจะไม่เข้าใจอย่างไรก็ยังไม่มีคำตอบ เพราะเธอเพิ่งมาพบกับครอบครัวบ้านถังก็วันนี้เอง
จะว่าไปบ้านรองถังน่าสงสารมาก แม้จะเป็นคนในบ้านถัง แต่มีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากทาสในเรือนเบี้ย เธอแทบมองไม่เห็นทางเลย ที่บ้านรองนี้จะทำเรื่องแยกบ้านได้ ส่วนหญิงสาวอย่างถังลู่เหมยเธอรู้สึกว่าช่างอาภัพนัก นอกจากจะเกิดมาไม่ปกติแล้ว ย่ายังหลอกไปให้ตายอีก หากวันนี้ไม่มีคนรู้หรือไม่มีใครออกตามหา คิดไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าเธอมีเลือดเนื้อคงได้ช่วยอะไรครอบครัวนี้บ้าง แต่เธอจะช่วยได้อย่างไร ในเมื่อหว่านอันถิงในเวลานี้คือวิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้น “เฮ้อ...” ตอนนี้ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้น
เมื่อถังอี้คุนกลับมา เขารีบต้มยาให้น้องสาวกินเพื่อหวังว่าไข้ของเธอจะลดลงบ้าง!!
บทที่ 6 เข้าร่าง
เช้าวันต่อมา...
หลังจากที่ป้อนยาให้กับถังลู่เหมยแล้ว ทั้งสามคนแทบไม่มีใครได้นอนเลยเนื่องจากเป็นห่วงหญิงสาว แม้ว่าจะได้กินยาต้มแล้ว แต่ไข้กลับไม่ลดลงเลย เหนียงฟางทำได้เพียงเช็ดตัวเพื่อลดความร้อนของร่างกายลูกสาวเท่านั้น
“อาคุนไปลูกนอนสักหน่อยไหม เดี๋ยวพ่อจะบอกหัวหน้าชิงให้ว่าวันนี้ลูกขอหยุด” ถังเยี่ยเอ่ยขึ้นอย่างห่วงสภาพร่างกายของลูกชาย เพราะหากต้องไปทำงานกลางแดดจ้าโดยที่ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเลยทั้งคืน เขากลัวว่าลูกชายจะเป็นลมแดดเอานะสิ
“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ ผมยังหนุ่มแน่นและก็แข็งแรงดี พ่อนั่นแหละที่ต้องพักผ่อนอยู่บ้านจะได้ช่วยแม่ดูแลน้อง แต่วันนี้ผมตั้งใจจะลางานแล้วจะเข้าเมืองเสียหน่อย เผื่อว่าจะมีงานอะไรให้ทำแลกกับค่ายาของน้อง” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ และยังบอกให้ผู้เป็นพ่อพักแทน ซึ่งตัวเขาเองก็จะหยุดงานในคอมมูนและไปหางานในเมืองเพื่อจะได้เงินไปซื้อยามาให้น้องสาวเหมือนกัน
“มันอันตรายนะลูก พ่อว่าจะลองไปบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านดูว่าพอจะให้หยิบยืมเงินได้บ้างหรือเปล่า” นี่คือทางเลือกที่ถังเยี่ยคิดไว้ การที่จะไปทำงานในเมืองซึ่งก็คือตลาดมืด มันเสี่ยงที่จะถูกทหารแดงจับไปลงโทษได้
“อย่าเลยครับพ่อ หัวหน้าหมู่บ้านน่าจะไม่มีเงินเหมือนกัน หรือมีก็คงไม่ให้ อย่าลืมว่าบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยนะครับ เขาจะให้ยืมเหรอครับ อีกอย่างภรรยาของเขาเป็นอย่างไรเราก็รู้กันอยู่” ถังอี้คุนไม่เชื่อว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะให้ยืม เพราะรายนั้นไม่ค่อยกล้ามีปากเสียงกับภรรยาสักเท่าไร แล้วภรรยาของเขานั้นทุกคนในหมู่บ้านก็รู้ว่าเป็นคนอย่างไร นอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว อาจจะเป็นหัวข้อให้นางเอาไปนินทาอย่างสนุกปากเสียเปล่า ๆ
”นั่นก็จริงของลูกนะพี่ แล้วเราจะทำยังไงกันดี” เหนียงฟางพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจ
“พี่จะลองไปเบิกเงินกองกลางจากแม่ดู” ถังเยี่ยพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นแทบจะไม่มีความหวังเลยกูตามหว่านอันถิงที่ยังคงติดตามบ้านรองและได้ยินบทสนทนาทั้งหมด ภายในใจนั้นคิดว่าทำไมชะตากรรมของบ้านรองถึงได้เป็นอย่างนี้ แม้จะหยิบยืมเงินของใครสักคนก็ช่างลำบากเหลือเกิน
ในขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่นั้น ย่าถังก็เดินมาเคาะประตูเสียงดัง
ปัง ๆ ๆ
“สะใภ้รอง นี่หล่อนจะขี้เกียจเกินไปหรือเปล่า ทำไมข้าวปลาอาหารถึงยังไม่ได้ทำอีกให้ฉันกินอีก หรือว่ามีใครกำลังจะตายอย่างนั้นเหรอ” เสียงของหญิงชราดังอยู่หน้าประตูห้อง ทำให้ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เดี๋ยวฉันออกไปเอง พี่กับลูกอยู่ดูแลอาเหมยเถอะ” เหนียงฟางหันมาบอกสามี เธอรู้ดีว่าต่อให้เธอไม่เดินออกไปเอง แม่สามีก็คงจะอาละวาดไม่หยุดแน่ ๆ หรืออาจจะพังประตูเข้ามาก็ได้เพราะเคยทำมาแล้ว
“ออกมาแล้วเหรอ ทำไมไม่ไปทำกับข้าวให้ฉันกิน หล่อนจะให้ฉันอดตายเลยให้ได้จริง ๆ ใช่ไหม งานบ้านก็ไม่ไปทำ จะให้ฉันเองหรืออย่างไร อกตัญญูเสียจริง” ย่าถังรีบพูดด่าทอทันทีที่ลูกสะใภ้รองเปิดประตูออกมา“วันนี้ฉันคงไม่ได้ทำอาหารหรือทำงานนะแม่ อาเหมยไม่สบาย ฉันต้องอยู่ดูแลลูก” เหนียงฟางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เมื่อยืนประจันหน้ากับแม่สามี
“แล้วอย่างไร นังเด็กนั่นจะตายลงเดี๋ยวนี้หรือยังไง คนอื่นก็มีก็ให้ดูแลไปสิ หล่อนควรจะไปทำอาหารให้ฉันกับตาแก่กินก่อนสิ เรื่องนี้สำคัญที่สุด หรือหล่อนตั้งใจจะให้พ่อแม่สามีอดตาย” ย่าถังพูดออกมาอย่างไม่สนใจว่าถังลู่เหมยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เวลานี้นางต้องการให้ลูกสะใภ้คนรองไปทำอาหารให้ทุกคนกินมากกว่าที่จะมานั่งดูแลเด็กไร้ประโยชน์ที่สมควรตายไปตั้งนานแล้วคนนั้น
“แต่แม่คะ อาเหมยคือลูกสาวของฉัน เวลานี้เธอกำลังไม่สบายมากนะคะ” เหนียงฟางรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของหญิงชรา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอย่างไรคนตรงหน้าคือแม่สามี และคำว่ากตัญญูก็ค้ำคอเธออยู่
“แล้วอย่างไร หล่อนอยู่แล้วจะช่วยได้อย่างนั้นเหรอ ฉันว่าหล่อนควรจะทำงานอย่างอื่นมากกว่ามาอยู่ดูแลนังเด็กไร้ประโยชน์คนนั้น”
ย่าถังยังคงยืนยันกับความคิดของตนเอง และไม่เห็นว่าอาการป่วยของถังลู่เหมยจะสำคัญไปกว่าปากท้องของบ้านใหญ่ หรือถ้ารักษาไม่ได้ก็ให้ตายๆ ไปเลยยิ่งดี นางจะได้ไม่ต้องลำบากในการหาวิธีกำจัดเด็กคนนี้
บทที่ 7 ฉันกลายเป็นหญิงบ้าเหรอเนี่ยถังเยี่ยที่ฟังอยู่ตั้งแต่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินออกมาพบหน้าแม่ตนเอง ก่อนจะพูดช่วยภรรยา “แม่ แต่อาเหมยไม่สบายเป็นไข้สูงมาก อาฟางต้องอยู่ดูแลคอยเช็ดตัวให้ตลอดนะ แม่มาก็ดีแล้ว ผมขอเบิกเงินกองกลางเพื่อพาลูกไปหาหมอในเมืองหน่อยนะครับ” ถังเยี่ยพูดกับแม่อย่างใจเย็นและถือโอกาสขอเบิกเงินกองกลางเพื่อจะได้พาลูกสาวไปหาหมอ“เงินอะไรกัน ฉันไม่มีให้เบิกหรอก รายได้บ้านเรานิดเดียวจะไปพอยาไส้อะไร ลูกแกป่วยก็ไปเก็บสมุนไพรบนเขามาต้มให้กินสิ เงินกองกลางมีไว้ใช้ในเรื่องจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่เอามาใช้กับเด็กที่สติไม่สมประกอบและไร้ค่าอย่างลูกแก” นางยังคงยืนยันว่าไม่มีเงินให้หรือถึงมีก็ไม่ให้ นั่นก็เพราะว่าในใจอยากให้หลานสาวที่มีสติไม่สมประกอบตายไปเสียเลย เพื่อที่บ้านรองจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับนังเด็กไร้ประโยชน์นี่ แล้วไปทำงานหาเงินเข้ากองกลางเยอะ ๆ หว่านอันถิงที่มองเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วเธออยากจะเข้าไปขยุ้มคอของหญิงชราคนนี้เสียเหลือเกิน เธอมองว่าคนที่ไร้ประโยชน์และน่าจะรีบตายๆ ไปซะคือย่าถังมากกว่าถังลู่เหมย เพราะเหมือนว่าหญิงชราคนนี้จะมีจิตใจที่ไร้ความมนุษย์มากจนเกินไปแล้ว
บทที่ 8 ทำใจยอมรับแต่ทว่าหญิงสาวยังไม่ทันตั้งตัว ถังเยี่ยและเหนียงฟางสองสามีภรรยาวิ่งกลับมาถึงบ้านเสียก่อน เมื่อเห็นว่าลูกสาวฟื้นแล้วจึงได้ร้องเรียกออกมาอย่างดีใจ “อาเหมย!!”“ลูกเป็นอย่างไรบ้าง รู้ไหมแม่เป็นห่วงขนาดไหน” เหนียงฟางยกมือปาดน้ำตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะสอบถามลูกสาวอย่างอ่อนโยน เพราะตั้งแต่ที่ถังลู่เหมยไม่สบาย เธอแทบไม่ได้กินไม่ได้นอนเลย“ดีเหลือเกินที่ลูกฟื้นแล้ว” ถังเยี่ยพูดอีกคนด้วยความดีใจ ตอนที่ภรรยาวิ่งไปบอกว่าลูกสาวนอนไม่ได้สติ ข้าวปลาไม่กิน ใจของเขาหล่นลงมาอยู่ปลายเท้า เพราะกลัวว่าลูกสาวจะเป็นอะไรไป พอเห็นถังลู่เหมยฟื้นขึ้นมา คนเป็นพ่ออย่างเขาจึงน้ำตาซึมในขณะที่กำลังจะตอบทั้งสองคน หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับอีกครั้ง เพราะเธอรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ก่อนจะมีภาพต่าง ๆ ฉายชัดเข้ามาไม่ต่างจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เธอจึงมั่นใจแล้วว่าตนเองนั้นอยู่ในร่างของถังลู่เหมยหญิงบ้าแห่งบ้านถังแล้วในตอนนี้หว่านอันถิงพบว่าชะตาของเด็กสาวคนนี้ช่างอาภัพ เพราะรับรู้ทุกอย่างว่าใครกระทำอะไรบ้าง แต่เธอไม่สามารถโต้ตอบได้ก็เท่านั้น เธอทำใจยอมรับว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ในร่างของถังลู่เหมยแล้วจริง ๆถังเยี่
บทที่ 9 หาเงินค่ายาให้น้องสาวสองสามีภรรยาทำเพียงยืนมอง หลังจากพยายามห้ามปรามลูกสาวแล้ว แต่ถังลู่เหมยยังคงแกล้งบ้า พร้อมกับโต้ตอบย่าถังอย่างไม่ยอมหยุดถ้อยคำพวกนั้นทำให้หญิงชราดิ้นไม่ต่างจากปลาโดนน้ำร้อน พยายามเข้าไปทำร้ายหลานสาวแต่กลับโดนถังเยี่ยมายืนขวางไว้“อย่านะครับแม่” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาเสียงแข็ง“นี่แกเข้าข้างลูกแกหรือเจ้ารอง” ย่าถังหันมาโวยวายใส่ลูกชายที่ขัดขวางนางไว้“แล้วแม่จะให้ผมยืนดูแม่ตีอาเหมยเหรอครับ ผมคงยอมให้แม่ทำอย่างนั้นไม่ได้” ถังเยี่ยย้อนกลับเข้าให้ เขาไม่คงไม่มีทางที่มองลูกสาวถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาแน่ ๆ แม้ว่าคนที่จะทำร้ายจะเป็นแม่ของเขาก็ตาม “แกไม่เห็นหรืออย่างไร ว่านังเด็กนี่มันกำลังด่าฉัน” ย่าถังยังโวยวายไม่หยุด พร้อมกับชี้หน้าถังลู่เหมยที่แลบลิ้นใส่นาง“แม่จะถือสาอะไรกับอาเหมย แม่ก็รู้อาเหมยสติไม่สมประกอบ ผมคิดว่าแม่กลับบ้านไปเถอะครับ อยู่ไปก็มีแต่เรื่องแต่ราว ผมก็จะไปทำงานแล้วเหมือนกัน” ถังเยี่ยตอบกลับมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายพอเจอคำพูดของลูกชาย ย่าถังจึงทำเพียงข่มอารมณ์และสะบัดหน้าเดินหนีกลับบ้านตนเองด้วยความโมโหพอเห็นว่าย่าถังมหาภัยจากไปแล้ว ถังลู
บทที่ 10 ค่าจ้างสิบหยวนถังอี้คุนพาหญิงสาวเดินมาถึงสุดซอยของตลาดมืด ซึ่งร้านจะอยู่ในซอกแคบๆ เนื่องจากร้านนี้ขายของต้องห้ามอย่างนาฬิกาและพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกหลายอย่าง“ถึงแล้วครับ” ชายหนุ่มหยุดอยู่ตรงหน้าร้านหนึ่ง ซึ่งมีคนเฝ้าด้านหน้าและชายคนนั้นมีร่างกายกำยำดูน่ากลัวไม่น้อย“เอ่อ...คุณจะกลับแล้วเหรอคะ” เหมยฮวาเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อยหากต้องเดินไปด้านในคนเดียว“ครับ ผมมีงานต้องไปทำต่อ ด้านในร้านไม่น่ากลัวหรอกครับ”ชายหนุ่มตอบกลับ และที่ว่าต้องไปทำงานนั่นคือเขาจะต้องไปหางานเพิ่ม เพื่อจะซื้อยาไปให้น้องสาวที่กำลังป่วย รวมถึงอาหารดี ๆ สักอย่างเพื่อไปบำรุงเธอด้วย“อ่อ..” พอเจอคำตอบแบบนี้ เหมยฮวามีสีหน้าหนักใจ แม้ว่าเธอจะมีธุรกิจอยู่ที่นี่ แต่ก็เพิ่งมาสานต่อกิจการของครอบครัว ยังไม่ได้มีคนรู้จักมากนัก ยิ่งสถานที่น่ากลัวแบบนี้เธอไม่เคยมา หากไม่เพราะต้องการหาของขวัญวันเกิดให้คุณพ่อ เธอคงไม่กล้ามาตลาดมืดแห่งนี้เพียงลำพังอย่างแน่นอนถังอี้คุนเหมือนจะเข้าใจหญิงสาว และเห็นว่าเธอมาเพียงลำพัง จึงตัดสินใจพูดขึ้นมาว่า “ถ้าคุณกลัว อย่างนั้นเดี๋ยวผมจะเข้าไปด้วย แต่คงไม่ได้อยู่นานนะ เพราะผมต้
บทที่ 11 ฉันมีเรื่องจะบอกกลับมาทางด้านถังลู่เหมย หลังจากได้พักผ่อนจนเต็มอิ่มแล้วก็รู้สึกดีขึ้น เธอจึงลุกขึ้นมาและเดินออกมาจากห้องที่แสนจะอุดอู้นั้น เมื่อออกมาข้างนอกได้แล้ว ก็เดินเตะฝุ่นเล่นไปด้วยความเบื่อหน่าย ในใจนั้นคิดว่าจะต้องแกล้งบ้าไปอีกถึงเมื่อไหร่กัน เพราะการเป็นคนบ้านนั้นไม่สนุกหรอก นอกจากจะเถียงกับย่าถังโดยไม่ผิดเท่านั้น‘จะว่าไปที่นี่ก็บรรยากาศร่มรื่นดีเหมือนกันนะ’ เธอมองต้นไม้ใบหญ้าตลอดสองข้างทางที่เดินเล่นอยู่ หมู่บ้านแห่งนี้ดูท่าทางสงบเงียบไม่น้อย อีกอย่างบ้านที่ปลูกอาศัยกันก็ไม่ได้แออัดจนเกินไป ยังมีพื้นที่ว่างของระหว่างบ้าน นี่จึงต่างจากเมืองใหญ่ในยุคปัจจุบัน หรือต่อให้เป็นชนบทก็ตาม บ้านที่สร้างแทบจะติดกันทั้งหมดไม่เหมือนกับตอนนี้เลยเวลานี้หญิงสาวทำใจแล้วว่าตนเองคงต้องอยู่ในร่างของหญิงบ้าคนนี้ไปตลอด ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองต้องมาอยู่ในร่างนี้ก็ตามในขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้น ก็มีชาวบ้านผ่านไปมา เธอจึงปรับเปลี่ยนท่าทีจากเบื่อหน่ายทำเป็นหัวเราะบ้าง ชี้ไม้ชี้มือบ้าง กระโดดโลดเต้นไปเรื่อย ทำให้คนเหล่านี้ไม่สงสัยถึงความเปลี่ยนไปของเธอและที่สำคัญที่เธอทำแบบนี้ ก็เ
บทที่ 12 ตัดสินใจบอกพี่ชายถังลู่เหมยสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะบอกเรื่องที่เธอหายเป็นปกติกับพี่ชายก่อนทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาช่วยเธอในบางเรื่อง ส่วนพ่อกับแม่นั้นคงต้องรออีกสักพัก เมื่อไรที่หาวิธีแยกบ้านได้แล้วค่อยบอกก็ยังไม่สาย ส่วนตอนนี้เธอยังต้องการใช้ความเป็นคนบ้าเพื่อปั่นป่วนบ้านใหญ่และย่าถังจนทนไม่ได้และยอมให้บ้านรองแยกบ้านเสียก่อน “อาเหมยมีเรื่องอะไรจะบอกพี่หรือ” ถังอี้คุนเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย“พี่ใหญ่ เวลานี้น้องสาวพี่หายจากอาการป่วยไข้และกลับมาเป็นปกติแล้วนะ แถมตอนนี้สติสัมปชัญญะก็รับรู้ได้อย่างเช่นคนปกติทั่วไปแล้ว อาเหมยคนนี้ไม่ได้บ้าอีกแล้วนะคะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างจริงจังพร้อมกับสบตาพี่ชายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้จะมีความตกใจอยู่มาก แต่ถังอี้คุนยังคงมีความนิ่งสงบไม่แสดงท่าทางตื่นตกใจออกมา แต่เขากลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เพราะอะไร อาการเหล่านั้นถึงได้หายไป อาเหมยบอกพี่ได้ไหม”“ตอนฉันป่วย ฉันสติหลุดลอยไป เหมือนฉันฝันว่าได้ไปพบกับคุณตาชราท่านหนึ่ง ท่านวาดภาพกลางอากาศและชี้นิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของฉัน ตอนนั้นมันช่างทรมานเหลือเกิน คิดว่าจะไม่ได้กลับม
บทที่ 13 เป็นเศรษฐีหมื่นหยวนสองพี่น้องเดินอ้อมมายังอีกหมู่บ้าน แม้จะเหนื่อยสักหน่อยแต่ก็ยอมที่จะเหนื่อยเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่ถูกบ้านใหญ่แย่งชิงเอาของไป ในที่สุดทั้งสองก็เข้ามาถึงในหมู่บ้านด้วยการเดิน ถังอี้คุนได้ไปซื้อผ้ามาจากชาวบ้าน โดยอ้างว่าจะเอามาห่มให้น้องสาวที่ไม่สบาย แต่จริงๆ เอามาห่อโสมและเห็ดหลินจือ จากนั้นชายหนุ่มจึงว่าจ้างเหมาเกวียนไปยังร้านขายยาของหมอจางที่อยู่ในเมืองพอเถ้าแก่จางเห็นว่า ถังอี้คุนมาเยือนที่ร้านขายยาอีกครั้งจึงทักทายด้วยความแปลกใจปนร้อนใจ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือว่าน้องสาวอาการไม่ดีขึ้น”“เปล่าครับหมอจาง นี่ลู่เหมยน้องสาวผมเอง ตอนนี้เธออาการดีขึ้นมากแล้วครับ แต่เราสองพี่น้องมีเรื่องจะสอบถามครับ” ถังอี้คุนรีบแนะนำตัวน้องสาวให้อีกฝ่ายรู้จัก พร้อมกับกระซิบถามเพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก“....” ถังลู่เหมยก้มศีรษะทักทายเล็กน้อย“อืม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” หมอจางถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากเขามองว่าหญิงสาวคนนี้เหมือนไม่มีอาการป่วยอะไรเลย ซึ่งมันต่างจากอาการที่เขาได้ฟังอย่างสิ้นเชิง แถมท่าทางของชายหนุ่มก็ดูแปลกกว่าตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้ถังลู่เหมยเข
บทที่ 14 ยังคงแกล้งบ้าเหมือนเดิม“ดีแล้ว ในเมื่อทั้งสองคนมีเอกสารมาด้วย จะได้เปิดบัญชีพร้อมกัน” หมอจางพูดสนับสนุนให้สองพี่น้องเปิดบัญชีของรัฐ แต่เขาไม่มั่นใจว่าหญิงสาวที่สติไม่ดีคนนี้จะสามารถเปิดได้ไหม จึงพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจเล็กน้อย “แต่ฉันไม่มั่นใจนะว่าอาเหมยจะสามารถเปิดบัญชีได้หรือไม่ เนื่องจากเธอเป็นบุคคลที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้” หมอจางพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าสติไม่ดีหรือเป็นบ้า เพื่อรักษาจิตใจของสองพี่น้อง จึงพูดเพียงว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ถังอี้คุนมองหน้าน้องสาวอย่างคล้ายกับจะปรึกษา เพราะเงินพวกนี้เธอเป็นคนหามา จะฝากบัญชีเขาคนเดียวก็คงไม่ได้ และเขาเองก็ไม่คิดจะเอาเงินของน้องด้วย“พี่ใหญ่เก็บไว้ เก็บเงินไว้เยอะ ๆ เลยนะ เอาไว้ซื้อขนมให้อาเหมย นะนะ ฮ่า ๆ ชอบกินขนม” ถังลู่เหมยพูดขึ้นพร้อมกับปรบมือเหมือนเด็ก ๆ ที่สนใจแต่ขนมเท่านั้นนี่คือสัญญาณของเธอเพื่อที่จะบอกพี่ชายว่าให้เอาเงินทั้งหมดฝากไว้ที่เขา เพราะอย่างไรเธอก็คือครอบครัวของบ้านรองถังไปแล้วเมื่อได้ยินน้องสาวพูดแบบนี้ ชายหนุ่มจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนส่งไปให้เธอ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าเงินนี่ก็คือของถังลู่เหมยอยู่ดี“ตกลง
บทที่ 20 บอกความจริงพ่อแม่ถังลู่เหมยคิดว่าคนบ้านใหญ่ที่ดีกับบ้านรองและเธอคงมีเพียงถังเจี้ยนเฉียยวคนนี้เท่านั้น จึงคุยเล่นกับเขาได้อย่างสนิทใจ“อาเหมยหายแล้ว นอนมากเบื่อ ๆ” เธอยังคงพูดจาเหมือนเดิม แต่ไม่โมโหร้ายใส่เหมือนกับคนอื่น ๆ ของบ้านรอง“เอานี่ลูกอม เอาไว้กิน พี่ไปทำงานก่อนนะ” ชายหนุ่มพักครู่ใหญ่แล้วเลยต้องรีบกลับไปทำงาน เพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงของทุกคนแล้วเหมือนกัน แต่ก่อนจะไปไม่ลืมที่จะมอบลูกอมที่เด็ก ๆ ชอบให้กับน้องสาวจากบ้านรอง เขาเชื่อว่าแม้ร่างกายของเธอจะไม่ต่างจากหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ความคิดเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งท่านั้น ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมย่าและคนอื่น ๆ ถึงได้ทำร้ายเธอที่ไร้เดียงสาเช่นนี้แววตาของชายหนุ่มมองถังลู่เหมยด้วยความอ่อนโยน ด้วยสัญชาตญาณของเธอเอง ก็ไม่รู้สึกถึงภัยอันตรายจากชายคนนี้ เธอจึงยื่นมือมารับและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณพี่เฉียว อาเหมยไม่ดื้อ นั่งเงียบ ๆ นะ”เมื่อได้รับคำสัญญา ถังเจี้ยนเฉียวก็เบาใจและหมดห่วงเรื่องอันตราย คนเราไว้ใจใครไม่ได้หรอก ยิ่งน้องสาวคนนี้ไร้เดียงสาและไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หากมีใครล่อลวงไปจะเอาแรงที่ไหนไปสู้ล่ะจากนั้นเขาจึงกลับไป
บทที่ 19 มาหาเรื่องเองแล้วจะมาโทษใครถังลู่เหมยเรียกเอาขนมปังออกมาจากมิติหนึ่งก้อน แล้วฉีกกลางแบะออก จากนั้นจึงเรียกยาถ่ายที่มีในมิติออกมา ก่อนจะโรยใส่ตรงกลางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“เธอมาหาเรื่องเองนะถงซิน” ถังลู่เหมยแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเจ้าเล่ห์จากนั้นก็เดินไปเปิดประตู แล้วทำท่าเหมือนคนสติไม่ดีแบบเดิม พร้อมกับกัดกินขนมปังตรงที่ไม่ได้โรยยาถ่ายไว้“เรียกทำไม” ถังลู่เหมยถามไปแบบหาเรื่อง แต่พอนึกได้จึงทำท่าเอาขนมปังไปแอบด้านหลังเหมือนกลัวอีกคนจะเห็น“นั่นอะไร แกเอาอะไรซ่อนไว้นังลู่เหมย นังบ้า เอาออกมาดูสิ” ถังถงซินตาลุกวาว พอเห็นว่าอีกฝ่ายแอบซ่อนของกินอะไรไว้ จึงเอ่ยถามทันที“ถงซินบ้า บ้ากว่าอาเหมย ไม่สวยแล้วยังบ้า บ้า คนนี้คนบ้า ฮ่าๆ” หญิงสาวไม่ตอบแต่ยังลอยหน้าลอยตาด่ากลับ และพูดซ้ำ ๆ คำพวกนี้ไม่หยุดเธอหลอกด่าจนผู้มาเยือนเริ่มโมโห “นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังถงซินตวาดกลับไปทันทีเหมือนกัน“นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังลู่เหมยพูดย้อนกลับไปเหมือนอีกฝ่ายทุกคำแถมยังยกมือชี้หน้าไปด้วย จนถังถงซินโมโหและพุ่งเข้าหาเธอ เพื่อหวังทำร้ายพร้อมกับแย่งชิงขนมปังไป“นี่แกแอบซ่อนขนมปังใช่ไหม นังบ้า เอามาน
บทที่ 18 จุดประสงค์การใช้ของในมิติคำพูดนี้ของน้องสาวทำให้ชายหนุ่มเกิดความสนใจ เลยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตื่นเต้น “เรื่องมหัศจรรย์ อะไรบอกพี่ได้ไหม”“ได้สิ พี่ใหญ่เป็นพี่ชายของฉัน ทำไมฉันจะบอกไม่ได้ พี่คอยดูอะไรนะ” หญิงสาวพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เพราะถ้าหากไม่ไว้ใจพี่ชายคนนี้ เธอคงไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้วและเธอคงไม่บอกว่าหายบ้าแล้วหรอกนะถังลู่เหมยมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาเห็น ก่อนจะแบมือออกตรงหน้าพี่ชายแล้วนึกถึงแซนต์วิช เท่านั้นแหละ แซนต์วิชสองสามชิ้นก็วางอยู่บนมือของเธอ“เฮ้ย!!” นี่คือคำอุทานของถังอี้คุน แม้จะตกใจมากแค่ไหนแต่เขากลับไม่ถอยหนีจากน้องสาว เขาทำเพียงสบตาเธอก่อนจะถามขึ้น “นี่คือเรื่องอัศจรรย์ของอาเหมยเหรอ”“ใช่ค่ะ นี่แหละคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ฉันจะบอกพี่ ไม่เพียงแค่ขนมเท่านั้น ยังมีอาหารและของกินอีกหลายอย่างรวมถึงเนื้อหมู่ ไก่ ปลา และพวกข้าวสาร ที่ฉันเรียกออกมาได้ราวกับเล่นกล” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างไม่ปิดบัง“อาเหมยทำได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าท่านตาคนนั้น...” ชายหนุ่มถามขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ และนึกถึงท่านตาคนนั้นที่น้องสาวเคยเล่าให้ฟัง“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าท่านตาคนนั้นคงให้ของวิ
บทที่ 17 คลังแสงและมิติวิเศษที่ตามมาตกดึกคืนนั้น ถังลู่เหมยฝันว่าเธอได้กลับไปที่เซฟเฮ้าท์ ซึ่งเป็นที่กบดานของทีมเธอในชีวิตที่แล้ว ภายในที่นี่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงห้องเก็บอาวุธ โดยมีทั้งอาวุธต่อสู้ธรรมดาไปจนถึงอาวุธหนัก แล้วยังมีอาหารและยาที่ครบครันอีกด้วย“ทำไมฉันถึงกลับมาที่นี่ได้ล่ะ ในเมื่อฉันตายจากยุคนี้แล้ว”หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกับสิ่งที่เห็น อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าเธอนั้นกลับมาที่นี่ได้อย่างไร เรื่องนี้มันน่าแปลกใจมาก“หรือว่าฉันจะมีมิติเหมือนในนิยาย แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าบ้านรองจะโดนคนจากคนบ้านใหญ่รังแก หึหึ แบบนี้ดีมากเลย” หญิงสาวพูดออกมาอีกครั้งด้วยความดีใจ เมื่อคิดได้ว่าเธอน่าจะมีมิติในนิยายอย่างที่เคยฟังจากแม่ค้าแถวที่พักชอบพูดคุยกัน มันสนุกจนเธอไปซื้อมาอ่านในยามว่าง จึงยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ไปสำรวจบ้านดูดีกว่า ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง”พูดจบเธอไม่รอช้า รีบวิ่งสำรวจบ้านว่ามีทุกอย่างเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะก่อนที่เธอจะตายในหน้าที่ ได้ซื้ออาหารและของใช้หลายอย่างมาเก็บไว้ รวมถึงข้าวของและเสื้อผ้าที่เธอตั้งใจจะเอาไปบริจาคให้คนบน
บทที่ 16 แอบซ่อนเงินที่หามาเมื่อเข้าในห้อง ถังลู่เหมยมองอาหารที่บ้านใหญ่แบ่งมาให้ด้วยความเบื่อหน่าย พร้อมกับทอดถอนใจออกมา ต่อให้จะไม่มีอาหารอย่างซาลาเปาที่กินไปก่อนหน้านี้จนอิ่มท้อง เธอก็ทนกินอาหารพวกนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แถมอาหารตรงหน้าไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว ดูแล้วน่าจะแตกต่างจากบ้านใหญ่มากนัก“เดี๋ยวพ่อกับแม่กินซาลาเปานี้ดีกว่าครับ ผมและน้องซื้อมาจากในเมือง รีบกินเสียก่อนที่บ้านใหญ่จะมาเห็นเถอะ” ถังอี้คุนรีบหยิบถุงซาลาเปาออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะบอกพ่อกับแม่ให้รีบกิน“นี่มัน! ลูกเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อ ไหนจะเงินค่าพาน้องไปหาหมออีก” เหนียงฟางเห็นซาลาเปาก็ตาโตและถามออกไปอย่างตกใจ เพราะนี่จะต้องใช้เงินจำนวนมากแน่“ผมไปทำงานในตลาดมืดครับ เจอนายจ้างใจดีเลยได้จ่ายจ้างมาสิบหยวน แต่ผมจะต้องไปทำงานให้เธออีกครั้งครับ” ถังอี้คุนตอบออกไปตามความจริงบางส่วน เพราะเขาเจอนายจ้างใจดีจริง ๆ“โอ้ ช่างโชคดีอะไรแบบนี้” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาอย่างดีใจ“ครับผมกับอาเหมยโชคดีจริง ๆ แต่ตอนนี้พ่อกับแม่รับกินเถอะครับ เดี๋ยวกลิ่นลอยออกไปแล้วย่าจะรู้แล้วจะมาแย่งไปหมด” ชายหนุ่มรีบพูดให้พ่อแม่รีบกินเพราะซาลาเปานั้นส่ง
บทที่ 15 ปะทะกับย่าถัง“ไหนว่าไม่สบายยังไงล่ะ คนไม่สบายที่ไหนกันออกไปเที่ยวเล่นจนกลับมาเย็นค่ำแบบนี้กัน” ย่าถังที่นั่งอยู่กับลูกสะใภ้คนโปรดก็พูดจากระทบกระทั่งหลานสาวสติไม่ดีทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามาถังลู่เหมยทำท่าจะไม่ยอมและกำลังจะสวนกลับ แต่โดนพี่ชายห้ามไว้เสียก่อน“อาเหมยเข้าห้องไปดีกว่านะ เดินมาเหนื่อยไม่ใช่เหรอ” ถังอี้คุนพูดขึ้นพร้อมกับลากเธอเดินไปห้องที่บ้านรองพักอาศัยอยู่“พี่ดึงฉันมาทำไม คนแก่กะโหลกกะลาปากเสียแบบนั้นสมควรจะต้องโดนเอาคืนเสียบ้าง” ถังลู่เหมยพูดออกมาอย่างไม่พอใจเมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้ว“แต่นั่นคือแม่ของพ่อนะ จะทำอะไรก็คิดถึงพ่อบ้าง อีกอย่างพี่กลัวพวกเขาจะสังเกตว่าพี่ซุกซาลาเปาไว้ เกิดมีเรื่องแล้วมันหล่นออกมา จะโดยแย่งไปทั้งหมดนะ” ถังอี้คุนรีบบอกน้องสาวออกไป“อย่างนั้นจะปล่อยผ่านไปให้สักครั้งก็แล้วกัน” ถังลู่เหมยกอดอกพูดอย่างไว้ท่า เธอคิดว่าอีกไม่นานจะต้องมีเรื่องให้เอาคืนแน่และเวลานั้นก็มาถึง เมื่อถึงเวลาที่ต้องกินมื้อเย็น กลายเป็นว่าถังลู่เหมยถูกย่าถังสั่งห้ามไม่ให้กินข้าว แม้ว่าเธอจะกินซาลาเปาจนอิ่มท้องแล้วก็ตาม แต่มีเหรอที่เธอจะยอมให้หญิงชราคนนี้กลั่นแกล้ง พ
บทที่ 14 ยังคงแกล้งบ้าเหมือนเดิม“ดีแล้ว ในเมื่อทั้งสองคนมีเอกสารมาด้วย จะได้เปิดบัญชีพร้อมกัน” หมอจางพูดสนับสนุนให้สองพี่น้องเปิดบัญชีของรัฐ แต่เขาไม่มั่นใจว่าหญิงสาวที่สติไม่ดีคนนี้จะสามารถเปิดได้ไหม จึงพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจเล็กน้อย “แต่ฉันไม่มั่นใจนะว่าอาเหมยจะสามารถเปิดบัญชีได้หรือไม่ เนื่องจากเธอเป็นบุคคลที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้” หมอจางพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าสติไม่ดีหรือเป็นบ้า เพื่อรักษาจิตใจของสองพี่น้อง จึงพูดเพียงว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ถังอี้คุนมองหน้าน้องสาวอย่างคล้ายกับจะปรึกษา เพราะเงินพวกนี้เธอเป็นคนหามา จะฝากบัญชีเขาคนเดียวก็คงไม่ได้ และเขาเองก็ไม่คิดจะเอาเงินของน้องด้วย“พี่ใหญ่เก็บไว้ เก็บเงินไว้เยอะ ๆ เลยนะ เอาไว้ซื้อขนมให้อาเหมย นะนะ ฮ่า ๆ ชอบกินขนม” ถังลู่เหมยพูดขึ้นพร้อมกับปรบมือเหมือนเด็ก ๆ ที่สนใจแต่ขนมเท่านั้นนี่คือสัญญาณของเธอเพื่อที่จะบอกพี่ชายว่าให้เอาเงินทั้งหมดฝากไว้ที่เขา เพราะอย่างไรเธอก็คือครอบครัวของบ้านรองถังไปแล้วเมื่อได้ยินน้องสาวพูดแบบนี้ ชายหนุ่มจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนส่งไปให้เธอ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าเงินนี่ก็คือของถังลู่เหมยอยู่ดี“ตกลง
บทที่ 13 เป็นเศรษฐีหมื่นหยวนสองพี่น้องเดินอ้อมมายังอีกหมู่บ้าน แม้จะเหนื่อยสักหน่อยแต่ก็ยอมที่จะเหนื่อยเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่ถูกบ้านใหญ่แย่งชิงเอาของไป ในที่สุดทั้งสองก็เข้ามาถึงในหมู่บ้านด้วยการเดิน ถังอี้คุนได้ไปซื้อผ้ามาจากชาวบ้าน โดยอ้างว่าจะเอามาห่มให้น้องสาวที่ไม่สบาย แต่จริงๆ เอามาห่อโสมและเห็ดหลินจือ จากนั้นชายหนุ่มจึงว่าจ้างเหมาเกวียนไปยังร้านขายยาของหมอจางที่อยู่ในเมืองพอเถ้าแก่จางเห็นว่า ถังอี้คุนมาเยือนที่ร้านขายยาอีกครั้งจึงทักทายด้วยความแปลกใจปนร้อนใจ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือว่าน้องสาวอาการไม่ดีขึ้น”“เปล่าครับหมอจาง นี่ลู่เหมยน้องสาวผมเอง ตอนนี้เธออาการดีขึ้นมากแล้วครับ แต่เราสองพี่น้องมีเรื่องจะสอบถามครับ” ถังอี้คุนรีบแนะนำตัวน้องสาวให้อีกฝ่ายรู้จัก พร้อมกับกระซิบถามเพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก“....” ถังลู่เหมยก้มศีรษะทักทายเล็กน้อย“อืม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” หมอจางถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากเขามองว่าหญิงสาวคนนี้เหมือนไม่มีอาการป่วยอะไรเลย ซึ่งมันต่างจากอาการที่เขาได้ฟังอย่างสิ้นเชิง แถมท่าทางของชายหนุ่มก็ดูแปลกกว่าตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้ถังลู่เหมยเข
บทที่ 12 ตัดสินใจบอกพี่ชายถังลู่เหมยสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะบอกเรื่องที่เธอหายเป็นปกติกับพี่ชายก่อนทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาช่วยเธอในบางเรื่อง ส่วนพ่อกับแม่นั้นคงต้องรออีกสักพัก เมื่อไรที่หาวิธีแยกบ้านได้แล้วค่อยบอกก็ยังไม่สาย ส่วนตอนนี้เธอยังต้องการใช้ความเป็นคนบ้าเพื่อปั่นป่วนบ้านใหญ่และย่าถังจนทนไม่ได้และยอมให้บ้านรองแยกบ้านเสียก่อน “อาเหมยมีเรื่องอะไรจะบอกพี่หรือ” ถังอี้คุนเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย“พี่ใหญ่ เวลานี้น้องสาวพี่หายจากอาการป่วยไข้และกลับมาเป็นปกติแล้วนะ แถมตอนนี้สติสัมปชัญญะก็รับรู้ได้อย่างเช่นคนปกติทั่วไปแล้ว อาเหมยคนนี้ไม่ได้บ้าอีกแล้วนะคะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างจริงจังพร้อมกับสบตาพี่ชายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้จะมีความตกใจอยู่มาก แต่ถังอี้คุนยังคงมีความนิ่งสงบไม่แสดงท่าทางตื่นตกใจออกมา แต่เขากลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เพราะอะไร อาการเหล่านั้นถึงได้หายไป อาเหมยบอกพี่ได้ไหม”“ตอนฉันป่วย ฉันสติหลุดลอยไป เหมือนฉันฝันว่าได้ไปพบกับคุณตาชราท่านหนึ่ง ท่านวาดภาพกลางอากาศและชี้นิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของฉัน ตอนนั้นมันช่างทรมานเหลือเกิน คิดว่าจะไม่ได้กลับม