จิ่นเสียนยั้งสติตนได้ทัน กระนั้นก็ทำให้อนุหมี่ตาเหลือกค้าง พลางจับที่หน้าท้องของตน และสาเหตุที่นางต้องระเห็จมาอยู่ที่เรือนนอก ก็เพราะมีทำสิ่งขัดใจฮูหยินหม้าย หลายวันที่ผ่านอารมณ์เลยฉุนเฉียวเนื่องจากตั้งครรภ์ ยามนี้ก็นับได้เกือบสี่เดือนเศษ เมื่อครู่เกือบต้องเจ็บตัวจากสาวใช้อุ่นเตียงของแม่ทัพโต้ว อารมณ์หมี่เจาที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นทุนเดิมเลยผสมกันไปหมด แล้วยิ่งเห็นว่าจิ่นเสียนผู้นี้มีความงามล้ำลึก ฝ่ายนางถึงกับเกิดความริษยาอย่างแรง พร้อมคิดว่าชาตินี้คงอยู่ร่วมผืนดินเดียวกันไม่ได้ “พ่อบ้านจ้าว... ไม่เห็นหรือว่า นางโสเภณีชั้นต่ำมันป่าเถื่อน ทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมเกือบทำร้ายข้า จงรีบลงโทษนางเสีย มิเช่นนั้น ข้าคงต้องเขียนรายงานไปจวนแม่ทัพ เพื่อให้ผู้คุมกฎส่งคนมาจัดการนาง และอีกอย่างข้าได้ยินมาว่า นางเป็นทาสใช้แรงงานมาก่อน” หมี่เจามิวายหยามหมิ่นเกียรติของจิ่นเสียนต่อหน้าผู้อื่น จ้าวข่านถอนหายใจแรงๆ จิ่นเสียนก็เพิ่งจะฟื้นไข้ ร่างกายมิใช่ว่าจะแข็งแรงนัก ทว่าเพื่อให้นางรอดพ้นสายตาของหมี่เจาจำต้องเล่นละครตบตาสักหน่อย “แม่นางเสียน จงไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชน และห้ามผู้ใดให้ข
รถลาลากไม่ได้ให้ความสะดวกสบายแก่จิ่นเสียน กระนั้นก็ยังดีกว่านางต้องเดินด้วยสองเท้า ในรถไม่ได้มีหญิงสาวเพียงคนเดียว ร่างหนึ่งนอนขดบนพื้นไม้ หายใจแผ่วเบาและจ้องมาทางจิ่นเสียนราวกับต้องการบางสิ่งจากนาง “นางรับโทษแทนสามีซึ่งหายสาบสูญไป ทุกความผิดจึงตกมาที่นาง” คนที่ตอบเป็นเจ้าหน้าที่หญิงที่นั่งห่างจิ่นเสียน “ผู้หญิงให้โง่เพียงใด จงอย่าเอาชีวิตไปยึดติดกับบุรุษ เจ้าก็เหมือนกัน...ได้ข่าวว่า รู้เห็นเกี่ยวกับการฆ่ายกครัวตระกูลจิวด้วย” ได้ยินอย่างนั้น จิ่นเสียนก็หันหน้าไปทางอื่น นางไว้ใจใครได้ เห็นท่าคงไม่มี ยามนี้คิดเพียงแต่ว่าเมื่อไปถึงศาล นางจะถูกส่งตัวไปที่ห้องขัง หรือห้องสอบปากคำซึ่งอาจทำให้ต้องเจ็บตัว สุดท้ายก็รับสารภาพในสิ่งที่ไม่ได้ก่อ เวลาผ่านไปจนท้องฟ้ามืดค่ำ โดยก่อนหน้านั้นรถลาลากจอดให้เหล่าเจ้าหน้าที่พัก และกินอาหาร ส่วนนักโทษถูกไล่ต้อนลงมา และได้หมั่นโถวคนละชิ้น สตรีที่รับผิดแทนสามี ยังคอยมองจิ่นเสียนอยู่ ขณะเดียวกันนางสังเกตเห็นว่า ยังมีรถลาลากคันอื่นๆ พร้อมทั้งนักโทษหญิงชายอีกหลายคน ที่น่าสนใจ มีเด็กเล็กอายุคงแค่สิบขวบด้วย
ต่อจากนั้น จิ่นเสียนถูกพาไปขี่ม้ากับเซี่ยหมิง โดยที่นางไม่เต็มใจ การเดินทางตลอดสามชั่วยามทำให้ร่างกายที่อ่อนเพลียอยู่แล้วต้องเผชิญอาการป่วยไข้ ดังนั้นพอถึงถ้ำซึ่งเป็นแหล่งกบดานของพวกชยงเหล่าสู หญิงสาวจึงถูกอุ้มไปนอนบนฝูกหนานุ่ม พร้อมได้รับการดูแลเช็ดเนื้อเพื่อลดไอร้อน ยามนั้นมีเสียงของคนผู้หนึ่งทะเลาะกับเซี่ยหมิง เสียงดังกล่าวคล้ายจะทำให้จิ่นเสียน สะบัดร้อนสะบัดหนาว ความรู้สึกแสนน่ากลัว ทั้งเกิดอาการครั่นคร้ามใจตามมา “ลูกหมิง...ผู้หญิงคนนั้นสมควรถูกขายไปแล้ว และเจ้ายังตามตัวมันกลับมาเพื่อสร้างปัญหาอันใดอีก ฐานะที่เหมาะกับนาง ย่อมเป็นแค่ทาส เหมือนครั้งที่เจ้าพบนางในตลาดค้ามนุษย์ และไม่ควรพานางกลับเรือนตั้งแต่วันนั้น” “ท่านแม่ ทะ ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ นางคือภรรยาของลูก เป็นสะใภ้น้อย ที่ข้าเก็บเงินซื้อนาง และข้าเกือบต้องเอาชีวิตเข้าแลก ชาตินี้ได้พบอาเสียนอีกครั้ง ขะ ข้าจะยไม่ปล่อยให้นางให้หลุดมืออีก” คนเป็นแม่ปวดหัวยิ่งนัก หวังว่าจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับจิ่นเสียนอีก แต่สวรรค์หรือจะให้โอกาสนาง หายนะร้ายแรงนั้นคงนับแต่จวิ้นซีลักพาตัวเด็กหญิงจากบุรุษผู้นั้นตามคำ
ขันทีฉีเป็นชายหนุ่มรูปงามอายุเพิ่งพ้นยี่สิบปีมาหมาดๆ เขาทำงานในวังหลวงนับแต่อายุได้เพียงห้าขวบ ซึ่งนับว่าเล็กมาก อย่างไรเสียเขาไม่ได้มีความรู้เพียงแค่การเอาใจเจ้านาย หากวรยุทธ์คนผู้นี้ก็นับว่าดีเยี่ยม อาจดีกว่ามือปราบหลายคนด้วยซ้ำ เมื่อออกจากตำหนักรื่อหงฮวามาได้อย่างปลอดภัย เขาก็กระโดดข้ามกำแพงวังหลวง ก่อนเข้าไปในตรอกเล็กๆ คับแคบ รอม้าที่เตรียมพร้อมเสมอเพื่อทำภารกิจลับ “ท่านจะไปที่ใด...” เสียงมือปราบดังขึ้น ฝ่ายนั้นรีบใช้วิชาตัวเบามาอยู่ตรงหน้าขันทีฉี ดวงตาเขาเจือความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด“ข้าต้องส่งของสำคัญให้ถึงมือแม่ทัพโต้ว และเขาผู้เดียวเท่านั้นที่จะรักษาสมบัติล้ำค่านี้ไว้ได้” “คนผู้นั้น เป็นแม่ทัพก็ดี แต่เขาโหดเหี้ยมยิ่งกว่าปีศาจ อีกทั้งใครก็รู้ว่า ไร้ความปราณี และไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด” ขันทีฉียิ้มรับ แล้วกล่าวว่า“ด้วยเหตุนี้ นายหญิงถึงเลือกเขาให้ดูแลของสำคัญ” หัวคิ้วเข้มๆ ของมือปราบย่นเข้าหากัน และจมูกเขาก็ไวต่อกลิ่นมาก “เลือด... และกลิ่นคาว...” “อย่าพูดให้มากความ หากท่านจะขัดขวางข้า จงรู้ไว้แม้เป็นสหายข้าก็ไม่ยอมอ่อนข้อ”
ยามนั้น เข็มในมือปักเข้าใส่ต้นแขนทารกน้อย และกลิ่นเลือดหอมหวานก็โชยออกมา “นี่แค่เล็กน้อย หากขัดขวางข้าอีกอาจเป็นดวงตาเล็กๆ หรือ แขน ขาสักข้าง ที่หลุดหายจากร่างแบเบาะนี้ ” จ้าวข่านได้ยินอย่างนั้น จึงส่งสัญญาณเปิดทางให้แก่จวิ้นซี และพอนางเห็นช่องทางหลบหนีพลันพุ่งตัวไปอย่างเร็ว โดยได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง กระทั่งนางจากไป เสียงของหน่วยเหยี่ยวไฟก็ถามพ่อบ้านจ้าว“ทารกน้อยอาจได้รับอันตราย พ่อบ้านจ้าวปล่อยนางไปเช่นนั้น แม่ทัพโต้วยังจะให้ท่านมีร่างกายครบสามสิบสองอีกหรือ” “เจ้าไม่รู้สิ่งใด ที่อันตรายย่อมปลอดภัยที่สุด และนางแค้นใจต่อแม่ทัพโต้ว ย่อมไม่มีวันปล่อยทารกให้ผู้อื่น ยิ่งกว่านั้นยังจะเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ด้วย” “เอ พ่อบ้านจ้าวเป็นหมอดูตั้งแต่เมื่อใด” จ้าวข่านยิ้มกว้าง และตอบว่า“สายตานางหลอกข้าไม่ได้ ใจนางรักแม่ทัพโต้ว และเกลียดเขาพอกัน สิ่งใดที่จะทำให้เขาเจ็บช้ำได้ มีหรือที่จวิ้นซีจะไม่ยอมทำ” กล่าวจบ จ้าวข่านก็มองเห็นว่ามีร่างของสตรีอีกคนที่โผนทะยานตามจวิ้นซีไป “อย่างที่แม่ทัพโต้วคาดการไม่ผิด ฝ่ายของพระสนมเคอ คงไม่ปล่อยให้ทารกของต
บทส่งท้าย ในอุ้งมือของเทพสงคราม กระทั่งทั้งคู่มาถึงจุดที่เป็นลานหิน และสามารถใช้พรางตนเพื่อซ่อนตัวจากมือสังหาร เซี่ยงหมิงก็เอ่ยว่า “ลูกธนูมีพิษ อาเสียน เห็นทีข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้อย่างที่เคยบอกไว้” จิ่นเสียนมองดูอีกฝ่าย ภาพในความหลังซ้อนทับกลับมา หลายสิ่งที่เกิดขึ้น เกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของนาง “หนิงเกอย่อมปลอดภัย” “หากสวรรค์เข้าข้างข้าบ้างก็ดี แต่ยามนี้ข้าง่วงเหลือเกิน” หญิงสาวสูดลมหายใจลึก และเห็นว่าดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ เล็บมือดำ ฝ่ามือก็เช่นกัน พิษร้ายแรงนี้พวกที่ใช้ ย่อมเป็นฝ่ายที่ชอบเล่นสกปรก พลอยให้นางคิดไปถึงพิษที่โต้วเหวยถานได้รับ และนางคาดว่าเป็นฝีมือสตรีอำมหิตหมี่เจา “ข้าไม่น่าพาอาเสียนมาเสี่ยงอันตรายเลย อย่างไรเจ้าก็เป็นของคนผู้นั้นแต่แรก แม้ข้าจะมารู้ภายหลัง ทว่าข้ากลับไม่อาจหักห้ามใจ”เซี่ยหมิงพยายายามบอกบางสิ่งกับนาง ขณะเดียวกัน เขาคิดถึงภาพความหลัง เมื่อครั้งที่พบจิ่นเสียน ณ ตลาดข้าทาส ในช่วงเวลาที่นางอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ ตัวเขายอมรับว่าไม่อาจละสายตาจากอีกฝ่าย ราวกับมีบางสิ่งเชื่อมโยงเอาไว้ตั้งแต่ชาติภพก่อน
“คนบ้าแซ่เฉิง และชายสัปดนแซ่สวี พะ พวกท่าน ล้วนรังแกข้า” นางเอ่ยแล้วก็สูดปากส่งเสียงอู้อ้า ราวกับกินของเผ็ดและร้อนจัดร่างกายงดงามซ่านสยิว ทั้งรู้สึกว่าตนกำลังจะจับไข้ ส่วนลำตัวประหนึ่งจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยกำลังรองรับความใหญ่โตของบุรุษ “ฮึ ขะ ข้าไม่ยอมให้พวกท่านทั้งคู่ หลั่งในร่างกายนี้แน่นอน” ปากบอกไปอย่างนั้น แต่จางเหยากับบีบรัดท่อนเนื้อเฉิงเซ่าเทียนไม่หยุด ในยามนั้นสวีเกาหานมันเขี้ยว เขาเลยใช้นิ้วยาวๆ ล้วงเข้าในโพรงปากนาง แล้วสั่งให้จางเหยาดูดและขบกัด “เล่นกับนิ้วข้าไปก่อน พอเปลี่ยนท่าใหม่ เหยาเหยาจะได้ครอบครองแท่งหยกแห่งแคว้นเหลียงแต่เพียงผู้เดียว”*********************แนะนำก่อนอ่านเรื่องนิยายแบ่งเป็นสามช่วงเวลา***********************ชาติก่อน (อดีต) ร่างเหวินซืออี้คนเดิมชาติย้อนเวลา ร่างจางเหยาชาติปัจจุบัน ร่างเหวินซือคนอี้ใหม่***********หนังสือหย่าที่เขียนด้วยเลือด ชาติก่อน แคว้นเหลียง ณ ป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ ห่างจากเมืองหลวงราวๆ สามร้อยลี้ สายลมวูบใหญ่พัดผ่านร่างเหวินซืออี้ นางจึงหลับตาหลบฝุ่นผง
เหตุการณ์ก่อนหน้า เหวินซืออี้กราดเกรี้ยวหนัก นางอดทนมานาน ไม่เคยมีปากเสียงอันใดกับคนรัก ก็เพียงแต่อยากทวงถามสิ่งที่นางควรได้รับ ตัวนางต้องทนรับปัญหาสารพัด ตัดขาดญาติพี่น้องเพื่อมาเป็นจ้าวสาวของเซียวหัวเฟิง ผู้ที่เพิ่งก้าวขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ป้อมสังเกตการณ์ ส่งผลให้เหวินซืออี้กำลังจะจมดิ่งสู่ห้วงเหวลึก “เฟิงเกอ...ท่านจะไปที่ใด ยามนี้ได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว” นางถามน้ำเสียงสั่นอยู่สักหน่อย ด้วยมันเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ และความโมโหตนเองที่ไม่อาจพูดสิ่งใดที่รุนแรงอย่างใจนึกได้ นางเป็นสตรีเช่นนี้ โลกสวยงาม มีแต่สิ่งรื่นเริง คำร้ายๆ ไม่เคยหลุดออกจากปาก จวบจนได้เห็นเกิงเตียวอิ๋ง ฝ่ายนั้นทำเรื่องบัดซบยิ่งนัก ขี่ม้าตัวโตเข้ามาที่นี่ อาภรณ์ที่นางสวมใส่คือ ชุดหยกที่เรียงเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าห้อยต่อกันไว้ ซึ่งกล่าวได้ว่า นางเปลือยกายคงไม่ผิด เพราะมองแล้วช่างเป็นคนไร้ยางอายยิ่ง “เฟิงเกอ... โอ้ ท่านจะรอให้ร่างกายสตรีผู้นี้ สูญสลายและสิ้นใจเสียก่อนหรือ ถึงจะเข้ามาหาข้า” เสียงดังกล่าวเรียกขึ้นร้อง ท่าทางสตรีผู้นั้นมิต่างจาก
บทส่งท้าย ในอุ้งมือของเทพสงคราม กระทั่งทั้งคู่มาถึงจุดที่เป็นลานหิน และสามารถใช้พรางตนเพื่อซ่อนตัวจากมือสังหาร เซี่ยงหมิงก็เอ่ยว่า “ลูกธนูมีพิษ อาเสียน เห็นทีข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้อย่างที่เคยบอกไว้” จิ่นเสียนมองดูอีกฝ่าย ภาพในความหลังซ้อนทับกลับมา หลายสิ่งที่เกิดขึ้น เกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของนาง “หนิงเกอย่อมปลอดภัย” “หากสวรรค์เข้าข้างข้าบ้างก็ดี แต่ยามนี้ข้าง่วงเหลือเกิน” หญิงสาวสูดลมหายใจลึก และเห็นว่าดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ เล็บมือดำ ฝ่ามือก็เช่นกัน พิษร้ายแรงนี้พวกที่ใช้ ย่อมเป็นฝ่ายที่ชอบเล่นสกปรก พลอยให้นางคิดไปถึงพิษที่โต้วเหวยถานได้รับ และนางคาดว่าเป็นฝีมือสตรีอำมหิตหมี่เจา “ข้าไม่น่าพาอาเสียนมาเสี่ยงอันตรายเลย อย่างไรเจ้าก็เป็นของคนผู้นั้นแต่แรก แม้ข้าจะมารู้ภายหลัง ทว่าข้ากลับไม่อาจหักห้ามใจ”เซี่ยหมิงพยายายามบอกบางสิ่งกับนาง ขณะเดียวกัน เขาคิดถึงภาพความหลัง เมื่อครั้งที่พบจิ่นเสียน ณ ตลาดข้าทาส ในช่วงเวลาที่นางอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ ตัวเขายอมรับว่าไม่อาจละสายตาจากอีกฝ่าย ราวกับมีบางสิ่งเชื่อมโยงเอาไว้ตั้งแต่ชาติภพก่อน
ยามนั้น เข็มในมือปักเข้าใส่ต้นแขนทารกน้อย และกลิ่นเลือดหอมหวานก็โชยออกมา “นี่แค่เล็กน้อย หากขัดขวางข้าอีกอาจเป็นดวงตาเล็กๆ หรือ แขน ขาสักข้าง ที่หลุดหายจากร่างแบเบาะนี้ ” จ้าวข่านได้ยินอย่างนั้น จึงส่งสัญญาณเปิดทางให้แก่จวิ้นซี และพอนางเห็นช่องทางหลบหนีพลันพุ่งตัวไปอย่างเร็ว โดยได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง กระทั่งนางจากไป เสียงของหน่วยเหยี่ยวไฟก็ถามพ่อบ้านจ้าว“ทารกน้อยอาจได้รับอันตราย พ่อบ้านจ้าวปล่อยนางไปเช่นนั้น แม่ทัพโต้วยังจะให้ท่านมีร่างกายครบสามสิบสองอีกหรือ” “เจ้าไม่รู้สิ่งใด ที่อันตรายย่อมปลอดภัยที่สุด และนางแค้นใจต่อแม่ทัพโต้ว ย่อมไม่มีวันปล่อยทารกให้ผู้อื่น ยิ่งกว่านั้นยังจะเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ด้วย” “เอ พ่อบ้านจ้าวเป็นหมอดูตั้งแต่เมื่อใด” จ้าวข่านยิ้มกว้าง และตอบว่า“สายตานางหลอกข้าไม่ได้ ใจนางรักแม่ทัพโต้ว และเกลียดเขาพอกัน สิ่งใดที่จะทำให้เขาเจ็บช้ำได้ มีหรือที่จวิ้นซีจะไม่ยอมทำ” กล่าวจบ จ้าวข่านก็มองเห็นว่ามีร่างของสตรีอีกคนที่โผนทะยานตามจวิ้นซีไป “อย่างที่แม่ทัพโต้วคาดการไม่ผิด ฝ่ายของพระสนมเคอ คงไม่ปล่อยให้ทารกของต
ขันทีฉีเป็นชายหนุ่มรูปงามอายุเพิ่งพ้นยี่สิบปีมาหมาดๆ เขาทำงานในวังหลวงนับแต่อายุได้เพียงห้าขวบ ซึ่งนับว่าเล็กมาก อย่างไรเสียเขาไม่ได้มีความรู้เพียงแค่การเอาใจเจ้านาย หากวรยุทธ์คนผู้นี้ก็นับว่าดีเยี่ยม อาจดีกว่ามือปราบหลายคนด้วยซ้ำ เมื่อออกจากตำหนักรื่อหงฮวามาได้อย่างปลอดภัย เขาก็กระโดดข้ามกำแพงวังหลวง ก่อนเข้าไปในตรอกเล็กๆ คับแคบ รอม้าที่เตรียมพร้อมเสมอเพื่อทำภารกิจลับ “ท่านจะไปที่ใด...” เสียงมือปราบดังขึ้น ฝ่ายนั้นรีบใช้วิชาตัวเบามาอยู่ตรงหน้าขันทีฉี ดวงตาเขาเจือความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด“ข้าต้องส่งของสำคัญให้ถึงมือแม่ทัพโต้ว และเขาผู้เดียวเท่านั้นที่จะรักษาสมบัติล้ำค่านี้ไว้ได้” “คนผู้นั้น เป็นแม่ทัพก็ดี แต่เขาโหดเหี้ยมยิ่งกว่าปีศาจ อีกทั้งใครก็รู้ว่า ไร้ความปราณี และไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด” ขันทีฉียิ้มรับ แล้วกล่าวว่า“ด้วยเหตุนี้ นายหญิงถึงเลือกเขาให้ดูแลของสำคัญ” หัวคิ้วเข้มๆ ของมือปราบย่นเข้าหากัน และจมูกเขาก็ไวต่อกลิ่นมาก “เลือด... และกลิ่นคาว...” “อย่าพูดให้มากความ หากท่านจะขัดขวางข้า จงรู้ไว้แม้เป็นสหายข้าก็ไม่ยอมอ่อนข้อ”
ต่อจากนั้น จิ่นเสียนถูกพาไปขี่ม้ากับเซี่ยหมิง โดยที่นางไม่เต็มใจ การเดินทางตลอดสามชั่วยามทำให้ร่างกายที่อ่อนเพลียอยู่แล้วต้องเผชิญอาการป่วยไข้ ดังนั้นพอถึงถ้ำซึ่งเป็นแหล่งกบดานของพวกชยงเหล่าสู หญิงสาวจึงถูกอุ้มไปนอนบนฝูกหนานุ่ม พร้อมได้รับการดูแลเช็ดเนื้อเพื่อลดไอร้อน ยามนั้นมีเสียงของคนผู้หนึ่งทะเลาะกับเซี่ยหมิง เสียงดังกล่าวคล้ายจะทำให้จิ่นเสียน สะบัดร้อนสะบัดหนาว ความรู้สึกแสนน่ากลัว ทั้งเกิดอาการครั่นคร้ามใจตามมา “ลูกหมิง...ผู้หญิงคนนั้นสมควรถูกขายไปแล้ว และเจ้ายังตามตัวมันกลับมาเพื่อสร้างปัญหาอันใดอีก ฐานะที่เหมาะกับนาง ย่อมเป็นแค่ทาส เหมือนครั้งที่เจ้าพบนางในตลาดค้ามนุษย์ และไม่ควรพานางกลับเรือนตั้งแต่วันนั้น” “ท่านแม่ ทะ ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ นางคือภรรยาของลูก เป็นสะใภ้น้อย ที่ข้าเก็บเงินซื้อนาง และข้าเกือบต้องเอาชีวิตเข้าแลก ชาตินี้ได้พบอาเสียนอีกครั้ง ขะ ข้าจะยไม่ปล่อยให้นางให้หลุดมืออีก” คนเป็นแม่ปวดหัวยิ่งนัก หวังว่าจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับจิ่นเสียนอีก แต่สวรรค์หรือจะให้โอกาสนาง หายนะร้ายแรงนั้นคงนับแต่จวิ้นซีลักพาตัวเด็กหญิงจากบุรุษผู้นั้นตามคำ
รถลาลากไม่ได้ให้ความสะดวกสบายแก่จิ่นเสียน กระนั้นก็ยังดีกว่านางต้องเดินด้วยสองเท้า ในรถไม่ได้มีหญิงสาวเพียงคนเดียว ร่างหนึ่งนอนขดบนพื้นไม้ หายใจแผ่วเบาและจ้องมาทางจิ่นเสียนราวกับต้องการบางสิ่งจากนาง “นางรับโทษแทนสามีซึ่งหายสาบสูญไป ทุกความผิดจึงตกมาที่นาง” คนที่ตอบเป็นเจ้าหน้าที่หญิงที่นั่งห่างจิ่นเสียน “ผู้หญิงให้โง่เพียงใด จงอย่าเอาชีวิตไปยึดติดกับบุรุษ เจ้าก็เหมือนกัน...ได้ข่าวว่า รู้เห็นเกี่ยวกับการฆ่ายกครัวตระกูลจิวด้วย” ได้ยินอย่างนั้น จิ่นเสียนก็หันหน้าไปทางอื่น นางไว้ใจใครได้ เห็นท่าคงไม่มี ยามนี้คิดเพียงแต่ว่าเมื่อไปถึงศาล นางจะถูกส่งตัวไปที่ห้องขัง หรือห้องสอบปากคำซึ่งอาจทำให้ต้องเจ็บตัว สุดท้ายก็รับสารภาพในสิ่งที่ไม่ได้ก่อ เวลาผ่านไปจนท้องฟ้ามืดค่ำ โดยก่อนหน้านั้นรถลาลากจอดให้เหล่าเจ้าหน้าที่พัก และกินอาหาร ส่วนนักโทษถูกไล่ต้อนลงมา และได้หมั่นโถวคนละชิ้น สตรีที่รับผิดแทนสามี ยังคอยมองจิ่นเสียนอยู่ ขณะเดียวกันนางสังเกตเห็นว่า ยังมีรถลาลากคันอื่นๆ พร้อมทั้งนักโทษหญิงชายอีกหลายคน ที่น่าสนใจ มีเด็กเล็กอายุคงแค่สิบขวบด้วย
จิ่นเสียนยั้งสติตนได้ทัน กระนั้นก็ทำให้อนุหมี่ตาเหลือกค้าง พลางจับที่หน้าท้องของตน และสาเหตุที่นางต้องระเห็จมาอยู่ที่เรือนนอก ก็เพราะมีทำสิ่งขัดใจฮูหยินหม้าย หลายวันที่ผ่านอารมณ์เลยฉุนเฉียวเนื่องจากตั้งครรภ์ ยามนี้ก็นับได้เกือบสี่เดือนเศษ เมื่อครู่เกือบต้องเจ็บตัวจากสาวใช้อุ่นเตียงของแม่ทัพโต้ว อารมณ์หมี่เจาที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นทุนเดิมเลยผสมกันไปหมด แล้วยิ่งเห็นว่าจิ่นเสียนผู้นี้มีความงามล้ำลึก ฝ่ายนางถึงกับเกิดความริษยาอย่างแรง พร้อมคิดว่าชาตินี้คงอยู่ร่วมผืนดินเดียวกันไม่ได้ “พ่อบ้านจ้าว... ไม่เห็นหรือว่า นางโสเภณีชั้นต่ำมันป่าเถื่อน ทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมเกือบทำร้ายข้า จงรีบลงโทษนางเสีย มิเช่นนั้น ข้าคงต้องเขียนรายงานไปจวนแม่ทัพ เพื่อให้ผู้คุมกฎส่งคนมาจัดการนาง และอีกอย่างข้าได้ยินมาว่า นางเป็นทาสใช้แรงงานมาก่อน” หมี่เจามิวายหยามหมิ่นเกียรติของจิ่นเสียนต่อหน้าผู้อื่น จ้าวข่านถอนหายใจแรงๆ จิ่นเสียนก็เพิ่งจะฟื้นไข้ ร่างกายมิใช่ว่าจะแข็งแรงนัก ทว่าเพื่อให้นางรอดพ้นสายตาของหมี่เจาจำต้องเล่นละครตบตาสักหน่อย “แม่นางเสียน จงไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชน และห้ามผู้ใดให้ข
จิ่นเสียนไม่ใช่คนอ่อนหัด นางย่อมรู้ว่าชะตาชีวิตตนเป็นเช่นไร ยามนี้จำต้องใช้มันให้คุ้มค่าสมกับที่ได้มีลมหายใจอีกครั้ง และโต้วเหวยถานเป็นแค่บุรุษที่ต้องพิษร้าย และความจริงเขาอ่อนแอ หากแสร้งทำตัวเผด็จการ ใช้ความหยาบคายเพื่อข่มขู่ผู้อื่นเท่านั้น เมื่อปลอบใจตนเรียบร้อย หน้าที่นางคือทำให้โต้วเหวยถานคลั่งไคล้ในเรือนกายเย้ายวน นี่คือแผนการที่นางมุ่งหวังให้สำเร็จ หาไม่แล้วปลายทางจุดจบของชีวิต คงมิแคล้วจบลงอย่างที่เขาบอกคือกลายเป็นศพที่ถูกส่งไปยังตระกูลจิว มือใหญ่ๆ กระชากเสื้อผ้านางส่วนที่เหลือออกจนเผยร่างกายที่น่าสัมผัส ทั้งกลิ่นหอมเย้ายวน ผิวที่นุ่มนิ่ม อากาศแม้ไม่ให้เย็นจนเกินไป ทว่านางอดตัวสั่นไม่ได้ ร่างกายคนตัวโตซ้อนอยู่ด้านหลัง รังสีอำมหิตถ่ายโอนมาถึงนาง และยังแสดงความคุกคามออกมาไม่หยุด เขาใช้ปากชื้นๆ ขบแล้วเม้มที่แผ่นหลังสลับการจูบ สุดท้ายลงเขี้ยวพอให้นางต้องเจ็บตัว เมื่อเห็นว่ามีรอยช้ำขึ้นบนผิวขาวอมชมพูอย่างรวดเร็ว สีหน้าของโต้วเหวยถานก็แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจ เขาเกลียดการหลอกลวง ยิ่งเป็นสตรีที่ถูกใช้ทำงานสายลับ หรือพวกนางนกต่อลอบเข้ามาในจวน
ชาติภพใหม่ เรือนลับแห่งนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดจัด สถานการณ์ด้านนอกบอกให้รู้ว่า ต้องมีการเตรียมพร้อมเสมอ หากมีเรื่องฉุกเฉิน ฝ่ายชายวัยกลางคนยืนแทบไม่ติด ด้วยส่งใครเข้าไปด้านในห้องลับส่วนตัวก็ถูกจับโยนออกมา เหล่าหน่วยเหยี่ยวไฟต่างต้องช่วยกันพาสตรีเหล่านั้น ไปส่งให้ถึงมือหมอที่รอรับหน้าที่คอยปฐมพยาบาลพวกนางอย่างแข็งขัน “เฮ้อ นี่ก็คนที่สิบห้า ยังไม่มีใครที่แม่ทัพโต้วพึงใจ” คนใส่เสื้อผ้ารัดกุมกล่าว เป็นตอนนั้นที่พ่อบ้านจ้าวแยกเขี้ยว ก่อนทำเสียงต่ำๆ เป็นเชิงตำหนิ “ไม่ใช่พึงใจ ข้าบอกว่าให้คัดเลือกสตรีที่มีปานโลหิตรัญจวน(พรหมจรรย์) แต่ดูเหมือนพวกเจ้ากับเฟ้นหาสตรีร่านสวาทที่เก่งกาจเรื่องบนเตียงมาที่นี่ เยี่ยงนี้ย่อมไม่ต้องคำสั่ง” “ปานโลหิตรัญจวน” “ก็ใช่นะซี ก่อนหน้านั้นข้าได้สั่งอย่างกำชับ ไฉนยังทำงานผิดพลาด พวกเจ้ามีกี่ชีวิต ถึงจะพอให้แม่ทัพโต้วตัดหัวจนเขาพอใจ” อันที่จริงคำสั่งพ่อบ้านจ้าวไม่ได้ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากหน่วยเหยี่ยวไฟมีเวลาเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ที่ต้องหาหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงาม ผิวพรรณดี นอกจากนั้นยังต้องบริสุทธิ์ เ
จิ่นเสียนมองไปยังจวิ้นซียามนั้นดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนมิอาจทนรับโทษสถานหนักได้แล้ว “เสี่ยวเสียน... เป็นข้าที่พาเจ้ามาจากแม่ทัพโต้ว และเขาสมควรดูแลเจ้าตั้งแต่แรก ทว่า...พิษที่สะสมในร่างกายเขาเป็นเหตุให้ต้องอยู่ห่างเจ้า มิเช่นนั้นอาจทรงผลร้ายมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นแม่ทัพโต้วก็ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า เขาแสร้งทำให้ข้าตายใจว่า หวังจิ่นเสียนอยู่ห่างไกลจากเงื้อมือเขามาโดยตลอด และเป็นข้าที่ตื้นเขินในเรื่องนี้” “แม่เลี้ยง ทะ ท่านต้องการบอกสิ่งใดแก่ข้ากันแน่” จวิ้นซีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย และเปล่งเสียงดังชัดเจน “หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าหวังซินเข่อ ผู้เป็นรัชทายาท มิอาจขึ้นครองบัลลังก์ได้” และนั่นคือเสียงสุดท้ายของจวิ้นซี เพราะนางถูกลูกน้องของหมี่เจาใช้ดาบฟันใส่กลางหลัง “เอาละ... อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็มีชีวิตมาจนถึงวันนี้ และหน้าที่ข้าคือทำให้เจ้าหายไปจากใต้หล้า องค์หญิงจิ่นเสียน ท่านอย่าหาว่าข้าโหดร้ายเลย ฟ้ากำหนดไว้เช่นนี้ อย่างไร น้องชายเจ้าต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ สกุลหมี่ และสกุลเคอ ยอมให้ผู้อื่นมีอำนาจในแผ่นดินนี้ไม่ได้” จิ่นเสียนนิ่งเงียบ