ในที่สุดสวรรค์ก็ประทานพรแก่คนเขลา เกิดใหม่ครั้งนี้นางได้สวมร่างสตรีผู้มากวาสนา และด้ายแดงร้อยใจนางไว้กับบุรุษถึงสองคน หนึ่งคือพ่อเลี้ยงอดีตสามี อีกหนึ่งคือบิดาของสตรีที่เป็นหนามหัวใจในชาติก่อน...
View More***** ต่อจากตอนที่แล้ว ด้วยคำพูดนั้น เหวินซืออี้จึงชักชวนพี่ชายออกท่องโลกกว้างด้วยกัน นี่คือโอกาสเดียวที่นางจะได้เปิดหู เปิดตาไปพร้อมเซียวหัวเฟิง ก่อนถูกบิดาส่งตัวเข้าวังหลวง เพื่อเป็นฝึกงานในสำนักหมอหลวง ซึ่งเท่าที่นางสืบรู้ บิดาอยากให้นางเป็นหมอหญิง รับใช้ไทฮองไทเฮา(หลี่อิง) ด้วยสกุลนางแต่เดิม ก็มีสตรีที่เป็นขุนนางหญิงที่สร้างคุณความดีมากมาย แต่สตรีเช่นนางหรือจะอยู่ในรั้วในวังได้ การแก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่น และยังต้องคอยระวังจะถูกกลั่นแกล้งจากนางกำนัลอีก เรื่องเหล่านั้นช่างน่าเวียนหัว และหลังจากที่เซียวหัวเฟิงแยกตัวไป นางก็พลัดหลงกับพี่ชายอีก ซ้ำร้ายถูกฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งตามไล่ล่า คราแรกคิดว่าพวกมันหวังชิงสมุนไพรที่นางพกติดตัวไว้ นั่นคือก็ผงสกัดที่ทำให้สลบ แต่ความจริงในภายหน้ากลับน่าสยองใจมากกว่า พอเหวินซืออี้รู้สึกตัวอีกที กระซวยเม็ดพุทราก็ซัดใส่กลางหลังนาง แรงที่หนักหน่วงนั้น ทำให้นางล่วงลงไปบนพื้น และยามนี้อยู่กลางป่าที่มองไปทางใดก็น่ากลัวไปหมด “ค้นตัวนาง!” เสียงดังกล่าวดังขึ้น และนางถูกลากเข้าไปหลังพุ่มไม้ คนพวกนั้นท่าทางแปลกอยู่สักหน่อยเสียงก็แหลมสู
“เสี่ยวอี้... บางครั้งการให้อภัยคือสิ่งที่ดีที่สุด ข้าเป็นซือฝูของเจ้า และพร่ำสอนอยู่เสมอว่าอย่าได้สร้างศัตรู มิเช่นนั้นก็จะมีการแก้แค้นไม่เลิก จากรุ่นสู่รุ่น” หญิงสาวส่ายหน้า และตอบเขา “ซือฝู เชื่อข้าเถิดคราวนี้ทุกอย่างจะสิ้นซาก... จุดที่ขบวนของเกิงเตียวอิ๋งผ่านนั้น ข้าวางระเบิดเอาไว้ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในการทำชั่วครั้งนั้นจะไม่มีวันรอดชีวิต จึงไม่เหลือใครมาคิดบัญชีแค้นข้าอีก” เมื่อนางกล่าวจบ เสียงระเบิดก็ดังขึ้น ภาพที่ห่างออกไปแม้มองจากป้อมสังเกตการณ์ก็ชวนให้ขนลุกซู่ “จากนี้เสี่ยวอี้จะทำสิ่งใดต่อ...” “ความดี และบาปกรรมทดแทนกันไม่ได้ ก็จริง... และข้ามือเปื้อนเลือดเสียแล้ว จากนี้จะตั้งใจทำดีให้มากที่สุด อย่างน้อยเมื่อวันหนึ่งข้าต้องจากไป คงตายตาหลับ” “คิดหรือว่าข้าจะให้เจ้าไปไหนง่ายๆ กี่ปีแล้วที่ข้าเฝ้ารอเจ้า” สิ่งที่เฉิงเซ่าเทียนกล่าว ทำให้เหวินซืออี้มองเขา สายตานางไม่ได้จับพิรุธใดๆ ด้วยคาดเดาได้อยู่แล้ว ชายหนุ่มยังคงมีความสามารถที่ผู้อื่นอาจไม่ล่วงรู้ เขาสามารถอ่านความคิดคู่สนทนาได้ “หากซือฝูยังไม่เลิก ฟังสิ่งที
ผู้ชนะที่แท้จริง เหวินซืออี้ยืนอยู่ที่ประตูป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ มันคือจุดที่นางจะได้เห็นขบวนเล็กๆ ที่มีทหารมากฝีมือขี่ม้านำอยู่ด้านหน้า เพื่อไปยังแคว้นฉาง ตามข้อตกลงส่งตัวประกัน ธงสีเลือดหมูโบกไสวไปมา และหญิงสาวรับรู้ได้ว่า นางทำในสิ่งที่ต้องปรารถนาสำเร็จแล้ว แน่นอนว่า คนอย่างเซียวหัวเฟิงยอมถูกทรมานสารพัด สุดท้ายเขาก็ไม่เอ่ยปากโยนความผิดใดๆ ให้จือคัง ทั้งยังบอกว่าเขาถูกกล่าวหา ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาไม่เคยคิดขายชาติหรือร่วมมือกับชาวสุยจ้วงอย่างที่เหวินซืออี้พยายามป้ายความผิดให้ส่วนการที่จือคังสั่งเขายกทัพไปตีแคว้นฉาง จนเป็นเหตุให้องค์ชายสิ้นชีวิตไปถึงสามคน นั่นก็เป็นเพราะจือคัง คาดว่าแคว้นฉางเอาใจออกห่างแคว้นเหลียง ไร้สัจจะไม่เป็นตามข้อตกลงที่ให้คำมั่นไว้ว่า ทั้งสองแคว้นจะเป็นมิตรกัน โดยให้ละเว้นสังครามเป็นเวลาห้าสิบปี นอกจากนั้นจือคังยังอ้างว่า แคว้นฉางส่งไส้ศึกเข้ามาปะปนในวังหลวง คิดสังหารสวีเกาหาน จากนั้นก็จะให้ฝ่ายคนของตนคัดเลือกผู้รักษาราชการแทน แล้วฮุบเอาทุกสิ่งทุกอย่างของแคว้นเหลียงไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่จือคังกล่าวอ้างล้วนเป็นความเท็จ อนิ
“ยามนี้ท่านคงรู้แล้วว่า ภรรยาที่เกิดจากมารดาซึ่งสตรีที่คบชู้กับขันที ได้ตั้งครรภ์สายเลือดของท่าน” ชายหนุ่มได้ยินอย่างนั้น ก็แจ้งชัดว่าเหวินซืออี้แค้นใจที่เขาถอนหมั้นนางเมื่อในอดีต ทว่าสำหรับเขา หญิงสาวมิใช่คนที่อยากได้เป็นสตรีข้างกาย นางแข็งกร้าว ทั้งยังมีนิสัยชอบเอาชนะจนเกินไป เขานิยมหญิงสาวอ่อนหวาน ช่างเอาใจ ที่สำคัญนางต้องสามารถเป็นกำลังหนุนแก่เขา “บอกความประสงค์ของใต้เท้าซืออี้มาเถิด...” เขาแสร้งยกย่องนาง และเหตุใดจะไม่ล่วงรู้ว่า เหวินซืออี้กับคนของนางที่ถูกส่งตัวมาจากอดีตพ่อบุตรธรรม คือพวกที่หาหลักฐานต่างๆ มาพลิกดำให้เป็นขาว หวังโค่นอำนาจในมือเขาลง “จงสารภาพความจริงมาเสีย แล้วท่านจะมีชีวิตรอด ภรรยาท่านก็จะมีโอกาสคลอดบุตร โดยไร้อันตรายใดๆ” “ความจริง!” “ใช่ หากท่านไม่ผิด เรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นว่า แม่ทัพเซียว ถูกใต้เท้าจือบงการและหลอกใช้ ฝ่านท่านมิได้มีเจตนาร้าย อีกทั้งยังถูกยากล่อมประสาทจากเกิงเตียวอิ๋ง ดังนั้นสติของท่านจึงไม่คงที่ ไม่ถึงขั้นเลอะเลือน แต่ก็แยกแยะดีชั่วไม่ออก!” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เหวินซืออี้ต้องการพูดสิ่งใดกันแน่
ครอบครัวนั้นสำคัญยิ่ง ห้าวันต่อมา เหวินซืออี้เดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อสอบสวนเซียวหัวเฟิงโทษฐานสมคบคิดกับจือคังเพื่อก่อกบฏ รวมถึงนางต้องการเห็นหน้าเกิงเตียวอิ๋ง ด้วยอยากรู้ว่าอีกฝ่ายในยามนี้เป็นเช่นไร แน่นอนเมื่อไปถึงเมืองหลวง คนแรกที่พูดคุยย่อมเป็นเกิงเตียวอิ๋ง โดยที่นางวางแผนสำคัญไว้ ซึ่งต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างเสี่ยงภัย ทั้งอาจมีความผิดตามมา แต่เหวินซืออี้นั้นมีความแค้นที่ต้องสะสาง ชาติใหม่นี้ นางจึงยอมหัก ไม่ยอมงอ และอย่างไรก็ตามนางมั่นใจว่า เหลียงอ๋อง(สวีเกาหาน) ให้การสนับสนุนนางเต็มที่ ฝ่ายเกิงเตียวอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ จู่ๆ วันนี้มีผู้คุมหญิงสั่งให้ออกจากเรือนพัก ต้องเดินทางไปที่อื่น พอรับรู้เช่นนี้ เกิงเตียวอิ๋งอดระแวงไม่ได้ “ข้าไม่ได้ร้องขออันใด อีกทั้งกำลังท้อง การเดินทางใช่เรื่องที่ข้าควรกระทำหรือ” “เซียวฮูหยิน เจ้าไม่มีสิทธิสงสัยหรือโต้แย้ง แค่ทำตาม” ผู้คุมหญิงจากสำนักยุติธรรมบอก เกิงเตียวอิ๋งไม่ชอบน้ำเสียงผู้คุมหญิงคนนี้เอาเสียเลย นางคิดหวีดร้องใส่หูอีกฝ่าย ทว่าการถูกผลักไหล่แรงๆ พร้อมออกคำสั่งเสียงดัง ทำให้หญิงสาวต้องก้าวตา
ชาติภพปัจจุบัน เหวินซืออี้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ยามนี้นางไม่ได้อยู่ที่บ้านสวนที่แสนอบอุ่น หากเป็นกำแพงป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ หญิงสาวสะดุ้งเฮือกไปทั้งร่าง รีบสำรวจเสื้อผ้าของตน รวมถึงสัมผัสที่หน้าท้องจึงรู้ว่าตนไม่ได้ตั้งครรภ์ อีกทั้งนางไม่ใช่เด็กสาวเยาว์วัย อายุเหมือนจะผ่านพ้นวัยยี่สิบตอนต้นมาหลายปี ยามนี้นางอยู่ในชุดสีแดงก็จริง หากไม่ใช่สำหรับงานแต่ง แต่เป็นเสื้อผ้าสำหรับขุนนางหญิงแคว้นเหลียง คราวนี้ดวงตากลมโตสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดกว่าเดิม และรู้ว่านางกลับมาเป็นลูกสาวของคนสกุลเหวิน คือคุณหนูห้าคน ทว่าไม่ได้มีชีวิตเพื่อบุรุษที่ชื่อเซียวหัวเฟิง คนผู้นั้นกับนางย่อมไม่มีเส้นทางที่จะเดินร่วมกันอีก “คุณหนูเจ้าคะ อยู่บนนี้นานแล้ว เมื่อไหร่จะกลับลงไปด้านล่าง ที่นี่ลมแรงเกินไป หากไข้กำเริบขึ้นอีก บ่าวคงถูกโบยจนเดินไม่ได้แน่ๆ” เสียงดังกล่าวเป็นของเหนี่ยวเอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทของนาง กลับมาครั้งนี้อีกฝ่าย ยังมีชีวิตรอด ไม่ได้เป็นเศษซากในกล่องไม้ “เสี่ยวหยุนเล่า... ตามนางมาพบข้าเดี๋ยวนี้”เหวินซืออี้ว่าอย่างร้อนใจ และทำให้เหนี่ยวเอ๋อร์ทำตัวไม่ถูกไปด้วย กระ
จางเหยาเป็นโจรดั่งคำเขาว่า นางขโมยแผนที่เฉิงเซ่าเทียน และหว่านเสน่ห์สวีเกาหาน แล้วขี่ม้าเขามาอย่างไม่บอกกล่าว “ฮึ มือของท่านนั้น จงเอามันออกไป” ปากบอกเขา แต่ไม่ทันแล้ว สาปเสื้อนางแยกออก มือเรียวยาวเข้าไปนวดเฟ้นความนุ่มนิ่มของนาง “อ๊ะ...” ด้วยเมื่อครู่กำลังเคลิ้มไหว ไม่ทันได้มองรอบๆ ตัวให้ดี ยามนี้ ฝ่ายเฉิงเซ่าเทียนจึงมาประกบอยู่ด้านหน้าเสียแล้ว “พวกท่านต้องการทำสิ่งใด?” “หึๆ ๆ เพียงแค่สอบเค้นหาความจริง จากนางโจรราคะ ที่ปล้นเอาหัวใจข้ากับสหายเกาหานไปอย่างร้ายกาจ” เสียงเฉิงเซ่าเทียนเหี้ยมเหลือเกิน แต่ถึงจะเหี้ยมเพียงนั้น ทว่านางกับเร้าใจ ทั้งความซ่านสยิวบังเกิดขึ้นอย่างสูง ยากระงับไว้ได้ “ที่แท้ เทียนต้าเกอก็วางแผนลวงข้า” “เด็กน้อย หากเจ้าไม่มือไว ไฉนจะได้ของข้าไปหรือ...” เฉิงเซ่าเทียนกล่าว ส่วนสวีเกาหานจูบหนักๆ ที่ลำคอระหง พร้อมกันนั้น เขาช้อนสองเต้าอวบๆ ของนาง แล้วใช้นิ้วยาวสัมผัสปลายยอดถันที่แข็งเป็นไต สีของมันเข้มขึ้น ชวนให้ชายหนุ่มทั้งสองละเลงลิ้นดูดดุน “ม้าของข้า เจ้าก็ไม่ละเว้นขโมยไปหน้าด้านๆ
ซ่านสวาทสองรัก เหวินซืออี้กลับมาที่เรือนบ้านสวน นางอ่อนเพลีย และหลับๆ ตื่นๆ ตลอดการเดินทาง อีกทั้งได้ย้อนกลับไประลึกถึงช่วงเวลาก่อนเข้าร่างจางเหยา เป็นเหตุการณ์ที่ก่อนหน้าซึ่งทั้งนางกับเจ้าของร่างถูกปิดกั้นเอาไว้ นั่นเป็นเพราะนอกจากพลัดตกไปลงไปในบ่อน้ำลืมเลือน จางเหยายังเผลอทำเรื่องน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นเจ้าของร่างจึงไม่อยากมีความทรงจำในช่วงเวลาดังกล่าวหลงเหลือไว้อีก ที่สำคัญนางไม่อาจเลือกใคร ไม่ว่าจะเป็นสวีเกาหาน หรือ เฉิงเซ่าเทียนก่อนหน้านั้น จางเหยาได้แผนที่สุสานโบราณชาวสุยจ้วงจากเฉิงเซ่าเทียน และยังขโมยม้าจองสวีเกาหาน เพื่อหลบหนีจากพวกพ่อค้าชั่ว เนื่องจากคนพวกนั้นคิดเอาสมุนไพรที่นางปรุงได้ไปโดยไม่จ่ายเงิน ทั้งอยากข่มเหงและกักขังนางไว้ โดยมีความประสงค์อยากส่งตัวนางไปเป็นของเล่นจือคัง ดูเหมือนว่าผู้คนในอดีต ล้วนเกี่ยวข้องกับนางไม่ทางใดทางหนึ่ง (ส่วนนี้เป็นความทรงจำของจางเหยา ผู้เขียนจะบรรยายในแนวคิดของจางเหยาเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ) ซึ่งคราแรกเมื่อที่จางเหยาลงจากเขา เพื่อนำขี้ผึ้งเนื้อดี และน้ำมันหอมมาขาย นางพบเฉิงเซ่าเทียน ยอมรับว่าหัวใจเต้นไหวอย่างบ้าคลั่ง
หญิงสาวไอโขลกๆ สองสามหน ศีรษะมึนงง นางไม่ได้ประมาท แต่เป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้ปะปนอยู่ในกลุ่ม นี่คือสิ่งที่นางสังหรณ์ใจมาพักใหญ่ ดวงตากลมโต มองพื้นที่ทั้งหมด ดูเผินๆ คล้ายสวนหิน ทว่ามีกับดัก และลูกธนู รวมถึงอาวุธลับที่สามารถพุ่งออกมาทำร้ายผู้คนได้ บริเวณพื้นพบโครงกระดูก และซากศพที่ยังไม่เน่า กระจัดกระจายอยู่ ประเมินแล้วคงมีคนมาก่อนหน้านางเมื่อไม่นานนี้ เหวินซืออี้ก้าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ ตามแผนที่ซึ่งได้มา และพบล่องลอยบางอย่าง เป็นเลือดที่ยังสดๆ พร้อมกลิ่นหอมจางๆ จากถุงหอมมันปักชื่อของเหวินเจิ้งเทา เห็นเช่นนี้ก็ยิ่งร้อนใจ ถึงอย่างนั้น นางยิ่งระแวดระวังวัยกว่าเดิม จุดนี้มีทางเดินคดเคี้ยว แสงสว่างภายนอกส่องมาไม่ถึงจึงใช้ไข่มุกราตรีให้ความสว่าง ขณะเดียวกันก็นำมีดสั้นออกมาถือไว้เพื่อป้องกันตัว เมื่อก้าวไปไกลพอสมควร ก็แน่ใจว่า มีบางสิ่งเคลื่อนไหวตามมา นางจึงหมุนขวับ ยามนั้นได้เห็นเซวียนหลินที่ถูกตัดขาดจากกลุ่มเช่นเดียวกันนาง อีกฝ่ายจุดคบเพลิงมือ และส่องมาทางเหวินซืออี้ “รีบเดินต่อไปสิ หลานข้าทั้งคน เขาเป็นสายเลือดของแม่ทัพเซียว ผู้กอบกู้บ้านเมือง เรื่องน
“คนบ้าแซ่เฉิง และชายสัปดนแซ่สวี พะ พวกท่าน ล้วนรังแกข้า” นางเอ่ยแล้วก็สูดปากส่งเสียงอู้อ้า ราวกับกินของเผ็ดและร้อนจัดร่างกายงดงามซ่านสยิว ทั้งรู้สึกว่าตนกำลังจะจับไข้ ส่วนลำตัวประหนึ่งจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยกำลังรองรับความใหญ่โตของบุรุษ “ฮึ ขะ ข้าไม่ยอมให้พวกท่านทั้งคู่ หลั่งในร่างกายนี้แน่นอน” ปากบอกไปอย่างนั้น แต่จางเหยากับบีบรัดท่อนเนื้อเฉิงเซ่าเทียนไม่หยุด ในยามนั้นสวีเกาหานมันเขี้ยว เขาเลยใช้นิ้วยาวๆ ล้วงเข้าในโพรงปากนาง แล้วสั่งให้จางเหยาดูดและขบกัด “เล่นกับนิ้วข้าไปก่อน พอเปลี่ยนท่าใหม่ เหยาเหยาจะได้ครอบครองแท่งหยกแห่งแคว้นเหลียงแต่เพียงผู้เดียว”*********************แนะนำก่อนอ่านเรื่องนิยายแบ่งเป็นสามช่วงเวลา***********************ชาติก่อน (อดีต) ร่างเหวินซืออี้คนเดิมชาติย้อนเวลา ร่างจางเหยาชาติปัจจุบัน ร่างเหวินซือคนอี้ใหม่***********หนังสือหย่าที่เขียนด้วยเลือด ชาติก่อน แคว้นเหลียง ณ ป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ ห่างจากเมืองหลวงราวๆ สามร้อยลี้ สายลมวูบใหญ่พัดผ่านร่างเหวินซืออี้ นางจึงหลับตาหลบฝุ่นผง ...
Comments