“แน่ใจหรือว่าเจ้าเป็นทาสต่ำต้อย ร่างกายบอบบางเช่นนี้ ควรเป็นคณิกามากกว่า” เขาว่าเสียงดุเข้ม ในห้วงเวลานั้น ริมฝีปากบางชื้นจัดก็ขบเม้มรุนแรงบริเวณที่นางได้แผลจากจอกสุรา จิ่นเสียนยืนแทบไม่ไหว ร่างกายเจียนทรุดฮวบลงบนพื้น ชายหนุ่มจึงดันร่างบอบบางให้ไปข้างหน้า กระทั่งถึงโต๊ะกลางห้องโถง “หยิบไม้นั่นขึ้นมาแล้วใช้ปากคาบเอาไว้ ส่วนมือเจ้าจงเกาะขอบโต๊ะให้แน่น หากล้มลงพื้นเมื่อใด ศพเปลือยเปล่าของเจ้าจะถูกส่งไปที่ตระกูลจิว และนั่นคืออิสระภาพที่ข้าจะมอบให้นางทาสที่ไม่รู้จักเจียมตน!”ตัวละครหวังจิ่นเสียน จิ่นเสียน (องค์หญิงที่ถูกส่งตัวออกจากวังหลวง)โต้วเหวยถาน แม่ทัพโต้วผู้เผด็จการ และมากด้วยอำนาจโต้วหมิง(เซี่ยหมิง) ลูกชายของอนุอวิ๋น (อวิ๋นซี) เป็นลูกติด ท้องนาง และโต้วเหวยถานรับเป็นบุตรบุญธรรมพระสนมเคอ เคอซิน มารดาจิ่นเสียนฮ่องเต้ ฟ่านอ๋อง /หวังอินฟ่าน (แคว้นต้าเหลียง)มามาโจว โจวเหริน สตรีได้รับคำสั่งดูแลจิ่นเสียน ขันทีฉี ฉีซาน (ขันทีผู้ส่งมองจิ่นเสียนให้โต้วเหวยถาน)จวิ้นซี มารดาเซี่ยหมิงหมี่เจา อนุของโต้วเหวยถานพ่อบ้านจ้าว จ
เจ้าเป็นภรรยาของผู้ใดหรือไม่ จิ่นเสียนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใดนางก็ไม่อาจทราบได้ คงเพราะเหนื่อยและมีไข้อ่อนๆ ภาพในฝันคือเรื่องราวก่อนหน้านี้เมื่อเกือบสิบวันก่อน นางถูกแม่เลี้ยงขายเพื่อไปเป็นภรรยาเถ้าแก่ผู้หนึ่ง ระหว่างที่ซ่อนตัวอยู่ ได้ถูกกลุ่มคนแร่ร่อนเผ่าชยงเหล่าสูจับตัวไปเพื่อเป็นนางบำเรอ ก่อนพบว่า หนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นมีเซี่ยหมิง ผู้เป็นว่าที่สามีของตน โอ้ สวรรค์คงเล่นตลกแน่ๆ หญิงสาวคิดเสมอว่า อีกฝ่ายคือจิตกรรูปงาม ที่วาดภาพขายพร้อมบทกวีที่ยกระดับจิตใจผู้อื่น เมื่อเกือบสามเดือนก่อนเขาบอกว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อสอบรับราชการ หากเซี่ยหมิงหลอกลวงนาง และร่วมมือกับพวกที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา แล้วทำสิ่งที่นางไม่อาจให้อภัยต่อเขา อย่างไรก็ตามเซี่ยหมิงก็มิอาจปกป้องจิ่นเสียได้ ฝ่ายนางจึงได้รับความช่วยเหลือจากชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบชื่อแซ่ของเขา รู้เพียงว่าเป็นคนจากกองทัพ และคงมีตำแหน่งใหญ่โต เนื่องจากมีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง ซึ่งนางได้ยินคำว่า หน่วยเหยี่ยวไฟ แต่อนิจจาทั้งหมดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในเวลาต่อมา เนื่องจากมีพวกตรงข้ามมีกำลังเหนือกว่าหลายเท่า ที่น่าหวาดหวั่นคือ
รีบดื่มน้ำแกงเถิด จิ่นเสียนนอนพักจากความอ่อนเพลียหลายชั่วยาม เมื่อสะดุ้งตื่นก็นึกเสียใจ กระนั้นสิ่งที่โต้วเหวยถานทิ้งไว้ให้นางดูต่างหน้า ได้สร้างความหวังมิน้อย มันคือถุงหอมอีกฝ่าย รวมถึงแหวนหยกของบุรุษวงหนึ่ง และป้ายหยกแกะสลักรูปเหยี่ยวพ่นไฟ ทั้งหมดนั้นเมื่อพินิจอย่างละเอียด นางพอจะเข้าใจความหมายเขา และคำพูดของโต้วเหวยถานแม้ยามร่วมรักกัน ซึ่งตระหนักได้ว่า เขาห่วงใยต่อบ้านเมือง รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชา “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก็เกรงว่าอาจได้รับอันตราย จงมุ่งหน้าหาที่พัก และเมื่อสถานการณ์สงบ ก็ใช้ของเหล่านี้จำนำกับร้านค้าในเมืองใหญ่ ไม่นานข้าเชื่อว่าจะมีคนตามหาเจ้า แล้วพาไปรอพบข้าในที่ปลอดภัย” จิ่นเสียนอยากบอกเขาเรื่องหน่วยเหยี่ยวไฟ ด้วยมันอาจทำให้โต้วเหวยถานจดจำภูมิหลังของตนได้ แต่ชายหนุ่มกับเอ่ยขัดเสียก่อน “บางที สถานะที่แท้จริงของข้า อาจไม่ใช่สิ่งที่เสียนเสียนต้องการอยู่ใกล้ชิดก็เป็นได้ อย่างไรเสีย หากทุกอย่างคลี่คลาย ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าเลือกทางเดินของตนเอง”เขาพูดจบ ก็เอื้อมมือใหญ่มาจับศีรษะนางเอาไว้ ก่อนส่งริมฝีปากบางอันเร่าร้อนบดเบียดกลีบปากงดง
ทั้งคู่นอนกอดกันเกือบครึ่งชั่วยาม อยู่อย่างเงียบ ๆ ซึมซับช่วงเวลาแห่งความสุขให้ได้มากที่สุด “เอาละ ถึงเวลาที่เจ้าควรต้มน้ำแกงดื่มได้แล้วเสียนเสียน”โต้วเหวยถานบอกจบก็ลุกขึ้น และร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย ช่างน่ามอง แผงหน้าอกแน่น บั้นท้ายกลมสวย แม้แผ่นหลังจะมีแผลเป็นหลายแห่ง แต่ยิ่งขับให้โต้วเหวยถานสมกับตำแหน่งเทพสงคราม และในตอนที่เขาก้าวไปหยิบกางเกง ชายหนุ่มหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบๆ หากถ้อยคำที่สื่อสาร ส่งผลให้หัวใจจิ่นเสียนหดเกร็ง ทั้งมือไม้แทบจะไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจหยิบจับสิ่งใด “จงหาหญ้าขาว และเพิ่มดอกสนเข้าต้มในน้ำแกงด้วย นอกจากจะช่วยขับพิษในร่างกาย สิ่งที่ข้าไม่พึงประสงค์ให้เจ้าต้องลำบากในภายหน้า จะได้ไม่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้” “ตะ ต้าเกอหมายถึง”นางถามเสียงสั่นสีหน้าซีดสลด ความน้อยเนื้อต่ำใจผุดท่วมร่างกาย “ข้ากับเจ้า ไม่ควรมีสิ่งใดผูกมัดกันไว้ เสียนเอ๋อร์ สิ่งใดที่ข้าสั่งจงทำตามเสีย หากเจ้ายังอยากมีชีวิตรอด” ชายหนุ่มว่าจบ เขาหมุนตัวและสืบเท้ากลับไปในทางที่เดินมา การแสดงออกนั้นราวกับว่า โต้วเหวยถานที่นางเคยรู้จักก่
จิ่นเสียนมองไปยังจวิ้นซียามนั้นดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนมิอาจทนรับโทษสถานหนักได้แล้ว “เสี่ยวเสียน... เป็นข้าที่พาเจ้ามาจากแม่ทัพโต้ว และเขาสมควรดูแลเจ้าตั้งแต่แรก ทว่า...พิษที่สะสมในร่างกายเขาเป็นเหตุให้ต้องอยู่ห่างเจ้า มิเช่นนั้นอาจทรงผลร้ายมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นแม่ทัพโต้วก็ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า เขาแสร้งทำให้ข้าตายใจว่า หวังจิ่นเสียนอยู่ห่างไกลจากเงื้อมือเขามาโดยตลอด และเป็นข้าที่ตื้นเขินในเรื่องนี้” “แม่เลี้ยง ทะ ท่านต้องการบอกสิ่งใดแก่ข้ากันแน่” จวิ้นซีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย และเปล่งเสียงดังชัดเจน “หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าหวังซินเข่อ ผู้เป็นรัชทายาท มิอาจขึ้นครองบัลลังก์ได้” และนั่นคือเสียงสุดท้ายของจวิ้นซี เพราะนางถูกลูกน้องของหมี่เจาใช้ดาบฟันใส่กลางหลัง “เอาละ... อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็มีชีวิตมาจนถึงวันนี้ และหน้าที่ข้าคือทำให้เจ้าหายไปจากใต้หล้า องค์หญิงจิ่นเสียน ท่านอย่าหาว่าข้าโหดร้ายเลย ฟ้ากำหนดไว้เช่นนี้ อย่างไร น้องชายเจ้าต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ สกุลหมี่ และสกุลเคอ ยอมให้ผู้อื่นมีอำนาจในแผ่นดินนี้ไม่ได้” จิ่นเสียนนิ่งเงียบ
ชาติภพใหม่ เรือนลับแห่งนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดจัด สถานการณ์ด้านนอกบอกให้รู้ว่า ต้องมีการเตรียมพร้อมเสมอ หากมีเรื่องฉุกเฉิน ฝ่ายชายวัยกลางคนยืนแทบไม่ติด ด้วยส่งใครเข้าไปด้านในห้องลับส่วนตัวก็ถูกจับโยนออกมา เหล่าหน่วยเหยี่ยวไฟต่างต้องช่วยกันพาสตรีเหล่านั้น ไปส่งให้ถึงมือหมอที่รอรับหน้าที่คอยปฐมพยาบาลพวกนางอย่างแข็งขัน “เฮ้อ นี่ก็คนที่สิบห้า ยังไม่มีใครที่แม่ทัพโต้วพึงใจ” คนใส่เสื้อผ้ารัดกุมกล่าว เป็นตอนนั้นที่พ่อบ้านจ้าวแยกเขี้ยว ก่อนทำเสียงต่ำๆ เป็นเชิงตำหนิ “ไม่ใช่พึงใจ ข้าบอกว่าให้คัดเลือกสตรีที่มีปานโลหิตรัญจวน(พรหมจรรย์) แต่ดูเหมือนพวกเจ้ากับเฟ้นหาสตรีร่านสวาทที่เก่งกาจเรื่องบนเตียงมาที่นี่ เยี่ยงนี้ย่อมไม่ต้องคำสั่ง” “ปานโลหิตรัญจวน” “ก็ใช่นะซี ก่อนหน้านั้นข้าได้สั่งอย่างกำชับ ไฉนยังทำงานผิดพลาด พวกเจ้ามีกี่ชีวิต ถึงจะพอให้แม่ทัพโต้วตัดหัวจนเขาพอใจ” อันที่จริงคำสั่งพ่อบ้านจ้าวไม่ได้ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากหน่วยเหยี่ยวไฟมีเวลาเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ที่ต้องหาหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงาม ผิวพรรณดี นอกจากนั้นยังต้องบริสุทธิ์ เ
จิ่นเสียนไม่ใช่คนอ่อนหัด นางย่อมรู้ว่าชะตาชีวิตตนเป็นเช่นไร ยามนี้จำต้องใช้มันให้คุ้มค่าสมกับที่ได้มีลมหายใจอีกครั้ง และโต้วเหวยถานเป็นแค่บุรุษที่ต้องพิษร้าย และความจริงเขาอ่อนแอ หากแสร้งทำตัวเผด็จการ ใช้ความหยาบคายเพื่อข่มขู่ผู้อื่นเท่านั้น เมื่อปลอบใจตนเรียบร้อย หน้าที่นางคือทำให้โต้วเหวยถานคลั่งไคล้ในเรือนกายเย้ายวน นี่คือแผนการที่นางมุ่งหวังให้สำเร็จ หาไม่แล้วปลายทางจุดจบของชีวิต คงมิแคล้วจบลงอย่างที่เขาบอกคือกลายเป็นศพที่ถูกส่งไปยังตระกูลจิว มือใหญ่ๆ กระชากเสื้อผ้านางส่วนที่เหลือออกจนเผยร่างกายที่น่าสัมผัส ทั้งกลิ่นหอมเย้ายวน ผิวที่นุ่มนิ่ม อากาศแม้ไม่ให้เย็นจนเกินไป ทว่านางอดตัวสั่นไม่ได้ ร่างกายคนตัวโตซ้อนอยู่ด้านหลัง รังสีอำมหิตถ่ายโอนมาถึงนาง และยังแสดงความคุกคามออกมาไม่หยุด เขาใช้ปากชื้นๆ ขบแล้วเม้มที่แผ่นหลังสลับการจูบ สุดท้ายลงเขี้ยวพอให้นางต้องเจ็บตัว เมื่อเห็นว่ามีรอยช้ำขึ้นบนผิวขาวอมชมพูอย่างรวดเร็ว สีหน้าของโต้วเหวยถานก็แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจ เขาเกลียดการหลอกลวง ยิ่งเป็นสตรีที่ถูกใช้ทำงานสายลับ หรือพวกนางนกต่อลอบเข้ามาในจวน
จิ่นเสียนยั้งสติตนได้ทัน กระนั้นก็ทำให้อนุหมี่ตาเหลือกค้าง พลางจับที่หน้าท้องของตน และสาเหตุที่นางต้องระเห็จมาอยู่ที่เรือนนอก ก็เพราะมีทำสิ่งขัดใจฮูหยินหม้าย หลายวันที่ผ่านอารมณ์เลยฉุนเฉียวเนื่องจากตั้งครรภ์ ยามนี้ก็นับได้เกือบสี่เดือนเศษ เมื่อครู่เกือบต้องเจ็บตัวจากสาวใช้อุ่นเตียงของแม่ทัพโต้ว อารมณ์หมี่เจาที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นทุนเดิมเลยผสมกันไปหมด แล้วยิ่งเห็นว่าจิ่นเสียนผู้นี้มีความงามล้ำลึก ฝ่ายนางถึงกับเกิดความริษยาอย่างแรง พร้อมคิดว่าชาตินี้คงอยู่ร่วมผืนดินเดียวกันไม่ได้ “พ่อบ้านจ้าว... ไม่เห็นหรือว่า นางโสเภณีชั้นต่ำมันป่าเถื่อน ทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมเกือบทำร้ายข้า จงรีบลงโทษนางเสีย มิเช่นนั้น ข้าคงต้องเขียนรายงานไปจวนแม่ทัพ เพื่อให้ผู้คุมกฎส่งคนมาจัดการนาง และอีกอย่างข้าได้ยินมาว่า นางเป็นทาสใช้แรงงานมาก่อน” หมี่เจามิวายหยามหมิ่นเกียรติของจิ่นเสียนต่อหน้าผู้อื่น จ้าวข่านถอนหายใจแรงๆ จิ่นเสียนก็เพิ่งจะฟื้นไข้ ร่างกายมิใช่ว่าจะแข็งแรงนัก ทว่าเพื่อให้นางรอดพ้นสายตาของหมี่เจาจำต้องเล่นละครตบตาสักหน่อย “แม่นางเสียน จงไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชน และห้ามผู้ใดให้ข
จิ่นเสียนยั้งสติตนได้ทัน กระนั้นก็ทำให้อนุหมี่ตาเหลือกค้าง พลางจับที่หน้าท้องของตน และสาเหตุที่นางต้องระเห็จมาอยู่ที่เรือนนอก ก็เพราะมีทำสิ่งขัดใจฮูหยินหม้าย หลายวันที่ผ่านอารมณ์เลยฉุนเฉียวเนื่องจากตั้งครรภ์ ยามนี้ก็นับได้เกือบสี่เดือนเศษ เมื่อครู่เกือบต้องเจ็บตัวจากสาวใช้อุ่นเตียงของแม่ทัพโต้ว อารมณ์หมี่เจาที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นทุนเดิมเลยผสมกันไปหมด แล้วยิ่งเห็นว่าจิ่นเสียนผู้นี้มีความงามล้ำลึก ฝ่ายนางถึงกับเกิดความริษยาอย่างแรง พร้อมคิดว่าชาตินี้คงอยู่ร่วมผืนดินเดียวกันไม่ได้ “พ่อบ้านจ้าว... ไม่เห็นหรือว่า นางโสเภณีชั้นต่ำมันป่าเถื่อน ทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมเกือบทำร้ายข้า จงรีบลงโทษนางเสีย มิเช่นนั้น ข้าคงต้องเขียนรายงานไปจวนแม่ทัพ เพื่อให้ผู้คุมกฎส่งคนมาจัดการนาง และอีกอย่างข้าได้ยินมาว่า นางเป็นทาสใช้แรงงานมาก่อน” หมี่เจามิวายหยามหมิ่นเกียรติของจิ่นเสียนต่อหน้าผู้อื่น จ้าวข่านถอนหายใจแรงๆ จิ่นเสียนก็เพิ่งจะฟื้นไข้ ร่างกายมิใช่ว่าจะแข็งแรงนัก ทว่าเพื่อให้นางรอดพ้นสายตาของหมี่เจาจำต้องเล่นละครตบตาสักหน่อย “แม่นางเสียน จงไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชน และห้ามผู้ใดให้ข
จิ่นเสียนไม่ใช่คนอ่อนหัด นางย่อมรู้ว่าชะตาชีวิตตนเป็นเช่นไร ยามนี้จำต้องใช้มันให้คุ้มค่าสมกับที่ได้มีลมหายใจอีกครั้ง และโต้วเหวยถานเป็นแค่บุรุษที่ต้องพิษร้าย และความจริงเขาอ่อนแอ หากแสร้งทำตัวเผด็จการ ใช้ความหยาบคายเพื่อข่มขู่ผู้อื่นเท่านั้น เมื่อปลอบใจตนเรียบร้อย หน้าที่นางคือทำให้โต้วเหวยถานคลั่งไคล้ในเรือนกายเย้ายวน นี่คือแผนการที่นางมุ่งหวังให้สำเร็จ หาไม่แล้วปลายทางจุดจบของชีวิต คงมิแคล้วจบลงอย่างที่เขาบอกคือกลายเป็นศพที่ถูกส่งไปยังตระกูลจิว มือใหญ่ๆ กระชากเสื้อผ้านางส่วนที่เหลือออกจนเผยร่างกายที่น่าสัมผัส ทั้งกลิ่นหอมเย้ายวน ผิวที่นุ่มนิ่ม อากาศแม้ไม่ให้เย็นจนเกินไป ทว่านางอดตัวสั่นไม่ได้ ร่างกายคนตัวโตซ้อนอยู่ด้านหลัง รังสีอำมหิตถ่ายโอนมาถึงนาง และยังแสดงความคุกคามออกมาไม่หยุด เขาใช้ปากชื้นๆ ขบแล้วเม้มที่แผ่นหลังสลับการจูบ สุดท้ายลงเขี้ยวพอให้นางต้องเจ็บตัว เมื่อเห็นว่ามีรอยช้ำขึ้นบนผิวขาวอมชมพูอย่างรวดเร็ว สีหน้าของโต้วเหวยถานก็แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจ เขาเกลียดการหลอกลวง ยิ่งเป็นสตรีที่ถูกใช้ทำงานสายลับ หรือพวกนางนกต่อลอบเข้ามาในจวน
ชาติภพใหม่ เรือนลับแห่งนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดจัด สถานการณ์ด้านนอกบอกให้รู้ว่า ต้องมีการเตรียมพร้อมเสมอ หากมีเรื่องฉุกเฉิน ฝ่ายชายวัยกลางคนยืนแทบไม่ติด ด้วยส่งใครเข้าไปด้านในห้องลับส่วนตัวก็ถูกจับโยนออกมา เหล่าหน่วยเหยี่ยวไฟต่างต้องช่วยกันพาสตรีเหล่านั้น ไปส่งให้ถึงมือหมอที่รอรับหน้าที่คอยปฐมพยาบาลพวกนางอย่างแข็งขัน “เฮ้อ นี่ก็คนที่สิบห้า ยังไม่มีใครที่แม่ทัพโต้วพึงใจ” คนใส่เสื้อผ้ารัดกุมกล่าว เป็นตอนนั้นที่พ่อบ้านจ้าวแยกเขี้ยว ก่อนทำเสียงต่ำๆ เป็นเชิงตำหนิ “ไม่ใช่พึงใจ ข้าบอกว่าให้คัดเลือกสตรีที่มีปานโลหิตรัญจวน(พรหมจรรย์) แต่ดูเหมือนพวกเจ้ากับเฟ้นหาสตรีร่านสวาทที่เก่งกาจเรื่องบนเตียงมาที่นี่ เยี่ยงนี้ย่อมไม่ต้องคำสั่ง” “ปานโลหิตรัญจวน” “ก็ใช่นะซี ก่อนหน้านั้นข้าได้สั่งอย่างกำชับ ไฉนยังทำงานผิดพลาด พวกเจ้ามีกี่ชีวิต ถึงจะพอให้แม่ทัพโต้วตัดหัวจนเขาพอใจ” อันที่จริงคำสั่งพ่อบ้านจ้าวไม่ได้ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากหน่วยเหยี่ยวไฟมีเวลาเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ที่ต้องหาหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงาม ผิวพรรณดี นอกจากนั้นยังต้องบริสุทธิ์ เ
จิ่นเสียนมองไปยังจวิ้นซียามนั้นดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนมิอาจทนรับโทษสถานหนักได้แล้ว “เสี่ยวเสียน... เป็นข้าที่พาเจ้ามาจากแม่ทัพโต้ว และเขาสมควรดูแลเจ้าตั้งแต่แรก ทว่า...พิษที่สะสมในร่างกายเขาเป็นเหตุให้ต้องอยู่ห่างเจ้า มิเช่นนั้นอาจทรงผลร้ายมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นแม่ทัพโต้วก็ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า เขาแสร้งทำให้ข้าตายใจว่า หวังจิ่นเสียนอยู่ห่างไกลจากเงื้อมือเขามาโดยตลอด และเป็นข้าที่ตื้นเขินในเรื่องนี้” “แม่เลี้ยง ทะ ท่านต้องการบอกสิ่งใดแก่ข้ากันแน่” จวิ้นซีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย และเปล่งเสียงดังชัดเจน “หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าหวังซินเข่อ ผู้เป็นรัชทายาท มิอาจขึ้นครองบัลลังก์ได้” และนั่นคือเสียงสุดท้ายของจวิ้นซี เพราะนางถูกลูกน้องของหมี่เจาใช้ดาบฟันใส่กลางหลัง “เอาละ... อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็มีชีวิตมาจนถึงวันนี้ และหน้าที่ข้าคือทำให้เจ้าหายไปจากใต้หล้า องค์หญิงจิ่นเสียน ท่านอย่าหาว่าข้าโหดร้ายเลย ฟ้ากำหนดไว้เช่นนี้ อย่างไร น้องชายเจ้าต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ สกุลหมี่ และสกุลเคอ ยอมให้ผู้อื่นมีอำนาจในแผ่นดินนี้ไม่ได้” จิ่นเสียนนิ่งเงียบ
ทั้งคู่นอนกอดกันเกือบครึ่งชั่วยาม อยู่อย่างเงียบ ๆ ซึมซับช่วงเวลาแห่งความสุขให้ได้มากที่สุด “เอาละ ถึงเวลาที่เจ้าควรต้มน้ำแกงดื่มได้แล้วเสียนเสียน”โต้วเหวยถานบอกจบก็ลุกขึ้น และร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย ช่างน่ามอง แผงหน้าอกแน่น บั้นท้ายกลมสวย แม้แผ่นหลังจะมีแผลเป็นหลายแห่ง แต่ยิ่งขับให้โต้วเหวยถานสมกับตำแหน่งเทพสงคราม และในตอนที่เขาก้าวไปหยิบกางเกง ชายหนุ่มหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบๆ หากถ้อยคำที่สื่อสาร ส่งผลให้หัวใจจิ่นเสียนหดเกร็ง ทั้งมือไม้แทบจะไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจหยิบจับสิ่งใด “จงหาหญ้าขาว และเพิ่มดอกสนเข้าต้มในน้ำแกงด้วย นอกจากจะช่วยขับพิษในร่างกาย สิ่งที่ข้าไม่พึงประสงค์ให้เจ้าต้องลำบากในภายหน้า จะได้ไม่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้” “ตะ ต้าเกอหมายถึง”นางถามเสียงสั่นสีหน้าซีดสลด ความน้อยเนื้อต่ำใจผุดท่วมร่างกาย “ข้ากับเจ้า ไม่ควรมีสิ่งใดผูกมัดกันไว้ เสียนเอ๋อร์ สิ่งใดที่ข้าสั่งจงทำตามเสีย หากเจ้ายังอยากมีชีวิตรอด” ชายหนุ่มว่าจบ เขาหมุนตัวและสืบเท้ากลับไปในทางที่เดินมา การแสดงออกนั้นราวกับว่า โต้วเหวยถานที่นางเคยรู้จักก่
รีบดื่มน้ำแกงเถิด จิ่นเสียนนอนพักจากความอ่อนเพลียหลายชั่วยาม เมื่อสะดุ้งตื่นก็นึกเสียใจ กระนั้นสิ่งที่โต้วเหวยถานทิ้งไว้ให้นางดูต่างหน้า ได้สร้างความหวังมิน้อย มันคือถุงหอมอีกฝ่าย รวมถึงแหวนหยกของบุรุษวงหนึ่ง และป้ายหยกแกะสลักรูปเหยี่ยวพ่นไฟ ทั้งหมดนั้นเมื่อพินิจอย่างละเอียด นางพอจะเข้าใจความหมายเขา และคำพูดของโต้วเหวยถานแม้ยามร่วมรักกัน ซึ่งตระหนักได้ว่า เขาห่วงใยต่อบ้านเมือง รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชา “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก็เกรงว่าอาจได้รับอันตราย จงมุ่งหน้าหาที่พัก และเมื่อสถานการณ์สงบ ก็ใช้ของเหล่านี้จำนำกับร้านค้าในเมืองใหญ่ ไม่นานข้าเชื่อว่าจะมีคนตามหาเจ้า แล้วพาไปรอพบข้าในที่ปลอดภัย” จิ่นเสียนอยากบอกเขาเรื่องหน่วยเหยี่ยวไฟ ด้วยมันอาจทำให้โต้วเหวยถานจดจำภูมิหลังของตนได้ แต่ชายหนุ่มกับเอ่ยขัดเสียก่อน “บางที สถานะที่แท้จริงของข้า อาจไม่ใช่สิ่งที่เสียนเสียนต้องการอยู่ใกล้ชิดก็เป็นได้ อย่างไรเสีย หากทุกอย่างคลี่คลาย ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าเลือกทางเดินของตนเอง”เขาพูดจบ ก็เอื้อมมือใหญ่มาจับศีรษะนางเอาไว้ ก่อนส่งริมฝีปากบางอันเร่าร้อนบดเบียดกลีบปากงดง
เจ้าเป็นภรรยาของผู้ใดหรือไม่ จิ่นเสียนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใดนางก็ไม่อาจทราบได้ คงเพราะเหนื่อยและมีไข้อ่อนๆ ภาพในฝันคือเรื่องราวก่อนหน้านี้เมื่อเกือบสิบวันก่อน นางถูกแม่เลี้ยงขายเพื่อไปเป็นภรรยาเถ้าแก่ผู้หนึ่ง ระหว่างที่ซ่อนตัวอยู่ ได้ถูกกลุ่มคนแร่ร่อนเผ่าชยงเหล่าสูจับตัวไปเพื่อเป็นนางบำเรอ ก่อนพบว่า หนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นมีเซี่ยหมิง ผู้เป็นว่าที่สามีของตน โอ้ สวรรค์คงเล่นตลกแน่ๆ หญิงสาวคิดเสมอว่า อีกฝ่ายคือจิตกรรูปงาม ที่วาดภาพขายพร้อมบทกวีที่ยกระดับจิตใจผู้อื่น เมื่อเกือบสามเดือนก่อนเขาบอกว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อสอบรับราชการ หากเซี่ยหมิงหลอกลวงนาง และร่วมมือกับพวกที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา แล้วทำสิ่งที่นางไม่อาจให้อภัยต่อเขา อย่างไรก็ตามเซี่ยหมิงก็มิอาจปกป้องจิ่นเสียได้ ฝ่ายนางจึงได้รับความช่วยเหลือจากชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบชื่อแซ่ของเขา รู้เพียงว่าเป็นคนจากกองทัพ และคงมีตำแหน่งใหญ่โต เนื่องจากมีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง ซึ่งนางได้ยินคำว่า หน่วยเหยี่ยวไฟ แต่อนิจจาทั้งหมดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในเวลาต่อมา เนื่องจากมีพวกตรงข้ามมีกำลังเหนือกว่าหลายเท่า ที่น่าหวาดหวั่นคือ
“แน่ใจหรือว่าเจ้าเป็นทาสต่ำต้อย ร่างกายบอบบางเช่นนี้ ควรเป็นคณิกามากกว่า” เขาว่าเสียงดุเข้ม ในห้วงเวลานั้น ริมฝีปากบางชื้นจัดก็ขบเม้มรุนแรงบริเวณที่นางได้แผลจากจอกสุรา จิ่นเสียนยืนแทบไม่ไหว ร่างกายเจียนทรุดฮวบลงบนพื้น ชายหนุ่มจึงดันร่างบอบบางให้ไปข้างหน้า กระทั่งถึงโต๊ะกลางห้องโถง “หยิบไม้นั่นขึ้นมาแล้วใช้ปากคาบเอาไว้ ส่วนมือเจ้าจงเกาะขอบโต๊ะให้แน่น หากล้มลงพื้นเมื่อใด ศพเปลือยเปล่าของเจ้าจะถูกส่งไปที่ตระกูลจิว และนั่นคืออิสระภาพที่ข้าจะมอบให้นางทาสที่ไม่รู้จักเจียมตน!”ตัวละครหวังจิ่นเสียน จิ่นเสียน (องค์หญิงที่ถูกส่งตัวออกจากวังหลวง)โต้วเหวยถาน แม่ทัพโต้วผู้เผด็จการ และมากด้วยอำนาจโต้วหมิง(เซี่ยหมิง) ลูกชายของอนุอวิ๋น (อวิ๋นซี) เป็นลูกติด ท้องนาง และโต้วเหวยถานรับเป็นบุตรบุญธรรมพระสนมเคอ เคอซิน มารดาจิ่นเสียนฮ่องเต้ ฟ่านอ๋อง /หวังอินฟ่าน (แคว้นต้าเหลียง)มามาโจว โจวเหริน สตรีได้รับคำสั่งดูแลจิ่นเสียน ขันทีฉี ฉีซาน (ขันทีผู้ส่งมองจิ่นเสียนให้โต้วเหวยถาน)จวิ้นซี มารดาเซี่ยหมิงหมี่เจา อนุของโต้วเหวยถานพ่อบ้านจ้าว จ
***** ต่อจากตอนที่แล้ว ด้วยคำพูดนั้น เหวินซืออี้จึงชักชวนพี่ชายออกท่องโลกกว้างด้วยกัน นี่คือโอกาสเดียวที่นางจะได้เปิดหู เปิดตาไปพร้อมเซียวหัวเฟิง ก่อนถูกบิดาส่งตัวเข้าวังหลวง เพื่อเป็นฝึกงานในสำนักหมอหลวง ซึ่งเท่าที่นางสืบรู้ บิดาอยากให้นางเป็นหมอหญิง รับใช้ไทฮองไทเฮา(หลี่อิง) ด้วยสกุลนางแต่เดิม ก็มีสตรีที่เป็นขุนนางหญิงที่สร้างคุณความดีมากมาย แต่สตรีเช่นนางหรือจะอยู่ในรั้วในวังได้ การแก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่น และยังต้องคอยระวังจะถูกกลั่นแกล้งจากนางกำนัลอีก เรื่องเหล่านั้นช่างน่าเวียนหัว และหลังจากที่เซียวหัวเฟิงแยกตัวไป นางก็พลัดหลงกับพี่ชายอีก ซ้ำร้ายถูกฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งตามไล่ล่า คราแรกคิดว่าพวกมันหวังชิงสมุนไพรที่นางพกติดตัวไว้ นั่นคือก็ผงสกัดที่ทำให้สลบ แต่ความจริงในภายหน้ากลับน่าสยองใจมากกว่า พอเหวินซืออี้รู้สึกตัวอีกที กระซวยเม็ดพุทราก็ซัดใส่กลางหลังนาง แรงที่หนักหน่วงนั้น ทำให้นางล่วงลงไปบนพื้น และยามนี้อยู่กลางป่าที่มองไปทางใดก็น่ากลัวไปหมด “ค้นตัวนาง!” เสียงดังกล่าวดังขึ้น และนางถูกลากเข้าไปหลังพุ่มไม้ คนพวกนั้นท่าทางแปลกอยู่สักหน่อยเสียงก็แหลมสู